เทหน้าตักรักนางมารร้าย (ฉบับรีไรท์ ทำ e-book)

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 6

บทที่ 6

“อ๊าย ฮอตอิตนะยะแก ไปทำงานแค่เดือนกว่าๆ ก็มีหนุ่มมาเจ๊าะแจ๊ะตั้งหลายคน” เหมือนพิมพ์ส่งเสียงกระแนะกระแหนมาตามสัญญาณโทรศัพท์

“พูดบ้าอะไรของแก เจ๊าะแจ๊ะหลายคนที่ไหนกัน ว่างๆ ก็หาเวลาแคะขี้หูออกบ้างนะยะ ฟังเขาพูดเขาเล่าอะไรจะได้เข้าใจง่ายๆ ไม่ใช่มโนไปเอง”

“แหม ฉันแซวแค่หน่อยเดียวรัวกลับมาเป็นสลุตเลยนะยะ” คนจากปลายสายบ่นเสียงขึ้นจมูก “ก็ได้ๆ สรุปว่าผู้ชายโชคร้ายที่หลงเข้ามาเจ๊าะแจ๊ะแกมีคนเดียวคือนายบรรจบ ส่วนพี่ดำปืนแค่ชอบแกล้ง น้องชินจังก็ชอบทำตัวเกรียน คนที่เข้ารอบหัวใจจึงได้แก่เจ้าชายที่แสนดี ‘พี่ปุ้น’ ของน้องปุ่น แบบนี้โอไหมยะ”

“ยังไม่โอย่ะ ผู้ชายขี้หลีอย่างนายบรรจบฉันไม่ขอยุ่งเกี่ยวและไม่นับให้เสียประวัติตัวเองเด็ดขาด ผู้ชายอะไรได้ยินแค่ชื่อก็อี๋ แหวะ” พูดไปก็ทำท่าขนลุกขนพองไปด้วย “แกพูดถูกแค่เรื่องไอ้พี่ดำปืนที่ชอบแกล้ง ส่วนไอ้เด็กเวรนรกนั่นก็ไม่ต้องเรียกเสียน่าเอ็นดูเพราะตัวจริงมันน่าเลาะเอ็นออกมาดูมากกว่า แล้วพี่ปุ้นน่ะเข้ารอบหัวจงหัวใจอะไรกัน ฉันแค่เล่าให้แกฟังว่าพี่เค้าใจดีคอยช่วยเหลือฉันหลายครั้งก็เท่านั้น”

“พี่เค้าแค่ใจดีเท่านั้นหรา… ยะ” เหมือนพิมพ์ส่งเสียงล้อเลียนกลับมา

ปุณยวีร์อมยิ้มจนแก้มตุ่ยแต่ปากตอบกลับไปว่า “ย่ะ”

“แล้วนี่แกไม่มาค้างกับฉันจริงๆ เหรอ แกไม่กลับกรุงเทพฯมาสองอาทิตย์แล้วนะ ฉันอยากเมาธ์กับแกอะปุ่น เมาธ์มอยเรื่องหนุ่มๆ ทางโทรศัพท์ไม่มันเลยอะแกต้องเจอหน้ากันสิถึงจะแซ่บ”

“ฉันก็อยากไปนะแก แต่งานสัปดาห์นี้สูบพลังฉันไปหมดเลย ฉันเพิ่งตื่นออกมาหาอะไรกินแล้วก็โทรหาแกนี่แหละ”

ล่ามสาวสาธยายเหตุผลให้เพื่อนฟังขณะใช้หลอดคนมะนาวโซดาในแก้วตรงหน้าไปด้วย ก่อนจะตัดสินใจมาทำงานที่ต่างจังหวัดเธอเคยตั้งใจไว้ว่าจะกลับกรุงเทพฯไปนอนค้างกับเพื่อนทุกวันหยุดสุดสัปดาห์ เพราะคงไม่ชินกับการใช้ชีวิตอยู่ที่แหล่งพักพิงแห่งใหม่ง่ายๆ แต่พอถึงเวลาจริงๆ เธอกลับทำอย่างที่ตั้งใจได้เพียงสามสัปดาห์แรก แล้วจากนั้นความเหน็ดเหนื่อยจากหน้าที่การงานก็บังคับให้เธอต้องทำตัวให้ชินกับห้องพักเล็กๆ ในอพาร์ตเมนต์ขนาดกลาง ถึงวันหยุดทีไรเธอก็หลับเป็นตายทุกที อย่างเช่นวันนี้กว่าจะลืมตาตื่นขึ้นมาได้ก็ปาเข้าไปเกือบเที่ยง แทนที่จะจัดเสื้อผ้าใส่กระเป๋าสักสองสามชุดแล้วขึ้นรถไปค้างกับเพื่อนที่กรุงเทพฯอย่างที่เคย เธอจึงตัดสินใจออกมาหาอะไรกินก่อนที่กระเพาะจะร้องประท้วงจากนั้นก็เดินเล่นเรื่อยเปื่อยจนได้มาเจอกับคอฟฟี่ช็อปบรรยากาศน่านั่งจึงเข้าไปสั่งมะนาวโซดาแกล้มกับเค้กช็อกโกแลตหน้านิ่มแล้วกดโทรศัพท์คุยกับคนเป็นเพื่อนแทนการไปหาและพูดคุยกันแบบเห็นหน้าค่าตา

“ฉันบอกแล้วไม่เชื่อว่างานโรงงานมันหนักไม่เหมาะกับแก ยังจะดันทุรังไปทำแล้วเป็นไงล่ะ ไหวไหมเนี่ยแก” ท้ายประโยคถามเสียงอ่อน

คนดันทุรังยิ้ม “เพื่อนแกดูเป็นคนเหยาะแหยะงานหนักแค่นี้ก็ทนไม่ไหวเลยเหรอฮะนังพิมพ์”

“ฉันไม่ได้ว่าแกเหยาะแหยะ แต่จะว่าไงดีล่ะ ใช่ว่าแกจะไม่มีทางเลือกนี่นาความรู้ความสามารถระดับแกเลือกงานสบายๆ กว่างานโรงงานได้อยู่แล้ว”

“อือ แต่งานสบายๆ แบบเดิมๆ ฉันเบื่อแล้วนี่แก ถึงงานล่ามในโรงงานมันจะเหนื่อยไปหน่อยแต่ฉันก็ชอบนะ งานที่นี่สนุกมากเลยล่ะ ทั้งเจ้านายเพื่อนร่วมงานเกือบทุกอย่างดีหมดเลย แย่อยู่หน่อยเดียวก็ตรงที่มีไอ้ผู้ชายขี้หลี ไอ้พี่ชอบแกล้ง แล้วก็ไอ้เด็กจอมเกรียนแค่นั้นแหละ” ว่าพลางย่นจมูก

“นี่แก ฉันว่าไอ้พี่ที่ชอบแกล้งกับไอ้เด็กเกรียนนี่มันแปลกๆ นะ จริงๆ แล้วเค้าแอบชอบแกแต่ทำเป็นซึน*หรือเปล่า” เหมือนพิมพ์ตั้งข้อสังเกต

“ไอ้บ้า คิดไปได้นะแก ทำฉันขนลุกนะนี่” ปุณยวีร์ว่าพลางลูบแขนไปด้วย

“อ๊าว มันก็เป็นไปได้นะแก เพิ่งรู้จักกันได้ไม่เท่าไหร่ดันมาแกล้งมาเกรียน ทั้งที่แกยังไม่เผยตัวตนนางมารร้ายออกไปให้ใครรู้ ถ้าไม่เป็นเพราะชอบแกแต่ทำซึนจะเป็นเพราะอะไรล่ะ ฉันว่านายสองคนนั่นต้องแอบชอบแกอยู่แน่ๆ”

“พอๆ เลยนางพิมพ์ ว่างๆ ก็หายาหยุดมโนมากินบ้างนะแก ชักจะมโนพร่ำเพรื่อเกินไปแล้ว” อดกระแนะกระแหน ไม่ได้จริงๆ “ไอ้เด็กเวรนั่นน่ะ เห็นภาคนางมารร้ายของฉันตั้งแต่วันสัมภาษณ์งานแล้วย่ะ” คนมีหลายภาคยักไหล่ “ช่วยไม่ได้ดันโผล่เข้ามาตอนฉันอารมณ์ไม่ดีเอง ส่วนไอ้พี่ดำปืนก็มีแฟนแล้ว ท่าทางกลัวแฟนหงอออกอย่างนั้นคงไม่กล้าคิดนอกลู่นอกทางหรอก แล้วแฟนพี่แกก็สวยนิสัยดีมากด้วย ดูเหมือนเขาจะเห็นแววนางมารร้ายของฉันเลยชอบแกล้งยั่วให้ ฉันตบะแตก”

“จริงดิแก งั้นก็แย่สิแอ๊บไว้แล้วแต่ยังดูออก แล้วจะมีผู้ชายโชคร้ายมาตกหลุมเสน่ห์แกไหมล่ะเนี่ย”
“นังพิมพ์!” ปุณยวีร์แว้ดเสียงขุ่น

“อ๊ะ ก็ฉันพูดเรื่องจริง เออ แล้วนายขี้หลีนั่นใช้ไม่ได้เลยเหรอแก แบบว่าถึงจะขี้หลีไปบ้างแต่นิสัยดีน่าคบไรงี้อะ”

“แกใช้อะไรคิดเนี่ย แค่ขี้หลีสำหรับฉันก็ไม่น่าคบแล้วย่ะ หมอนั่นน่ะชื่อเสียงฉาวโฉ่สุดๆ ว่ากันว่าชอบหลอกทำดีกับพนักงานใหม่ช่วยเหลือโน่นนี่นั่น พอเหยื่อติดกับก็ฟันแล้วทิ้ง ทำให้พนักงานผู้หญิงลาออกไปหลายคนแล้วด้วย อ้อ และก็มีเมียแล้วนะอีตานี่น่ะ แบบว่าอยู่กินกันเฉยๆ ยังไม่ได้แต่งงาน เขาเล่ามาว่าร้ายมากด้วยนะยัยคนนั้นน่ะ ชอบไปมีเรื่องตบตีกับผู้หญิงของไอ้ผัวชั่วๆ ของตัวเป็นประจำ”

“จริงเหรอแก อันตรายมากเลยนะเนี่ย ถ้างั้นแกก็ระวังตัวด้วยล่ะ อย่าไปอยู่ใกล้หมอนั่นเด็ดขาด”

“ฉันก็ระวังอยู่ แต่ไอ้ชั่วนั่นมันตื๊อไม่เลิกน่ะสิ ขนาดถูกถองถูกตบไปเต็มแรงก็ยังไม่เข็ดตื๊ออยู่นั่นแหละ หน้าด้านหน้าทนยิ่งกว่าแมลงสาบอีก อี๋…” พูดถึงผู้ชายคนนี้ทีไรปุณยวีร์ก็รู้สึกขนลุกขนพองขึ้นมาทุกที

“เอาเป็นว่าแกพยายามอยู่ให้ห่างจากไอ้ผู้ชายขี้หลีนั่นไว้ดีที่สุดอย่าไปออกอาการมาก เพราะนอกจากจะทำให้ผู้ชายชั่วๆ กระเจิงแล้วผู้ชายดีๆ ก็จะหนีหายไปหมดด้วย เอาไว้คว้าเจ้าชายที่แสนดีอย่าง ‘พี่ปุ้น’ มาไว้ในครอบครองได้เมื่อไหร่ค่อยเผยโฉมนางมารร้ายก็ยังไม่สาย”

“เหอะ ถ้าไอ้ชั่วนั่นยังมาทำรุ่มร่ามอีกฉันไม่เอาไว้หรอกจะจัดหนักจัดเต็มเอาให้โคม่าเลยคราวนี้ และฉันก็บอกแกแล้วว่าฉันมาทำงานไม่ได้มาแรด ทำไมฉันจะต้องแอ๊บเป็นผู้หญิงแสนดีให้ผู้ชายหลงด้วย ตอนนี้ฉันได้งานกลับมาทำตัวมีสาระเหมือนเดิมแล้วแม่ก็ไม่มีปัญหาไม่หาเรื่องเรียกตัวฉันกลับบ้านเหมือนเก่าอีกแล้วด้วย”

“หึๆ” เหมือนพิมพ์ส่งเสียงหัวเราะคล้ายพวกโรคจิตมาตามสัญญาณโทรศัพท์ “แกเสียรู้แม่แกแล้วล่ะปุ่น เห็นคลื่นลมสงบอย่างนี้คงหลงคิดว่าเหตุการณ์ปกติไม่มีอะไรแล้วงั้นสิ ถ้าแกยังชิลๆ เหมือนเมื่อก่อนไม่ทำตามคำแนะนำของฉันล่ะก็เตรียมตัวเตรียมใจให้คลื่นสึนามิลูกย่อมๆ พัดลงจากคานถูกแม่แกจับใส่พานแต่งงานกับนายกอะไรนั่นได้เลย”

“อะ อะไรนังพิมพ์ แกไปรู้อะไรมา นี่แม่ฉันยังไม่ล้มเลิกความคิดที่จะจับคู่ฉันกับนายนายกบ้าบออะไรนั่นอีกเหรอ” ถามน้ำเสียงเคลือบแคลง “โอ๊ย ฉันไม่เชื่อแกหรอก อย่ามาหลอกกันเสียให้ยาก ถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากลไอ้เจ้าปอนด์มันก็ต้องไลน์มาบอกฉันแล้วสิ”

“เจ้าปอนด์มันจะไลน์ไปบอกแกได้ยังไง ในเมื่อเรื่องนี้เอ็กซ์คลูซีฟสุดๆ รู้กันเฉพาะวงในแค่พวกแม่ๆ เท่านั้น”

“แล้วแกไปเป็นแม่ใครตั้งแต่เมื่อไหร่ถึงได้รู้ไปกับเขาด้วย”

อีกฝ่ายส่งเสียง ‘ชิส์’ กลับมาก่อนจะพูดโอ่ๆ ว่า “แกลืมไปแล้วเหรอว่าฉันเป็นใคร ฉันน่ะ ‘หนูพิมพ์’ ว่าที่สะใภ้สุดที่รักของคุณนายอรอินทร์ เพื่อนสนิทที่สุดของคุณนายปราณีแม่ของแกนะยะ เรื่องมันก็มีอยู่ว่าเมื่อสัปดาห์ที่แล้วฉันโทรไปคุยกับคุณแม่ถามสารทุกข์สุกดิบของท่านตามปกติ คุยไปคุยมาท่าไหนไม่รู้อยู่ๆ ท่านก็หลุดปากเรื่องที่แม่แกยังไม่ล้มเลิกความตั้งใจที่จะจับแกแต่งงาน ทีแรกท่านก็เฉไฉชวนฉันคุยเรื่องอื่นนะ แต่ระดับเหมือนพิมพ์แกก็รู้ นิดๆ กะปริดกะปรอยมันไม่ใช่อย่างฉันน่ะถ้าอยากรู้อะไรแล้วล่ะก็ต้องรู้ลึกรู้จริง แล้วคุณแม่ก็ถูกฉันรีดความลับทุกอย่างออกมา”

ปุณยวีร์เริ่มนั่งไม่ติดที่ มะนาวโซดาและเค้กช็อกโกแล็ตหน้านิ่มที่ยังเหลืออยู่เกือบครึ่งถูกละเลยในทันที “แกรู้อะไรมานังพิมพ์ รีบคายออกมาให้หมดเดี๋ยวนี้” สั่งเสียงเข้ม

และโดยไม่ต้องรอให้สั่งซ้ำสองคนเป็นเพื่อนก็เล่าเรื่องทุกอย่างให้เธอได้รับรู้ ซึ่งแต่ละเรื่องที่ได้ฟังนั้นล้วนแต่ไม่เป็นผลดีต่อเธอเลยทั้งสิ้น “หา! อะไรนะ! เดือนหน้าแม่จะพาอีตานายกอะไรนั่นมาดูตัวฉันงั้นเหรอ โอยยยย แม่นะแม่คิดอะไรอยู่กันแน่”

“คิดอยากจะหาสามีให้แกน่ะสิ”

“อ๊ายยย นังพิมพ์แกอย่าย้ำมากได้ไหม แล้วนี่ฉันจะทำยังไง”

“แกก็ต้องทำตัวดีๆ เพื่อให้ ‘พี่ปุ้น’ ติดกับ… แกจะได้อ้างได้ว่ามีแฟนแล้วและปฏิเสธคนที่แม่หามาให้ หรือถ้าแกไม่อยากแอ๊บเป็นผู้หญิงแสนดีฉันแนะนำว่าแกควรจะจีบน้องชินจัง ไหนๆ เค้าก็เคยเห็นภาคนางมารร้ายของแกแล้ว แทนที่จะปล่อยให้มันเป็นจุดอ่อนแกก็เปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาสจีบน้องเค้ามาทำแฟนซะก็สิ้นเรื่อง” อีกฝ่ายแนะนำด้วยน้ำเสียงสบายๆ

“แกก็พูดง่ายสิมันไม่ใช่เรื่องของแกนี่ โอ๊ยนังพิมพ์ฉันจะทำยังไงดี มันไม่ทางอื่นอีกแล้วเหรอแก”

“ก็คงมีมั้งแต่ฉันขี้เกียจคิด ถ้าแกไม่อยากทำตามคำแนะนำของฉันก็คิดเอาเองแล้วกัน เออ แค่นี้ก่อนนะแกสุดที่รักฉันโทร.มา แล้วค่อยคุยกัน บาย”

“เฮ้ นังพิมพ์! พิมพ์! สรุปว่าฉันจะต้องแอ๊บให้พี่ปุ้นหลงติดกับจริงๆ เหรอแก”

“ตู๊ด ตู๊ดๆ” เป็นเสียงซึ่งแสดงว่าสัญญาณโทรศัพท์ถูกตัดไปแล้วที่ดังกลับมา

ปุณยวีรอยากจะกระแทกสมาร์ตโฟนในมือลงกับโต๊ะแรงๆ แทนการระบายอารมณ์ที่เพื่อนชิงตัดการสนทนาไปก่อนทั้งที่คุยกันยังไม่ทันรู้เรื่อง ดีแต่ราคาแสนแพงของมันช่วยฉุดรั้งอารมณ์เธอเอาไว้ “ฮึ่ย นังเพื่อนบ้า! เห็นแฟนดีกว่าเพื่อนทุกที” สุดท้ายที่เธอทำได้ก็คือใช้ช้อนจ้วงตักเค้กช็อกโกแลตที่ยังเหลืออยู่กับดูดมะนาวโซดากระแทกลงกระเพาะแทน และเมื่อจัดการจนไม่มีอะไรเหลือก็ผลุนผลันลุกขึ้นโดยเลื่อนเก้าอี้ออกอย่างแรง

‘ตึง!’ เสียงเก้าอี้กระแทกเข้ากับอะไรสักอย่างเรียกให้คนที่กำลังหัวเสียระบายอารมณ์เอากับสิ่งของหันขวับ แวบแรกที่ได้เห็นว่าอะไรเป็นอะไร รับรู้ว่าตัวเองขยับเก้าอี้ไปชนกับคนที่นั่งอยู่ด้านหลังเต็มแรงเธอก็ขยับริมฝีปากตั้งใจจะกล่าวคำขอโทษตามสัญชาติญาณ หากไม่มีเสียงจุปากคล้ายรำคาญและผู้เสียหายที่หันกลับมาจะไม่ใช่เจ้าของใบหน้าเรียบนิ่ง… เจ้าประจำ

“คุณ! มาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ นี่คุณแอบฟังฉันเหรอ” จากที่ตั้งใจจะเอ่ยคำขอโทษกลายเป็นกล่าวโทษเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นใคร

ไม่มีคำตอบกลับหรือคำแก้ตัวใดๆ จากชินพัตต์ เขาเพียงถอนหายใจท่าทางบอกความเบื่อหน่ายก่อนจะผละจากไป สิ่งที่เขาแสดงออกมาทำให้ล่ามสาวรู้สึกราวกับว่าตัวเองเป็นอากาศธาตุไร้ความสลักสำคัญใดๆ “นะ นี่คุณ! คุณ! จะไปไหน ฉันยังพูดไม่จบเลยนะ มาแอบฟังฉันตั้งแต่เมื่อไหร่ อ๊ายยย ไอ้เด็กบ้า นิสัยเสียแล้วยังเสียมารยาทอีก”




ปุณยวีร์ยังไม่ทันได้จัดหนักจัดเต็มชายหนุ่มจากแผนกซ่อมบำรุงที่ขยันเข้ามาขายขนมจีบสร้างความรำคาญไม่เว้นวันเพราะยังคิดไม่ตกว่าจะเอายังไงดี เธอไม่แน่ใจว่าถ้าทำตามคำแนะนำของเพื่อนแล้วจะปฏิเสธความหวังดีจากแม่ซึ่งเธอไม่ต้องการเลยได้ไหม และในระหว่างที่เธอยังลังเลคิดไม่ตกอยู่นั่นเองก็ดันมีเรื่องเกิดขึ้นเสียก่อน

‘ปึก!’

ล่ามสาวถอนหายใจ จนได้สิน่า… เธอว่าเธอระวังแล้วนะ แต่ก็อย่างว่าช่วงเวลาเลิกงานยิ่งในวันที่ไม่มีการทำงานล่วงเวลาอย่างเช่นวันนี้ บริเวณลานจอดรถรับส่งของพนักงานจะมีคนพลุกพล่านมากกว่าปกติ การกระแทกชนกันมันก็ย่อมเกิดขึ้นได้ง่าย และแม้จะเข้าใจแต่ความเจ็บปวดที่ได้รับก็ทำให้เธออดรู้สึกหงุดหงิดไม่ได้ หากสุดท้ายก็พยายามข่มใจไม่ชักสีหน้าคิดเสียว่ามันเป็นอุบัติเหตุแล้วหันหน้าไปยังทิศทางที่ถูกกระแทก หวังว่าผู้กระทำคงจะเอ่ยคำขอโทษและเธอก็จะตอบกลับว่าไม่เป็นไร หากความจริง…

“หน้าจืดๆ อย่างหล่อนเองเหรอล่ามคนใหม่”

นอกจากจะไม่ขอโทษ หากยัยผู้หญิงแต่งหน้าจัดจ้านปะยี่ห้อนางร้ายที่เดินชนเธอเต็มแรงยังกอดอกเชิดหน้าแล้วเบะปากพูดจาดูถูกอีกต่างหาก ปุณยวีร์แทบผงะมองหน้าอีกฝ่ายตาค้าง ความหงุดหงิดเล็กๆ ที่สู้อุตส่าห์กดข่มเอาไว้ได้แล้วเริ่มปะทุขึ้นอีกครั้ง

“เฮอะ! คิดว่าจะมีดีสักแค่ไหน ที่แท้ก็หน้าตาบ้านๆ ใช้อะไรคิดยะถึงกล้าสะเออะมาปั่นหัวพี่ตั้มของฉัน”

ล่ามสาวถึงบางอ้อ อีกฝ่ายคงจะเป็นภาวินี ประชาสัมพันธ์สาวที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้หญิงที่อยู่กินด้วยกันกับนายบรรจบแต่ยังไม่ได้แต่งงาน เห็นหน้าตาท่าทางราวกับนางร้ายในละครนั่นแล้วเธอก็ฟันธงฉับว่าต้องใช่ไม่ผิดตัวแน่

“ไงล่ะ ถึงกับบื้อไปเลยเหรอยะ ฉันนี่แหละเมียตัวจริงเสียงจริงของพี่ตั้ม เห็นแก่ที่เป็นผู้หญิงเหมือนกันฉันจะบอกให้เอาบุญก็ได้ว่าหน้าตาท่าทางจืดๆ ชืดๆ อย่างหล่อนน่ะเป็นได้แค่ของเล่นฆ่าเวลาของเขาเท่านั้น อย่าสะเออะคิดจะเป็นตัวจริง ได้ลองแค่ครั้งสองครั้งเขาก็เอียนจนจะอาเจียนแล้วล่ะ ถ้าหล่อนคันมากจนทนไม่ไหวก็ไปอ่อยผู้ชายหน้าโง่คนอื่นให้ช่วยเกาอย่าเสนอหน้ามายั่วผัวฉันอีก”

ปุณยวีร์กลอกตาไม่นึกไม่ฝันมาก่อนเลยว่าวันหนึ่งจะต้องประสบพบเจอกับเหตุการณ์ชิงรักหักสวาทที่ไม่ต่างอะไรกับละครน้ำเน่าทางหน้าจอโทรทัศน์ เธอนับหนึ่งถึงสิบพยายามข่มใจไม่เต้นไปตามคำสาดเสียเทเสียของอีกฝ่าย บอกตัวเองว่าเธอมีค่าเกินกว่าจะไปแลกกับอะไรต่ำๆ พรรค์นั้น ดวงตาคู่กลมโตที่มองกลับไปฉายแสงว่างเปล่าทำราวกับว่าผู้หญิงตรงหน้าเป็นอากาศธาตุ ไร้ค่าไม่น่าสนใจ ก่อนจะเดินผ่านไปเพื่อขึ้นรถตามความตั้งใจเดิม

คนที่ถูกเมินยืนอึ้งอ้าปากค้างก่อนจะรู้สึกตัวรีบก้าวเร็วๆ เข้ามาขวางบริเวณบันไดทางขึ้นลงรถบัสรับส่งพนักงาน เจ้าหล่อนชี้นิ้วพลางพร่ำปากคอสั่นว่า “กะ แกกล้าดียังไง ทำแบบนี้อยากมีเรื่องกับฉันนักใช่ไหมฮะนังล่ามหน้าจืด ได้! ฉันจะทำให้แกเห็นว่าฉันกับแกน่ะคนละระดับกัน ทีหน้าทีหลังจะได้ไม่คิดลองดีอีก” จบคำประกาศลั่นนั่นเจ้าหล่อนก็วาดแขนออกกว้างก่อนจะประทับลงบนใบหน้าของคนกล้าดีเต็มแรงจนได้ยินเสียง ‘เพียะ!’

ปุณยวีร์ยกมือขึ้นกุมใบหน้าข้างที่โดนประทุษร้ายพลางกลืนน้ำลาย นางฟ้าร่างเล็กติดปีกสีขาวถือคทาดาวในมโนสำนึกบอกเสียงกังวานใสว่า ‘เย็นไว้ปุ่น เพื่อภาพลักษณ์ที่ดีเธอต้องใจเย็นๆ นับหนึ่งถึงสิบแล้วท่องเอาไว้ให้ขึ้นใจว่าเวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร พี่ปุ้นจะได้ซาบซึ้งตราตรึงกับภาพลักษณ์นางเอกผู้แสนดีของเธอไง’

‘เฮอะ!’ จอมมารร้ายร่างเล็กติดปีกสีดำถือคทาหัวกะโหลกแค่นเสียงเยาะ ‘แกจะเย็นไว้เพื่อ… มันทำแกเจ็บขนาดนี้ต้องสนองคืนให้สาสมสิถึงจะถูก จัดหนักมันเลยปุ่น เอาให้ดั้งยุบคางเบี้ยวจนหมอเมืองกิมจิก็ช่วยอะไรมันไม่ได้เลย ทีนี้ไอ้ชั่วบรรจบหรือใครหน้าไหนก็ไม่กล้าแหยมกับแก!’

ล่ามลาวหลับตา มโนสำนึกทั้งทางดีและทางร้ายตีกันให้วุ่นจนเธอตัดสินใจไม่ถูกว่าควรจะทำอย่างไร

“ฮะๆ” ภาวินีหัวเราะเสียงแหลม ท่าทางบอกความสะใจ “เป็นไงล่ะ นังล่ามหน้าจืด ทีนี้รู้ฤทธิ์ฉันรึยัง หวังว่าหล่อนจะหายบื้อแล้วเลิกตื๊อพี่ตั้มของฉันสักทีนะยะ เอ๊ะ! นังนี่! จะเอายังไงฮะ ฉันถามก็ตอบกลับมาสิยืนเอ๋ออยู่นั่นแหละ อ๋อ หรือคิดจะหน้าด้านแย่งผัวชาวบ้านไม่เลิกยะ หนอย! ตบแค่ครั้งเดียวมันน้อยไปไม่รู้สำนึกใช่ไหม นี่แน่ะ!” …




“ยัยนั่นเป็นนักตบลูกยางเก่าหรือเปล่าแกถึงได้ตบฝังรอยนิ้วไว้ได้ชัดขนาดนี้” เหมือนพิมพ์ถามออกมาหลังจากใช้แผ่นเจลแช่เย็นช่วยประคบใบหน้าด้านที่ถูกตบจนหมดความเย็นไปแล้วแต่ร่องรอยฟกช้ำก็ยังคงเหลืออยู่อีกมาก

ไม่มีเสียงตอบจากปุณยวีร์นอกจากดวงตาคู่กลมโตฉายแสงเขียวปั้ดที่ตวัดกลับมา

คนพูดจาไม่เข้าหูยักไหล่ “ขำๆ น่ะแก ทำหน้ายักษ์ไปได้ ฉันเพื่อนแกนะไม่ใช่ยัยหมาบ้านั่นสักหน่อย เอาเป็นว่าไอ้รอยฝ่ามือมารนี่เดี๋ยวฉันจัดการเอง ถ้าประคบยังไม่หายก็ทายาเอา หยุดตั้งสองวันรับรองหายอยู่แล้วล่ะ หรือจะใช้เมคอัพช่วยก็ได้ไม่เห็นจะยากเชื่อมือเพื่อนแกสิ”

คนถูกฝ่ามือมารประทับอยู่บนใบหน้าถอนหายใจ “นี่นังพิมพ์ แกชิลไปป่ะ เพื่อนแกถูกตบมานะ จะไม่พูดไม่ทำอะไรเพื่อแสดงความเห็นใจเลยเหรอฮะ!” ถามเสียงฉุน

เหมือนพิมพ์ยักไหล่ซ้ำสอง “ดูจากสภาพแกแล้ว ฉันขอเดาว่าอีกฝ่ายน่าจะน่วม เพราะนางมารร้ายอย่างแกไม่เคยยอมให้ใครทำร้ายอยู่ฝ่ายเดียว อีกฝ่ายตบมาแกก็ต่อยกลับ แบบว่าสนองคืนไปสองเท่าทุกครั้ง” พูดสบายๆ ทำนองรู้จักกันดีก่อนจะทำท่าสะดุ้งคล้ายเพิ่งนึกขึ้นได้ “อ๊ะ! หรือว่าครั้งนี้ฉันเดาผิด พอยัยหมาบ้านั่นตบแก้มซ้ายแกก็หันแก้มขวาให้ตบแถมงั้นเหรอ”

“ไอ้บ้า! ฉันปกติดีย่ะ ไม่ใช่มาโซคิสต์ ถึงถูกตบแก้มซ้ายจะได้หันแก้มขวาให้ตบแถม” ปุณยวีร์แหวกลับ

“อ้าว งั้นแล้วฉันควรจะเห็นใจแกเรื่องอะไร ในเมื่อแกเอาคืนสาสมแล้ว” ถามน้ำเสียงบอกความไม่เข้าใจ

ปุณยวีร์กลอกตา “แกเป็นคนไซโคฉันเองนะ แล้วมาทำไม่รู้ไม่ชี้แบบนี้ได้ยังไง ฉันออกฤทธิ์ออกเดชนางมารร้ายเต็มรูปแบบเสียขนาดนั้น อย่าว่าแต่ยัยหมาบ้านั่นจะไม่กล้าแหยม ยังมีคนอีกตั้งมากที่เห็นฤทธิ์ฉันตอนนั้น ฮือ… ทีนี้ฉันจะทำยังไงดีล่ะแก๊ พี่ปุ้นเค้าจะยังใจดีกับฉันไหมอะ แล้วฉันจะเอาอะไรไปต่อกรกับแม่ล่ะ ฮือ… แม่นะแม่ทำกันได้ลงคอ ไอ้เจ้าปอนด์ก็ทั้งไลน์ทั้งเฟซไทม์มาไซโคฉันอยู่ทุกวัน อ๊าย… ฉันจะบ้าตาย” พร่ำรำพันเป็นน้ำไหลไฟดับหลังจากสู้ทนอดกลั้นมานาน

เหมือนพิมพ์ทำท่าเลิ่กลั่กก่อนจะยิ้มแหยๆ “เออ… จริง ฉันก็ลืมไป” หลังจากนิ่งคิดไปครู่ใหญ่อีกฝ่ายก็ขยับเข้ามาใกล้แล้วบีบมือปลอบว่า “อย่าคิดมากสิแก เท่าที่ฟังแกเล่ามาฉันว่าคนอย่างพี่ปุ้นน่าจะเข้าใจนะ ก็ยัยนั่นดันมาร้ายใส่แกก่อน โดนตั้งขนาดนั้นถ้ายังทนไหวไม่ตอบโต้มันก็ไม่ใช่คนธรรมดาแล้วถูกผีนางเอกละครน้ำเน่าเข้าสิงแล้วล่ะ เชื่อฉันเถอะพี่เค้าต้องมีเหตุผลเข้าใจแกแน่ๆ”

“ฮือ… มันไม่ใช่แค่นั้นสิแก อ๊าย… แกไม่เข้าใจอะพิมพ์ แล้วทีนี้ฉันจะมีหน้าไปทำงานได้ยังไงล่ะแก ฮือ…” ถึงกับปิดหน้าคร่ำครวญเมื่อย้อนนึกถึงการกระทำเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา





“หนอย! ตบแค่ครั้งเดียวมันน้อยไปไม่รู้สำนึกใช่ไหม นี่แน่ะ!” อุตส่าห์อดกลั้นไม่ตอบโต้อะไรออกไปทั้งที่ภายในใจเดือดปุดๆ จวนจะระเบิดหวังให้เรื่องราวมันจบๆ ไป แต่กลับทำให้ภาวิณีได้ใจคิดว่าตัวเองแน่อยู่ฝ่ายเดียว เจ้าหล่อนวาดแขนออกอีกครั้งคงคิดจะตบฝังรอยเดิม

‘หลบไปปุ่น รีบไปขึ้นรถ ท่องเอาไว้ว่าเวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร’ นางฟ้าร่างจ้อยติดปีกสีขาวเจ้าเก่าในมโนสำนึกร้องเตือนด้วยเสียงกังวานใส

‘หลบให้โง่สิ! ตบมันกลับเลยแก เอาให้มันน่วมกว่าแกเมื่อกี้เลยนะ เหอะ! ทำเฉยๆ ไม่ได้หรอกนังนี่ต้องสนองคืนให้สาสม ตบแล้วต่อยจากนั้นก็เหยียบฝังมันเลยแก!’ จอมมารร่างจ้อยติดปีกสีดำบอกเสียงเหี้ยมเกรียม

‘นับหนึ่งถึงสิบนะปุ่น ถ้ายังไม่พอก็ต่อให้ถึงร้อย ใจเย็นๆ เจ็บแค่นิดเดียวเองยอมๆ ไปเถอะ เพื่อภาพพจน์นางเอกที่แสนดะ… ว้าย!’ นางฟ้าร่างจ้อยติดปีกสีขาวพูดยังไม่ทันจบประโยคก็ต้องร้องออกมาเพราะถูกคทาหัวกะโหลกของจอมมารร่างจ้อยติดปีกสีดำตีเข้าที่ศีรษะ ‘เจ็บแค่นิดเดียวเองยอมๆ ไปเถอะ แล้วร้องทำไมล่ะแก’ ว่าก่อนจะเปลี่ยนเป้าหมายไปโจมตีที่ปีกเล็กๆ สีขาวบริสุทธิ์บ้าง

และในจังหวะเดียวกับที่นางฟ้าถูกตีจนปีกหักมโนสำนึกฝ่ายดีก็ขาดผึง! ปุณยวีร์เบนหน้าหลบจนฝ่ายที่เงื้อมือออกสุดแขนกะจะตบเข้ามาเต็มแรงเสียการทรงตัวล้มลงเค้เก้บริเวณบันไดขึ้นลงรถบัสนั่นเอง “กรี๊ดดด… นังล่ามหน้าจืดแกกล้าทำกับฉันแบบนี้งั้นเหรอ” ภาวิณีกรีดเสียงเคียดแค้นขณะพยายามทรงตัวลุกขึ้นแล้วกระโจนเข้ามาอีกครั้ง หากยังไม่ทันถึงตัวคนที่อดทนอดกลั้นมานานก็ส่งหมัดเปรี้ยงเข้าไปที่ใบหน้าฉาบด้วยเมคอัพหนาๆ นั้นเต็มแรง

“จะ จะ จมูกฉัน กรี๊ดดด…” ประชาสัมพันธ์สาวกรีดเสียงลั่นอีกครั้งหลังจากยกมือที่กุมจมูกออกมาแล้วพบว่ามันเต็มไปด้วยสีแดงฉานและกลิ่นคาวเลือด “กะ กะ แก๊…” จากที่เคยสวมวิญญาณผู้หญิงบ้า มาคราวนี้เจ้าหล่อนกลายพันธ์เป็นหมาบ้าระห่ำโผนกระโจนเข้ามา ปุณยวีร์เบี่ยงตัวหลบแต่อีกฝ่ายก็ยังไวกระชากผมเธอจนหนังหัวแทบหลุด หากเธอก็ไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายได้ใจนานรีบใช้ประโยชน์จากส้นแหลมๆ ของรองเท้าที่สวมอยู่กระแทกไปบนหลังเท้าของคนที่ยืนซ้อนอยู่ด้านหลังเต็มแรง จนฝ่ายนั้นทนความเจ็บปวดไม่ไหวจำต้องปล่อยมือออกจากผมแล้วทรุดตัวลงกุมเท้าตัวเองแทน

“โอ๊ยยย… พี่ตั้มช่วยวิด้วย วิเจ็บจนจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว อ๊ายยย… นังล่ามหน้าจืดชอบใช้กำลัง อีผู้หญิงหยำฉ่าชอบแย่งผัวชาวบ้าน แม่แกคงร่านสวาทมั่วผู้ชายไปทั่วสินะนิสัยมันถึงถ่ายทอดทางพันธุกรรม สันดานแกถึงได้แร่ดวันๆ ไม่ทำอะไรดีแต่วิ่งแท่ดๆ ยั่วผัวชาวบ้าน…” พอรู้ตัวว่าสู้ด้วยพละกำลังไม่ไหวภาวิณีก็หันมาใช้วาจาฟาดฟันบ้าง

ปุณยวีร์กัดฟันกรอด… บังอาจเล่นของสูงลามปามไปถึงบุพการีกันเยี่ยงนี้อย่าหวังเลยว่าชีวิตหล่อนจะสงบสุข นังภาวิณี! “แค่ดั้งเบี้ยวมันยังไม่สำนึกใช่ไหม ได้! ฉันจะสงเคราะห์ให้ปากเน่าๆ ของหล่อนพ่นคำพูดโสมมออกมาไม่ได้อีก” เธอย่างสามขุมตรงเข้าไปหาคนที่นั่งกุมเท้าอยู่ตั้งใจจะกระทืบซ้ำให้จมดินเอาให้สาสมกับวาจาต่ำๆ ที่ฝ่ายนั้นพ่นออกมา

“ปุ่น! พี่ขอเถอะ พอได้แล้ว อย่ามีเรื่องกันอีกเลย” เสียงห้าวดังขึ้นห้ามพร้อมกันนั้นหัวไหล่ทั้งสองข้างก็ถูกยึดไว้ด้วยมือแข็งราวกับคีมเหล็ก ล่ามสาวหันขวับดวงตาคู่กลมโตลุกวาบเมื่อเห็นว่าคนที่เข้ามาขวางเธอไว้เป็นใคร

“ปล่อยปุ่นเดี๋ยวนี้นะพี่ปืน ไม่ต้องมายุ่ง ปุ่นจะสั่งสอนให้ผู้หญิงคนนี้รู้สำนึกเสียทีว่าปุ่นเป็นใคร มันเป็นใครจะได้ไม่สะเออะมายุ่งกับปุ่นอีก เหอะ! คิดว่าผัวหล่อนเป็นใคร เอเลี่ยนหล่ออลังจากดาวไหนฉันถึงต้องลดตัวลงไปแย่ง มีผัวเฮงซวยหน้าม่อไปทั่วแบบนั้นก็ติดปลอกคอล่ามโซ่ฝังชิพไว้สิเผื่อมันจะอยู่ในโอวาสอยู่แต่กับบ้านแก้คันให้หล่อนคนเดียว เอ๊ะ! พี่ปืนปล่อยปุ่นเดี๋ยวนี้นะ ปุ่นบอกให้ปล่อยไง ปุ่นจะกะเทาะกะโหลกหนาๆ ของยัยชะนีบ้าผัวออกมาดูว่าข้างในมันมีสมองบ้างไหมถึงได้คิดได้พูดแต่อะไรต่ำๆ แบบนี้ หนอย! เที่ยวว่าคนอื่นว่าคันเป็นหล่อนเองไม่ใช่เหรอที่คันจนต้องทำตัวเป็นสินค้าทดลองให้ผู้ชายชั่วๆ ฟันจนสึก แล้วเป็นไงล่ะสันดานหื่นไม่เลิกแบบนั้นมันก็เลี่ยนจนต้องแล่นไปหาสินค้าตัวใหม่สิ แต่เสียใจนะฉันเป็นคนมีศักดิ์ศรีพอไม่ใช่สินค้าทดลองของใคร เพราะฉะนั้นอย่าเหมารวมว่าฉันเป็นพวกเดียวกับเธอ แล้วก่อนจะว่าคนอื่นก็หัดชะโงกดูเงาหัวของตัวเองบ้างว่าเป็นยังไง สึกหรอเน่าเฟะมากแค่ไหนได้เวลายกเครื่องใหม่หรือยัง เผื่อว่าผัวจะอยู่ติดบ้านไม่ร่านสวาทสร้างความรำคาญไปทั่ว เหอะ! กล้าพูดนะว่าฉันอยากแย่งผัวเธอ จะบอกให้เอาบุญนะว่าผู้ชายซังกะบ๊วยแบบนั้นน่าขยะแขยงยิ่งกว่ากะจั๊วอีก แค่พูดด้วยฉันก็แทบอาเจียนออกมาแล้ว”

“กรี๊ดดด… แก๊… นะ นังล่ามหน้าจืด กะ แกกล้าด่าฉันกับพี่ตั้มงั้นเหรอ” คนที่ด่าคนอื่นก่อนฉอดๆ ครั้นพอถูกด่ากลับก็ทนไม่ไหวพร่ำปากคอสั่นทั้งยังพยายามจะลุกขึ้นมาเอาคืนโดยไม่เจียมสังขารตัวเอง

“พอได้แล้วน่าวิ เดี๋ยวก็เจ็บหนักกว่าเก่าหรอก” หญิงสาวที่อยู่ใกล้ๆ ร้องห้ามและยึดร่างสะบักสะบอมเอาไว้

“ไม่ต้องห้ามมัน ปล่อยมันมา คนแบบนั้นใช้ไม้อ่อนไม่ได้หรอกมันต้องเจอของแข็งถึงจะสำนึก” ปุณยวีร์บอกเสียงกร้าว

“พอได้แล้วน่าปุ่น ฝ่ายนั้นน่วมไปหมดแล้ว อย่ามีเรื่องกันอีกเลยพี่ขอร้อง” ก้องภพยังยึดหัวไหล่เอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย

หากวินาทีที่จอมมารร้ายเผยร่างจริงระเบิดพลังออกมาไม่มีกั๊กอย่างตอนนี้ใครหน้าไหนก็อย่าบังอาจมาขวาง “เอ๊ะ! พี่ปืน ปุ่นบอกหลายครั้งแล้วนะว่าให้ปล่อยไม่รู้เรื่องรึไง อยากโดนอย่างยัยนั่นใช่ไหม นี่แน่ะ!” สะบัดตัวออกจากการเกาะกุมแถมท้ายด้วยปล่อยหมัดเสยปลายคางคนที่เข้ามาจุ้นเต็มแรง

“โอ๊ย! เฮ้ย! ยัยเด็กบ้าชกพี่ทำไมเนี่ย” วิศวกรหนุ่มผิวเข้มสบถเสียงดัง

“พูดดีๆ แล้วไม่ฟังเองนี่” ยัยเด็กบ้าโต้กลับเสียงห้วน “ว่าไงล่ะยัยชะนีร้องผัว ผัวๆ หมดฤทธิ์หมดเดชรึยัง ถ้ายังก็ลุกขึ้นมาสู้กันอีกสักตั้ง จะได้รู้สักทีว่าใครเป็นใคร” เดินกร่างเข้าใส่ประชาสัมพันธ์สาวที่นั่งหมดสภาพให้เพื่อนประคองอยู่กับพื้น

“ปุ่น พอได้แล้วครับ พี่ขอร้อง” เสียงห้าวทุ้มดังขึ้นห้ามพร้อมๆ กับข้อมือเล็กถูกยื้อยุดเอาไว้

“ฮึ่ย! จะขอร้งขอร้องอะไรนักหนา พูดเป็นอยู่คำเดียวรึไง ทีนังชะนีนั่นมันมาชี้หน้าด่าปุ่นปาวๆ ตบปุ่นจนหน้าหันมีใครขอร้องให้มันหยุดบ้างไหม ใครใช้ให้มันทำปุ่นตบะแตกล่ะ ปล่อยปุ่นเดี๋ยวนี้นะพี่ปืน อยากเจ็บตัวอีกหรือไง”

“พี่…”

“ยังไม่ปล่อยอีก นี่แน่ะ!” ใช้ศอกแหลมๆ ถองไปเต็มแรง

“อุก!”

“ซวยแล้วไง ไอ้ปุ้น”

‘ฮะ! ใครซวยนะ ปุ้น… พี่ปุ้นงั้นเหรอ ไม่ใช่พี่ปืนหรอกเหรอ’ คนตบะแตกถามตัวเองในใจ ลมปราณที่เคยแตกซ่านค่อยๆ กลับมาผสานรวมกัน แล้วสติสตังที่เริ่มเข้ารูปเข้ารอยก็สั่งให้เธอหันหลังกลับไปเพื่อที่จะพบว่าคนที่ถูกถองจนจุกพูดไม่ออกนั้นเป็น…

“พี่ปุ้น!”

TBC...



พนาศิลป์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 22 ก.ค. 2557, 16:20:41 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 14 ส.ค. 2557, 05:37:06 น.

จำนวนการเข้าชม : 1505





<< ตอนที่ 5 (ต่อ)   7/1 >>
ตามหาฝัน 23 ก.ค. 2557, 13:47:18 น.
รออ่านต่อค่ะ สนุกน่ารักอ่ะ


Zephyr 2 ธ.ค. 2557, 12:23:32 น.
นั่น ซวยละ ถองใครไม่ถองมาถองพี่ที่รักยิ่ง


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account