ระบำสายลม
รักแรก...ที่หยั่งลึก สิบปี...แห่งการพลัดพรากและรอคอยอย่างมั่นคง
เป็นความรักความผูกพัน อันท่วมท้นเท่าที่คนๆหนึ่งจะรักได้
เป็นการรอคอยอย่างรวดร้าวและยาวนาน เท่าที่หัวใจดวงหนึ่งจะพึงรับไหว

แม้วันนี้ "กีตาร์" จะกลายเป็นศิลปินนักร้องระดับซูเปอร์สตาร์
และ "พี่คิม" ได้กลายเป็นนายแพทย์คิมหันต์
แม้ว่า...ทุกการกระทำและทุกการตัดสินใจของคนเราจะมีผลกระทบต่อผู้คนแวดล้อม
และถูกบีบให้เลือกระหว่างตัวเองกับคนรอบข้างอยู่ร่ำไปก็ตาม
แม้ว่าจะมีตัวแปรและอุปสรรคมากมายขวางกั้น แต่ไม่ได้หมายความว่าเป็นไปไม่ได้

เกลียวคลื่นยังม้วนตัวมาจากทะเลจีนใต้อันไกลโพ้น เพื่อเข้ากระทบชายหาดได้
แสงตะวันยังเดินทางตั้ง 93 ล้านไมล์ ผ่านห้วงอวกาศ มาสาดแสงแห่งรุ่งอรุณ
กระแสลมแห่งเวลาสิบปีที่ล่วงผ่าน ก็ยังพัดหวนพาเธอกับเขากลับมาพบกันอีกครั้ง ในค่ำคืนที่ต่างมีความทรงจำร่วมกัน
คู่รักที่เกิดวันเดียวกัน นั่นคือ โชคชะตา
การได้กลับมาพบกัน นั่นคือของขวัญจากพระเจ้า
สิ่งที่เหลือคือ...พรหมลิขิต

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 2

2





คิมหันต์ฉีดยาแก้ปวดให้ หลังจากตรวจจนแน่ชัดแล้วว่าลำไส้อักเสบจริงดั่งที่คาดไว้ คนนอนอยู่บนเตียงหลับตาปี๋ เพียงแค่เขาเช็ดแอลกอฮอล์ลงบนผิวเนื้อ

นึกอยากจะปลอบให้หายกลัว แต่ก็ยั้งไว้ จะเจ็บอะไรนักหนากับแค่เข็มฉีดยา เทียบกันไม่ได้เลยกับความห่วงใยของคนที่เฝ้ารอโดยไม่เคยรู้ว่าการรอคอยจะสิ้นสุดลงเมื่อใด...

ร่างบอบบางยังคงนอนตัวงอหลับตานิ่งหลังการฉีดยา ขนตายาวแผ่พาดผิวเนื้อขาวซีด เปลือกตายังมีรอยอายแชโดว์สีฟ้าเลื่อมระยับ รูปหน้าดูเล็กนิดเดียวยามตะแคงข้างแนบไว้กับหมอนเช่นนี้ จมูกโด่งจัดมีเม็ดเหงื่อผุดพราว คิมหันต์มองห่วงเงินที่เจาะร้อยไว้แล้วคิดอย่างขวางๆ...

‘เจาะจมูกใส่ห่วงแบบนี้ไม่ยักกลัวเจ็บ ทีฉีดยาละก็ทำจะเป็นจะตาย’

พอมองเห็นมือเรียวเล็กที่กดท้องไว้แน่นก็เดาได้ว่า...ยังไม่หายปวด เจ้าตัวคงกัดฟันทนไม่ให้ร้องครางออกมา ความสงสารก็แล่นปราดเข้าจับใจ

วันแห่งการเฉลิมฉลองแท้ๆอีกทั้งยังเป็นวันครบรอบวันเกิด กลับต้องมาป่วยไข้

นึกสงสัยว่าเธอมาที่นี่อย่างไร และจะกลับไปตามลำพังได้อย่างไรเมื่ออาการยังไม่ทุเลาเช่นนี้ ดวงตาที่ทอดมองอ่อนแสงลงด้วยอาทร ไม่ว่าก่อนนั้นหรือวันนี้กีตาร์ก็ยังดูโดดเดี่ยว เดียวดาย คล้ายตัวคนเดียวในโลก

ความหวั่นไหวผ่านวูบเข้ามาในใจ...

เขาเอื้อมมือออกไปคล้ายจะปัดปอยผมที่รุ่ยลงมาระแก้มให้ แต่แล้วก็ชะงักค้างก่อนชักมือกลับฉับพลัน เมื่อดวงตากลมโตกะพริบ แล้วเพ่งมองมา

“นอนพักเถอะ รอให้หายปวดก่อน” เขาพึมพำบอก

“ไม่มีใครอยู่เลยหรือคะ”

“ไม่มี...วันนี้ใครๆก็อยากหยุด”

“แล้วทำไม...ไม่หยุด” เธอละสรรพนามเขาไว้ แต่หมอคิมนิ่งเงียบคล้ายไม่ได้ยิน มีเพียงแววตานั่นแหละที่เปลี่ยนไป ไม่เย็นชาเท่าแต่แรก

เธอยันตัวลุกขึ้นนั่ง นาฬิกาติดผนังบอกเวลาว่าอีกไม่กี่วินาทีจะเที่ยงคืน

“ทำไมไม่นอนพัก” เสียงนั้นเข้มดุเมื่อเห็นคนไข้เหวี่ยงขาลงจากเตียง

แลเห็นดวงตาเธอทอประกายซุกซน ริมฝีปากที่ยังซีดเซียว มีรอยยิ้มขี้เล่นเมื่อเริ่มนับถอยหลังเสียงใส

“ห้า-สี่-สาม-สอง-หนึ่ง... แฮปปี้เบิร์ธเดย์ค่ะ” สิ้นสุดการนับถอยหลังแทนที่จะเป็นสวัสดีปีใหม่ กลายเป็นอวยพรวันเกิด

เหมือนวันเวลาหมุนกลับไปสู่วันคืนเก่าก่อนจะต่างแต่ว่า...วันนี้คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าไม่ได้ประสานเสียงด้วยอย่างเคยเท่านั้น

คนวางท่าห่างเหินไม่ทันได้เตรียมตั้งรับสถานการณ์นี้ นึกไม่ถึงว่าหญิงสาวที่ก้าวออกไปจากชีวิตเขานับนาน จะทำเช่นนั้น จึงปรับกิริยาไม่ทัน ได้แต่เบือนหน้าหนีซ่อนรอยยิ้มขันกึ่งระอา อาการนั้นจุดประกายความกล้าให้อีกฝ่าย...

ร่างเล็กโถมลงจากเตียงเข้าหาอ้อมอกตรงหน้า หากแขนแข็งแรงไม่โอบรัดไว้ทันท่วงทีเธอคงพลัดล้มลงแล้ว

“ตีต้าน่าจะป่วยตั้งนานแล้วถ้ารู้ว่าพี่คิมเป็นหมอ” ดวงตาใสแจ๋วบริสุทธิ์สะอาด บอกความรู้สึกทั้งหมดแจ่มจ้าเกินกว่าชายหนุ่มจะใจแข็งผลักไส กำแพงที่ก่อกั้นทลายลงเมื่อเห็นหยดน้ำใสคลอครอง

คิมหันต์เผลอกระชับอ้อมแขนแน่นขึ้น

แขนเรียวเล็กรัดร่างของชายหนุ่มแน่นอย่างโหยหาและหวงแหน

“คิดถึงพี่คิม คิดถึงคุณย่า...ปีใหม่ทีไรน้ำตาไหลทุกที...ไม่มีปีไหนผ่านไปโดยที่ตีต้าไม่คิดถึงพี่คิมกับคุณย่า”

เธอไม่รู้ว่าคำพูดเหล่านั้นกระทบใจคนฟังอย่างรุนแรง ให้กลับคืนสู่ความเป็นจริงแห่งปัจจุบัน ดวงตาในเบ้าลึกฉายแววแปลกเปลี่ยน...

คนที่เลือกจากไปโดยไม่เคยย้อนกลับมา หรือจะรู้สึกได้เท่าคนที่รอคอย จนป่านนี้...เขาก็ยังไม่รู้ว่าอะไรที่มันสำคัญนักหนาจนเธอต้องจากไปและทิ้งให้เขาเฝ้ารอสัญญา...

“คุณย่าอยู่ที่ไหนคะ...อยากไปหาคุณย่า” เสียงใสๆร่ำร้อง

คนฟังกระชากเสียงห้วน สวนกลับทันที

“คิดถึง...อยากมาหา แล้วเวลาเก้าปี-สิบปีที่ผ่านมาล่ะคุณอยู่ที่ไหนทำอะไรอยู่ คุณย่าต่างหากที่เฝ้าบ่นถึง ท่านมารู้ข่าวคุณอีกทีคือเห็นในทีวี”

“อะไรนะคะ ก็ตีต้าส่ง...” ไม่ทันจบประโยคเสียงโทรศัพท์ของชายหนุ่มเรียกขึ้นขัดจังหวะ คิมหันต์ดันร่างบางออกจากอ้อมแขน เขาชำเลืองมองเธอ มุมปากหยักโค้งขึ้น...มาดหมาย ก่อนกดปุ่มรับสาย

“ยังไม่นอนอีกหรือจ๊ะ”

น้ำเสียงที่พูดกับคนทางปลายสายนุ่มนวลอ่อนโยนราวคนละคนกับเมื่อครู่ ทางโน้นคงจะพูดอะไรบางอย่างที่ถูกใจ คนทางนี้จึงมีเสียงหัวเราะสดใสได้ทันตา

“ขอบใจจ้ะ... นาฬิกาสวยมาก หืม...ชอบสิก็ม่านเป็นคนเลือกให้นี่ สวัสดีปีใหม่เช่นกันจ้ะ”

เขาไม่เหลือบแลมองมาทางเธออีกเลย กีตาร์รู้สึกขัดหูกับคำพูดจ๊ะๆจ๋าๆนั่นเป็นกำลัง หรือว่า...เธอไม่กล้าคิดต่อ เมื่อความรู้สึกว่างโหวงแผ่ขยายเข้าครอบคลุมจิตใจ เวลา...มันยาวนานมากพอที่จะทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไปไม่ใช่หรือ...

“ว่าจะปิดอยู่เหมือนกันพอดีมีคนไข้ พรุ่งนี้เจอกันจ้ะ อ๋อ...เดี๋ยวเขาก็คงกลับแล้วละ ไม่มีใครเขาอยากอยู่กับหมอนานๆหรอก จะมาก็ตอนเจ็บหรือป่วยเท่านั้นแหละ...เวลาดีๆเขาก็ไปที่อื่น” เขาเน้นลงเสียงหนักเหมือนเจตนาจะให้ได้ยิน ดวงตาที่เหลือบมองมาเป็นประกายวาบอย่างสาสมใจ เมื่อเห็นร่องรอยสะท้านสะเทือน จากสีหน้าของคนที่นั่งอยู่อีกมุมหนึ่ง

การสนทนายังคงยืดเยื้อออกไปเรื่อยๆ เสียงหัวเราะแผ่วดังอีกหลายครั้ง เวลาดูช่างยาวนานเหลือเกินกว่าที่เขาจะวางสาย เธอรู้สึกเหมือนถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพังอย่างเดียวดาย...

เมื่อเขาหันกลับมา กำแพงก็ก่อตัวขึ้นอีกครั้ง

“อยากกลับแล้วใช่ไหม...จะจัดยาให้ โรคนี้ต้องรักษาต่อเนื่อง ทานยาหมดแล้วก็น่าจะไปตรวจที่โรงพยาบาลอีกครั้ง อ้อ...ระวังเรื่องอาหารด้วยอย่าทานรสจัด” เขายื่นถุงยาให้เธอหลังออกปากเชิงผลักไส

“เท่าไหร่คะหมอ” เธอประชด อีกฝ่ายนิ่งไปอึดใจหนึ่งราวไม่ได้นึกถึงค่าใช้จ่ายไว้แต่แรก “ไม่ต้อง”

“แล้วทำไมถึงไม่ต้องคะ เท่านี้ก็รบกวนมากแล้ว ทำให้คุณหมอต้องพลาดนัดสำคัญ” เธอยอกย้อนจากคำพูดที่ได้ยิน

“บอกว่าไม่ต้องก็ไม่ต้องสิ” น้ำเสียงนั้นเกือบเป็นตวาด

“ใครมาวันนี้ก็รักษาฟรีทั้งนั้น ไม่ว่าดาราหรือยาจก” เขาบอกโดยไม่มองหน้าแต่ทุกคำย้ำชัด เชือดเฉือน

“อ้อ...” กีตาร์กัดริมฝีปากตาวาววับด้วยแรงอารมณ์ต่างๆที่ประดังเข้ามา มือล้วงหากระเป๋าเงินแล้วก็ใจหายวาบกระเป๋าเงินอยู่ที่เบนโจ...

ท่าควานหากระเป๋าเงินและกิริยาทั้งหมดหาได้รอดพ้นสายตากร้าวของอีกฝ่าย

“งั้นก็ดี เพราะไม่มีเงินเหมือนกัน...ถือซะว่าคุณทำทานได้ครบถ้วนทั้งดาราและยาจกก็แล้วกัน” เธอบอกอย่างฉุนเฉียว คว้าถุงยาพรวดพราดจะผลักประตูออกไปหากแต่มือแข็งแรงคว้าแขนกระชากกลับมา

“ไม่มีเงินแล้วจะกลับยังไง”

เธอปิดปากเงียบแต่ดวงตายังวะวับ ชายหนุ่มหรี่ตา ชั่งใจ...

อยากปล่อยให้ก้าวออกไปดูสิว่า คนอวดดีจะทำอย่างไร แต่อีกใจก็ยังกังวล... กีตาร์อาจทำเรื่องบ้าๆที่คนอื่นไม่คิดจะทำก็ได้ เขาเกือบจะมั่นใจว่าเธอเดินกลับแน่ๆ ถึงขุ่นแค้นเพียงไร แต่เขาก็ไม่อยากนั่งจินตนาการว่า เธอเดินเปะปะไปถึงไหนตามท้องถนนในยามดึกดื่นเช่นนี้

“จะไปส่ง”

คำพูดของอีกฝ่ายทำให้ความพลุ่งพล่านของคนฟังลดระดับลง แต่ยังปฏิเสธเสียงแข็ง

“ไม่ต้อง เดี๋ยวมีคนมารับ”

“ใคร”

“คนที่มาส่ง” คำตอบห้วนสั้นไม่แพ้กัน

คนฟังอึ้งไปชั่วครู่

“งั้นก็นั่งคอยอยู่ที่นี่จนกว่าจะมีคนมารับจริงๆ” สิ้นเสียงดุๆเจ้าของคลินิกก็เดินไปล็อคประตูฉับ!

“เอ๊ะ...” เธอร้องเสียงดัง

“ทำไม...” เขาหันขวับ จ้องเขม็ง “ก็คนมันเคยหนีไป ใครจะรู้ว่าจะไม่หนีไปอีก ถ้ามีใครมารับจริงเดี๋ยวเขาก็เรียกเองนั่นแหละ” กิริยาท่าทางของนายแพทย์หนุ่มยามนี้ไม่ต่างจากเด็กเกเรสักเท่าไร

กีตาร์กัดริมฝีปากข่มกลั้น เมื่อร่างสูงๆเดินพรวดๆ หายเข้าไปทางห้องตรวจ ใครกันแน่ที่ใจดำไม่ยอมรับฟังเหตุผล ไม่เคยแม้แต่จะตอบจดหมายสักฉบับ เธอกลั้นน้ำตา...

ร่างบางทรุดนั่งอยู่ตรงโซฟานั่นเอง



นานนับชั่วโมง...คิมหันต์กลับออกมาอีกครั้งคนป่วยฤทธิ์มากก็ฟุบหลับไปแล้ว ชายหนุ่มทอดถอนใจกลับเข้าไปเอาผ้าห่มออกมาคลี่คลุมให้ ร่างสูงคุกเข่าลงแล้วขยับช้อนขาขึ้นมาวางไว้บนเบาะ สายตาจับจ้องมองดวงหน้าของหญิงสาวนิ่งนาน ด้วยความรู้สึก...ทั้งรักและชัง

“เธอหายไปไหนมาหือตีต้า พอพี่ทำใจได้แล้ว เธอกลับมาอีกทำไม”

คำถามนั้นจางหายไปกับความเงียบ เพราะคนที่หลับตาพริ้มไม่มีโอกาสได้ยินและบอกถึงเหตุผล...



เสียงกริ่งดังขึ้นเมื่อเกือบสองนาฬิกา เจ้าของคลินิกเดินออกมาไขประตูขณะที่หญิงสาวซบหลับอยู่ที่โซฟาในท่าเดิม ผู้ชายผมยาว...สูงโปร่งกว่าคิมหันต์ ก้าวเข้ามาอย่างเร่งร้อน

“ผมมารับกีตาร์ เธอเป็นไงบ้าง เป็นอะไรมากหรือเปล่า” น้ำเสียงนั้นบอกถึงความห่วงใยมากล้นจนคนฟังรู้สึกได้

“ลำไส้อีกเสบ ผมฉีดยาให้ น่าจะหายปวดแล้ว”

เขาก้าวเข้าไปหาร่างที่นอนหลับอยู่ นิ้วเรียวยาวปัดปอยผมให้แล้วตีแก้มเธอเบาๆปลุกให้ลุกขึ้น ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า ‘สนิทสนม’ กันแค่ไหน

“ต้า...ต้า...ตื่นเร็วกลับบ้านกัน”

เธอกะพริบตาถี่ๆยังมีอาการงัวเงีย พอเห็นว่าเป็นใครก็ยันตัวลุกขึ้น

“อ้าวโจ...มาแล้วเหรอทำไมนานจัง”

“ก็ที่โน่นเพิ่งเสร็จ ยุ่งชิงเป๋ง จะขนกันไปเลี้ยงอีก เราเผ่นออกมาก่อน นี่เร็วที่สุดแล้วนะไปเหอะ...เค้กวันเกิดเน่าแล้วมั้งป่านนี้”

ดวงตากลมโตเหลือบเลยมาทางร่างสูงของอีกคนที่ยืนกอดอกพิงเคาน์เตอร์ ทอดสายตาออกไปข้างนอกเหมือนไม่มีอะไรเกี่ยวข้องและเบื่อหน่ายเต็มที อาการนั้นทำให้หญิงสาวรีบลุกขึ้นทันที

“ไปเถอะโจ...คุณหมอเขาคงอยากปิดคลินิกเต็มทีแล้ว เอารถอะไรมา”

“พ่วงข้าง ดึกป่านนี้แล้วคงไม่มีใครเห็นหรอก ซิ่งแป๊บเดียวก็ถึงบ้านเราแล้ว”

คำว่า ‘บ้านเรา’ ทำให้คนที่ทำเป็นไม่สนใจเลื่อนสายตาปราดมามอง กีตาร์เห็นรอยเหยียด... ขุ่นขวางฉายโชนอยู่ในนั้น

“ไปก่อนนะคะ” เธอบอกเสียงแผ่ว

“ขอบคุณมากครับหมอ” เบนโจก้มศีรษะให้

นายแพทย์หนุ่มไม่ตอบ ไม่มีแม้รอยยิ้ม ดวงตาคมลึกมองตรงมา...เย็นชา!

นานทีเดียวหลังจากยืนมองภาพสองหนุ่มสาวที่จากไปด้วยรถมอเตอร์ไซค์บีเอ็มพ่วงข้างแบบนาซี...คิมหันต์เพิ่งนึกออกว่าผู้ชายคนนั้นคือ เบนโจ ลี นักแต่งเพลงลูกครึ่งฮ่องกงนั่นเอง

นั่นหรือ...คือชีวิตที่เธอต้องการ จนสามารถละทิ้งได้ทุกสิ่ง ทั้งการเรียน อนาคตตัวเองหรือคำมั่นสัญญา เพื่อจะไล่ล่าไปให้ไกลสุดทางฝัน มีชื่อเสียง...และอยู่กับคนที่เหมาะสมเช่นเบนโจ ลี

เมื่อปิดคลินิกเรียบร้อยกำลังจะก้าวตรงไปที่รถ สายลมหนาวก็หอบแพรสายฝนบางเบาพร่างพรมลงมา แต่เพียงวูบเดียวก็จางจาก ละอองเยียบเย็นกระทบผิวหน้าหนาวลึกเข้าไปถึงใจแล้วคำถามหนึ่งก็ผุดขึ้นมา

จริงหรือ...ที่คนเราสามารถข่มกลั้นความรู้สึกและควบคุมทุกย่างก้าวของตนให้อยู่ในแผนผัง กรอบ กฎ ซึ่งเป็นสูตรแห่งความสำเร็จและความสุขได้ ด้วยการเลือกแต่สิ่งที่เหมาะสม...แล้วทำไมใจยามนี้ถึงได้พลุ่งพล่านหวั่นไหวนัก...อดีตจบแล้วจริงละหรือ?

เกลียวคลื่นยังม้วนตัวมาจากทะเลจีนไกลโพ้น เข้ากระทบชายหาดได้ แสงตะวันเดินทางตั้ง 93 ล้านไมล์ ผ่านห้วงอวกาศมาลูบไล้ลงบนผืนทราย และ...เวลาสิบปีที่ล่วงผ่าน ก็ยังหวนพาเธอกลับมา ในคืนที่ต่างมีความทรงจำร่วมกัน...

หรือสิ่งที่คิดว่าจบ มันอาจเพียงเพิ่งเริ่มต้น เพื่อพิสูจน์กฎเกณฑ์!!



บ้านเดี่ยวชั้นเดียวขนาดสี่ห้องนอนย่านชานเมือง ที่ห้าสิบเปอร์เซ็นต์ของตัวอาคารกรุด้วยกระจกใส สงบเงียบอยู่ท่ามกลางสนามหญ้ากว้างและไม้ยืนต้นร่มรื่นหลังกำแพงหินกาบสูงท่วมหัว ปิดกั้นสายตาอยากรู้อยากเห็นของคนภายนอกได้มิดชิด

เบนโจ ลี พามอเตอร์ไซค์พ่วงข้างเข้ามาจอดเทียบกับรถตู้สีดำเป็นเงาปลาบ ติดฟิล์มกรองแสงมืดทึบ แม้จะสมัครรักใคร่เจ้าพ่วงข้างคู่ใจมากกว่า แต่...รถตู้คันนี้ก็กลายเป็นยานพาหนะที่จำเป็นไปแล้วเมื่อกีตาร์กลายเป็นศิลปินชื่อดัง เพราะมันทำให้เธอสามารถล่องหนไปไหนต่อไหนได้โดยไม่ถูกห้อมล้อม

กีตาร์เหวี่ยงตัวลงจากพ่วงข้าง บิดขี้เกียจจนกระดูกลั่นดังกร๊อบ แล้วเอื้อมมือมาตบตัวถังเทอะทะ

“ขอบใจ...ถึงแกจะโบร่ำโบราณไปซักหน่อย แต่ฉันก็รู้สึกมีอิสรภาพและเป็นผู้เป็นคนขึ้นแหละเวลาได้ไปกับแก…คืนนี้ถึงจะมีอะไรแย่ๆแต่มันก็มีอะไรดีๆบ้างเหมือนกัน...ว่ามั้ย” เจ้าตัวคุยกับรถเป็นคุ้งเป็นแคว ราวกับเพื่อนสนิท

“ทีเราเป็นเบ๊วิ่งรับส่งไม่ขอบใจ” เบนโจว่าขณะไขกุญแจบ้าน

“พูดกับใครก็เหมือนกันแหละน่า” เธอบอกแล้วถอดเสื้อกั๊กวางแหมะไว้ที่โซฟา เดินเร็วๆเข้าครัวโดยไม่สนใจเสียงโวยวายของคนข้างหลัง

“เฮ้ย...บอกแล้วอย่าเอาเสื้อมากองแถวนี้”

“บ้านใคร...ทำมาบ่น”

“เออแหละ...ถึงเธอจะจ่ายเงินค่าซื้อบ้านคืนมาเกือบหมดแล้ว แต่ยังไงบุญคุณก็ยังอยู่ ถ้าเราไม่ออกเงินให้ก่อน เธอหรือจะได้มีบ้านของตัวเอง”

“ก็ยกให้ห้องนึงแล้วไง ยังจะมาทวงบุญทวงคุณ...ฮึ...”

ร่างสูงๆตามเข้ามาเปิดตู้เย็น หยิบขวดน้ำออกมาวางยังไม่ทันได้เปิดตู้หยิบแก้ว มือเล็กก็คว้าไปยกดื่มทั้งขวด เบนโจนิ่วหน้า ยังไม่ทันได้ขยับปากบ่น อีกฝ่ายก็ทำท่ายืนล้วงกระเป๋าเอียงคอเลียนแบบท่าทางของอีกฝ่ายได้อย่างไม่ผิดเพี้ยน เสียงใสๆถูกดัดให้ห้าวดุ

“นี่...ทำไมเธอซกมกอย่างนี้ ไม่มีมารยาทผู้ดีเอาซะเลย”

เบนโจกัดมุมปากกลั้นยิ้มอย่างอ่อนอกอ่อนใจ แล้วคว้าขวดน้ำไปยกดื่มอั้กๆ

คนชนะได้ทีอบรมต่อ

“น่าน...ต้องอย่างนั้น รู้จักแหกกฎซะบ้าง อาไร้เจ้าระเบียบเป็นสาวแก่ไปได้ รู้จักมั้ยสบายๆกับชีวิตน่ะ”

หนนี้...นิ้วชี้ของอีกฝ่ายยื่นมาจิ้มลงบนหน้าผากเธอ

“คนทุกคนก็ต้องมีกฎของตัวเองทั้งนั้นแหละ หรือว่าเธอไม่มี...แล้วไอ้ที่เธอไม่ยอมให้ค่ายเพลงมาจับเธอแต่งตัวแบบนั้นแบบนี้ล่ะ...ทำไมไม่แหกกฎเพื่อชื่อเสียงบ้างล่ะหือ”

“ฮึ...” เธอทำเสียงขึ้นจมูก

“เป็นอะไรน่ะต้า...ทำไมกวนตีนนักวะ ทำเหมือนพวกเก็บกด หมอฉีดยาผิดให้หรือเปล่า” เบนโจมองหน้าอย่างค้นหา คราวนี้คนตีรวนหลบตา เดินหนีไปที่โต๊ะอาหารเปลี่ยนเรื่องเอาดื้อๆ

“ไหนล่ะเค้กวันเกิด”

“ก็อยู่ในกล่องนั่นไง”

“หือ” กีตาร์เปิดกล่องกระดาษใบเล็กเท่าฝ่ามือแล้วก็ทำตาโต

“เค้กวันเกิดเหรอเนี่ย ต๊าย...ทำไมมันกะจิ๊ดเดียวแบบนี้ล่ะโจ” ปากบ่นแต่ตาพราวระยับอย่างชอบใจ เพราะลวดลายเล็กจิ๋วประณีตบนหน้าเค้กดูพิถีพิถันนัก บอกให้รู้ถึงความพิเศษและทำยากลำบากเสียยิ่งกว่า

“ปักเทียนสิ” เบนโจส่งเทียนเล็กจิ๋วพอกันให้ แชมเปญแช่เย็นเจี๊ยบถูกเอาออกมาจากตู้เย็น “ยังปวดท้องอยู่หรือเปล่า”

“กินได้น่า แก้วเดียว” เธอชูนิ้วเดียวเป็นเชิงสัญญา

“พี่ปองส่งของมา เราเก็บไว้ให้ในห้อง” เบนโจบอกอย่างนึกขึ้นได้ว่ามีพัสดุจากพ่อของกีตาร์ส่งมาจากภาคเหนือ

“เหรอ...แหมป๊านี่โรแมนติกจัง เดี๋ยวค่อยไปแกะดูก่อนนอน”

“ไปที่สนามกันดีกว่า” คนชวนหนีบขวดแชมเปญกับแก้วออกไปก่อน ปล่อยให้เจ้าของวันเกิดประคองเค้กตามมา

“อธิษฐานสิ” ชายหนุ่มจุดเทียนให้

“ปีนี้ไม่ต้อง”

เบนโจเลิกคิ้ว

“ไม่อยากเจอพี่คิมแล้วเหรอ” คนถามรู้ดีว่าสิ่งเดียวที่กีตาร์อธิษฐานมาตลอดทุกปีคือ...ขอให้ได้เจอกับพี่คิมของเธออีก หญิงสาวส่ายหน้าไม่ตอบคำถาม

“แฮป-ปี้-เบิร์ธ-เดย์ ทู-ยู ....” เบนโจเริ่มต้นเพลงอวยพร เสียงแน่น ชัด คม ไต่ถึงทุกตัวโน้ตอย่างแม่นยำ ไพเราะยิ่งกว่านักร้องอาชีพ กีตาร์มองหน้าและนิ่งฟัง ริมฝีปากบางยิ้มน้อยๆอย่างพึงใจ

หากเบนโจ ลี จะเอาดีทางการเป็นนักร้องหรือนายแบบ เธอเชื่อว่าเขาจะยืนอยู่แถวหน้า หากเขาปฏิเสธทุกครั้งที่มีการทาบทาม ชายหนุ่มพอใจเพียงแค่ได้แต่งเพลง เล่นดนตรีข้างถนนและรอนแรมเดินทางไปกับพ่วงข้างของเขา นับแต่กลับมาจากอิตาลี...

ถ้าไม่ใช่เพราะเธอที่เป็นเหมือนน้องและเพื่อน เบนโจจะไม่มีวันเข้ามาเกี่ยวข้องกับวงการมายา และถ้าไม่มีเบนโจ ลี กีตาร์ก็จะไม่มีวันได้เข้ามาเหยียบยืนในค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ของเมืองไทย

หญิงสาวเป่าเทียนหลังจากประสานเสียงท่อนสุดท้ายกับชายหนุ่ม เธอตัดเค้กแบ่งครึ่งแล้วเลื่อนไปให้

“สุขสันต์วันเกิด” เบนโจหันมาบอกขณะที่จุกแชมเปญระเบิดออก น้ำสีจางพุ่งกระจายท่ามกลางเสียงหัวเราะ

“ขอบคุณนะโจ...ที่ดูแลต้าตลอดมา” น้ำเสียงนั้นกระตุกขาดห้วงขึ้นมาทันที มือของอีกฝ่ายเอื้อมมาตบบ่า

“ห้ามซึ้งเชียว...”

กีตาร์กัดริมฝีปากนิ่งอยู่ชั่วอึดใจ แล้วบอกออกมา...

“ต้าเจอพี่คิมแล้ว”

“เฮ้ย...เจอที่ไหน เมื่อไหร่” ชายหนุ่มทำหน้าประหลาดใจ

“ที่คลินิก”

“หมอคนนั้นน่ะเหรอ” เบนโจนึกถึงดวงตาคมลึกคู่นั้นกับกิริยาที่ไม่ได้บอกแม้แต่น้อยว่าเคยใกล้ชิด ผูกพันกับกีตาร์มาก่อน

“ทำไมเขาถึงทำเหมือนไม่รู้จักต้าล่ะ”

“พี่คิมคงยังโกรธ...”

“โกรธอะไรนักหนา”

“ทุกอย่างมันไม่เหมือนเดิมอีกแล้วละโจ ต้าผิดเองที่ไม่รักษาสัญญา อีกอย่าง...รู้ทั้งรู้ว่าเขาไม่ชอบคนในวงการ ต้าก็ยังเลือกที่จะเข้ามาตรงนี้”

“ก็แล้วเพราะอะไรล่ะเธอถึงอยากเป็นคนดัง ถ้าไม่ใช่เพราะหวังว่าข่าวคราวจะไปถึงเขา…ผู้ชายอะไรวะใจดำชะมัด นี่แสดงว่าเขาเห็นต้ามาตลอดแต่ไม่คิดจะมาหาเลย” เบนโจพูดอย่างหงุดหงิด

ตั้งแต่กีตาร์กลับมาเมืองไทย เธอรบเร้าให้เขาพาไปบ้านคุณย่าและพี่คิม การตามหาไม่ต่างกับการงมเข็มในมหาสมุทร กรุงเทพฯเปลี่ยนไปมากมาย กว่าจะหาบ้านที่เธอว่าพบก็ยากเย็นแสนเข็ญ แล้วต้องคว้าน้ำเหลวอีกครั้ง เพราะบ้านและที่ดินตรงนั้นถูกขายเปลี่ยนมือไปแล้ว ไม่มีใครรู้เลยว่า...เจ้าของเก่าย้ายไปอยู่ที่ไหน

“อย่าว่าพี่คิมเลยโจ แค่ได้เจอเขาก็ดีเหลือเกินแล้ว...” เธอระบายยิ้มเหงาๆ เหม่อมองไปยังท้องฟ้าซึ่งมีดาวนับล้านดวงทอแสงระยิบระยับจากขอบฟ้าด้านหนึ่งไปยังอีกด้านหนึ่ง

“โจเคยบอกไม่ใช่เหรอว่า...คนสองคนที่จะผูกพันกันอย่างลึกซึ้งนั้นย่อมต้องมีบทพิสูจน์มากมายเพื่อทดสอบความมั่นคง เราไม่มีวันรู้หรอกว่า ใครคนไหนที่เกิดมาเป็นครึ่งหนึ่งของเรา จนกว่าคนคู่นั้นจะผ่านอุปสรรค์ที่โชคชะตาส่งมาทดสอบไปได้”

เบนโจมองหน้าคนพูด แล้วพยักหน้ายอมจำนน

“นั่นสินะ...คืนพิเศษอย่างนี้อะไรจะดีไปกว่าได้เจอคนที่เรารัก ไม่ว่าจะเจอแล้วเป็นอย่างที่ต้องการหรือไม่ มันก็ยังดีกว่า ไม่มีโอกาสเจอกัน” คำพูดสุดท้ายแผ่วลง เบนโจแหงนมองดาวแล้วยกมือป้องปากตะโกน ราวกับว่าจะกู่ก้องข้ามขอบฟ้าไปยังแดนไกล

“เอพิล...แฮปปี้นิวเยียร์…”

“สวัสดีปีใหม่ค่ะป๊า...” กีตาร์ตะโกนบ้างอย่างไม่ยอมน้อยหน้า

“เอพิล...ไอเลิฟยู...”

กีตาร์หัวเราะเสียงดัง อากาศยามย่ำรุ่งสดสะอาด

เธอรู้สึกว่าโลกนี้ช่างน่าอยู่เหลือเกิน แม้บางคราว...จะหนาวหรือเหงา แต่ความหวานและความหวังก็ยังเจือไว้ในชีวิตเสมอ…

QQQQQ



แด่ความรื่นรมย์แห่งรัก…

ด้วยความขอบคุณ

ปัญจนารถ




ปัญจนารถ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 30 ก.ค. 2557, 16:23:37 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 30 ก.ค. 2557, 16:24:19 น.

จำนวนการเข้าชม : 1333





<< ตอนที่ 1.    ตอนที่ 3 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account