แต่เบื้องปางบรรพ์
แต่เบื้องปางบรรพ์ เป็นนิยายรัก แนวรักข้ามภพ มีกลิ่นอายของความลึกลับ น่าค้นหา ผสมผสานกับความรักอันมั่นคงของตัวละคนในเรื่อง

นัทธิ์ - หนุ่มเจ้าของธุรกิจวางระบบเครือข่ายและอินเตอร์เน็ต ที่ไม่เคยชายตามองหญิงใด เพราะเชื่ออยู่เสมอว่า เขามีคนที่รอคอยอยู่ แม้ว่าในสายตาคนอื่น มันจะกลายเป็นเรื่องน่าขำ แต่เขาก็ยังมุ่งมั่นกับการรอคอยผู้หญิงคนนั้น

โมก - หนุ่มรูปหล่อ ร่ำรวย และเสเพล ที่จำใจต้องแต่งงานเพราะความรักสนุกของตน แม้ใจหนึ่งจะพึงพอใจในรูปร่างหน้าตาและฐานะของภรรยาที่ทัดเทียมตน ทว่าเขายังไม่แน่ใจว่านั่นคือความรัก เขาไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่า...รักคืออะไร...

พุดแก้ว - หญิงสาวที่รักเดียวใจเดียว เธอเฝ้าหลงรักเพื่อนพี่ชายอยู่เงียบๆ ไม่กล้าปริปากบอกให้เขารู้ เพราะรู้ว่าเขาไม่มีวันหันมามองเธอ เธอ...ที่เขาเห็นเป็นเพียงน้องสาวเท่านั้น และเธอ...ผู้ไม่ใช่ ผู้หญิงคนนั้นที่เขาเฝ้ารอ...

ลษิดา - ความสุขของเธอคือการได้ครอบครอง และเป็นที่หนึ่ง ทว่า...นั่นคือความรักหรือเปล่า เธอเองก็ไม่รู้ เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความรู้สึกที่มีให้เขา...เรียกว่าอะไร...อย่างเดียวเท่านั้นที่สนใจคือ...เธอจะไม่ยอมเป็นรองใคร!

เก็ตถะหวา - เธอถูกจองจำด้วยความรู้สึกผิดที่มีต่อผู้ชายสองคน คนหนึ่ง...เป็นคนที่เธอรัก และอีกคน...เป็นคนที่รักเธอ คำสัญญากลายเป็นเชือกร้อยรัดเธอไว้ มิให้จากไปไหน...

ความรัก โลภ โกรธ หลง แต่ปางก่อน ชักนำให้พวกเขาทั้งหมดกลับมาเจอกันอีกครั้ง เพื่อแก้ไขความผิดแต่หนหลัง...ความขับข้องหมองใจที่ติดตามมาจะได้หมดไปเสียที...

Tags: รัก, ข้ามภพ, ลึกลับ, โรแมนติก

ตอน: บทนำ

กลับมาอีกครั้งหลังจากหายไปนาน พร้อมเรื่องใหม่ค่ะ อย่าเพิ่งบ่นกันนะคะว่า เรื่องเก่าที่โพสต์ค้างไว้ยังไม่ไปไหน ทำไมมาเปิดเรื่องใหม่เสียแล้ว คงต้องขอแจ้งไว้ตรงนี้ว่า ของดโพสต์ "พยากรณ์เสี่ยงรัก" จนกว่าจะเขียนเรื่องนี้ (แต่เบื้องปางบรรพ์) จบค่ะ แต่ยังไงก็ได้อ่านกันแน่นอนทั้งสองเรื่อง อ่านแล้วมีข้อติ-ชมอะไร ก็เชิญตามสะดวกค่ะ ผู้เขียนน้อมรับฟังเสมอค่ะ

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
บทนำ

รั้วสังกะสีสูงที่กั้นรอบพื้นที่ริมทางหลวงหมายเลข 1096 นั้น เรียกความสนใจของคนที่ตั้งใจจะขับรถชมวิวยามบ่ายจวนเย็น จนทำให้ต้องชะลอรถแอบเข้าไหล่ทางก่อนจะลงมาเดินดูด้วยความอยากรู้แม้จากสายตาจะมองเห็นก็เพียงรั้วสังกะสีที่บดบังทัศนียภาพภายในเสียหมดสิ้นก็ตาม

ไซต์งานก่อสร้างยั่วความสนใจของนัทธิ์เสมอ เมื่อมันหมายถึงโอกาสในการเติบโตของบริษัทรับวางระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ตของเขา เขาฝันว่าสักวันบริษัทเล็กๆ ของเขาจะได้รับความไว้วางใจจากเชนโรงแรมห้าดาวจนสามารถเข้าร่วมประมูลโครงการวางระบบเครือข่ายอย่างเช่นบริษัทยักษ์ใหญ่ในวงการได้ นัทธิ์จึงทุ่มเทให้กับงานที่ทำทุกชิ้น แม้บางโครงการจะเป็นเพียงโครงการเล็กๆ ก็ตาม แต่มันคือส่วนหนึ่งของการสร้างพอร์ตของบริษัท และสำหรับเขางานทุกชิ้นคือความท้าทาย เป็นการเพิ่มประสบการณ์ในการทำงาน เพราะงานแต่ละชิ้นก็มีปัญหาและอุปสรรคต่างๆ กันไป ทุกครั้งที่ได้ย้อนกลับไปมองปัญหาที่พบระหว่างการทำงาน มันก็ยิ่งย้ำถึงการเจริญเติบโตไปทีละก้าวของบริษัท แม้จะเป็นก้าวเล็กๆ แต่ก็เป็นก้าวที่เต็มไปด้วยความมั่นคง

นัทธิ์รู้...ความฝันของเขาอยู่ไม่ไกล ขอเพียงเขายังคงมุ่งมั่นที่จะก้าวเดินต่อไปเรื่อยๆ

ดูจากความกว้างใหญ่ของพื้นที่และจุดที่มันตั้งอยู่แล้ว นัทธิ์เชื่อเหลือเกินว่าน่าจะเป็นการก่อสร้างโรงแรมหรือรีสอร์ตระดับห้าดาว พื้นที่บริเวณนี้มีทิวทัศน์สวยงาม ด้วยว่าเป็นป่าเขาที่สมบูรณ์ มีทั้งน้ำตกและธารน้ำไหล เขายืนมองพลางครุ่นคิดในใจ...ถ้าบริษัทของเขาประมูลงานนี้ได้ก็คงจะดีไม่น้อย อาจจะฝันใหญ่ไปสักหน่อย สำหรับบริษัทที่เพิ่งเปิดมาได้แค่สองปี แต่เขาก็อยากจะฝัน!

ลมเย็นที่พัดมาวูบหนึ่งทำให้นัทธิ์นิ่วหน้า มันไม่ได้เย็นนักหนาอะไรหรอก แต่จู่ๆ มันก็พัดมานี่แหละ ที่ทำให้เขาแปลกใจ แต่เมื่อเหลียวมองรอบกายก็ไม่ยักเห็นอะไรผิดแปลกไป ท้องฟ้าก็ยังสดใสเหมือนเมื่อตอนที่ขับรถออกมาจากที่พัก ไม่มีเค้าเมฆฝนให้เห็นแม้แต่น้อย

นัทธิ์ปัดความสงสัยทิ้งไปแล้วเดินกลับไปขึ้นรถ เขายืมรถของโมก...เพื่อนร่วมคณะจากรั้วมหาวิทยาลัยเดียวกัน ที่ยังคงคบหากันมาจนบัดนี้แม้จะเรียนจบทำงานกันมาหลายปี เขาเดินทางมาเชียงใหม่ก็เพื่อมาร่วมงานแต่งงานของเพื่อนคนนี้

งานแต่งงานของโมกมีขึ้นตั้งแต่เมื่อวานที่โรงแรมใหญ่กลางเมืองเชียงใหม่ นัทธิ์ไปร่วมเป็นสักขีพยานพร้อมกับแขกเหรื่อมากมายทั้งเพื่อนฝูงของเจ้าบ่าวเจ้าสาว ตลอดจนแขกเหรื่อชั้นผู้ใหญ่มีหน้ามีตาประจำจังหวัด เสร็จงานแล้วนัทธิ์ก็ตัดสินใจอยู่ต่อเพื่อถือโอกาสพักผ่อน เขาจึงขอให้โมกหาที่พักให้ โชคดีที่พุดแก้ว...น้องสาว หรือเรียกให้ถูก ลูกผู้น้องของโมกเปิดรีสอร์ตเล็กๆ อยู่ที่แม่ริม

นัทธิ์รู้จักและเคยเจอพุดแก้วหลายครั้ง ตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นนักศึกษา เพราะพุดแก้วเป็นรุ่นน้องมหาวิทยาลัยเดียวกันทว่าคนละคณะ เธอเป็นหญิงสาวน่ารักเข้าขั้นสวยจนเพื่อนของเขาและโมกหลายคนพยายามตามจีบ แต่พุดแก้วไม่เคยสนใจใครเป็นพิเศษ

พุดแก้วก็อาจจะเหมือนเขาที่รู้สึกเหมือนยังรอคอยใครบางคนอยู่ แม้จะมีใครหลายคนผ่านเข้ามาในชีวิตแต่ความรู้สึกก็บอกว่าคนๆ นี้ไม่ใช่คนที่เฝ้ารอ เมื่อไม่ใช่เขาก็ไม่อยากเสียเวลาไปกับคนที่รู้ว่าจะไม่มีวันเป็นคนที่มายืนเคียงข้างเขา เหตุนี้เองนัทธิ์จึงทุ่มเทและมุ่งมั่นกับการทำงาน ใช้เวลาทั้งหมดในการสร้างความมั่นคงให้กับบริษัทที่เขาก่อตั้งขึ้นมาอย่างเต็มที่

ก่อนจะออกรถนัทธิ์หันไปมองไซต์งานก่อสร้างอีกครั้ง...ที่นี่อยู่ไม่ไกลจากรีสอร์ตของพุดแก้วเท่าใด ไม่รู้ว่าเมื่อสร้างเสร็จมันจะมีผลกระทบกับรีสอร์ตของเธอหรือเปล่า...ชายหนุ่มคิดอย่างเป็นห่วงก่อนจะเข้าเกียร์และพารถเคลื่อนออกไป

เขาไม่ได้มีจุดมุ่งหมายที่ใดเป็นพิเศษ เพียงแต่อยากจะขับรถเล่นชมวิวทิวทัศน์ไปเรื่อย พุดแก้วแนะนำสถานที่เที่ยวที่น่าสนใจมาให้เหมือนกัน เพราะเส้นทางหลวงหมายเลข 1096 นั้นมีจุดท่องเที่ยวขึ้นชื่ออยู่หลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็นสวนกล้วยไม้ สวนผีเสื้อและแมลง ปางช้าง ฟาร์มงู น้ำตก ตลอดไปจนถึงม่อนดอยหลายแห่ง แต่เมื่อไม่ได้จำเพาะเจาะจงจะไปที่ไหน นัทธิ์จึงขับรถกินลมชมวิวอย่างสบายใจ กะว่าเจอที่ไหนอยากแวะก็ค่อยแวะ ไม่อย่างนั้นเขาก็คงขับไปจนกว่าจะเบื่อก็ค่อยวกกลับ

นัทธิ์เพลิดเพลินกับทิวทัศน์สองข้างทางจนกระทั่งเกือบลืมเวลา รู้ตัวอีกทีแดดจัดจ้าก็เริ่มราแสง นั่นเองเขาจึงเหลือบมองเวลาจากนาฬิกาข้อมือจึงได้รู้ว่าสี่โมงเย็นเข้าไปแล้ว มิน่าเล่านาฬิกาในตัวจึงร้องเตือนเหมือนจะประท้วงกลายๆ อาหารพื้นเมืองมื้อเที่ยงที่พุดแก้วจัดหาให้ย่อยไปกับระยะทางหลายสิบกิโลเมตรเสียแล้ว ชายหนุ่มตัดสินใจวกรถกลับ เขารอจนแน่ใจว่าไม่มีรถสวนมาจึงเปิดไฟเลี้ยวแล้วหักพวงมาลัยพารถหันหัวกลับไปทางที่ขับมา คิดว่าคงจะใช้เวลาไม่นานเท่าขามาก็คงถึงที่พัก ยังไงเสียก็น่าจะทันกินข้าวเย็นที่รีสอร์ตก่อนร้านอาหารจะปิดตอนสี่ทุ่มนั่นแหละ

เขาขับรถมาเรื่อยๆ แม้คราวนี้จะเร่งความเร็วกว่าตอนขามา แต่เมื่อขับมาได้พักใหญ่นัทธิ์ก็เกิดความรู้สึกแปลกประหลาดเมื่อสังเกตเห็นว่าทิวทัศน์บางช่วงบางตอนเหมือนภาพยนตร์ที่นำมาฉายซ้ำ นัทธิ์เริ่มจับสังเกตอย่างเงียบๆ เขาจำได้ว่าขับผ่านไซต์งานก่อสร้างที่แวะลงดูเมื่อขาไปได้สักพักก็จะถึงรีสอร์ตที่เขาพัก แต่นี่ทำไมขับมาตั้งนานแล้วก็ยังไม่เห็นวี่แววรีสอร์ตของพุดแก้วสักที

สิ่งที่สะดุดตาและสะดุดใจ...คือ หลังคาเรือนที่มีจั่วเป็นไม้แกะสลักไขว้กันอย่างที่เรียกว่ากาแล เขารู้สึกเหมือนขับผ่านเรือนที่เห็นเพียงหลังคาโผล่พ้นยอดไม้แบบนี้หลายหลัง แล้วทั้งหมดก็มีจั่วเป็นไม้ไขว้กันแบบนี้ทั้งสิ้น แต่แรกก็นึกว่าเป็นคนละหลัง หากเมื่อผ่านหลายครั้งเข้าความรู้สึกบางอย่างบอกชายหนุ่มว่ายอดหลังคาที่เห็นนั้นน่าจะเป็นเรือนหลังเดิม

ทว่ามันจะเป็นไปได้อย่างไรที่เขาจะขับผ่านเรือนหลังเดิมวนเวียนซ้ำแล้วซ้ำเล่าในเมื่อเขาไม่ได้เลี้ยวเข้าซอกซอยใด จะกลับรถก็หนเดียวตอนที่จะวกกลับรีสอร์ตเท่านั้น

บางทีเขาอาจจะตาฝาด...เรือนกาแลอย่างนี้ พบเห็นได้ทั่วไปเพราะเป็นสถาปัตยกรรมพื้นบ้านทางเหนือ นัทธิ์พยายามหาเหตุผลบอกตัวเอง แต่จนแล้วจนรอด...สังหรณ์บางอย่างที่กรุ่นอยู่ในความคิดก็คอยค้าน

สุดท้ายเมื่อยอมรับเสียว่าอาจจะหลงทาง นัทธิ์จึงตัดสินใจจอดรถเมื่อแลเห็นแต่ไกลว่าข้างหน้านั่นคือเรือนกาแลที่ซุกซ่อนอยู่หลังดงไม้ ที่ตรงนั้นมีต้นไม้ขึ้นแน่นขนัด...เยอะเสียจนมองแทบไม่รู้ว่าหลังแนวต้นไม้นั้นคือรั้วไม้ไผ่ขัดแตะที่กั้นอาณาบริเวณภายในได้อย่างมิดชิด ท้องฟ้าที่เริ่มสลัวลางเพราะแสงแห่งวันลาลับขอบฟ้ามาได้สักพักแล้วทำให้เขาต้องมองหาอยู่ครู่หนึ่งจึงเจอประตูเล็กๆ ที่ทำจากไม้ไผ่เช่นเดียวกันแนวรั้วยาว ประตูนั้นมิได้มีกลอนใดๆ จึงผลักออกได้อย่างง่ายดาย จะว่าไป...ก็น่าแปลกอยู่ที่บ้านชนบทในเชียงใหม่จะมีรั้วรอบขอบชิดเช่นนี้ ปกติมักจะเปิดโล่งมองเห็นใครไปมาได้สะดวก

ถ้าจะคะเนว่าเจ้าของบ้านรักความเป็นส่วนตัว ประตูไม้ไผ่นั่นก็น่าจะแน่นหนาหรืออย่างน้อยก็ลงกลอนไว้จากด้านใน แขกมาใครไปจะเข้าไปได้ก็ต่อเมื่อคนจากด้านในเปิดให้ แต่นี่ประตูไม้ไผ่นั้นถูกปิดงับไว้เฉยๆ ผลักนิดเดียวก็เปิดเข้าไปได้

นัทธิ์ชะโงกมองเข้าไปด้านใน เห็นทางเดินโรยกรวดจากหน้าประตู สองข้างทางเดินคือต้นลิ้นจี่ที่มีใบใหญ่เรียวสีเขียวเข้ม ปลายยอดเริ่มมีผลอ่อนห้อยเป็นพวงระย้าย้อย...ถ้าหากว่าสุกเมื่อไรคงเป็นสีแดงสวยตัดกับใบดกเข้มสีเขียว

“มีใครอยู่ไหมครับ...” นัทธิ์ใช้เสียงนำเพราะกลัวว่าเจ้าของบ้านจะหาว่าเขาบุกรุก “ผมขอรบกวนเวลาสักนิด ขอถามทางกลับที่พักหน่อยนะครับ" เขาบอกจุดประสงค์ของตนเสร็จสรรพ

สิ้นเสียงคำถาม เท้าทั้งสองก็พาเขามายังลานกว้างหน้าเรือนไม้สีเข้มที่ดูทึบทึมท่ามกลางแสงโพล้เพล้ยามเย็น แสงไฟส่องลอดมาจากในเรือนดูวับแวมคล้ายคนข้างในจุดตะเกียงมากกว่าจะเป็นแสงจากหลอดไฟที่ใช้ไฟฟ้า เมื่อก้าวสู่ลานกว้างนั้นนัทธิ์จึงได้กลิ่นหอมฟุ้งของดอกไม้ชนิดหนึ่งตลบอบอวลไปทั่วบริเวณ กลิ่นหอมที่เขารู้สึกเคยคุ้นอย่างประหลาด...พยายามนึกว่าเป็นกลิ่นดอกไม้ชนิดใด ก็นึกไม่ออกทั้งที่แน่ใจว่าตนเองรู้จักแน่นอน

เมื่อมองไปตรงตีนบันไดก่อนจะขึ้นเรือนจึงเห็นต้นไม้ชนิดหนึ่งสูงสักเมตรกว่า ลักษณะเป็นพุ่ม ใบเขียวมัน มีดอกสีขาว ลักษณะดอกคล้ายกุหลาบตรงที่เป็นกลีบซ้อนกันหลายชั้น ทว่าที่น่าตื่นตาตื่นใจคือต้นไม้ต้นนั้นออกดอกพราวแทบทั้งต้น นี่เองคือที่มาของกลิ่นหอมดังกล่าว นัทธิ์รำพึงกับตนเองอย่างสงสัย

“ต้นอะไรเนี่ย...ดอกดกจริงๆ”

นึกไม่ถึงจริงๆ เมื่อมีเสียงสตรีตอบมาจากบนเรือน แม้จะพูดโดยไม่มีหางเสียงทว่าท้ายคำที่ทอดยาวทำให้นัทธิ์รู้สึกได้ถึงความอ่อนหวานที่เจืออยู่ในน้ำเสียง

“เก็ตถะหวา...”

“ขอโทษนะครับที่ถือวิสาสะเดินเข้ามา”

นัทธิ์รีบขอโทษขอโพย เมื่อเห็นว่าเริ่มเข้าสู่ยามวิกาลแล้ว ซ้ำเจ้าของเรือนยังเป็นผู้หญิงอีกด้วย

“ดอกไม้ที่เจ้าพะ...เอ่อ คุณ ถามชื่อ...เก็ตถะหวา”

ดูเหมือนสตรีเจ้าของเรือนยังคงติดใจอยู่ที่เรื่องดอกไม้ นัทธิ์พยายามเขม้นมองขึ้นไปบนเรือน แต่จากแสงไฟที่ริบหรี่เหลือเกินนั้นทำให้เขามิอาจแลเห็นใบหน้าสตรีผู้นั้นได้ชัดเจน ทว่าเสียงของเธอนั้นกังวานใสน่าฟังเหลือเกิน...

“เก็ตถะหวา...หรือครับ”

นัทธิ์ทวนชื่อนั้นด้วยเสียงแปร่งปร่า วูบหนึ่งเขาคิดถึงใครบางคนที่ชื่อเดียวกันนี้ขึ้นมาอย่างแรงกล้า แล้วก็ต้องแปลกใจตนเองเมื่อตระหนักว่า เขาไม่เคยรู้จักใครสักคนที่ใช้ชื่อนี้ ว่ากันตามตรงนี่เพิ่งจะเป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินชื่อดังกล่าว เสียงสตรีคนเดิมแปลชื่อภาษาพื้นเมืองเป็นภาษากลางให้ฟัง

“พุดซ้อน...คุณอาจจะชินกับชื่อนี้มากกว่า”

“อ๋อ...”

แม้จะร้องเช่นนั้น ทว่านัทธิ์รู้ดีว่ามันเป็นแค่การรับคำไปอย่างนั้นเอง คนทำงานด้านไอทีอย่างเขา ไม่มีเวลามาสนใจชื่อดอกไม้หรอก ฉะนั้นจะชื่อภาษากลางหรือภาษาถิ่นเขาก็ไม่เคยได้ยินทั้งนั้น ถึงอย่างนั้นก็ต้องยอมรับว่าชื่อ ‘เก็ตถะหวา’ คุ้นใจอย่างบอกไม่ถูก จะว่าเคยได้ยิน...ก็ไม่ใช่ แต่พอได้ยิน...หัวใจเหมือนอุ่นขึ้นอย่างประหลาด

และท่ามกลางความอุ่นหวาน คือ...รอยเศร้าจางๆ

แล้วเมื่อนึกขึ้นได้ถึงเหตุที่เดินเข้ามาจนจะถึงเรือนกาแลหลังนี้ นัทธิ์จึงรีบบอกจุดประสงค์ด้วยกลัวว่าเจ้าของบ้านจะหาว่าเขาบุกรุกยามวิกาล...แม้จะยังไม่มืดค่ำดีนัก แต่แสงบนฟ้าที่เหลือน้อยลงทุกทีก็ทำให้อีกฝ่ายเข้าใจผิดได้ง่าย อีกทั้งฝ่ายนั้นยังเป็นสตรีเสียด้วย

“ขอโทษนะครับที่เข้ามาถึงนี่ ผมหากริ่งไม่เจอ ตะโกนเรียกก็ไม่มีใครขานรับ เลยเดินเลยมาถึงด้านใน”

“ไม่มีใครอยู่หรอกเจ้า เขาอยู่กันอีกเรือน คุณมีอะไรให้ช่วยหรือเปล่า?”

“ผมคิดว่าผมหลงทาง” นัทธิ์บอกพลางเกาหัวแกรก จนบัดนี้เขาก็ยังไม่เข้าใจว่า ตนหลงได้อย่างไรในเมื่อไม่ได้เลี้ยวเข้าซอกซอยใดๆ เพียงแต่ขับรถตรงไปเรื่อยๆ แต่ทำไม...มันไปไม่ถึงที่พักเสียที แถมทิวทัศน์ข้างทางก็ดูซ้ำๆ เหมือนเขาขับผ่านแล้วผ่านอีก “ผมจะกลับที่พัก...ที่พุดแก้วรีสอร์ต ครับ คุณรู้จักไหม...พอจะบอกทางผมได้ไหมครับ? ”

“พุดแก้ว...อีกนิดเดียวก็ถึงแล้วเจ้า”

“จริงหรือครับ...โธ่!”

“จริงเจ้า แค่เจ้า...เอ่อ คุณขับรถพ้นโค้งข้างหน้านี่ก็ถึงแล้ว”

“ขอบคุณมากครับ ถ้างั้นผมขอตัวนะครับ ขอโทษอีกครั้งที่ถือวิสาสะเดินเข้ามาถึงหน้าบ้านแบบนี้”

“ไม่เป็นไรเจ้า เรือนหลังนี้ต้อนรับทุกคนแหละเจ้า”

เสียงนุ่มนวลอ่อนหวานนั้นยิ่งฟังก็ยิ่งเสนาะหู นัทธิ์พยายามเขม้นมองฝ่าความสลัวลาง ทว่ามองเห็นเพียงชายซิ่นของสตรีที่ยืนตรงหัวบันได ซิ่นตีนจกที่ทอลวดลายละเอียดยิบ...งดงาม

เขาเอ่ยขอบคุณอีกครั้ง ก่อนจะหันหลังเดินกลับไปทางเก่า นัทธิ์เหลือบมองดอกไม้สีขาวที่ดูโพลนท่ามกลางความมืดที่คืบคลานเข้ามา จดจำชื่อไว้ในใจ...เก็ตถะหวา... เสียงเสนาะหูของสตรีเจ้าของเรือนทำเอาเขาเกือบสะดุ้ง เมื่อเธอเอ่ยออกมาเหมือนเข้ามานั่งอยู่กลางใจกระนั้น

“เก็ตถะหวาบานเต็มต้น เด็ดไปบ้างก็ได้เจ้า”

“ครับ?” ถ้อยคำนั้นเป็นทั้งการรับคำและเป็นคำถามอยู่ในที

“ทิ้งไว้ก็แห้งเหี่ยวคาต้น บ่มีประโยชน์ สู้เอาไปวางข้างหมอนไว้ดมกลิ่นให้ชื่นใจ เผื่อจะทำให้ฝันดี”

นัทธิ์มองดอกไม้สีขาวกลีบซ้อนที่ดูกระจ่างกลางแสงสลัว กลิ่นหอมหวานกรุ่นกำจายไปทั่วทั้งบริเวณ จะว่าฉุนก็ฉุน...แต่ความฉุนนั้นเมื่อสูดดมเข้าไปก็มิได้ทำให้เวียนหัวหรือรำคาญใจแม้แต่น้อย กลับทำให้ชื่นใจเสียอีกไม่ว่า ท่าทางของเขาคงดูลังเลเสียกระมัง เสียงเสนาะหวานจึงเอ่ยอีกครั้ง

“เด็ดไปเถิดเจ้า”

ชายหนุ่มจึงเอื้อมไปเด็ดดอกไม้ที่เจ้าของเอ่ยอนุญาตให้เขาแล้ว ตอนแรกนัทธิ์เกรงว่าจะเด็ดยากเพราะกิ่งยังสด แต่ก็ต้องแปลกใจเมื่อแต่ละกิ่งที่เด็ดมานั้นหักเปาะง่ายดายราวกับมือเขาเป็นกรรไกรก็ไม่ปาน เขาเด็ดดอกพุดซ้อนมาสี่ห้าดอก พอสำหรับใส่แก้วน้ำตั้งไว้หัวเตียงคืนนี้ แม้เจ้าของจะอนุญาต แต่เขาก็ไม่อยากฉกฉวยจนเกินงาม

“ผมเอาแค่นี้ครับ มากไปก็ไม่รู้จะเอาไปไว้ไหน ผมคงพักอีกแค่คืนเดียว”

นัทธิ์เงยหน้าบอกเจ้าของเรือนที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม ไม่มีทีท่าว่าจะขยับเขยื้อนไปไหน เสียงหวานกังวานเอ่ยประโยคหนึ่งมาให้ชายหนุ่มแปลกใจ

“เดี๋ยวก็ได้กลับมาอีกเจ้า”

“อะไรนะครับ?” นัทธิ์ถามทั้งที่ได้ยินชัดเจน

“ขึ้นชื่อว่าเมืองเจียงใหม่ บ่มีไผมาครั้งเดียวหรอกเจ้า”

นัทธิ์ฟังแล้วก็หัวเราะในลำคอ ก็จริงอย่างที่เธอผู้นั้นว่า...เชียงใหม่เป็นเมืองท่องเที่ยว คนมาครั้งหนึ่งแล้วก็มักกลับมาอีกเป็นครั้งที่สองและสาม เพราะนอกจากเสน่ห์เมืองเหนือที่ทำให้คนประทับใจ สถานที่ท่องเที่ยวในเชียงใหม่ก็มีมากมายหลายแห่ง และครั้งนี้ก็ไม่ครั้งแรกที่นัทธิ์มาเชียงใหม่

เพียงแต่ครั้งก่อนๆ เขามาด้วยเรื่องงานเสียเป็นส่วนใหญ่

“ถ้าได้มาอีกเมื่อไร ผ่านมาทางนี้ถ้าหาบ้านคุณเจอ ผมจะแวะมาเยี่ยมครับ”

“เรือนหลังนี้ยินดีต้อนรับเสมอเจ้า”

นัทธิ์ส่งยิ้มให้สตรีเจ้าของเรือนที่จนแล้วจนรอด เขาก็มองไม่เห็นหน้าเนื่องจากฝ่ายนั้นยืนอยู่ใต้เงามืดของชายคาเรือนไม้ กระนั้นชายหนุ่มกลับรู้ว่าเธอยิ้มให้อยู่เช่นกัน เขาเดินกลับไปตามทางที่เดินมา อดรู้สึกหวิวๆ มิได้ เท้าทั้งคู่พาเขาเดินไปก็จริงแต่เหมือนใจเขายังอยู่ที่เดิม...ตรงต้นเก็ดถะหวาหน้าเรือนไม้ทรงกาแล

เก็ดถะหวา...นัทธิ์ก้มมองดอกไม้ในมือ แล้วอดไม่ได้ที่จะยกช่อเล็กๆ นั้นขึ้นดอมดม กลิ่นหวานของดอกไม้เหมือนจะเสียดลึกเข้าไปในความรู้สึก นัทธิ์เดินไปจนเกือบถึงประตู กำลังจะก้าวขาออกพ้นบริเวณที่เดินของเรือนทรงกาแลอยู่แล้วเมื่อฟ้าแลบเป็นทางยาวอยู่เบื้องบน แสงของมันสว่างจ้าอยู่ครู่หนึ่ง วินาทีนั้นเองที่หางตาชายหนุ่มเหลือบแลไปเห็นวัตถุอะไรบางอย่างสะท้อนแสงฟ้าแลบอยู่บนพื้นดิน เขาก้มลงหยิบ จากรูปลักษณะที่สัมผัสได้ด้านหนึ่งเป็นเหมือนตุ้มยอมแหลม และมีด้ามยาว

ปิ่นปักผม!

นัทธิ์มั่นใจว่าสตรีเจ้าของเรือนคงทำตกไว้ เขาตั้งท่าจะหันหลังกลับไปเพื่อนำไปคืนให้เจ้าของ แต่แล้วลมจากไหนไม่รู้ก็พัดโหมจนต้นลิ้นจี่สองข้างทางไหวเอนเหมือนมีมือที่มองไม่เห็นจับเขย่า ชายหนุ่มเงยขึ้นมองท้องฟ้าที่เพิ่งลับแสงตะวันไปไม่นานแล้วก็ต้องแปลกใจ เมื่อบัดนี้สีครามกลับแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงฉานละม้ายท้องฟ้ายามมีพายุ

แสงสว่างวาบขึ้นอีกครั้งก่อนตามมาด้วยเสียงครืนครานเหมือนใครสักคนบนฟ้ากำลังโกรธเกรี้ยว เห็นท่าแล้วจากที่คิดจะหันกลับจึงกลายเป็นเร่งฝีเท้าแทน ฝนเริ่มพรมเม็ดลงมา จากเม็ดใหญ่ๆ ห่างๆ ก็เริ่มหนักขึ้น ถี่ขึ้นจนเขาเปลี่ยนจากเดินเป็นวิ่ง

ทันที่เปิดประตูก้าวขึ้นนั่งหลังพวงมาลัย ฝนก็เทกระหน่ำลงมาเหมือนมีใครสักคนใช้ฝักบัวยักษ์รดน้ำลงมาอย่างนั้นแหละ ฝนตกหนักมากจนมองอะไรก็เป็นสีขาวไปหมด นัทธิ์สตาร์ตรถ ถึงอย่างไรเขาก็ต้องขับกลับไปให้ถึงรีสอร์ตให้ได้ เธอคนนั้นบอกแล้วนี่นาว่า...พ้นโค้งข้างหน้าไปก็ถึงแล้ว

นัทธิ์วางดอกไม้ที่เด็ดมาพร้อมปิ่นปักผมที่เก็บได้ลงบนเบาะข้างตัว คิดในใจว่าคงต้องกลับมาคืนเจ้าของวันหลัง จากนั้นจึงมุ่งความสนใจไปที่การขับรถ แม้จะเปิดที่ปัดน้ำฝนแล้วก็เหมือนจะไม่ช่วย เพราะเขายังมองไม่เห็นถนนเบื้องหน้าอยู่ดี นัทธิ์เปิดไฟหน้าและไฟท้ายเพื่อให้รถคันอื่นมองเห็นเขาก่อนจะเคลื่อนรถไปช้าๆ บนถนนที่มองเห็นไม่เกินระยะสามเมตร

แล้วก็จริงอย่างที่สตรีผู้นั้นว่าไว้...พอขับรถพ้นโค้งมาได้ไม่ทันไร แสงไฟสปอร์ตไลต์ที่ส่องป้ายขนาดใหญ่เขียนชื่อ พุดแก้วรีสอร์ต ก็ปรากฏอยู่เบื้องหน้า นัทธิ์ถอนใจออกมาอย่างยินดี เขาเลี้ยวรถผ่านเข้าประตูทางเข้ารีสอร์ต

แล้วก็อัศจรรย์ใจเมื่อพบว่าภายในรีสอร์ตนั้นมีฝนตกลงมาเพียงปรอยๆ มิได้โหมกระหน่ำราวพายุฤดูร้อนเหมือนอย่างด้านนอก นัทธิ์นำรถไปจอดไว้ตรงที่จอดรถส่วนตัวของเจ้าของรีสอร์ต ก่อนลงจากรถไม่ลืมหยิบดอกไม้และปิ่นปักผมติดมือไปด้วย

พุดแก้วยืนรออยู่ตรงล็อบบี้ ท่าทางเธอดูกระวนกระวายเดินเป็นหนูติดจั่น กระทั่งหันมาเห็นนัทธิ์เข้า ก็แทบจะวิ่งถลามาหา

“พี่นัทธิ์ไปไหนมา...พุดเป็นห่วงแทบแย่ โทรไปตั้งหลายครั้งพี่ไม่รับโทรศัพท์เลย”

นัทธิ์ยิ้มให้หญิงสาวที่เขาเอ็นดูเหมือนน้องสาวคนหนึ่ง เธอคงห่วงเขาจริงนั่นแหละ เพราะท่าทางจะเดินไปกลับหน้าล็อบบี้นี้มาเป็นชั่วโมงแล้ว ด้วยมีเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดพรายตรงสันจมูก

“พุดอย่าเพิ่งขำนะ” เขาพูดกลั้วหัวเราะ

“อะไรคะ?” พุดแก้วย้อนถามด้วยความสงสัย

“พี่หลงทางน่ะสิ ขับตั้งนานไม่ถึงสักที”

“พี่นัทธิ์ขับไปถึงไหนคะ?”

“ก็เกือบถึงทางแยกไปสะเมิงนั่นแหละ แต่พี่วกรถกลับมาแล้วขับตรงมาเรื่อยเลยนะ ไม่ได้เลี้ยวเข้าซอกเข้าซอย แต่ไม่รู้ทำไม...มันหลง!”

“แล้วนี่ทำยังไงคะถึงกลับมาถูก”

“ก็แวะถามทางเขาน่ะสิ” นัทธิ์ตอบพลางกระชับของในมือโดยไม่รู้ตัว พุดแก้วทำท่าจะถามอะไรอีก แต่ท้องของนัทธิ์เริ่มส่งเสียงประท้วง จนเขาต้องเอามืออีกข้างกุมไว้ “โอย...พี่หิวข้าว นี่กลัวจะกลับมาไม่ทันร้านอาหารนะ”

พุดแก้วกลั้นหัวเราะ มองชายหนุ่มตัวโตพลางส่ายหน้า

“ทันค่ะ นี่เพิ่งสองทุ่มครึ่งเอง พี่นัทธิ์อยากทานอะไร เดี๋ยวพุดไปสั่งให้”

“อะไรก็ได้จ้ะ ตอนนี้ช้างทั้งตัวพี่ก็กินไหว” นัทธิ์พูดติดตลก “เอ...ฝนที่นี่เพิ่งตกหรือว่าตกนานแล้ว ตอนพี่เลี้ยวรถเข้ามาเห็นตกปรอยๆ ยังแปลกใจว่า ผิดกันลิบลับกับข้างนอกโน่น นั่นอย่างกับพายุ มองทางแทบไม่เห็น”

“เปล่าจ้ะ ที่รีสอร์ตนี้ตกปรอยๆ อย่างนี้ได้สักสิบนาทีก่อนพี่นัทธิ์กลับเข้ามานี่แหละ”

“เอ๊ะ!” นัทธิ์อุทานเพียงแค่นั้น ก็เงียบไปเมื่อนึกขึ้นถึงคำพูดที่เคยได้ยินว่าฝนตกไม่ทั่วฟ้า เขาเอ่ยออกมาเหมือนรำพึงกับตัวเองมากกว่า “สงสัยจะตกไม่เท่ากันล่ะมั้ง”

“พี่นัทธิ์จะทานที่ห้องอาหารหรือว่าให้รูมเซอร์วิสไปส่งที่ห้องดีคะ”

พุดแก้วถามเมื่อเห็นว่าเพื่อนของญาติผู้พี่ตะลอนมาทั้งวันแล้ว อาจจะเหนื่อยและอยากอาบน้ำอาบท่าให้สบายใจก่อนค่อยรับประทานอาหาร

“ทานที่ห้องอาหารนี่แหละดีแล้ว แต่ขอพี่กลับไปที่ห้องสักแป๊บ ฝากพุดสั่งอาหารให้พี่ด้วยแล้วกัน พุดสั่งอาหารเก่ง...พี่จำได้”

พุดแก้วได้ยินประโยคนั้นแล้วก็รู้สึกใบหน้าร้อนผ่าว แก้มจะแดงหรือเปล่าไม่รู้แต่เธอรีบเมินไปทางอื่นด้วยกลัวว่าอีกฝ่ายจะจับความรู้สึกได้ ชายหนุ่มร่างสูงคงไม่รู้หรอกว่าพูดอะไรออกมา แต่แม้จะไม่รู้ตัวและคงจะไม่ได้แฝงความนัยพิเศษใดๆ พุดแก้วก็อยากเก็บเกี่ยวความรู้สึกดีๆ เอาไว้ในใจ...เงียบๆ คนเดียว

นัทธิ์ขอตัวกลับไปที่ห้องพัก พุดแก้วยืนมองตามหลังร่างสูงใหญ่อยู่ครู่หนึ่ง เธอจึงหมุนตัวเดินไปยังห้องอาหารของรีสอร์ต ลมรำเพยพัดเข้ามาวูบหนึ่งพร้อมหอบกลิ่นหอมหวานของดอกไม้บางชนิดเข้ามา หญิงสาวนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็นึกออก...

กลิ่นดอกเก็ตถะหวา...พุดซ้อนนี่นา...

พุดแก้วมองไปรอบๆ ด้วยความแปลกใจ เพราะรอบบริเวณรีสอร์ตไม่ได้ปลูกต้นไม้ชนิดนี้เลย จะมีก็แต่...

คุ้มแก้ว...เรือนไม้ทรงกาแลที่ตั้งอยู่ตรงปลายรีสอร์ต แต่ก็นับว่าไกลกันเหลือเกิน...ไกลเกินกว่าที่กลิ่นของดอกไม้ชนิดนี้จะขจรขจายมาถึง พุดแก้วละความสงสัยไว้เพียงนั้นเมื่อคร้านจะคิดหาเหตุผล สิ่งที่ควรทำคือไปจัดการเรื่องอาหารการกินให้กับคนที่หิวจนท้องแทบกิ่วดีกว่า เมื่อใครคนนั้นกลับมาจะได้ไม่ต้องรอนาน

---------------------------------------------------------------------------------------------------------
โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ
เนื้อเรื่องยังไม่ผ่านการพิสูจน์อักษรค่ะ




นภสร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 ก.ค. 2557, 11:27:57 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 16 ก.ค. 2557, 11:31:24 น.

จำนวนการเข้าชม : 962





   บทที่ ๑ >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account