พระพรหมดลรัก
คอนิยาย : พระพรหมดลรัก มีอะไรชวนให้น่าติดตามบ้าง

หนึ่งจันทร์ : ไม่มี

คอนิยาย : อ้าว! ตอบแบบนี้แล้วใครจะมาอ่านนิยายคุณ

หนึ่งจันทร์ : ก็มันไม่มีจริงๆ นี่นา กุ๊กกิ๊กก็บางเบา หวานก็เล็กน้อย ดร่าม่าก็ไม่มี บู๊สนั่นหั่นแหลกก็ไม่มี โรมานซ์ก็หาไม่เจอ อภินิหารย์ก็ไม่โผล่ คอมเมดี้ก็ไม่เห็น ปรัชญาก็เขียนไม่เป็น

คอนิยาย : เวรกรรม แล้วนิยายคุณมีอะไรบ้างเนี่ย (คอนิยายเริ่มมีน้ำโห)

หนึ่งจันทร์ : มีความสุขมอบให้แบบไม่มีอะไรเลย 5555

ปล. อย่างที่กล่าวในข้างต้น ใครที่อยากรู้ว่านิยายที่ไม่มีอะไรเลย เป็นอย่างไรก็ต้องทดลองเข้าไปอ่านนะคะ ถ้าอ่านแล้วรู้สึกว่ามันไร้แก่นสารในชีวิตมาก ก็ขออภัยไว้ ณ.ที่นี้ด้วย ^^ ส่วนใครก็ตามที่คิดว่าไหนๆ ก็หลงเข้ามาอ่านแล้วก็ต้องตามอ่านให้จบ ท่านอาจจะค้นพบอะไรมากมายในความที่ไม่มีอะไรเลยก็ได้ (หรือเปล่าหว่า...555)

Tags: หาดใหญ่

ตอน: บทที่ 1

บทที่ 1

เรื่องราวของเกาะหนูเกาะแมวที่ได้รับการถ่ายทอดจากบิดา เป็นหนึ่งในหลายๆ เรื่องที่เธอนำมาใช้ในการประกอบวิชาชีพ นิทานพื้นบ้านหลายต่อหลายเรื่องถูกถ่ายทอดไปยังลูกทัวร์กลุ่มแล้วกลุ่มเล่า และมันก็สร้างความเพลิดเพลินในระหว่างการเดินทางได้เป็นอย่างดี วันนี้ก็เช่นกัน ขณะนี้เธอกำลังยืนมองลูกทัวร์ของตัวเองปีนป่ายขึ้นไปบนโขดหินเพื่อถ่ายรูปกับรูปปั้นนางเงือกทอง
นี่เป็นสัญลักษณ์อีกอย่างหนึ่งที่อยู่คู่กับหาดสมิหลามาเป็นเวลานาน ด้วยกาลเวลาที่ผ่านไปและการถูกไอทะเลกัดกร่อน ทำให้นางเงือกไม่ได้มีสีทองอร่ามเหมือนเมื่อครั้งแรกที่ถูกนำมาตั้งไว้ที่ริมหาด แต่กลายเป็นนางเงือกผิวคล้ำ เกือบจะดำสนิทไปทั้งตัวแล้ว ไม่ว่าอย่างไรเงือกสาวตนนี้ก็ยังคงทำให้หาดสมิหลามีมนต์ขลัง มีเสน่ห์ ทำหน้าที่ต้อนรับนักท่องเที่ยวอย่างเจ้าบ้านที่ดี ดังนั้นใครที่มาเยือนหาดสมิหลาแล้วไม่ปีนขึ้นไปถ่ายรูปกับนางเงือกบนโขดหิน นั่นถือว่าคุณยังมาไม่ถึงหาดสมิหลา จังหวัดสงขลา นั่นเอง

“พีย่า” เจ้าของนาม ‘พีย่า’ ส่งยิ้มหวานนำไปก่อน

“ถ่ายรูปให้พวกเราหน่อยสิ” สำเนียงภาษาอังกฤษสไตล์คนมาเลเซียจากลูกทัวร์คนหนึ่งดังขึ้น พร้อมยื่นกล้องถ่ายรูปให้

“ได้ค่ะ” หญิงสาวก้าวตามลูกทัวร์ไปที่รูปปั้นนางเงือกที่อยู่ไม่ไกลนัก เนื่องจากคนอื่นปีนขึ้นไปรออยู่เรียบร้อยแล้ว รอเพียงตากล้องมือสมัครเล่นเท่านั้น

“สวยมาก” เจ้าของกล้องยกนิ้วโป้งชูให้เธอพร้อมกับคำชม

“อย่าลืมนะคะ อีกครึ่งชั่วโมงมารวมตัวกันที่นี่” หญิงสาวบอกลูกทัวร์อีกครั้ง ก่อนที่ทุกคนจะแยกย้ายไปถ่ายรูปตามจุดต่างๆ ของหาดสมิหลา

ส่วนไกด์สาวก็หามุมหลบแดดให้กับตัวเอง สุพิชญานั่งลงที่ม้าหินตัวหนึ่งใต้ต้นสนใหญ่ เธอยึดอาชีพนี้มาได้ปีกว่าแล้ว หลังเรียนจบเธอก็พยายามสมัครงานตามบริษัททัวร์ต่างๆ และนับเป็นโชคดีที่ที่เข้าไปฝึกงานในบริษัทไม่นาน ก็สามารถสอบผ่านการเป็นมัคคุเทศก์ที่ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ต้องเป็นไกด์ผีเหมือนหลายๆ คน

มัคคุเทศก์ส่วนใหญ่ในภูมิภาคนี้จะสื่อสารกับนักท่องเที่ยวด้วยสามภาษาหลักๆ ก็คือ อังกฤษ จีน และมลายู (เป็นภาษาที่มัคคุเทศก์ซึ่งนับถือศาสนาอิสลาม นำมาใช้ควบคู่ภาษาอังกฤษ) เธอเป็นหนึ่งในมัคคุเทศก์ที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลักในการทำงาน ส่วนอีกสองภาษาก็ได้แค่คำพื้นๆ ง่ายๆ ที่เอาไว้สร้างความเป็นกันเองกับลูกทัวร์เท่านั้น

เมื่อมีการแบ่งแยกระหว่างมัคคุเทศก์ที่พูดภาษาจีนกับพูดภาษาอังกฤษ ก็เลยมีการเรียกกันสั้นๆ เวลาที่ถูกป้อนงานแต่ละชิ้นของบริษัททัวร์ กรุ๊ปนี้ไกด์จีน กรุ๊บนั้นไกด์อังกฤษ ฟังดูแล้วเท่ห์ไม่หยอก แรกๆ เธอก็อดขำกับคำเรียกขานเหล่านี้ไม่ได้ เพราะมันให้ความรู้สึกว่า ไกด์จีน คือมัคคุเทศก์ชาวจีน ส่วนไกด์อังกฤษก็ไม่พ้นมัคคุเทศก์ที่เป็นฝรั่ง แต่พอเห็นหน้าค่าตาของแต่ละคน กลับไม่มีใครหัวแดง ตาสีฟ้าเลยสักคน

เท่านั้นยังไม่สาแก่ใจ เมื่อท่านเจ้าของกิจการจับมัคคุเทศก์ของตัวเองมาตั้งชื่อใหม่ เพื่อให้ลูกทัวร์จำชื่อไกด์แต่ละคนได้ง่ายขึ้น อย่างเช่นเธอเป็นต้น ครั้งแรกเจ้านายตั้งชื่อให้ว่า พิชซ่า ตามสำเนียงชื่อจริง เพื่อนร่วมงานขำกันกลิ้ง แต่เธอสิขำไม่ออก รวมถึงค้านไม่ยอมรับชื่อนี้โดยเด็ดขาด สุดท้ายก็มาลงตัวที่ ‘พีย่า’ เพื่อนร่วมงานอีกคนเป็นไกด์จีน ชื่อทวิภาค เจ้านายอุตส่าห์เอาชื่อพระเอก 007 มาตั้งให้ว่า ‘เจมส์’ แต่เจ้าตัวกลับปฏิเสธบอกว่าในเมื่อเป็นไกด์จีนของชื่อจีนๆ แล้วเขาก็ตั้งชื่อให้กับตัวเองว่า ‘ไจ่ไจ๋’ หนึ่งในสุดหล่อแห่ง F4 เพื่อนรวมทีมฮากันกลิ้งอีกรอบรวมทั้งตัวเธอด้วย นอกจากนี้ก็ยังมี ลิซ่า จอห์น เอมี่ แล้วแต่ใครชื่นชอบชื่ออะไร

เมื่อได้ยึดอาชีพนี้ไม่เพียงแต่ได้ท่องเที่ยวไปยังสถานที่ต่างๆ แต่เธอยังได้พบปะผู้คนมากมาย ทั้งคนชาติเดียวกัน คนต่างชาติ ต่างภาษา น่าเสียดายที่เธอเรียนจบในช่วงที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้เกิดความไม่สงบขึ้นแล้ว แต่จะว่ากันตามความเป็นจริง เรื่องปัญหาชายแดนภาคใต้มันมีมานานมากแล้ว ดีไม่ดีมีมาก่อนที่เธอจะเกิดซะอีก เพียงแต่มันเพิ่งทวีความรุนแรงในช่วงที่ผ่านมานี้เอง

ด้วยความไม่ปลอดภัยทำให้การเดินทางไปท่องเที่ยวในจังหวัดเหล่านั้นลดน้อยลง และอีกประการหนึ่งอันนี้ขอยอมรับด้วยความเต็มใจว่าเธอกลัวตายก่อนวัยอันควร ถ้าเลี่ยงได้ก็จะพยายามเลี่ยง ทั้งๆ ที่อยากพานักท่องเที่ยวไปสัมผัสวัฒนธรรมและประเพณีของทั้งสามจังหวัดใจจะขาด สมัยเด็กๆ เธอก็เคยไปเที่ยวที่นั่นหลายครั้ง โดยเฉพาะจังหวัดปัตตานี ทุกคนที่มาเยี่ยมเยือนจังหวัดนี้ มักจะไม่พลาดที่จะเข้าไปกราบไหว้เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวที่ศาลเจ้า และที่อยู่ไม่ไกลกันนักนั่นก็คือ มัสยิดกรือเซะ สถานที่ทั้งสองมีตำนานที่เล่าขานเกี่ยวเนื่องกันด้วย และอีกหนึ่งสถานที่หากมาจังหวัดปัตตานีแล้วไม่ไปยังสถานที่แห่งนี้ก็คงไม่ได้อีกเช่นกันนั่นก็คือวัดช้างไห้ เป็นวัดที่หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืดเป็นเจ้าอาวาสองค์แรก และเมื่อท่านมรณภาพ ศพของท่านก็ได้ทำพิธีฌาปนกิจที่วัดแห่งนี้ด้วยเช่นกัน สถานที่แห่งนี้ก็มีตำนานเล่าขานเช่นเดียวกับที่อื่นๆ นอกจากสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แล้วก็ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ไม่ว่าจะน้ำตกทรายขาว แหลมตาชี หาดวาสุกรี และอีกหลายๆ ที่ นี่เป็นแค่หนึ่งในสามของสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เท่านั้น ยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่น่าค้นหาและเข้าไปสัมผัส ก็หวังเอาไว้ว่า สักวันทุกอย่างจะคลี่คลายไปในทางที่ดี

ตอนนี้โปรแกรมการท่องเที่ยวจะมุ่งไปที่ตรัง กระบี่ ภูเก็ต นครศรีธรรมราช และสมุยแทน ซึ่งก็เป็นสถานที่ที่ได้รับความนิยมเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เพียงแต่ตอนนี้ได้รับความสนใจมากขึ้นเท่านั้นเอง และการที่โปรแกรมทัวร์เปลี่ยนไป ก็ทำให้สุพิชญารับงานได้น้อยลง เพราะการเดินทางไปภูเก็ต กระบี่ สมุย อย่างน้อยก็ต้องค้างแรม 3 ถึง 4 วัน ทำให้มีข้อจำกัดในเรื่องที่พัก เนื่องจากส่วนใหญ่ทางโรงแรมจะจัดให้ไกด์พักห้องเดียวกับคนขับรถ หากไกด์หญิงคนไหนรับได้ก็ไม่มีปัญหา แต่สำหรับสุพิชญายังไม่หาญกล้าขนาดนั้น หรือบางครั้งก็มีการจัดให้พักกับมัคคุเทศก์ของทางฝั่งมาเลเซีย ซึ่งแน่นอนว่าหาเป็นไกด์ผู้ชาย หญิงสาวก็ขอโบกมือลาเช่นกัน

ไกด์สาวยกข้อมือขึ้นดูเวลา เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นลูกทัวร์ของเธอเดินจับกลุ่มพูดคุยกันมา ลูกทัวร์กลุ่มนี้รักษาเวลาดีมาก ไม่ต้องให้ตามหรือให้รอ เพราะมีหลายๆ ครั้ง การผิดเวลาของลูกทัวร์ก็ทำให้โปรแกรมต่างๆ คลาดเคลื่อนไปหมด สำหรับคนมาสายคงไม่คิดอะไร แต่สำหรับคนที่ตรงต่อเวลาบางครั้งก็อดหงุดหงิดไม่ได้ และแน่นอนผู้นำเที่ยวก็จะกลายเป็นที่รองรับอารมณ์ของคนกลุ่มนั้นเช่นเดียวกัน

“สนุกไหมคะ” สุพิชญาเอ่ยปากถามลูกทัวร์ก่อน

“ก็สนุกดีครับ แต่ถ้ามีเวลามากกว่านี้คงลงไปเล่นน้ำด้วยครับ” ลูกทัวร์ผู้ชายคนหนึ่งเป็นคนตอบคำถาม

“จริงๆ ก็ลงเล่นได้นะคะ แต่กลัวว่าจะเพลินจนลืมเวลามากกว่า เอาไว้คราวหน้ากลับมาเที่ยวที่นี่ใหม่สิคะ รับรองคะว่าพีย่าจะจัดสรรเวลาให้คุณคิมได้เล่นน้ำอย่างแน่นอน” ไกด์สาวส่งยิ้มหวานให้ลูกทัวร์คนเดิม

“เราจะกลับหาดใหญ่กันเลยหรือเปล่าคะ พี่พีย่า” ลีน่า สาวน้อยอีกคนถามบ้าง

“ทำเวลาดีแบบนี้ เดี๋ยวพี่จะพาลีน่าไปชมหาดทรายอีกที่หนึ่ง ให้เวลาถ่ายรูปสิบนาทีดีไหมคะ” สุพิชญาแถมโปรแกรมเพิ่มให้ ถึงแม้จะไม่ใช่ทางผ่าน แต่ก็ยังพอทำให้มันเป็นทางผ่านได้ โดยที่ไม่เสียเวลามากนัก

“ขอบคุณค่ะ” สาวน้อยลีน่าตอบ ก่อนเดินนำทุกคนไปที่รถ

“เชิญขึ้นรถได้เลยค่ะ” สุพิชญาหันไปเรียกลูกทัวร์ที่เหลือให้ขึ้นรถตู้ที่เป็นพาหนะสำหรับทุกคนในวันนี้

เมื่อทุกคนนั่งประจำที่เรียบร้อยแล้ว สุพิชญาก็หันไปบอกน้าพัน คนขับรถให้ใช้เส้นทางเลียบริมหาดไปทางเก้าเส้ง ซึ่งอยู่ทางทิศใต้ของหาดสมิหลาประมาณ 3 กิโลเมตร เป็นหาดทรายที่มีโขดหินระเกะระกะอยู่ริมทะเล ซึ่งสวยงามไปอีกแบบหนึ่ง เมื่อมาถึงบริเวณดังกล่าวแล้ว รถตู้ก็จอดนิ่งสนิทอยู่ริมถนน สุพิชญาเปิดประตูลงรถมาก่อนที่จะเปิดประตูเลื่อนให้ลูกทัวร์ลงจากรถเช่นเดียวกัน

“ทุกคนเห็นก้อนหินก้อนใหญ่ที่วางอยู่บนหน้าผาหรือเปล่าคะ” สุพิชญาชี้ไปทางด้านหนึ่งของหาด เมื่อมองไปจะเห็นก้อนหินก้อนใหญ่ที่วางหมิ่นเหม่เหมือนจะหล่นลงสู่ท้องทะเลตามแรงโน้มถ่วงของโลก แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะหินก้อนนี้ก็ยังตั้งตระหง่านอยู่บนนั้นมาจนถึงทุกวันนี้ โดยไม่มีใครรู้ว่าสักวันมันจะถูกแรงโน้มถ่วงของโลกผลักลงสู่ท้องทะเลหรือเปล่า

“แปลกดีที่มันไม่หล่นลงมา” ลูกทัวร์คนหนึ่งพูดขึ้น

“ค่ะแปลกมาก แต่มันก็มีที่มาของความแปลกนะคะ พีย่าเป็นหนึ่งในนั้นที่เคยไปพิสูจน์แล้ว แต่ปรากฏว่าพีย่าไม่ใช่ลูกหลานของนายแรง” เมื่อลูกทัวร์ทุกคนทำสีหน้าแปลกใจ สุพิชญาจึงส่งยิ้มให้ก่อนจะเล่าต่อไปว่า

“ก้อนหินก้อนใหญ่ที่ทุกคนเห็น ชาวบ้านแถวนี้เรียกว่า หัวนายแรงค่ะ”

“เขาเล่ากันว่า เมื่อครั้งที่ทางเมืองนครศรีธรรมราช กำหนดบรรจุพระบรมสารีริกธาตุในเจดีย์ และจัดงานเฉลิมฉลองใหญ่โต ทางสิบสองหัวเมืองปักษ์ใต้ ต่างก็นำเงินทองไปบรรจุในพระบรมธาตุ เพื่อความเป็นสิริมงคล นายแรงเป็นผู้หนึ่งที่มีจิตศรัทธาในพุทธศาสนาอย่างมาก และตั้งใจที่จะร่วมงานบุญงานกุศลในครั้งนี้ด้วย จึงขนเงินทองเป็นจำนวนถึงเก้าแสนบาท บรรทุกเรือสำเภา พร้อมด้วยไพร่พลออกเดินทางไปเมืองนครศรีธรรมราช”

“แต่ในระหว่างการเดินทาง เรือเกิดชำรุด จึงได้จอดซ่อมแซมที่ชายหาดแห่งหนึ่ง หลังจากนั้นเขาก็ทราบข่าวว่า การบรรจุพระบรมธาตุเสร็จสิ้นลงแล้ว นายแรงเสียใจมาก จึงสั่งให้คนของตนขนทรัพย์สินเงินทองทั้งหมดที่นำมา ขึ้นไปไว้บนยอดเขาลูกหนึ่ง ก่อนที่นายแรงจะกลั้นใจตายก็ได้อธิษฐานว่า ผู้ที่จะสามารถจะนำเงินเก้าแสนนี้ไปใช้ได้ จะต้องเป็นลูกหลานของเขาเท่านั้น”

“เขาลูกนี้จึงได้ชื่อว่า เขาเก้าแสน สุดท้ายก็เพี้ยนมาเป็น เขาเก้าเส้ง ส่วนก้อนหินก้อนนั้นทุกคนก็เชื่อว่า มันคือศีรษะของนายแรง ชาวบ้านบอกต่อกันมาว่า ใครที่เป็นลูกหลานนายแรง เพียงแค่ออกแรงผลักหินก้อนนั้นเพียงนิด หินก็จะร่วงหล่นลงทะเลอย่างง่ายดาย แต่ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีใครสามารถผลักหินก้อนนั้นให้หล่นลงมาได้ จึงไม่มีใครสามารถบอกได้เหมือนกันว่า ใต้หินก้อนนั้นมีสมบัติจำนวนเก้าแสนบาทจริงหรือเปล่า” นิทานอีกเรื่องที่ได้รับฟังจากบิดาก็ถูกถ่ายทอดต่อไปยังบุคคลอีกกลุ่มหนึ่ง เธอเชื่อว่าอย่างน้อยการได้บอกเล่าก็เป็นการสืบทอดตำนานของบรรพบุรุษที่มีมานานไม่ให้สูญสิ้นไป

“ชักอยากลองบ้างแล้วสิพีย่า เผื่อฉันจะเป็นลูกหลานของเขา” มิส กวาง อึง จอง บอกกับไกด์สาวยิ้มๆ

“เอาไว้คราวหน้านะคะ ถ้ามีเวลาเหลือ พีย่าจะพาทุกคนขึ้นไปลองค่ะ ตอนนี้เก็บภาพหัวนายแรงไปเป็นที่ระลึกกันก่อนดีกว่านะคะ พีย่าให้เวลาสิบนาทีค่ะ แล้วเจอกันที่รถนะคะ” สุพิชญาปล่อยให้ลูกทัวร์เดินชมชายหาดบริเวณนั้นตามอัธยาศัย


ภาระหน้าที่ของสุพิชญากับกรุ๊ปทัวร์กรุ๊ปนี้จบลงในวันรุ่งขึ้น เธอเดินทางมาถึงโรงแรมในช่วงเช้า เพื่อจัดการเช็คเอ้าท์ให้กับลูกทัวร์ และพาทุกคนไปยังบริษัทที่ให้บริการรถบัสโดยสารจากหาดใหญ่ถึงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เมื่อฝากสัมภาระไว้ที่นั่นเรียบร้อยแล้ว หญิงสาวก็พาลูกทัวร์จับจ่ายซื้อของในบริเวณใจกลางเมืองหาดใหญ่อีกครั้งเป็นการฆ่าเวลา โดยปกติช่วงเช้าจะไม่ค่อยมีของจำหน่ายสักเท่าไหร่ ร้านรวงหลายร้านก็ยังไม่เปิด ตลาดสันติสุข ตลาดกิมหยง แห่งชอปปิงสำคัญของเมืองหาดใหญ่ มักจะครึกครื้นตั้งแต่ช่วงบ่ายจนถึงค่ำ แต่นั่นก็ไม่น่าเป็นห่วง เพราะลูกทัวร์ส่วนใหญ่จะได้ของฝากติดมือกลับบ้านกันแล้ว ที่เธอพาทุกคนมาเดินเที่ยว เพราะไม่อยากให้นั่งจับเจ่ารอเวลาเท่านั้นเอง

“โชคดีนะคะทุกคน โอกาสหน้าเชิญมาเที่ยวอีกนะคะ” สุพิชญาบอกลาลูกทัวร์อีกครั้งเมื่อถึงเวลา หลายคนก็เดินเข้ามากอดเธอเป็นการขอบคุณที่ดูแลทุกอย่างให้ในช่วงที่พักผ่อนอยู่ที่เมืองไทย

“แล้วพบกันใหม่นะพีย่า ถ้าฉันมีโอกาสมาที่นี่อีก ฉันจะขอระบุไกด์เป็นคุณโดยเฉพาะ” ลูกทัวร์สาววัยกลางคนบอกแบบนั้น ทำให้ไกด์สาวคนสวยยิ้มแก้มแทบปริ นั่นแสดงว่าเธอทำหน้าที่เป็นเจ้าบ้านที่ดีนั่นเอง

“ยินดีค่ะ ถึงไม่ใช่พีย่า พีย่าก็เชื่อว่าไกด์ทุกคนเต็มใจให้บริการพวกคุณค่ะ ขอให้มีความสุขมากๆ นะคะ หวังว่าเราจะได้พบกันอีก สวัสดีค่ะ” สุพิญชายกมือไหว้ลาผู้ใหญ่อย่างไทยๆ สร้างความประทับใจให้กับลูกทัวร์ของเธอเกือบทุกคน เมื่อทุกคนขึ้นไปอยู่บนรถแล้ว ก็ยังมีการโบกมือล่ำลากันอีกหน

เมื่อรถบัสเคลื่อนตัวออกจากหน้าบริษัท สุพิชญาก็ก้มมองซองที่ถูกยัดเยียดให้จากลูกทัวร์คนหนึ่ง เธอเปิดออกดูก็เห็นธนบัตรของประเทศมาเลเซียอยู่จำนวนหนึ่ง ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำให้นักท่องเที่ยวทิปเป็นเงินขนาดนี้ เพราะชาวมาเลเซียส่วนใหญ่ค่อนข้างจะรู้จักใช้เงิน ดังนั้นหากอะไรไม่ดีจริง ก็อย่างหวังว่าพวกเขาจะยอมเสียเงินเพื่อสิ่งเหล่านั้น สำหรับตัวเธอ มันเป็นผลพลอยได้มากกว่า เพราะการที่เธอยึดอาชีพนี้ หนึ่งเพราะใจรัก สองเพราะอยากท่องเที่ยวไปตามสถานที่ต่างๆ สามอยากจะแชร์ประสบการณ์ของตัวเองให้ทุกคนได้ทราบ ซึ่งทั้งสามอย่างมันเป็นความภาคภูมิใจของตัวเธอที่สุดแล้ว

สุพิชญามองซ้ายมองขวาอย่างตัดสินใจว่าจะไปไหนต่อดี เพราะวันนี้ยังไม่มีกรุ๊ปทัวร์ใหม่ที่ต้องรับผิดชอบ ใจหนึ่งอยากจะไปหาเพื่อนรักที่มีร้านอาหารมุสลิมอยู่บริเวณนี้ อีกใจก็อยากกลับไปพักผ่อนเอาแรงที่บ้าน เพราะพรุ่งนี้ต้องเข้าบริษัทเพื่อไปรับงานต่อ
สุดท้ายสุพิชญาก็เลือกที่จะไปหาเพื่อนรักคนหนึ่งของเธอ ‘ซารีนา’ เป็นคนไทยที่นับถือศาสนาอิสลาม เราสองคนแม้จะต่างศาสนา แต่ก็ไม่เคยมีปัญหาในเรื่องของการคบหาสมาคมกัน เพราะเราคือคนไทยเหมือนกัน เรารู้จักกันเมื่อครั้งที่เป็นนิสิตปีที่หนึ่ง เข้ารับน้องคณะด้วยกัน แต่เรียนคนละสาขาวิชาเท่านั้นเอง และยังมีเพื่อนอีกสองคนที่ยังเกาะติดกันเหนียวแน่นก็คือ พวงเพชรและกมลทิพย์ ทุกคนเป็นคนจิตใจดี มีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และช่วยเหลือกันมาตลอด ทำให้ทุกครั้งที่มีการรวมตัวกัน น้อยครั้งที่จะขาดคนใดคนหนึ่ง

“สวัสดีค่ะมะ” สุพิชญายกมือไหว้มารดาของเพื่อนที่นั่งอยู่ที่เคาน์เตอร์ของร้าน

“อ้าว! กุ้งนางมาหานาหรือลูก” สากีเราะทักทายเพื่อนสนิทของบุตรสาวอย่างเป็นกันเอง

“ค่ะ กุ้งนางเพิ่งส่งแขกเสร็จค่ะ ก็เลยแวะมาหานาก่อนกลับบ้าน”

“ทานอะไรมาหรือยังลูก” มารดาของเพื่อนถามอย่างห่วงใย

“ยังไม่หิวค่ะมะ ว่าแต่นายังไม่ลงมาช่วยหรือคะ” สุพิชญาถาม เมื่อไม่เห็นแม้แต่เงาของเพื่อน

“น้อยๆ หน่อยยายกุ้งนาง ฉันไม่อยู่นินทาเลยนะ” เสียงนั้นทำให้สุพิชญาหันไปยิ้ม

“เปล่าสักหน่อย ฉันแค่ไม่เห็นหน้าเธอก็คิดว่ายังเฝ้าพระอินทร์อยู่” สุพิชญาพูดขำๆ เพราะไม่มีหรอกคำว่าตื่นสายสำหรับเพื่อนเธอคนนี้

“ลมอะไรหอบเธอมาที่นี่ล่ะกุ้งนาง”

“ลมคิดถึง”

“น่าเชื่อตายล่ะ”

“ฉันเพิ่งส่งแขกมาก็เลยแวะมาหา” สุพิชญาหัวเราะน้อยๆ ก่อนจะตอบความจริง

“นาพากุ้งนางไปคุยข้างในก็ได้ลูก เดี๋ยวตรงนี้มะจัดการเอง” สากีเราะบอกกับลูกสาวของตน

“จ้า ไปคุยที่ห้องฉันดีกว่า อยู่ตรงนี้รบกวนแขก” ซารีนาลากเพื่อนให้เดินตามเธอไป

“นักท่องเที่ยวกรุ๊ปนี้เป็นไงบ้าง” หญิงสาวชาวมุสลิมถามเพื่อนทันทีที่ถึงห้องพักส่วนตัว เพราะเป็นห่วงเพื่อนไม่น้อย ไม่ใช่แค่หน้าตาที่สะดุดให้ผู้คนหันมามองหรอกนะ แต่สุพิชญาออกแนวหวานและเรียบร้อยเสียด้วย ไม่เหมาะกับอาชีพที่ต้องใช้ทักษะในการเอาตัวรอดอย่างยิ่ง เพราะมีหลายครั้งที่มัคคุเทศก์สาวมักจะโดนแขกเอาเปรียบ ดูแล้วสุพิชญาไม่น่าต่อกรกับคนเหล่านั้นได้ ทว่าเท่าที่ผ่านมาก็ถือว่าเพื่อนทำได้ดีทีเดียว แต่ก็ยังอดเป็นห่วงไม่ได้อยู่ดี

“ก็ดี น่ารักทุกคน อีกอย่างเขามาเป็นครอบครัว ไม่มีปัญหาอะไรหรอก ฉันว่าบางครั้งมันอยู่ที่การวางตัวของเราด้วยนะ ถ้าเราไม่เล่นด้วย พวกเขาคงไม่กล้ามายุ่งวุ่นวายกับเราหรอก” สุพิชญาตอบอย่างรู้ทันว่าเพื่อนต้องการสื่อถึงอะไร

“เป็นอย่างนั้นจริงก็ดีสิ แต่ยังไงก็ระวังตัวไว้ก่อนดีกว่า ของแบบนี้ไม่เข้าใครออกใคร ยิ่งเจอแขกประเภทชอบท่องราตรี ยิ่งน่ากลัว” ซารีนาอดเป็นห่วงเพื่อนไม่ได้จริงๆ แต่บางครั้งจะโทษแต่นักท่องเที่ยวฝ่ายเดียวไม่ได้ เมื่อมีมัคคุเทศก์บางส่วนก็มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม ทำให้นักท่องเที่ยวหลายๆ คนมองว่ามัคคุเทศน์สาวชาวไทยง่ายในสายตาของพวกเขา

“ส่วนใหญ่พวกเขาจะไปกันเองมากกว่า แล้วฉันก็มักจะฝากกรุ๊ปของฉันไปพร้อมกับกรุ๊ปของตั้ม” ตั้มก็คือทวิภาคหรือไกด์ไจ่ไจ๋ของสาวๆ นั่นเอง

“ซึ่งพ่อยอดขมองอิ่มนายตั้มก็เต็มใจอย่างยิ่งใช่ไหมกุ้งนาง” ซารีนาส่งสายตาล้อเลียนเพื่อน เพราะนายไจ่ไจ๋ตามจีบไกด์สาวสวยนาม ‘พีย่า’ ตั้งแต่เริ่มเข้าทำงานที่บริษัทแล้ว

“ไม่มีอะไรในก่อไผ่หรอกน่ายายนา”

“สำหรับเธอสิที่ว่าไม่มี แต่สำหรับนายนั่น ฉันกล้าฟันธงพันเปอร์เซ็นต์เลย คิดกับเธอเกินกว่าคำว่าเพื่อนชัวร์” ซารีนาตอกย้ำเรื่องนี้ให้สุพิชญาหนักใจอีก เพราะที่เพื่อนพูดมาน่ะถูกต้อง ไม่ใช่ไม่รับรู้แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมา เธอไม่เคยรู้สึกสปาร์กกับทวิภาคเลย หัวใจไม่เคยเต้นรัวทุกครั้งที่เจอ สามารถสบตาได้ทุกครั้งโดยไม่ต้องหลบ ไม่รู้สึกเขินอายเมื่อทำอะไรน่าขายหน้า มีแต่ความเป็นเพื่อนล้วนๆ ให้เท่านั้นจริงๆ

“ถ้าฉันบอกว่าไม่ใช่ ยังไงมันก็ไม่มีทางเป็นไปได้หรอกน่า”

“ฉันก็หวังว่ามันจะเป็นอย่างนั้น ฉันไม่อยากให้ลูกเธอออกมาตาตี่เหมือนพ่อมัน” ซารีนาหัวเราะดังลั่นห้อง ก่อนที่จะถูกสุพิชญาประทุษร้ายด้วยการเพี๊ยะไปที่แขน

“ว่าแต่ฉัน แล้วพี่รันล่ะ เมื่อไหร่จะมาขอเธอกับป๊ะกับมะสักที” สุพิชญาถามถึงเรื่องราวของเพื่อนบ้าง

“จะรีบไปไหน ฉันยังใช้ชีวิตโสดไม่หนำใจเลย ถึงจะเป็นแฟนกันมาหลายปี แต่นี่เราเพิ่งเรียนจบกันมาแค่ปีสองปีเองนะจ๊ะคุณไกด์คนสวย” ถึงแม้ว่าคนส่วนใหญ่ที่นับถือศาสนาเดียวกับเธอนิยมจะแต่งงานกันเร็ว แต่สำหรับซารีนานั้น เรื่องการต่างงานช้าหรือเร็วไม่สำคัญเท่ากับเรื่องของการครองชีวิตคู่ ถ้าไม่พร้อมเธอก็ไม่อยากแต่ง เพราะกลัวจะมีปัญหาตามมาภายหลัง

“พี่รันเป็นไงบ้าง” สุพิชญาถามถึงคนรักของเพื่อนบ้าง เพราะชายหนุ่มเป็นทหารประจำอยู่ในเขตสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งถือว่าประจำอยู่ในพื้นที่เสี่ยงพอสมควร แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นทหาร หากกลัวผู้ไม่หวังดีกับประเทศชาติแล้ว ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นทหารไปเพื่ออะไร

“พี่รันอยู่ในพื้นที่จนชินน่ะกุ้งนาง แล้วที่พี่รันไม่กลัว เพราะที่นั่นเป็นบ้านเกิดของเขา” สีหน้าของซารีนาไม่มีคำว่าหวั่นวิตก ถ้าเป็นคนอื่นจะนิ่งอย่างนี้หรือเปล่าสุพิชญาก็ไม่อาจตอบได้

“ฉันดีใจที่เห็นเธอทำใจให้เป็นปกติได้ อย่างน้อยการที่นาเข้มแข็ง ก็ทำให้พี่รันไม่เป็นกังวลด้วยเรื่องของเธอ ส่งผลให้การปฏิบัติหน้าที่ของพี่รันเต็มประสิทธิภาพ ซึ่งมันก็จะสร้างความปลอดภัยให้กับพี่เขาเพิ่มขึ้นในอีกระดับหนึ่ง” ไกด์สาวคงทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าให้กำลังใจเพื่อน

“ฉันก็คงชินเหมือนกับพี่รันมั้ง” ซารีนาตอบยิ้มๆ

“ฉันกลับก่อนดีกว่า คิดไปคิดมาแวะไปที่บริษัทหน่อยน่าจะดี” สุพิชญามองนาฬิกาข้อมือก่อนจะบอกเพื่อนสาว

“เดี๋ยวฉันขี่มอ’ไซค์ไปส่ง” ซารีนาตอบอย่างง่ายๆ เพราะรู้ว่าตอนนี้ทุกคนต่างมีภาระหน้าที่ต้องรับผิดชอบ ไม่เหมือนสมัยยังเป็นนักศึกษา

“ไม่ต้องจ้ะ ฉันขี่มอเตอร์ไซค์มา จอดอยู่ที่โรงแรม เออ...ถ้าอาทิตย์นี้ว่าง เรานัดรวมตัวกันหน่อยดีไหม ช่วงนี้ไม่ได้เจอทิพย์กับเพชรเลย” ไกด์สาวเสนอกิจกรรมสุดสัปดาห์ที่อยากทำ

“ได้ เดี๋ยวฉันติดต่อยายทิพย์กับยายเพชรเอง ได้เรื่องยังไงจะโทรบอกนะ”

“จ้า” สุพิชญารับคำแล้วก็เดินนำออกจากห้อง ลงไปยังชั้นล่างซึ่งเป็นร้านอาหาร บอกลาพ่อกับแม่ของซารีนาก่อนจะเดินออกจากร้าน แล้วตรงไปยังโรงแรมที่อยู่ไม่ไกลนัก


ปล. เนื่องจากมีเพื่อนนักเขียนชวนหนึ่งร่วมกิจกรรมประมูลหนังสือนิยาย เพื่อนำรายได้ไปซื้อของจำเป็นให้กับเด็กพิการซ้ำซ้อน ซึ่งหนึ่งได้นำนิยายที่เป็นรูปเล่มของตัวเองทั้ง 4 เรื่องเข้าร่วมประมูลในครั้งนี้ด้วย จึงอยากชวนเพื่อนๆ นักอ่านทุกคนร่วมกิจกรรมบุญนี้ด้วยกัน หากใครสนใจสามารถเข้าไปดูรายละเอียดได้ตามลิงค์ข้างล่างนะคะ ไม่จำเป็นต้องประมูลนิยายของหนึ่งก็ได้ค่ะ เพราะยังมีนิยายของนักเขียนอีกหลายๆ ท่าน แต่ถ้าไม่เป็นการรบกวนเกินไป ขอให้พิจารณานิยายของหนึ่งก่อน...555 เนื่องจากตอนนี้เกรงเหลือเกินว่านิยาย 4 เรื่องของเราจะเป็นหมันไม่เป็นที่ต้องการของใคร จนทำให้กลายเป็นภาระของผู้จัดกิจกรรม 5555

https://www.facebook.com/profile.php?id=1189047376&sk=photos&collection_token=1189047376%3A2305272732%3A69&set=a.10203623552167900.1189047376&type=3



หนึ่งจันทร์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 30 ก.ค. 2557, 10:19:44 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 30 ก.ค. 2557, 10:19:44 น.

จำนวนการเข้าชม : 1514





<< บทนำ (ลบแล้วค่ะ)   บทที่ 2 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account