แต่เบื้องปางบรรพ์
แต่เบื้องปางบรรพ์ เป็นนิยายรัก แนวรักข้ามภพ มีกลิ่นอายของความลึกลับ น่าค้นหา ผสมผสานกับความรักอันมั่นคงของตัวละคนในเรื่อง

นัทธิ์ - หนุ่มเจ้าของธุรกิจวางระบบเครือข่ายและอินเตอร์เน็ต ที่ไม่เคยชายตามองหญิงใด เพราะเชื่ออยู่เสมอว่า เขามีคนที่รอคอยอยู่ แม้ว่าในสายตาคนอื่น มันจะกลายเป็นเรื่องน่าขำ แต่เขาก็ยังมุ่งมั่นกับการรอคอยผู้หญิงคนนั้น

โมก - หนุ่มรูปหล่อ ร่ำรวย และเสเพล ที่จำใจต้องแต่งงานเพราะความรักสนุกของตน แม้ใจหนึ่งจะพึงพอใจในรูปร่างหน้าตาและฐานะของภรรยาที่ทัดเทียมตน ทว่าเขายังไม่แน่ใจว่านั่นคือความรัก เขาไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่า...รักคืออะไร...

พุดแก้ว - หญิงสาวที่รักเดียวใจเดียว เธอเฝ้าหลงรักเพื่อนพี่ชายอยู่เงียบๆ ไม่กล้าปริปากบอกให้เขารู้ เพราะรู้ว่าเขาไม่มีวันหันมามองเธอ เธอ...ที่เขาเห็นเป็นเพียงน้องสาวเท่านั้น และเธอ...ผู้ไม่ใช่ ผู้หญิงคนนั้นที่เขาเฝ้ารอ...

ลษิดา - ความสุขของเธอคือการได้ครอบครอง และเป็นที่หนึ่ง ทว่า...นั่นคือความรักหรือเปล่า เธอเองก็ไม่รู้ เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความรู้สึกที่มีให้เขา...เรียกว่าอะไร...อย่างเดียวเท่านั้นที่สนใจคือ...เธอจะไม่ยอมเป็นรองใคร!

เก็ตถะหวา - เธอถูกจองจำด้วยความรู้สึกผิดที่มีต่อผู้ชายสองคน คนหนึ่ง...เป็นคนที่เธอรัก และอีกคน...เป็นคนที่รักเธอ คำสัญญากลายเป็นเชือกร้อยรัดเธอไว้ มิให้จากไปไหน...

ความรัก โลภ โกรธ หลง แต่ปางก่อน ชักนำให้พวกเขาทั้งหมดกลับมาเจอกันอีกครั้ง เพื่อแก้ไขความผิดแต่หนหลัง...ความขับข้องหมองใจที่ติดตามมาจะได้หมดไปเสียที...

Tags: รัก, ข้ามภพ, ลึกลับ, โรแมนติก

ตอน: บทที่ ๑

สวัสดีค่า...มาช้าไปนิดสำหรับตอนต่อไปนะคะ พอดียุ่งๆ ค่ะ เร่งเขียนเรื่องนี้ด้วยค่ะ ต้องขอโทษด้วยนะคะถ้าหากพบเจอคำผิดหรือข้อผิดพลาดใดๆ เนื่องจากว่านิยายที่นำมาโพสต์นี้ยังไม่ได้ผ่านการปรู๊ฟใดๆ เลยค่ะ ผู้เขียนน้อมรับคำติ-ชมจากทุกท่านนะคะ ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

บทที่ ๑

เสียงเคาะประตูห้องทำให้นัทธิ์เงยหน้ามาจากจอคอมพิวเตอร์แล้วยิ้มรอเมื่อนึกรู้ว่ามารดาคงเข้ามาตามไปทานข้าวกลางวัน แม้จะเป็นวันเสาร์แต่นัทธิ์ก็ยังทำงาน...บริษัทของเขาหยุดวันเสาร์อาทิตย์ แต่เจ้าของอย่างเขาแทบจะไม่มีวันหยุด เพราะเขามักหอบงานกลับมาทำที่บ้านด้วยเสมอ นัทธิ์ถือว่าเวลาทุกนาทีมีค่าทั้งสิ้น แต่ก็ไม่ใช่ว่าเขาจะโหมทำงานจนไม่ยอมพักผ่อน บทที่สมองล้าจนคิดอะไรไม่ออก เขาก็วางทุกอย่างแล้วหาอะไรผ่อนคลายทำ ส่วนมากก็ไม่พ้นพาแม่ไปทานข้าว ซื้อของ ไม่ก็หาหนังดีๆ มาดูที่บ้าน

ทันทีที่ประตูเปิดออกร่างท้วมของสตรีวัยห้าสิบเศษก็ก้าวเข้ามา ใบหน้าประดับรอยยิ้มนั้นดูมีเมตตายิ่งนัก

“นัทธิ์ทานข้าวได้แล้วลูก วันนี้แม่มีของโปรดนัทธิ์ด้วย”

“แกงเขียวหวานเนื้อพริกขี้หนูเหรอครับ”

คนเป็นลูกถาม ที่เดาได้ไม่ใช่เพราะเขาชอบกินอยู่อย่างเดียวนี่หรอก แต่เพราะได้กลิ่นเครื่องแกงผสมผสานกับกลิ่นยี่หร่าโชยขึ้นมาถึงชั้นสองตอนที่เดินออกไปหยิบเอกสารในห้องนอนนั่นเอง

คุณนันทินีพยักหน้ารับก่อนเสริม

“มีโรตีด้วยนะ แม่ให้เด็กไปซื้อโรตีบังหนันมาให้นัทธิ์ทานกับแกงเขียวหวาน มะตะบะก็มีถ้าลูกไม่อิ่ม”

ร่างท้วมของคุณนันทินีมาหยุดยืนข้างโต๊ะทำงานบุตรชาย ปรายตามองหน้าจอคอมพิวเตอร์แวบหนึ่งอย่างไม่สู้สนใจนัก งานของบุตรชายอยู่นอกเหนือความเข้าใจของเธอ แม้ว่าคนเป็นบุตรจะเคยบอกเล่าให้ฟังถึงงานของเขา แต่คุณนันทินีก็ฟังอย่างเข้าใจเพียงแค่ครึ่งๆ กลางๆ จากจอคอมพิวเตอร์สายตาของคนเป็นแม่กวาดมองบนโต๊ะ ในมือของเธอมีผ้าขนหนูผืนบางๆ ชุบน้ำหมาด

ด้วยรู้นิสัยบุตรชายดีว่าไม่ชอบให้ใครมายุ่งวุ่นวายกับของบนโต๊ะทำงาน เธอจึงเป็นคนจัดการดูแลเช็ดทำความสะอาดโต๊ะทำงานของคนเป็นลูกด้วยตนเอง เพราะความเป็นแม่...ทำให้เอาใจใส่กับทุกเรื่องของลูกได้ดีกว่าคนอื่นๆ

ความจริงโต๊ะทำงานของนัทธิ์นอกจากคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะแล้วก็มีโคมไฟกับนาฬิกาตั้งโต๊ะอีกสองอย่างเท่านั้น เพราะพวกเครื่องเขียน ของใช้ต่างๆ ถูกเก็บใส่ลิ้นชักไว้หมด บุตรชายของเธอชอบความสบายตา คุณนันทินีใช้ผ้าขนหนูที่ถือติดมือมาด้วยเช็ดเบาๆ รอบโต๊ะทำงาน แล้วเธอก็สะดุดกับของชิ้นหนึ่งที่เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก

มันเป็นกล่องไม้ขนาดสามคูณหกนิ้ว มีฝาเปิดปิดได้ และขณะนี้ฝากล่องก็เปิดอ้าอยู่ ลักษณะเหมือนบุตรชายของเธอเพิ่งจะหยิบของข้างในออกมาดูแล้วลืมปิด กล่องไม่น่าสนใจเท่าของที่อยู่ในกล่อง...

ปิ่นปักผมทอง!

คุณนันทินีแอบดีใจเมื่อคิดเอาว่าบุตรชายอาจจะซื้อมาให้หญิงสาวคนพิเศษก็ได้ เธอเฝ้ารอเฝ้าลุ้นมาหลายปีให้ลูกได้เจอะเจอผู้หญิงที่เหมาะควรกับเขา แต่ความหวังก็ยังลางเลือนเหลือเกิน

“สวยดีนี่ลูก” เธอแกล้งหยั่งเชิง

“อะไรครับแม่?” นัทธิ์หันมามองพลางเลิกคิ้ว ก่อนจะอุทานเมื่อเห็นว่าสายตาของมารดาจับอยู่ที่ใด “อ๋อ...ปิ่นนั่นน่ะเหรอครับ”

“จ้ะ สวยดี ท่าทางเหมือนของเก่านะลูก”

“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับว่าเก่าหรือเปล่า”

“อ้าว! ตอนซื้อมาคนขายเขาไม่ได้บอกเหรอ?” คุณนันทินีถามอย่างแปลกใจ ก็ปกติคนจะซื้อจะขายของก็ต้องบอกถึงที่มาและมูลค่าของสินค้าก่อนทั้งนั้น

“ผมไม่ได้ซื้อมาครับ”

คำตอบของนัทธิ์ทำให้ผู้เป็นมารดามองเขาอย่างไม่เข้าใจ นัทธิ์ยิ้มละความสนใจงานตรงหน้าแล้วหันมาตอบมารดา

“ผมเก็บได้ครับ ตอนที่ไปงานแต่งไอ้โมกผมยืมรถมันขับเล่น แล้วเกิดหลงทางไปเจอบ้านผู้หญิงคนนี้เข้า ตอนขากลับออกมาเหลือบเห็นปิ่นตกอยู่ตรงหน้าประตู เก็บมาแล้วว่าจะเอาไปคืน ฝนก็ดันตกเสียหนัก วิ่งฝ่าฝนเข้าที่ตัวบ้านไม่ไหวเลยหยิบติดมาด้วย ตั้งใจว่ามีโอกาสผ่านแถวนั้นก็จะแวะเอาไปคืนเขาครับ แต่ตั้งแต่ที่ไปเชียงใหม่ครั้งนั้นก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะได้ขึ้นไปอีกเลย เมื่อกี้หยิบมาดูยังนึกเสียใจว่าน่าจะวิ่งเอาไปคืนเขาเสียตั้งแต่วันนั้น ผมเลยกลายเป็นขโมยไปเลยทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจ”

ท้ายประโยคนัทธิ์รำพึงเหมือนบ่นตัวเองมากกว่า

“คิดมากน่า...” คุณนันทินีตบบ่าบุตรชายปลอบโยน “เราไม่ได้คิดจะขโมยนี่ มีโอกาสไปเชียงใหม่อีกเมื่อไรก็เอาติดไปด้วย เอาไปคืนเจ้าของเขาซะ”

คุณนันทินีค่อยๆ บรรจงหยิบปิ่นปักผมที่นอนอยู่ในกล่องขึ้นมาพลิกดู แล้วเธอก็ครางออกมาด้วยพิศวงในฝีมืออันประณีต ลวดลายบนหัวปิ่นนั้นละเอียดอ่อนช้อยสวยงามทั้งฝังอัญมณีเอาไว้ด้วย สายระย้าที่ห้อยมาจากฐานนั้นตรงปลายประดิษฐ์เป็นรูปดอกไม้กลีบซ้อนดอกเล็กๆ ห้อยระย้าย้อยลงมาดูอ่อนหวาน จากฝีมือและลักษณะของเม็ดอัญมณีพอประเมินได้ว่าน่าจะเป็นของเก่าไม่น้อย

แม้จะเสียดายอยู่ลึกๆ ที่บุตรชายมิได้ซื้อปิ่นปักผมแสนสวยนี้ให้ใคร แต่เมื่อหวังอย่างหนึ่งดับสูญ หวังใหม่ก็พร้อมจะสว่างไสว...ผู้หญิงคนนั้น

เจ้าของปิ่นปักผมอันนี้ จะเป็นคนเช่นไร จะสวยน่ารักแค่ไหน จะเป็นคนดีน่าคบหาหรือไม่หนอ คุณนันทินีอดคิดแบบผู้หญิงมิได้ว่า...บางทีนี่อาจจะเป็นพรหมลิขิตก็เป็นได้ ก็จู่ๆ บุตรชายของเธอก็หลงทางไปเจอเบ้านของผู้หญิงคนนี้ แถมไปเก็บปิ่นของเขามาอีก

มันน่าคิดไหมล่ะ?

คำถามต่อมาจึงเกิดขึ้น

“สวยไหมลูก...เจ้าของปิ่นอันนี้?”

“คงสวยมั้งครับ เสียดายผมมองเห็นหน้าไม่ถนัด เขายืนอยู่บนบันได ฟ้าก็เริ่มมืดด้วย”

“ไม่เปิดไฟเหรอลูก” คุณนันทินีถามอย่างแปลกใจ

“ไม่ครับ แต่ผมเห็นแสงไฟวับๆ แวมๆ เหมือนจะเป็นแสงเทียนหรือไม่ก็ตะเกียง ไฟอาจจะดับก็ได้มั้งครับแม่ ต่างจังหวัดนี่พอลมมาฝนมาไฟดับก่อนเลย ตอนนั้นก่อนฝนตกพอดี”

“คงอย่างนั้นมั้งจ้ะ” คุณนันทินีเห็นด้วยกับบุตรชาย เพราะเกิดและเติบโตมาในต่างจังหวัด จึงคุ้นเคยกับการที่ไฟดับอยู่บ่อยๆ เป็นอย่างดี เธอวางปิ่นคืนลงในกล่องดังเดิม และลงมือเช็ดโต๊ะทำงานบุตรชายจนสะอาดเรียบร้อยก็ชักชวนเขาอีกหน “ไปทานข้าวกันเถอะลูก แม่ให้เจี๊ยบตั้งโต๊ะแล้ว”

“ครับ” นัทธิ์รับคำแล้วจัดการเซฟงานที่ทำค้างอยู่

“แม่ลงไปก่อนนะ นัทธิ์รีบตามลงไปล่ะ”

คนเป็นลูกยิ้มรับแทนคำตอบ มองตามร่างท้วมของมารดาที่ก้าวออกจากประตูห้องทำงาน สายตาเต็มเปี่ยมด้วยความรักและเทิดทูนในมารดาของตน ผู้หญิงคนหนึ่งเลี้ยงลูกมาตัวคนเดียว...ไม่น่าชื่นชมหรือกระไร นับแต่บิดาสิ้นชีวิตเมื่อนัทธิ์กำลังจะขึ้นชั้นมัธยมปลายด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ขณะเดินทางไปประชุมที่ต่างจังหวัด คุณนันทินีซึ่งขณะนั้นเป็นข้าราชการครูจึงต้องเพิ่มบทบาทในฐานะหัวหน้าครอบครัวขึ้นอีกหนึ่งบทบาท

การที่ต้องขาดหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญไปนั้นทำให้ชีวิตช่วงแรกๆ ของสองแม่ลูกติดขัดไม่น้อย ขนาดว่าบิดาจากไปโดยทิ้งเงินประกันชีวิตไว้ให้ก้อนหนึ่ง หากคุณนันทินีกลับไม่ยอมแตะเงินก้อนนั้นแม้แต่น้อย เธอสู้กระเบียดกระเสียรใช้จ่ายจากเงินเดือนของเธอเท่านั้น อะไรที่ประหยัดได้ก็ประหยัด และถ้าอะไรที่ทำแล้วเพิ่มรายได้ละก็ ต่อให้เหนื่อยแค่ไหนเธอก็ทำ...

คุณนันทินีได้ชื่อว่าเป็นคนที่มีรสมือดี...ไม่ว่าจะของคาวของหวานเป็นอร่อยไปหมด เธอจึงอาศัยความสามารถนี้เองในการเพิ่มรายได้ให้กับครอบครัว และเมื่อวันหนึ่งที่เธอตัดสินใจเกษียณอายุราชการก่อนกำหนด เธอก็นำเงินบำเหน็จที่ได้มาลงทุนทำขนมกับอาหารขาย แรกๆ ก็อาศัยฝากขาย และทำตามออเดอร์ที่มีเข้ามา เพื่อป้องกันของเหลือ หรือขายไม่หมด

ตอนนี้อาชีพเสริมของคุณนันทินีกลายมาเป็นอาชีพหลักที่นำรายได้มาให้เธอไม่น้อยทีเดียว

นัทธิ์หยิบกล่องที่มารดาวางคืนลงบนโต๊ะทำงานขึ้นมาดู ตั้งแต่กลับจากเชียงใหม่คราวนั้นเขาก็ลืมปิ่นทองอันนี้รวมไปถึงเจ้าของปิ่นเสียสนิท จนกระทั่งเมื่อคืน...เมื่อเขาฝันว่าได้กลับไปที่เรือนทรงกาแลนั้นอีกครั้ง

ในฝันที่เหมือนความจริงทุกประการไม่ว่าจะเป็นลานกว้างหน้าเรือน บรรยากาศยามโพล้เพล้ หรือแม้กระทั่งกลิ่นหอมของดอกไม้สีขาวที่ชูช่อพราวทั้งต้น นัทธิ์ยังได้เจอกับหญิงสาวผู้เป็นเจ้าของเรือน...และเจ้าของปิ่นทองด้วย เขารู้สึกว่าคุยกับเธอหลายเรื่อง แต่เมื่อตื่นขึ้นมากลับจำคำพูดได้เพียงประโยคเดียว

‘ข้าเจ้าบอกแล้ว บ่เชื่อ...ว่าจะได้ป๊ะกันแหม’

เมื่อตื่นขึ้นมานัทธิ์ยังได้กลิ่นหอมหวานของดอกพุดซ้อนอวลอยู่รอบกาย ละม้ายว่าเขาตื่นขึ้นมาท่ามกลางดงดอกพุดซ้อนกระนั้น เหตุนี้เองกล่องที่ถูกซุกลืมไว้ก้นลิ้นชักโต๊ะทำงานจึงได้ออกมาวางหราอยู่บนโต๊ะในวันนี้

เขาเปิดฝากล่องออก สีทองสุกปลั่งของเครื่องประดับผมที่อยู่ภายในสะดุดนัยน์ตาเหลือเกิน อุปาทานกระมังเมื่อกลิ่นดอกไม้ที่จำได้ขึ้นใจว่าคือพุดซ้อนกรุ่นกำจายเหมือนเจ้าต้นไม้นี้อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล หากเพียงแค่ครู่เดียวกลิ่นหอมก็จางหาย นัทธิ์มิได้แปลกใจอะไร เขาคิดอย่างคนที่ยึดมั่นในสิ่งที่วิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้เท่านั้นว่า เป็นเพราะความทรงจำแรกที่เขาพบกับเจ้าของปิ่นทำให้จดจำเธอพร้อมกลับกลิ่นดอกไม้ที่อวลอยู่รายรอบในขณะที่เจอเธอนั่นเอง

นัทธิ์มองปิ่นทองพลางย้อนนึกถึงความฝันของตน ถ้าเป็นจริงอย่างที่ฝันก็คงดี...เขาอยากกลับไปที่นั่น จะได้คืนปิ่นให้กับเจ้าของ แม้จะให้เหตุผลเช่นนั้นทว่านัทธิ์รู้แก่ใจดีว่าความจริงแล้วเขาอยากพบผู้หญิงคนนั้นต่างหาก น่าแปลกที่แม้ตอนเจอกันเขาจะไม่ได้เห็นหน้าเธอแต่นัทธิ์กลับจำผู้หญิงคนนี้ได้ขึ้นใจ...โดยเฉพาะเสียงของเธอ

เสียงนุ่มนวล อ่อนหวานยามเอื้อนเอ่ยแต่ละประโยคนั้นฟังแล้วให้รู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก น่าเสียดายคุยตั้งนานเขากลับลืมถามชื่อเธอ แถมไปอีกทีจะจำทางได้หรือเปล่าก็ไม่รู้ ยิ่งนึกก็ยิ่งเสียดายจนเผลอถอนหายใจออกมาไม่รู้ตัว

กลิ่นดอกพุดซ้อนโชยมาอีกครั้ง คราวนี้หอมฉุนกว่าเดิมจนนัทธิ์ชะงักกึกด้วยความแปลกใจ ในสวนก็ไม่มีต้นไม้ชนิดนี้สักต้น กลิ่นหอมมาจากไหนกันเล่า จะว่าอุปาทาน...กลิ่นก็ชัดเจนเหลือเกิน หรือว่า...

ชายหนุ่มดึงลิ้นชักออกมาเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเขาเก็บอะไรบางอย่างไว้ในนั้น บางทีกลิ่นหอมอาจจะมาจากสิ่งนั้นก็ได้...

อะไรบางอย่างที่ว่านอนนิ่งอยู่ตรงซอกมุมหนึ่งของลิ้นชัก มันคือกิ่งก้านแห้งโรยที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นช่อดอกไม้สดสวย กลีบดอกสีขาวบริสุทธิ์บัดนี้กลายเป็นสีเหลืองเช่นเดียวกับกิ่ง ก้าน และใบที่เปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีน้ำตาลไหม้ นัทธิ์หยิบมันขึ้นมาอย่างเบามือด้วยกลัวกลีบแห้งโรยจะร่วงกระจัดกระจาย

ชายหนุ่มค่อยๆ จรดจมูกลงสูดกลิ่น หากกลิ่นหอมที่เคยกรุ่นกำจายบัดนี้ไม่เหลือแม้แต่น้อย มีเพียงกลิ่นใบไม้ดอกไม้แห้งที่มิได้หอมหวานดังเช่นเคย

แล้วกลิ่นหอมมาจากไหนกันหนอ...คำถามนั้นดังอยู่ในใจของชายหนุ่ม หากทว่ายังไม่ทันจะคิดหาคำตอบ ก็มีเสียงเรียกตรงหน้าประตู

“คุณคะ มีแขกมาขอพบค่ะ”

“ใครน่ะ...เจี๊ยบ” นัทธิ์ถาม น้ำเสียงเต็มไปด้วยความแปลกใจ เพราะไม่บ่อยนักที่จะมีคนมาเยี่ยมเยียนถึงบ้าน

“เขาบอกว่าเป็นเพื่อนคุณค่ะ ชื่อโมก”

นัทธิ์พยักหน้ารับแล้วบอกสาวใช้ว่าจะลงไปในไม่ช้า แม้ออกจะรู้สึกแปลกใจที่โมกเดินทางมาจากกรุงเทพฯ ทั้งยังแวะมาหาเขาถึงบ้าน แต่นัทธิ์ก็มิได้เสียเวลาไปกับความสงสัยนานนัก เขารู้ว่าจะได้รับคำตอบก็เมื่อได้เจอผู้เป็นเพื่อน

ทว่านัทธิ์ก็มิได้คาดคิดว่าโมกจะมาพร้อมกับข่าวดีสำหรับเขา

เมื่อนัทธิ์ลงไปที่ห้องรับแขกนั้น โมกกำลังสนทนากับคุณนันทินีอยู่ น่าจะเป็นการถามสารทุกข์สุขดิบในฐานะที่เคยเห็นกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย เมื่อตอนที่นัทธิ์ขึ้นไปร่วมงานแต่งงานของโมก มารดาของเขาก็ยังฝากคำอวยพรไปให้ พร้อมของขวัญเป็นปลอกหมอนที่เย็บและปักเองกับมือ

“นัทธิ์มาแล้ว” คุณนันทินีเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นบุตรชายเดินลงบันไดมา “โมกอยู่ทานข้าวด้วยกันนะลูก”

“ครับแม่ นานๆ จะมีโอกาสได้ทานข้าวฝีมือแม่ทั้งทีผมไม่ปฏิเสธอยู่แล้วครับ” โมกบอกกับมารดาของเพื่อนพลางยิ้มกว้าง ก่อนพยักหน้าทักทายเพื่อนที่เพิ่งเดินลงมา

“มากรุงเทพฯ กี่วันแล้ววะเนี่ย” นัทธิ์ทัก

“มาถึงเมื่อคืนว่ะ นั่งเครื่องมา”

“แล้วนี่แกพักที่ไหน...โรงแรมเหรอ?”

นัทธิ์ถามเพราะรู้ว่าบ้านที่กรุงเทพฯ ของครอบครัวโมกนั้นปล่อยให้เช่าตั้งแต่ลูกหลานเรียนจบกลับไปอยู่เชียงใหม่นั่นแล้ว

“โรงแรมสิ สะดวกดีด้วย เช้ามาก็ลงไปกินบุฟเฟต์อาหารเช้า ห้องพักก็มีแม่บ้านมาทำความสะอาดเปลี่ยนผ้าปูให้เรียบร้อย มาอยู่แค่วันสองวัน เดี๋ยวก็กลับแล้ว”

“มาเรื่องงานเหรอวะ?” เมื่อเรียนจบโมกไม่ได้ทำงานในสายอาชีพที่เรียนมาเหมือนอย่างเขา เพราะทางบ้านมีกิจการส่วนตัวอยู่แล้ว “แล้วทิ้งเมียมาอย่างนี้ เมียไม่เหงาแย่เหรอ...ไม่พามาด้วย จะได้มาเที่ยวเปลี่ยนบรรยากาศ”

สีหน้าของโมกเปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อคนเป็นเพื่อนถามถึงภรรยา ดวงตาของเขาฉายแววอิดหนาระอาใจ ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องผิดสังเกตอย่างมากสำหรับคนที่เพิ่งจะแต่งงานได้ไม่กี่เดือน นัทธิ์เห็นความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวก็ออกแปลกใจเพราะจำได้ว่าภรรยาของเพื่อนนั้นเป็นลูกสาวคนใหญ่คนโตมีหน้ามีตาคนหนึ่งของเชียงใหม่ หน้าตาการศึกษาก็จัดว่าดีไม่น้อย แม้จะยังไม่มีโอกาสได้พูดคุยกันเป็นส่วนตัว แต่จากที่เห็นก็น่าจะเป็นคนน่ารัก น่าคบหา

แล้วอะไรเล่า...ที่ทำให้เพื่อนของเขาแสดงสีหน้าเช่นนั้น

รักขมเสียแล้วหรือไร...

ช่างน่าเศร้า...นัทธิ์คิดในใจ ถ้าเขาคิดจะแต่งงานกับใครแล้วละก็ เขาต้องแน่ใจแล้วว่าผู้หญิงคนนั้นคือคนที่เขาเฝ้าตามหามาตลอดชีวิต เป็นผู้หญิงที่จะอยู่กับเขาได้แม้ในยามที่มีพายุโฆมกระหน่ำ จะยืนเคียงข้าง...เพื่อยืนหยัดกับทุกข์และสุขที่จะผ่านเข้ามาในช่วงชีวิต

และเพราะยังไม่เจอผู้หญิงเช่นที่ว่านั้น...นัทธิ์จึงไม่ยอมเสียเวลาไปกับรักรายทาง แม้จะมีผู้หญิงหลากหลายผ่านเข้ามาทำความรู้จัก

ใจบอกว่าไม่ใช่...ก็คือไม่ใช่ และเขาไม่อยากฝืน เมื่อผู้หญิงที่เขารออยู่...ยังเดินทางมาไม่ถึง เขาก็จะรอต่อไป...

“พอดีดาเขานัดกับก๊วนเพื่อนเขาไว้ว่าจะไปสิงคโปร์กัน เลยไม่ได้มาด้วย”

ยิ่งฟังคำตอบของเพื่อน นัทธิ์ก็ยิ่งแปลกใจ...ผัวเมียคู่นี้แปลกดี เมียจะไปไหน ผัวไม่ห่วงไม่หวงบ้างหรือไง ปล่อยให้ไปคนเดียว ถ้าแต่งงานกันมาหลายปีก็คงไม่แปลก นี่ยังเป็นคู่ข้าวใหม่ปลามันอยู่เลย แยกกันเที่ยวเสียแล้ว

นัทธิ์พยักหน้าให้ ก่อนจะชวนคนเป็นเพื่อนย้ายไปนั่งที่โต๊ะทานข้าว เมื่อเห็นว่ามารดาเดินออกมาจากครัวแล้ว

“แล้วเป็นยังไงมายังไงถึงได้แวะมาหาถึงบ้านวะโมก”

เมื่อหัวข้อสนทนาถูกชักนำให้ห่างจากเรื่องส่วนตัวแล้ว โมกก็มีท่าทีสบายอกสบายใจขึ้น เขาคลี่ยิ้มกว้างเมื่อตอบคำถามของเพื่อน

“ก็มีข่าวมาบอกแกน่ะสิ”

นัทธิ์ขมวดคิ้วเมื่อเหลียวมามองโมก ดวงตามีแววแปลกใจชัดเจน...ข่าว โมกมีข่าวอะไรมาบอกเขาเล่า...หรือว่าข่าวคราวของเพื่อนที่เรียนมาด้วยกัน เมื่อคิดเช่นนั้นเขาจึงถามออกไป

“ใครจะแต่งงานวะ?”

โมกหัวเราะในลำคอ...ก่อนจะเลื่อนเก้าอี้ทางฝั่งซ้ายมือของหัวโต๊ะออกและทรุดนั่ง ขณะที่นัทธิ์นั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับเขา โดยมีคุณนันทินีนั่งเป็นประธานตรงหัวโต๊ะ สาวใช้เดินเข้ามาพร้อมจานใบใหญ่ที่มีแผ่นโรตีทอดกรอบเรียงไว้เต็ม กลิ่นหอมของแป้งกับเนยลอยกรุ่น

“นายนั่นแหละ เมื่อไรจะแต่งงาน?” โมกย้อนถาม แม้จะถามไปอย่างนั้นเองเพราะรู้คำตอบดี แต่เขารู้ใจมารดาของเพื่อนดีว่าอยากให้ลูกชายพาว่าที่ภรรยามาแนะนำให้รู้จักสักที

นัทธิ์ป่าวประกาศตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยว่าเขายังไม่คิดเรื่องมีแฟน เขาให้เหตุผลที่ใครต่อใครฟังแล้วก็ส่ายหัว และปรามาสว่าเขาจะต้องกลืนน้ำลายตัวเองเข้าสักวัน หากจนแล้วจนรอด...สี่ปีในรั้วมหาวิทยาลัย นัทธิ์ก็ไม่เคยคบหากับหญิงสาวคนไหนสักคน ทั้งที่ตัวเองก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่ แถมยังเป็นนักกีฬามหาวิทยาลัยที่สาวๆ รุมกรี๊ดกันไม่น้อย

เพื่อนๆ เคยสงสัยว่าเขามีความเบี่ยงเบนหรือเปล่า จึงไม่คิดมีแฟน แต่ข้อสงสัยนั้นก็หมดไปเมื่อนัทธิ์แสดงออกชัดเจนว่าเขาชอบผู้หญิงเหมือนอย่างผู้ชายคนอื่นๆ เพียงแต่...เขายังไม่คิดจะคบหาใครจริงจัง ที่สำคัญ...นัทธิ์ย้ำเสมอว่า...

เขายังไม่เจอคนที่เขาเฝ้ารอ!

แม้จะฟังดูน่าขำ แต่สำหรับนัทธิ์แล้ว...เขาจริงจังกับมันมาก

คนที่นั่งตรงหัวโต๊ะปรายตามองบุตรชายอย่างวาดหวัง แม้จะรู้แก่ใจว่าความหวังของเธอริบหรี่เหลือเกิน ลูก...สนใจแต่งาน จนเธอกลัวว่าเขาจะเป็นพวกบ้างาน ไม่ใช่ว่ามันไม่ดี แต่ประสาคนเป็นแม่ ก็อยากให้ลูกมีคนดูแล มีคนมาเติมเต็มชีวิต เมื่อวันหนึ่งที่เธอไม่อยู่เขาจะได้มีคนช่วยคิดและเป็นแรงกำลังใจให้กันและกัน

เพราะ...ครอบครัวคือพื้นฐานสำคัญที่สุด!

นัทธิ์เหลือบมองไปทางมารดาก่อนยิ้มเรี่ยๆ ก่อนตอบไม่เต็มเสียงนัก

“ก็มันยังไม่เจอ”

“กว่าจะเจอ สงสัยแม่คงไม่ทันได้อยู่ถึงงานแต่ง” คุณนันทินีเปรยออกมา ก่อนหันไปถามโมกอย่างเอาใจว่า “โรตีไหมจ้ะ ทานกับแกงเขียวหวานเนื้อ อร่อยนะโมก...เอ๊ะ! โมกทานเนื้อใช่ไหมจ้ะ”

“ทานครับแม่” โมกตอบพร้อมตักแผ่นโรตีที่ตัดเป็นชิ้นพอดีคำใส่จานตนเอง

“แล้วนี่โมกมาคนเดียว ทำไมไม่พาแฟนมาด้วย จะได้รู้ว่าสวยน่ารักแค่ไหน”

คุณนันทินีเอ่ยถามไปตามเรื่อง ถามเสร็จก็ตักแกงเขียวหวานเนื้อราดบนโรตีให้เพื่อนลูกชาย จึงไม่ได้เห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของฝ่ายนั้น คล้ายคนที่โดนแตะเข้าจุดอ่อน เขายิ้มเจื่อนเมื่อตอบคำถามผู้อาวุโสกว่าด้วยเสียงที่จืดเจื่อนไม่แพ้กัน

“ดาเขาไม่อยู่ครับ”

คุณนันทินีมิได้สังเกตถึงความผิดปกติดังกล่าว จึงยังคงซักถามต่อ

“รีบมีลูกกันไวๆ ล่ะ อย่าให้พ่อแม่เขารอนานนัก คนแก่ก็มีเท่านี้แหละ พอลูกโตมีครอบครัว ก็รอจะอุ้มหลาน ดูอย่างแม่สิ...อยากมีหลานใจจะขาด แต่ทำยังไงได้” คุณนันทินีปรายตาไปทางลูกชายแวบหนึ่ง พลางเอ่ยต่อ “ลูกชายเขาบอกว่ายังไม่เจอคนที่ใช่ กว่าจะได้อุ้มหลาน สงสัยคงจะตะบันน้ำหมากไม่ไหวแล้วนั่นแหละ”

“โธ่! แม่ครับ” นัทธิ์ทำเสียงอ่อย

เมื่อก่อนยังพอว่า...เพราะยังเรียนไม่จบ ถึงไม่มีแฟน แม่ก็แค่ถามๆ ไม่ได้เซ้าซี้อะไรมาก แต่พอเรียนจบทำงานเท่านั้นแหละ เรื่องไม่มีแฟนของเขาก็ดูท่าจะกลายเป็นประเด็นที่คุณนันทินีหยิบยกมาพูดอยู่เสมอ

“อะไรจ้ะ...แม่ก็พูดของแม่เฉยๆ” คนเป็นแม่หันมาบอกลูกชาย

“ถ้ามันหาเจอกันง่ายๆ ผมจะหาให้แม่วันนี้เลย” นัทธิ์ตัดพ้อ แต่โดนมารดาสวนกลับมาทันควัน

“มันก็ไม่น่าจะหายากหาเย็นอะไรนี่ ใช่ไหมโมก?” ท้ายประโยคคุณนันทินีหาลูกคู่

โมกซึ่งกำลังฟังแม่ลูกเถียงกันเพลินๆ ถึงกับตั้งตัวไม่ทัน ยิ่งเมื่อคำถามแทงใจไม่น้อย แม้จะรู้ว่าผู้สูงวัยพูดโดยมิรู้ แต่โมกก็อดยอกแสยงใจมิได้ เขาไม่เคยนึกเลยว่าความสุขเพียงชั่วครู่ที่ฝ่ายหญิงเองก็ยินยอมและยืนยันว่าจะไม่มีพันธะต่อกัน จะกลายเป็นข้อที่ทำให้เขาและเธอต้องผูกพันกันด้วย ‘ทะเบียนสมรส’

โมกรู้จักกับลษิดาเพราะเจอกันในงานเลี้ยง ครอบครัวของเขาและเธออยู่ในแวดวงธุรกิจเดียวกัน พ่อแม่ก็รู้จักกัน การแต่งงานของทั้งคู่เป็นยิ่งกว่าความพอใจของผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย เพราะเท่ากับได้รวมเป็นทองแผ่นเดียวกัน

แต่ความสัมพันธ์ฉาบฉวยเพียงชั่วข้ามคืนไม่ได้ก่อให้เกิดความรักแม้แต่น้อย เมื่อต่างคนต่างต้องมาอยู่ด้วยกัน โดยที่ไม่เคยเรียนรู้ซึ่งกันและกันมาก่อน ก็ทำให้ชีวิตคู่ดูจะลุ่มๆ ดอนๆ ตั้งแต่ยังไม่พ้นเดือนแรก

ลษิดาเป็นผู้หญิงสวย เปรี้ยว และหัวสมัยใหม่ สมกับที่เรียนจบนอกนั่นแหละ ความโดดเด่นของเธอนี่เองที่สะดุดตาโมกเข้าอย่างจัง ก็เหมือนภมรยามพบดอกไม้งามก็ย่อมอยากแวะเวียนเข้าไปดอมดม ลษิดาเป็นดอกไม้งามก็จริง แต่เธอเป็นดอกไม้ที่มีเพียงรูปสวย แต่ไร้ซึ่งกลิ่นอันเป็นเสน่ห์ อาจจะเป็นเพราะถูกเลี้ยงดูมาอย่างตามใจกระมัง จึงทำให้เธอวางตัวเหนือคนอื่นอยู่เสมอ

และเธอก็ไม่เว้นแม้แต่กับโมก...ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นสามี

“ตกลงนายมีข่าวอะไรวะโมก ยังไม่ได้บอกเลย”

นัทธิ์ถามดึงคนที่ตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตนเองขึ้นมา โมกสะดุ้งเล็กน้อยก่อนปรับสีหน้าเป็นปกติเมื่อตอบคำถามของคนที่นั่งฝั่งตรงข้าม

“เรื่องงาน พอดีมีโรงแรมห้าดาวกำลังหาบริษัทมาวางระบบไอทีกับเน็ตเวิร์ค แกสนใจไหมล่ะ”

คนฟังหูแทบผึ่ง...โรงแรมห้าดาว! ทำไมจะไม่สนใจเล่า ในเมื่อมันคือใบเบิกทางชั้นดีที่จะทำให้บริษัทของเขาก้าวออกไปเป็นที่รู้จัก และนั่นหมายความว่าโพรเจ็กต์ดีๆ อีกมากจะตามมา กระนั้นด้วยความที่รู้ดีถึงข้อกำหนดในการเข้าประมูลงานของโรงแรมระดับห้าดาว ซึ่งส่วนมากมักจะเป็นเชนโรงแรมชื่อดังทั้งสิ้น จึงทำให้นัทธิ์ตั้งคำถามกับคนเป็นเพื่อน

“แต่ทำไมเขาถึงจะมาให้บริษัทฉันทำ โรงแรมห้าดาวนี่มักมีลิสต์บริษัทอยู่ในมืออยู่แล้วนี่”

“ก็...” โมกอักอักอยู่ครู่ก่อนโพล่ง “ฉันก็ไม่รู้ คุยกับเขามาแต่เขาก็ไม่ได้ให้รายละเอียดอะไร อาจจะไม่ถูกใจก็ได้มั้ง โรงแรมพวกนี้สเป็กต์หยุมหยิมจะตาย”

“นั่นสิ ถ้าสเป็กต์หยุมหยิม แล้วจะรอดมาถึงบริษัทเล็กๆ อย่างฉันเรอะ”

โมกได้แต่เงียบงัน...ก็คำตอบที่เขารู้มันเหลือเชื่อจนเกินไป...เหลือเชื่อจนกระทั่งเขาไม่อยากจะบอกให้เพื่อนฟัง

“สนใจหรือเปล่าล่ะ ถ้าสนใจก็ลองยื่นเอกสารเข้าไปดู”

“สนสิ!”

...ใครเล่าจะไม่สน ถึงแม้ว่ามันจะฟังดูแปลกๆ ก็ตาม...แต่เมื่อโอกาสมาถึงมือแล้ว มีหรือที่จะไม่คว้าเอาไว้ แวบหนึ่ง...คำพูดที่ได้ยินในความฝันดังขึ้นมาในความคิด...

‘ข้าเจ้าบอกแล้ว บ่เชื่อ...ว่าจะได้ป๊ะกันแหม’




นภสร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 31 ก.ค. 2557, 15:53:06 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 31 ก.ค. 2557, 15:53:06 น.

จำนวนการเข้าชม : 966





<< บทนำ   
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account