ระบำสายลม
รักแรก...ที่หยั่งลึก สิบปี...แห่งการพลัดพรากและรอคอยอย่างมั่นคง
เป็นความรักความผูกพัน อันท่วมท้นเท่าที่คนๆหนึ่งจะรักได้
เป็นการรอคอยอย่างรวดร้าวและยาวนาน เท่าที่หัวใจดวงหนึ่งจะพึงรับไหว

แม้วันนี้ "กีตาร์" จะกลายเป็นศิลปินนักร้องระดับซูเปอร์สตาร์
และ "พี่คิม" ได้กลายเป็นนายแพทย์คิมหันต์
แม้ว่า...ทุกการกระทำและทุกการตัดสินใจของคนเราจะมีผลกระทบต่อผู้คนแวดล้อม
และถูกบีบให้เลือกระหว่างตัวเองกับคนรอบข้างอยู่ร่ำไปก็ตาม
แม้ว่าจะมีตัวแปรและอุปสรรคมากมายขวางกั้น แต่ไม่ได้หมายความว่าเป็นไปไม่ได้

เกลียวคลื่นยังม้วนตัวมาจากทะเลจีนใต้อันไกลโพ้น เพื่อเข้ากระทบชายหาดได้
แสงตะวันยังเดินทางตั้ง 93 ล้านไมล์ ผ่านห้วงอวกาศ มาสาดแสงแห่งรุ่งอรุณ
กระแสลมแห่งเวลาสิบปีที่ล่วงผ่าน ก็ยังพัดหวนพาเธอกับเขากลับมาพบกันอีกครั้ง ในค่ำคืนที่ต่างมีความทรงจำร่วมกัน
คู่รักที่เกิดวันเดียวกัน นั่นคือ โชคชะตา
การได้กลับมาพบกัน นั่นคือของขวัญจากพระเจ้า
สิ่งที่เหลือคือ...พรหมลิขิต

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 1.

1.





แสงไฟหลากสีสาดกะพริบเป็นจังหวะ หมุนวนรอบร่างเพรียวบางที่โลดเต้นอยู่บนเวทีคอนเสิร์ตส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ในลีลาท่าเต้นที่กลายเป็นฮิตฮ๊อตทันที เมื่ออัลบั้มแรกชุด กีตาร์-ปาร์ตี้ วางแผงได้ไม่นาน รวมถึงการแต่งตัวเลียนแบบสไตล์ฮิปปี้ของเธอด้วย

เมื่อดนตรีโซโล่ที่ท่อนแยกของบทเพลงเป็นจังหวะสนุกสนาน กีตาร์...นักร้องสาวลูกครึ่งของค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ ก็ส่งเสียงผ่านไมค์เลียนเสียงดนตรี อันเป็นสไตล์เฉพาะตัว ทำให้กลุ่มคนที่รายรอบอยู่เบื้องล่างเวที ส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดและพร้อมใจกันแผดร้องตามดั่งต้องมนต์...

“ชะ-ช่า-ดา ชะ-ดา ช่า-ด้า-ด้า-ดะ ช่า-ดา....”

ใบหน้าแต้มรอยยิ้มเริงร่ายิ่งดูเล็กลงไปอีก เมื่อถูกล้อมกรอบด้วยผมหยิกสยาย คลุมหลังไหล่ ยาวจรดขอบกางเกงเอวต่ำปลายบานสีแดงคล้ำ เสื้อยืดแขนยาวสีเข้มเกือบดำรัดพอดีตัว คลุมทับอีกชั้น ด้วยเสื้อกั๊กลายลูกน้ำไล่เฉดสีแดง ส้ม เหลือง

เครื่องประดับทำด้วยเงิน หินและเชือก-หนัง รุงรังอยู่ตามเนื้อตัว แต่ส่วนที่โดดเด่นแปลกตากว่าที่ใด คือห่วงเงินอันเท่าปลายก้อยเจาะร้อยอยู่ที่ปีกจมูกด้านขวา

เธอกางแขนตรง โค้งให้ผู้ชมเมื่อจบเพลงนั้น กล้องจับภาพเต็มตัวอยู่ชั่วครู่ เมื่อไล่สายตาไปจรดเท้า...

บุรุษที่นั่งไขว่ห้าง ตีหน้าขรึมแกมหมั่นไส้อยู่หน้าจอโทรทัศน์ ก็เผลอแย้มริมฝีปาก แล้วหลุดเสียงหัวเราะพรืดออกมาอย่างลืมตัว ด้วยมองเห็นเท้าเปล่าเปลือยที่เหยียบยืนอยู่บนเวที

แม่ยิปซีตัวน้อยไม่สวมรองเท้า ไม่ใช่จุดขาย

แต่นั่นคือ ‘นิสัย’ อันเคยชิน!

‘ตีต้านี่แย่จัง...ใส่รองเท้าแล้วขับรถไม่ถนัดเลย เวลาเต้นรำก็เหมือนกันต้องถอดรองเท้าทุกที พี่คิมว่าต่อไปไอ้โรคนี้มันจะหายมั้ยเนี่ย’

เสียงใสๆของเด็กหญิงรุ่นสาวเอ่ยพ้อตัวเองในยามหัดขับรถเมื่อนานนักหนาแล้ว แว่วเข้ามาในความทรงจำ



ไฟเปลี่ยนแสงกลายเป็นสลัวซึมเศร้า เมื่อดนตรีเปลี่ยนจังหวะเป็นเพลงช้า อินโทรดักชั่นแผดโหย...บีบคั้นอารมณ์นำขึ้นมาก่อนที่เสียงร้องใสเศร้า...จะทอดสะท้าน ราวคร่ำครวญ ประหนึ่งว่า จะบอกกล่าวเนื้อหาแห่งบทเพลงนั้น ฝากไปถึงใครบางคน...

“พรุ่งนี้....



พรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร

ชีวิตหากเปลี่ยนแปลงไป

ขอเพียงมีเธอ...อยู่ในหัวใจ...เท่านั้นก็พอ...

พรุ่งนี้...

พรุ่งนี้จะสู้ต่อไป

เหน็บหนาวเร่าร้อนเพียงใด...

ขอให้มีเธอในใจ...เท่านั้น...เท่านั้น...ก็พอ

ต่อให้หนัก ให้เหนื่อย ไม่ท้อ

ต่อให้ล้ม จะลุก...ขึ้นมา

ต่อให้ไกล สุดข้าม...ขอบฟ้า

ฉันจะกลับมา...หา...เธอ

ต่อให้ห่าง ดั่งข้าม...ขอบฟ้า

พรุ่งนี้...

ฉันจะกลับมา...

เพราะว่า...รักเธอ...

………………………….”

เสียงร้อง...ทอดลากยาว ราวจะขาดใจในตอนท้าย ตามมาด้วยเสียงกรี๊ดกรีดก้อง จากคลื่นคนที่เบื้องล่าง กล้องซูมเข้ามาจับดวงหน้าเธออีกครั้ง มองเห็นเหงื่อพราวอยู่ตามไรผม ดวงตาคู่นั้นมองกล้องเต็มตา จึงคล้ายว่ากำลังสบตากับเขา...

คนมองกลั้นลมหายใจโดยไม่รู้ตัว ขนตางอนยาวกว่าปกติทำให้ดวงตาสีสนิมของเธอดูคมซึ้ง หากยังคลับคล้ายจะเห็นรอยเหงาทอดเงาอยู่ในนั้นเสมอ...หาได้แตกต่างจากวันวาน...

เธอยิ้มกว้างจนมองเห็นฟันจอบคู่เก ลบรอยเศร้าในดวงตาเธอได้ในฉับพลัน

“ขอบคุณค่ะ...ขอบคุณมาก เดี๋ยวพบกับต้าใหม่ค่ะ อย่าเพิ่งรีบไปไหน...อีกสักครู่เรามีนัดเคาต์ดาวน์ด้วยกัน ช่วงนี้ขอเชิญพบกับวงเดอะบีช”

ร่างเล็กบางโบกไม้โบกมือก่อนภาพจะตัดเข้าโฆษณา

คิมหันต์เหลือบมองเวลา...อีกชั่วโมงเศษจะเที่ยงคืน...

สีหน้ากลับเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม เมื่อริมฝีปากสีระเรื่อได้รูปเม้มสนิท ปลายนิ้วไล้รอยหยักบุ๋มที่คางอย่างเผลอไผล ด้วยอาการเคยชินยามเจ้าตัวใช้ความคิด

ไม่ใช่แค่เพียงการนับถอยหลัง ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่เท่านั้นหรอก หากยังเป็นวันพิเศษยิ่งกว่านั้น แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะเก็บงำเรื่องส่วนตัวเอาไว้ ไม่ใคร่จะยอมปริปากหรือให้สัมภาษณ์อย่างคนดังทั่วๆไป และนั่นกลายเป็นจุดขายของเธอ ลึกลับ เป็นตัวของตัวเอง ทั้งสไตล์การแต่งตัวและการแสดงบนเวที

ทว่า...จะเป็นเช่นนั้นได้นานเท่าไรกัน เมื่อเลือกที่จะเป็นคนของสาธารณชน เป็นสีสันและสมบัติของโลก สักวันทุกซอกมุมจะถูกรื้อค้นออกมาตีแผ่ และสุดท้ายจะไม่เหลือสิ่งใดเอาไว้เป็นส่วนตัว...มุมปากเหยียดออกอย่างหมิ่นแคลน คนที่มุ่งหวังจะเป็นดาวเจิดจรัสในโลกมายา มักยอมสละได้ในทุกสิ่ง...

นายแพทย์หนุ่มระบายลมหายใจ ราวกับการทำอย่างนั้นจะช่วยปัดเป่าความรู้สึกบางอย่างในใจให้หมดไป

โทรศัพท์มือถือส่งเสียงเรียก ตัดขาดความนึกคิดให้ขาดช่วง เมื่อพินิจดูหมายเลขที่เรียกเข้ามา คิ้วตรงเข้มบนใบหน้าเกลี้ยงเกลาก็ขมวดมุ่น มีอาการชั่งใจอยู่ชั่วครู่ก่อนจะกดปุ่มรับสายในที่สุด

“คิม...นี่แม่เองนะ”

“ผมติดงานจริงๆ ขอโทษด้วยที่ไปไม่ได้”เขาบอกโดยไม่มีความลังเลหรืออารัมภบท

“นี่ก็จะเที่ยงคืนอยู่แล้ว แม่ว่าคิมน่าจะปิดคลินิก วันนี้ใครๆเขาก็หยุดงานกันทั้งนั้น อีกอย่างวันนี้ก็เป็นวันเกิดของคิมด้วย” น้ำเสียงนั้นเจือด้วยการตัดพ้อ

“ก็เพราะทุกที่ปิดกันหมดนี่แหละผมถึงควรจะเปิดคลินิก คนป่วยไม่เลือกหยุดป่วยวันขึ้นปีใหม่นี่ครับ ขอให้มีความสุข สวัสดีปีใหม่” แม้คำตอบจะเป็นการปฏิเสธ แต่หางเสียงก็ทอดอ่อนลงเล็กน้อย ราวจะทดแทนคำเรียกขานว่า ‘แม่’ ที่เจ้าตัวมักหลีกเลี่ยงอยู่เสมอ

มีเสียงทอดถอนหายใจดังมาจากปลายสาย คำพูดแผ่วลงคล้ายยอมจำนน

“แฮปปี้เบิร์ธเดย์นะลูก แม่จะส่งของขวัญไปให้ทีหลัง”

“ขอบคุณครับ”

นิ้วยาวแข็งแรงปิดสัญญาณการติดต่อทันที ลุกขึ้นบิดเนื้อตัวไล่ความเมื่อยขบและเหนื่อยหน่าย

ก็เพราะไม่อยากไปตามนัดนี่เอง ทำให้เขาต้องเปิดคลินิกจนดึกดื่นเช่นนี้ ถึงจะเป็นเพียงข้ออ้างแต่ก็ดีเสียกว่าการบอกว่า ‘ผมไม่อยากไป’ อย่างไรเธอคนนั้นก็เป็นผู้ให้กำเนิด การหลีกเลี่ยง ย่อมดีกว่าที่จะหยิบยื่นความจริงอันแสนโหดร้ายมิใช่หรือ?

ร่างสูงถอดเสื้อคลุมสีขาวยาวคลุมเข่า เก็บแขวนเข้าที่ มั่นใจว่า...คืนนี้คงไม่มีคนไข้เข้ามาอีกแล้ว



bd21427_



พาไลย์หมุนก้านแก้วไวน์ หลุบตาลงมองน้ำสีแดงคล้ำ พลิ้วกระเพื่อมไม่ต่างจากระลอกความคิดซึ่งเคลื่อนไหวอยู่ในยามนี้ เสียงเพลงที่เปิดไว้ในห้องนั่งเล่นมิอาจแทรกสู่โสตประสาท ด้วยหล่อนหลุดถลำลงสู่โลกส่วนตัวไปแล้ว

การรอคอยที่เปี่ยมไปด้วยความหวัง ดับวูบลงทันทีเมื่อได้ฟังคำปฏิเสธ จนต้องเดินออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์ที่สนามเพื่อทบทวน...สู้อุตส่าห์ปฏิเสธงานเลี้ยงทุกที่ในคืนแห่งการเฉลิมฉลองเช่นนี้ หวังไว้...ปีนี้จะได้เลี้ยงวันเกิดให้ลูกชาย

หล่อนลงมือจัดโต๊ะอาหารด้วยตนเอง เตรียมอาหารพร้อมไวน์ราคาแพง เลือกเสื้อผ้าชุดแล้วชุดเล่า...อยากให้ลูกประทับใจแล้วสุดท้าย...ก็จ่อมจมอยู่กับความผิดหวัง

ทำอย่างไรหนอ คิมหันต์จึงจะยอมเปิดโอกาสให้แม่ได้ใกล้ชิดบ้างเพื่อไถ่โทษการกระทำแต่หนหลัง หรือว่า...จะไม่มีวันนั้น!

พาไลย์เคยถามตัวเองว่าหากย้อนเวลากลับไปได้ หล่อนจะทำในสิ่งที่เห็นแก่ตัวเช่นนั้นหรือไม่...

คำตอบแต่ละครั้งแตกต่างกันออกไป สุดแท้แต่ว่าสภาวะนั้นๆเป็นอย่างไร ยามท้อแท้เหนื่อยหน่ายกับข่าว...คาว ที่โหมกระพือจนอยากหลบลี้หนีหน้าออกจากวงการ หล่อนก็นึกอยากให้ตัวเองเป็นเพียงภรรยาคุณหมอและแม่ของลูกชาย ที่ใช้ชีวิตอยู่อย่างผาสุกเรียบง่าย ไม่ใช่ดารา นางแบบ

ผู้ทุกย่างก้าวพร้อมจะกลายเป็นข่าวเสื่อมเสีย

หากยามเจิดจรัสชื่อเสียงขจรขจายเป็นที่ ต้องการ งานหลั่งไหลเข้ามา พาไลย์ก็หลงใหลได้ปลื้ม ขอบคุณโชคชะตาที่ส่งหล่อนพุ่งทะยานเป็นดาวค้างฟ้าตราบถึงทุกวันนี้

เคยเชื่อมั่นว่าเลือดในอก ถึงอย่างไรก็คงตัดกันไม่ขาด หากทดแทนทุ่มเท เติมเต็มช่วงเวลาที่สูญหาย ลูกคงยอมอภัย แต่นั่นคือความเข้าใจผิด!

อยากให้ลูกตัดพ้อต่อว่า ตำหนิหรือแผดเสียงใส่ยังจะดีเสียกว่านี้ เพื่อว่าหล่อนจะได้มีโอกาสขอโทษ แต่คิมหันต์ไม่เคยทำเช่นนั้น เขายังคงเสมอต้นเสมอปลาย สุภาพแต่ห่างเหิน เยียบเย็นและรักษาช่องว่างเอาไว้เท่าเดิม ไม่มากหรือน้อยกว่านั้น นั่น...ทำให้หล่อนเจ็บปวดเสียยิ่งกว่า

ร่างระหงสมส่วนในชุดกลางคืนสีแดงจัดจ้า เปิดเปลือยแผ่นหลัง ขับผิวผ่องให้เปล่งประกายจนคาดเดาอายุไม่ได้ เพราะ...เฝ้าผดุงความงามแห่งเพศตนทุกวิถี บนเส้นทางแห่งศาสตร์และศัลยกรรม เพื่อยื้อยุดภาพวิจิตรแห่งวัย ซึ่งพาไลย์ถือว่าจำเป็นอย่างยิ่งหากจะครองความเป็นเซ็กซี่สตาร์ ใครจะมองว่า เป็นตัณหาอย่างบ้าคลั่งหรือนิวรณ์แห่งวัย หล่อนก็ไม่แคร์

ผมยาวยามนี้รวบตลบเป็นช่อชั้นงดงามปล่อยปอยผมรุ่ยร่ายลงมาราวกับไม่ได้จงใจ ดวงหน้าอิ่มเต็ม แต่งแต่พองามเนียนผุดผาด ทว่า...ดวงตาคู่นั้นกลับบอกเล่าถึงตำนานชีวิตและริ้วรอยบาดแผลมากมาย ที่ศัลยกรรมมิอาจช่วยกลบเกลื่อนได้

หล่อนเดินกลับเข้ามาในบ้าน วางแก้วไวน์อย่างหมดสิ้นความใยดี ดึงรูปใบเล็กที่สอดอยู่ในกระเป๋าเงินซึ่งวางอยู่บนโต๊ะออกมาเพ่งพิศ ชายหนุ่มในภาพละม้ายกับหล่อนราวกับพิมพ์ ดวงหน้าหล่อเรี่ยมไร้ตำหนิ รอยยิ้มสว่างจ้ายิ่งกว่าแสงตะวัน น่าเสียดาย...ที่รอยยิ้มนี้ไม่ได้มีไว้เพื่อพาไลย์

หล่อนได้ภาพนี้มาจากการไหว้วานใครบางคน ให้ไปถ่ายรูปหมอคิมในวันเปิดคลินิก ถึงไม่ได้รับเชิญไปร่วมงาน หรือร่วมกิจกรรมใดๆกับลูกชาย แต่จากภาพถ่ายเหล่านั้น ก็ทำให้รู้ข่าวคราวว่าลูกมีความสุข และประสบความสำเร็จในชีวิตอย่างงดงาม แม้จะเติบโตขึ้นมาด้วยน้ำมือคุณย่าเพียงลำพัง



กีตาร์เดินโผเผ ตัวงอ มือกุมท้องเข้ามาด้านหลังเวที ที่จัดไว้สำหรับศิลปินเพื่อความเป็นส่วนตัวแล้วโอดครวญ

“โจ...ไม่ไหวแล้ว ปวดท้อง…เมื่อกี้ตอนอยู่บนเวทีทนแทบตาย เป็นวันไหนก็ไม่เป็นต้องมาเจาะจงป่วยเอาวันนี้ด้วย โอย...นี่มันวันเกิดหรือวันตายกันละเนี่ย ปวดจังเลย หายใจจะไม่ออกอยู่แล้ว...”

“กินข้าวบ้างหรือยัง บอกแล้วว่าจะเป็นโรคกระเพาะก็ไม่เชื่อ สม....”

เบนโจ ลี ชายหนุ่มลูกครึ่งฮ่องกง ผู้เป็นทั้งนักแต่งเพลง เพื่อนสนิทและผู้จัดการส่วนตัว กำลังกวาดสายตาสำรวจคิวการแสดงของคืนนี้บอกแล้วชำเลืองมองอย่างไม่ใส่ใจนัก หากนาทีต่อมาก็ต้องพรวดพราดลุกขึ้น เมื่ออีกฝ่ายทรุดฮวบลงบนพื้น คว้าถังขยะใบเล็กแถวนั้นมากอดไว้ พร้อมกับโก่งคออาเจียน น้ำตาไหลพราก...

“เฮ้ย!! ต้า...”

ร่างสูงโปร่งราวกับนายแบบ ในชุดยีนส์สีเข้ม ผวาเข้ามาลูบหัวลูบหลังอย่างตกใจ “หนักขนาดนี้เลยเหรอ ไหวหรือเปล่า”

คนที่กอดถังขยะไว้ราวกับของรัก ซบหน้าลงบนท่อนแขนส่ายหัวดิก เบนโจดูนาฬิกาที่ข้อมือแล้วสบถ

“บ้าเอ้ย! อีกไม่ถึงชั่วโมงจะนับถอยหลังแล้ว อย่างนี้มีหวังขึ้นเวทีไม่ได้แน่” ดวงตาเรียวรีมีแววครุ่นคิดแล้วตัดสินใจ “ช่างหัวมันเหอะ ทำไงได้ ปะ...ไปหาหมอ”

ใบหน้าขาวเผือดเงยขึ้นมามองแล้วฟุบลงไปใหม่ ผมหยิกสยายยาวรุงรัง ทำท่าจะจุ่มลงไปในถังขยะ แต่มือยาวๆเอื้อมมาอย่างว่องไวรวบฉับเดียว ผมรุ่ยร่ายก็รวมกันอยู่ที่ท้ายทอย...เบนโจรูดหนังยางที่รวบผมของตนเองออกมาผูกผมให้หญิงสาวอย่างคล่องแคล่ว เพียงอึดใจผมหยิกฟูของกีตาร์ก็หายรุงรังทันตา

ตรงกันข้าม...ทันทีที่เป็นอิสระจากหนังยาง ผมเหยียดตรงด้วยน้ำหนัก เป็นมันระยับ ก็สปริงตัวพึ่บ...ทิ้งลงเต็มแผ่นหลังกว้าง ทำให้โครงหน้าของชายหนุ่มดูแปลกตา ราวกับคนละคนกับเมื่อครู่

“ค่อยยังชั่วขึ้นบ้างไหม”

กีตาร์ผงกหัวหงึกๆแทนคำตอบ

“ขอน้ำหน่อย”

ขวดน้ำถูกยื่นมาให้ไวทันใจ ชายหนุ่มรอจนกระทั่งเธอบ้วนปากและดื่มน้ำเรียบร้อยจึงหิ้วปีกคนตัวบางขึ้นมานั่งบนเก้าอี้

พอเหลือบมาเห็นผมยาวคลี่เต็มหลังของอีกฝ่าย คนป่วยก็หลุดเสียงหัวเราะก่อนนิ่วหน้ากดท้อง

“เหมือนโมนาลิซ่า…แบบนี้ดีออกน่าเป็นพรีเซนเตอร์ครีมนวดผมเนอะ”

คนถูกวิจารณ์ทำหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้งแล้วรีบกวาดสายตาหาหนังยาง สุดท้ายเมื่อหาไม่ได้ ดวงตาชั้นเดียวเรียวยาวก็เลื่อนมาหยุดที่เชือกหนังบนข้อมือของอีกฝ่าย

“ยืมหน่อย” ไม่ต้องรอให้อนุญาตมือก็เอื้อมมาฉกเชือกหนังไปผูกผมอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นเธอยังนิ่วหน้า หายใจทางปาก เบนโจก็คว้าข้อมือ ฉุดให้ลุกขึ้น

“เดินไปที่รถไหวมั้ย จะพาไปหาหมอ”

“แล้วทางนี้...”

“ไม่เป็นไรเดี๋ยวเรากลับมาเคลียร์เอง เธอไม่อยู่คนอื่นเขาก็เคาต์ดาวน์กันได้”

“เราน่าจะบอกทีมงานก่อน”

“นักข่าวเยอะแยะ ถ้าไม่อยากเป็นข่าวพาดหัวพรุ่งนี้พร้อมกับข้อสันนิษฐานที่เธอไม่ชอบใจละก็ ตามมา...ที่เหลือเราจะกลับมาจัดการเอง”

กีตาร์ยุติการโต้แย้ง ก้าวตามร่างสูงๆออกไปทางด้านหลังซึ่งลัดออกไปยังที่จอดรถ

“หวังว่าคลินิกใกล้ๆแถวนี้คงจะยังเปิดอยู่ โรงพยาบาลคนพลุกพล่าน เสี่ยงเกินไป”

เบนโจปรารภ เหลือบมองใบหน้าขาวเผือดอย่างกังวล

“ต้าคิดผิดหรือเปล่านะโจ ที่ก้าวมาอยู่ตรงนี้ ไม่เป็นตัวของตัวเองเลย”

ฝ่ามือของอีกฝ่ายเอื้อมมาโยกหัว

“ไม่ลองก็ไม่รู้...มีอะไรบ้างล่ะต้าที่ได้มาโดยไม่เสียอะไรไป”



bd21427_



ใครบางคนหลบวูบเข้าหลังต้นไม้ มือเกร็งจับกล้องถ่ายรูปเตรียมพร้อม เมื่อเบนโจ ลีประคองกีตาร์ลงมาจากรถ จู่ๆหญิงสาวก็ผละออกจากอ้อมแขน ถลาไปยังพุ่มไม้ ก้มลงอาเจียน...

คนที่แฝงกายอยู่ในความมืด เบิกตากว้างเมื่อมั่นใจว่าคนทั้งคู่คือศิลปินคนดังกับผู้จัดการส่วนตัว ช่างเป็นโชคดีสำหรับนักข่าวอิสระอย่างเขา ที่ผละออกจากงานเฉลิมฉลองมาเตร็ดเตร่อยู่แถวนี้ มือไวเท่าความคิดชายหนุ่มกดชัตเตอร์บันทึกภาพเหล่านั้นไว้ทุกขั้นตอน มุมปากกระตุกยิ้ม...มาดหมาย เมื่อผู้จัดการหนุ่มพาศิลปินสาวก้าวเข้าไปในคลินิก

ย่องพากันมาหาหมอคืนส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ แถมยังอาเจียนบอกอาการเสียอีก

นักข่าวหนุ่มมั่นใจว่า ข่าวนี้จะเป็นที่สนใจของคนอ่านอย่างแน่นอน!

เขาเลาะเลียบมาหลบมุมอยู่ข้างสวนเล็กๆหน้าคลินิก ด้านหน้าเป็นกระจกใสภายในเปิดไฟสว่าง ไม่เป็นอุปสรรค์ต่อการถ่ายภาพ เขารอบันทึกภาพเด็ดเพิ่มเติมอย่างใจจดใจจ่อ



“ถึงคลินิกแล้วโจรีบกลับไปเถอะ ทางโน้นจะได้รู้ล่วงหน้าว่าต้าขึ้นเวทีไม่ได้”

คนป่วยดูเหมือนจะห่วงงานเสียยิ่งกว่าตัวเอง เบนโจเหลือบมองนาฬิกา แม้จะมีอาการห่วงหน้าห่วงหลังแต่สุดท้ายก็พยักหน้า

“เสร็จแล้วรออยู่นี่แหละนะ เราอาจมารับช้าหน่อยแต่มาแน่ๆอย่ากลับไปเองล่ะ”

“ฮื่อ” หน้าขาวเผือดพยักหงึกๆ เมื่อเบนโจผลุนผลันผลักประตูออกไป

ภายในคลินิกไร้ผู้คน บริเวณเคาน์เตอร์ ควรจะมีเจ้าหน้าที่ประจำอยู่ก็ว่างเปล่า มีเสียงทีวีดังแว่วออกมาจากด้านในซึ่งมีบานประตูแบบครึ่งเดียวกั้นไว้ น่าจะเป็นห้องตรวจ...เธอคาดเดา

ขณะที่หญิงสาวหันรีหันขวาง ชั่งใจว่าจะนั่งคอยหรือเดินเข้าไปด้านในเพื่อตามหมอ ร่างสูงเพรียวในชุดกางเกงดำกับเชิ้ตสีชมพูอ่อนจางก็ผลักบังตาออกมา

ดวงหน้าขาวสะอาด แต่องค์ประกอบทุกชิ้นบนใบหน้าเข้มคม คุ้นตา ผมหยักศกน้อยๆหวีเสย มีบางปอยทิ้งลงเคลียระหน้าผาก เน้นรูปหน้าให้ยิ่งสะดุดตาและกระทบใจ...

กีตาร์รู้สึกราวกับว่าหัวใจรัวกระหน่ำ โลดเต้นเริงระบำขึ้นมาในนาทีนั้น แม้ร่างกายจะยังชาดิก ไม่อาจเคลื่อนไหว ราวถูกตรึงอยู่กับที่ ด้วยความตื่นเต้นยินดี

ดวงตาดำลึก ที่คล้ายมีน้ำหล่อเลี้ยงอยู่เสมอ เลื่อนมาสบ...แน่วนิ่งแรกทีเดียวมีแววประหลาดใจ ต่อมาคือร่องรอยระลึกได้แล้วปรับเปลี่ยนแสงกร้าว เกือบ...เหี้ยมเกรียม

ก่อนร่างนั้นจะได้ทันขยับเคลื่อนไหว หญิงสาวก็โถมกายเข้ากอดรัด

“พี่คิม...พี่คิมของตีต้า...คิดถึงเหลือเกิน” หลุดปากออกมาเพียงนั้นน้ำตาก็กลิ้งลงบนแก้ม ก่อนพรูตามออกมาอีกเป็นริ้วขบวน

“ตีต้าไม่สบายจะมาหาหมอ ไม่คิดเลยว่าจะเจอพี่คิมที่นี่”

เพราะคำพูดนั้น...ทำให้อีกฝ่ายเอื้อมแกะมือเล็กที่โอบรัดออกจากเอว หญิงสาวไม่ยอมปล่อยมือง่ายๆ ภาพจึงกลายเป็นยื้อยุดและผลักไส ทั้งคู่ไม่รู้ตัวแม้แต่น้อยว่าภาพเหล่านั้นถูกบันทึกไว้เรียบร้อยแล้ว

“ปล่อยได้หรือยัง”

น้ำเสียงเย็นชา ห่างเหิน กับสายตาเข้มดุของอีกฝ่ายทำให้มือเล็กที่รัดรอบเอวของชายหนุ่มหลุดผล็อยลง ร่างสูงรีบผละออกห่างเหมือนกลัวว่าเธอจะเข้ามากอดรัดเอาไว้อีก ดวงหน้าซึ่งขาวเผือดอยู่แล้วยิ่งเจื่อนจาง

“จะมาหาหมอไม่ใช่หรือ เชิญที่ห้องตรวจ” คิมหันต์บอกก่อนเดินนำเข้าไปยังด้านใน

ดวงตากลมโตภายใต้แพขนตาหนาชื้น มองตามแผ่นหลังของคนเดินหน้าอย่างตัดพ้อ หลายอย่างติดค้างอยู่ในใจมากมายเหลือเกิน จนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปาก...

“พี่คิม...”

ร่างสูงยังคงเดินหลังตรงราวกับไม่ได้ยิน ก้อนแข็งๆอัดแน่นอยู่ในอก ก็ทุกครั้งที่เคยเรียกอย่างนี้ ‘พี่คิมของตีต้า’ จะหันมาหาน้องสาวคนนี้เสมอ ก็ใครเล่าที่เคยบอกปนหยอกล้อว่า...

‘ตีต้าไม่ต้องเรียกพี่เต็มยศว่า พี่คิมหันต์ก็ได้...แค่เรียกพี่คิม พี่ก็หันมาอยู่แล้วรู้มั้ย’

หญิงสาวกลั้นน้ำตา บังคับไม่ให้เสียงสั่นเครือ

“ตีต้าไม่รู้เลยว่า...” ยังไม่ทันจบประโยคอีกฝ่ายก็แทรกขึ้นมาเสียงขุ่น

“เรียกผมว่าหมอคิม...แล้วคุณน่ะชื่อกีตาร์ไม่ใช่หรือ...ตีต้าน่ะใครกัน”

สายตาตกวูบลงมองพื้น ถ้อยคำที่เหลือถูกกลืนหายไปกับความเงียบงัน ความน้อยใจ เสียใจ ปรี่ท้นขึ้นมาตีบตันอยู่กลางอก

เมื่อเธอนั่งลงตรงเก้าอี้คนไข้เขาก็เอ่ยถาม

“อาการเป็นยังไง”

“ปวดท้อง...จุกเสียด แน่น แล้วก็อาเจียน บางทีก็เหมือนจะเป็นไข้”

“เป็นมานานหรือยัง”

“ราวๆอาทิตย์กว่า แต่วันนี้เป็นมาก ก่อนนั้นไม่เคยอาเจียน”

“ขึ้นนอนบนเตียง ขอตรวจหน่อย...คิดว่าน่าจะเป็นโรคลำไส้”

เธอลุกขึ้นแต่แล้วก็งอตัวลงไปใหม่เมื่อปวดจี๊ดขึ้นมาอีก ดวงตาคมวาววับด้วยน้ำหล่อเลี้ยงเหลือบมาเห็น ร่างสูงถลันเข้าประคองราวกับลืมตัว มือแข็งแรงโอบพาพยุงขึ้นเตียง เสียงพูดอ่อนลง ทำให้คนฟังใจชื้นขึ้นมานิด

“ปวดมากหรือ...อดทนอีกเดี๋ยวนะ ตรวจแล้วจะให้ยา”

กีตาร์ปิดเปลือกตาลง ไม่กล้ามองหน้า ไม่กล้าสบตา กลัวว่า...น้ำตาจะไหลออกมาอีก

ฤาสายลมแห่งกาลเวลาได้ลบเลือนทุกอย่างสิ้นแล้ว จนมิอาจย้อนคืนกลับมาเหมือนเดิมได้อีก แต่ที่แย่ยิ่งกว่านั้นคือ...

ทุกลมหายใจที่เข้าออกของเธอ กลับจารจรดจารึกไว้...ทุกรอยจำ...

๐๐๐๐๐๐

ฝากนิยายระบำสายลม ให้นักอ่านทุกคนได้ทดลองอ่านกันค่ะ



แด่ความรื่นรมย์แห่งรัก…

ด้วยความขอบคุณ

ปัญจนารถ






ปัญจนารถ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 29 ก.ค. 2557, 14:40:48 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 29 ก.ค. 2557, 14:40:48 น.

จำนวนการเข้าชม : 2263





   ตอนที่ 2 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account