พระพรหมดลรัก
คอนิยาย : พระพรหมดลรัก มีอะไรชวนให้น่าติดตามบ้าง

หนึ่งจันทร์ : ไม่มี

คอนิยาย : อ้าว! ตอบแบบนี้แล้วใครจะมาอ่านนิยายคุณ

หนึ่งจันทร์ : ก็มันไม่มีจริงๆ นี่นา กุ๊กกิ๊กก็บางเบา หวานก็เล็กน้อย ดร่าม่าก็ไม่มี บู๊สนั่นหั่นแหลกก็ไม่มี โรมานซ์ก็หาไม่เจอ อภินิหารย์ก็ไม่โผล่ คอมเมดี้ก็ไม่เห็น ปรัชญาก็เขียนไม่เป็น

คอนิยาย : เวรกรรม แล้วนิยายคุณมีอะไรบ้างเนี่ย (คอนิยายเริ่มมีน้ำโห)

หนึ่งจันทร์ : มีความสุขมอบให้แบบไม่มีอะไรเลย 5555

ปล. อย่างที่กล่าวในข้างต้น ใครที่อยากรู้ว่านิยายที่ไม่มีอะไรเลย เป็นอย่างไรก็ต้องทดลองเข้าไปอ่านนะคะ ถ้าอ่านแล้วรู้สึกว่ามันไร้แก่นสารในชีวิตมาก ก็ขออภัยไว้ ณ.ที่นี้ด้วย ^^ ส่วนใครก็ตามที่คิดว่าไหนๆ ก็หลงเข้ามาอ่านแล้วก็ต้องตามอ่านให้จบ ท่านอาจจะค้นพบอะไรมากมายในความที่ไม่มีอะไรเลยก็ได้ (หรือเปล่าหว่า...555)

Tags: หาดใหญ่

ตอน: บทที่ 2

บทที่ 2

สุพิชญาพากรุ๊ปทัวร์เดินเที่ยวในย่านถนนเสน่หานุสรณ์ตัดถนนธรรมนูญวิถี และถนนนิพัทธ์อุทิศ 1-2-3 ซึ่งเป็นแหล่งชอปปิงและเป็นแหล่งสถานบันเทิงที่อยู่ใจกลางเมืองหาดใหญ่ ในยามค่ำคืนเช่นนี้ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่กำลังคึกครื้น นักท่องเที่ยวบางกลุ่มก็จับจ่ายใช้สอยตามห้างที่มีตั้งอยู่ในบริเวณนั้นสามสี่ห้าง รวมถึงร้านรวงต่างๆ ที่เปิดให้บริการนักท่องเที่ยว ส่วนนักท่องราตรีทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศก็เพิ่งทยอยกันออกมานัดสังสรรค์ตามแหล่งสถานบันเทิง เมื่อลูกทัวร์ตัดสินใจได้แล้วที่จะเข้าไปใช้บริการที่ผับแห่งหนึ่ง มัคคุเทศก์สาวจึงพานักท่องราตรีมาส่งถึงที่หมาย เพียงเท่านี้ก็ถือว่าเสร็จสิ้นภารกิจแล้ว เนื่องจากนี่ไม่ใช่สิ่งที่อยู่ในโปรแกรมทัวร์ที่หญิงสาวต้องรับผิดชอบ หากที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับคนกลุ่มนี้ก็เพื่อสร้างความประทับใจให้กับอีกฝ่ายเท่านั้นเอง

ไกด์สาวเดินออกมานอกผับ ตั้งใจจะเดินกลับไปที่โรงแรม เพราะจอดรถจักรยานยนต์ไว้ที่นั่น ก้าวเท้าไปได้เพียงสองก้าว ก็ได้ยินเสียงเหมือนพลุขนาดใหญ่ดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วบริเวณ เสียงกรีดร้อง โวยวาย บางคนก็วิ่งหนี บางคนก็ยังหมอบอยู่กับพื้น เธอเห็นเปลวเพลิงพวยพุ่งตรงบริเวณด้านข้างของห้างที่อยู่ห่างจากจุดที่เธอยืนไม่เกินสองร้อยเมตร ผู้คนที่ได้ยินเสียงนี้ต่างก็ออกจากสถานบันเทิงมาดูว่ามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ส่วนตัวเธอก็ยืนชะงักเท้าอยู่ตรงนั้น ไม่กล้าขยับเขยื้อนไปไหนอีก เพราะเส้นทางนั้นเป็นจุดหมายที่เธอกำลังจะมุ่งไป

สมองยังประมวลอะไรได้ไม่ครบก็มีเสียงตูมดังขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้มันดังใกล้ตัวมากกว่าเดิม แก้วหูของเธอลั่นเปรี๊ยะ พร้อมกับร่างที่ถูกใครโถมเข้ามา ทำให้ล้มลงนอนกับพื้น ข้อศอกกระแทกพื้นปูนอย่างแรง ก่อนที่ร่างเธอจะถูกผลัก เสียงทุ้มที่ดังเข้าโสตประสาทมีเพียงคำเดียวก็คือ ‘หมอบ’

หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงคนตะโกนโหวกเหวก พร้อมเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวด สุพิชญากลัวจับใจจนสั่นทั้งร่าง ในเวลานี้มีแต่คำว่า ‘ระเบิด’ อยู่เต็มสมอง ร่างของใครบางคนทาบทับอยู่ครู่ใหญ่ก็ขยับกายออก เมื่อเห็นว่าไม่มีเสียงอะไรเกิดขึ้นอีก

“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” พลเมืองดีที่ช่วยเหลือเธอเอาไว้ถามตามนิสัยพื้นเพดั่งเดิมของคนบ้านเดียวกัน

สุพิชญาไม่รับรู้ถึงอาการเจ็บปวดของตัวเองจึงได้แต่ส่ายหน้า มองเหตุการณ์วุ่นวายตรงหน้า หลายคนที่ไม่ได้รับบาดเจ็บก็เข้าไปช่วยเหลือคนที่นอนจมกองเลือดบ้าง คนที่นั่งร้องครางอยู่บ้าง แต่ตรงหน้าเธอห่างไปไม่ถึงสิบเมตร สิ่งที่เห็นทำให้ตื่นตระหนกอีกรอบ เหล็กเส้นกว้างไม่เกินหนึ่งเซ็นติเมตร ยาวประมาณคืบกว่า แทงทะลุข้อเท้าของชายผู้โชคร้าย อารามตกใจทำให้ผวาเข้าหาชายแปลกหน้าที่ช่วยเหลือเธอเอาไว้ ไม่อยากคิดเลย ถ้าเธอยังยืนเก้ๆ กังๆ ทำอะไรไม่ถูก อาจจะต้องกลายเป็นหนึ่งในคนที่ได้รับบาดเจ็บ

“ไม่มีอะไรแล้วครับ คุณเจ็บตรงไหนหรือเปล่า” ชายหนุ่มลูบหลังปลอบใจหญิงสาวที่เข้ามาอยู่ในอ้อมกอด ทั้งที่ไม่รู้จักกัน จริงๆ ก็ไม่ได้ตั้งใจจะช่วยเธอ เพราะตัวเขาก็เพิ่งออกมายืนดูสถานการณ์เหมือนกัน แต่พอได้ยินเสียงระเบิดดังใกล้ตัวมาก และเห็นเธอยืนเก้ๆ กังๆ ทำอะไรไม่ถูก จึงได้โถมตัวเข้าไปหา ผลักเธอให้ล้มลงหมอบพร้อมกัน

“เจ็บที่ข้อศอกค่ะ เหมือนจะขยับไม่ได้” เสียงนุ่มๆ ที่ถามอย่างห่วงใย นั่นล่ะที่ทำให้สุพิชญาเริ่มสำรวจตัวเอง พอขยับแขนซ้ายก็รู้สึกเสียวปลาบ ชายหนุ่มจึงจับข้อศอกเล็ก สำรวจอาการก็เห็นว่าบริเวณข้อศอกเริ่มบวมช้ำ

“ไปโรงพยาบาลดีกว่า อยู่แถวนี้อันตราย เดี๋ยวผมพาไปครับ” หนุ่มนิรนามทำตัวเป็นพลเมืองดีอีกครั้ง

“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวโทรให้ญาติมารับก็ได้ค่ะ” สุพิชญาบอกอย่างเกรงใจ อีกส่วนก็คือเธอไม่ไว้ใจ

“อย่าเลยครับ พาพวกเขามาเสี่ยงด้วยเปล่าๆ แล้วเราก็ไม่รู้ว่ามีระเบิดที่ไหนอีกไหม ไม่ต้องกลัวครับ ผมเป็นคนดีแน่นอน คนไทยต้องช่วยเหลือกันสิครับ” รอยยิ้มที่เปิดขึ้นของชายหนุ่ม ทำให้สุพิชญาเบาใจขึ้น ยอมให้เขาพยุงให้ลุกขึ้นยืน

“โป้ง เสริฐ โอ๋ หนุ่ม พวกแกจะอยู่เป็นทีมอาสาหรือว่าจะแยกกันตรงนี้เลยวะ ฉันจะพาน้องเขาไปโรงพยาบาลก่อน” ชายคนนั้นหันไปบอกเพื่อนอีกสี่คนที่ดูเหมือนกำลังเข้าไปช่วยเหลือผู้บาดเจ็บด้วยเหมือนกัน

“กลับสิ พวกฉันยังไม่อยากเสี่ยงเหมือนกัน ทางนี้เดี๋ยวให้เจ้าหน้าที่เขาจัดการน่าจะสะดวกกว่า” ประเสริฐหันมาบอกเพื่อนที่ยืนอยู่กับผู้หญิงร่างบางคนหนึ่งที่มันช่วยเอาไว้

“งั้นแยกกันตรงนี้ พวกแกก็รีบกลับล่ะ ถึงบ้านแล้วโทรบอกกันด้วย”

“เออ! แล้วเจอกันใหม่ เซ็งเลย นานๆ แกอุตส่าห์มาสังสรรค์กับพวกฉันได้” อนุศักดิ์ เพื่อนของเขาอีกคนพูดจบก็ยกมือโบกลา

“เชิญครับ” เขาหันมาประคองหญิงสาวให้เดินไปที่รถของเขาที่จอดอยู่อีกด้าน โชคดีนะที่ไม่มาระเบิดใกล้รถเก๋งคันงามของเขา


ณ. โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งในอำเภอหาดใหญ่ ซึ่งอยู่ใกล้กับจุดเกิดเหตุมากที่สุด ไม่ใช่เพียงสุพิชญาเท่านั้นที่มาใช้บริการ ยังมีผู้บาดเจ็บอีกหลายคนถูกส่งมาที่นี่ด้วยเหมือนกัน โชคดีที่หญิงสาวไม่ได้เป็นอะไรมากเพียงแค่กระดูกเคลื่อน ต้องพันผ้าเอาไว้สักระยะหนึ่ง เมื่อนางพยาบาลทำแผลให้เรียบร้อยแล้ว ไกด์สาวก็รีบออกจากบริเวณนั้น เพื่อให้พี่พยาบาลได้ดูแลคนไข้ฉุกเฉินคนต่อไป

“เป็นยังไงบ้างครับ”

“กระดูกเคลื่อนค่ะ แล้วก็มีแผลถลอกนิดหน่อย ไม่เป็นอะไรมากแล้วค่ะ ขอบคุณนะคะที่ช่วยเอาไว้ แล้วยังช่วยพามาส่งโรงพยาบาลอีก” สุพิชญากล่าวขอบคุณอีกครั้ง

“ไม่เป็นไรครับ แล้วนี่คุณจะกลับยังไง ผมไปส่งไหมครับ”

“ไม่รบกวนดีกว่าค่ะ ฉันติดต่อทางบ้านแล้ว อีกสักพักก็คงมารับ บ้านฉันอยู่ไม่ไกลจากโรงพยาบาลเท่าไหร่ค่ะ คุณรีบกลับเถอะค่ะ คนที่บ้านก็คงเป็นห่วงคุณเหมือนกัน”

“ถ้างั้นก็ตามใจครับ ผมขอตัวก่อนเลยก็แล้วกันนะครับ” ชายหนุ่มโค้งให้กับหญิงสาวเป็นการบอกลา

“ขอบคุณอีกครั้งนะคะ เดินทางกลับบ้านปลอดภัยนะคะ”

“ขอบคุณครับ ลานะครับ” ชายหนุ่มหันหลังเดินจากไป สุพิชญายืนส่งเขาอยู่ตรงนั้นด้วยความรู้สึกประทับใจ อย่างน้อยในวิกฤติการณ์เลวร้าย เราก็ยังได้เรียนรู้ว่าโดยพื้นเพแล้วนิสัยของคนไทยก็ยังคงคนอ่อนโยน จิตใจดี พร้อมที่จะช่วยเหลือผู้อื่นอยู่เสมอ แล้วสุพิชญาก็นึกขึ้นมาได้ว่ายังไม่ได้ถามชื่อแซ่ของคนที่ช่วยชีวิตเธอเอาไว้เลย แต่ก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว เพราะร่างของเขาหายลับไปจากประตูทางออกแล้ว


ระหว่างที่รอพ่อแม่มารับ สุพิชญาก็จมอยู่กับความคิดของตัวเอง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเหตุการณ์ลอบวางระเบิดในหาดใหญ่ แต่นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่ผู้ไม่หวังดีจุดชนวนสำเร็จ เหตุการณ์เลวร้ายเกิดขึ้นครั้งแรกในคืนวันอาทิตย์ที่ 3 เมษายน 2548 เวลาประมาณสองทุ่มเศษ เกิดเหตุการณ์ลอบวางระเบิดสนามบินหาดใหญ่ มีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต และหนึ่งในนั้นที่ถูกข่าวนำเสนอในความโชคร้ายมากที่สุดนั่นก็คือ ข่าวของเด็กน้อยไร้เดียงสาคนหนึ่งที่ต้องมาเคราะห์ร้ายกับเหตุการณ์ครั้งนี้ด้วย หากเอ่ยถึงชื่อเด็กชายผู้โชคร้ายรายนี้ ก็เชื่อว่าไม่มีใครในประเทศนี้ไม่รู้จัก นอกจากเด็กน้อยจะได้รับบาดเจ็บสาหัสแล้ว ยังต้องสูญเสียผู้เป็นพ่อไปตลอดกาล

ซึ่งครั้งนั้นโชคดีที่เธอไม่ได้เป็นหนึ่งผู้เคราะห์ร้าย ถ้าจำไม่ผิดผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์ กลุ่มหนึ่งกำลังรอรับผู้โดยสารที่เดินทางมาจากกรุงเทพฯ 2 เที่ยวบิน อีกกลุ่มก็คือมาส่งญาติของตัวเองเพื่อเดินทางไปกรุงเทพฯ 2 เที่ยวบินเช่นเดียวกัน จุดที่เกิดเหตุเป็นจุดรอรับผู้โดยสารขาเข้า มีญาติพี่น้องของผู้โดยสารอยู่มากพอสมควร

เจ้าหน้าที่ยังไม่ทันได้เคลียร์สถานการณ์ที่สนามบินให้เรียบร้อย ก็เกิดเหตุระเบิดขึ้นอีกจุดนั่นก็คือ ห้างชื่อดังกลางเมืองหาดใหญ่ เมื่อคิดถึงเหตุการณ์นี้สุพิชญาก็ต้องขนลุกซู่ เพราะหากคืนนั้นเธอกับเพื่อนสนิทอีกสามคน ไม่พูดคุยกันจนเพลินไปหน่อย ก็อาจจะกลายเป็นหนึ่งในผู้โชคร้าย เนื่องจากเราสี่สาวตั้งใจจะไปซื้อของที่ห้างแห่งนั้นพอดี รถจักรยายนต์สองคันที่มีผู้โดยสารเป็นสาวสวยสี่คน มุ่งหน้าไปตามถนนเพชรเกษม อีกไม่เกิน หนึ่งกิโลเมตรก็จะถึงจุดหมายปลายทางแล้ว เป็นโชคดีของพวกเธอมากๆ ที่ต้องติดสัญญาณไฟจราจรเสียก่อน ไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับตัวเองบ้าง

เพียงแค่จอดรถรอสัญญาณไฟ ก็มีรถตำรวจผ่านหน้าไปหยุดอีกฟากของทางแยกที่อยู่ตรงข้ามกับบริเวณที่เธอและเพื่อนจอดรถอยู่ พาหนะของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์จอดนิ่งสนิท จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจสี่นายก็ลงจากรถและนำแผงมากั้นกลางถนนไว้ ไม่ให้รถผ่านเข้าไปได้อีก นั่นทำให้พวกเธอสงสัยว่ามันเกิดอะไรขึ้น ด้วยความอยากรู้ตามประสาไทยมุง เราทั้งสี่คนก็หาทางซอกแซกไปใกล้ห้างแห่งนั้นให้มากที่สุด ด้วยการมุดซอยนั้น โผล่ซอยนี้ จนกระทั่งมาถึงซอยที่เห็นห้างใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ แต่ก็ไม่สามารถเข้าไปใกล้กว่านั้นได้อีกแล้ว

“พี่ๆ มีอะไรกันหรือคะ” กมลทิพย์เจ้าของจักรยานยนต์หนึ่งในสองคัน ถามผู้หญิงคนหนึ่งที่ชะเง้อมองเหตุการณ์จากหน้าบ้านของตัวเอง

“มีคนมาวางระเบิดหน้าห้าง เสียงดังสนั่นเลย” ได้ยินเพียงแค่นั้น สุพิชญา ซารีนา กมลทิพย์ และพวงเพชร ต่างก็อุทานออกมาพร้อมกันด้วยความตกใจ

“กลับบ้านกันดีกว่า” สุพิชญาบอกกับเพื่อนๆ หลังจากที่พยายามติดต่อทางบ้าน เพราะเธอบอกกับพ่อแม่ว่าจะมาซื้อของที่นี่ ป่านนี้ท่านคงเป็นห่วงแย่แล้ว

“นั่นสิ ฉันโทรเข้าบ้านไม่ได้เลย ไม่มีสัญญาณ” ซารีนาเริ่มสนับสนุนความคิดของเพื่อน

“เขาตัดสัญญาณมือถือหมดนั่นแหละน้อง เพราะไม่รู้ว่าจะมีระเบิดอยู่ตรงไหนอีกหรือเปล่า ช่วงนี้กำลังฮิต จุดชนวนด้วยโทรศัพท์มือถือ” จริงอย่างที่พี่สาวคนนั้นว่า เพราะข่าวที่ออกมาแต่ละวันในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ชนวนระเบิดมักจะใช้โทรศัพท์มือถือเป็นสื่อกลาง ถึงว่าทุกอย่างบนโลกนี้มีทั้งคุณและโทษ อยู่ที่ว่าจะนำไปใช้ในทางที่ดีหรือร้าย

“ถ้าอย่างนั้นแยกกันตรงนี้นะ เพชรไปส่งนาก็แล้วกัน เดี๋ยวทิพย์ไปส่งยายกุ้งนางเอง กลับถึงบ้านแล้วโทรบอกกันด้วย” กมลทิพย์หาข้อสรุปทันที และจักรยานยนต์สองคันก็หันหัวกลับไปในทิศทางตรงกันข้ามกับห้าง ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะอยู่เป็นไทยมุงอีกแล้ว เพราะดีไม่ดีอาจจะโดนลูกหลงได้

กลับถึงบ้านไม่นานเท่าไหร่ก็มีข่าวด่วนจากทางหน้าจอทีวี แจ้งว่ามีเหตุระเบิดทำนองเดียวกันที่ตัวอำเภอเมืองสงขลาด้วย แต่ที่นั่นไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด เหตุการณ์ครั้งนี้ส่งผลกระทบให้กับการท่องเที่ยวของจังหวัดเป็นอย่างมาก เจ้าของกิจการพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อจะผ่านพ้นวิกฤติเศรษฐกิจนี้ไปให้ได้ เพราะเพียงแค่รับผลกระทบจากเหตุการณ์ไม่สงบของสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ก็สาหัสสากรรจ์มากพอแล้ว เมื่อมาสมทบกับเหตุการณ์ลอบวางระเบิดที่ตัวเมืองหาดใหญ่และตัวเมืองจังหวัดสงขลา ทุกอย่างก็ดูหยุดชะงักอีกครั้ง นักท่องเที่ยวชาวมาเลเซีย สิงคโปร์ ยุติโปรแกรมการท่องเที่ยวกันเป็นทิวแถว เพราะเกรงว่าจะไม่ปลอดภัย แน่นอนผู้ที่โดนผลกระทบมากที่สุดก็คือ ธุรกิจโรงแรมและธุรกิจการท่องเที่ยว ร้านอาหาร รวมถึงร้านจำหน่ายสินค้าต่างๆ เคราะห์ซ้ำกรรมซัดยังไม่จบสิ้นเมื่อปลายปีนั้น เกิดภาวะน้ำท่วมในอำเภอหาดใหญ่อีก

เวลาหกเดือนนับจากเหตุการณ์รอบวางระเบิด ภาครัฐพยายามทำทุกอย่าง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยว รายได้ของจังหวัดก็ดิ่งลงเหว แผนการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวเริ่มเบี่ยงเบนไปยังจังหวัดใกล้เคียง เช่น ตรัง สตูล นครศรีธรรมราช ภูเก็ต สมุย บริษัททัวร์ต้องปรับกลยุทธ์ตัวเองใหม่หมด เพื่อความอยู่รอดของธุรกิจ หลายบริษัทที่เคยจ้างมัคคุเทศก์ประจำ ก็เริ่มเปลี่ยนระบบการบริหารงานมาเป็นจ้างเป็นงานๆ ไปนั่นก็ยังไม่ทำให้คนที่มีอาชีพมัคคุเทศก์รู้สึกหวาดหวั่นแต่อย่างใด เพราะถึงแม้รายได้จะลดน้อยลง แต่ก็ยังถือว่าประคองตัวเองไปได้

เมื่อทั้งภาครัฐและภาคเอกชนต่างช่วยเหลือซึ่งกันและกัน พร้อมกับพึ่งพาตัวเองไปด้วย ก็ดูเหมือนอะไรจะเริ่มดีขึ้น ถึงแม้จะไม่เหมือนเดิม แต่ปริมาณนักท่องเที่ยวก็มีเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ ทั้งธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร ธุรกิจท่องเที่ยว พนักงานโรงแรม พนักงานร้านอาหาร มัคคุเทศก์ และธุรกิจอื่นๆ หายใจหายคอกันคล่องขึ้น ทุกคนไม่ต้องหวั่นว่าจะตกงานกันเป็นแถวๆ เงินเดือนไม่ขึ้น โบนัสไม่มี ก็ยังดีกว่าไม่มีจะกิน

อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้รายได้ของมัคคุเทศก์ชาวไทยน้อยลงก็คือ การเดินทางมาท่องเที่ยวโดยรถบัสของบริษัทต้นทางเอง ทำให้ไม่ต้องพึ่งพาไกด์เจ้าถิ่นเช่นในอดีต บางครั้งก็แค่จ้างขึ้นไปนั่งบนรถเป็นไม้กันหมา ไม่ให้ผิดกฎหมายไทยเท่านั้น อีกทั้งมัคคุเทศก์ที่บริษัทส่งมาดูแลลูกทัวร์นั้น ยังรู้ทุกเรื่องดีกว่าเจ้าบ้านเสียอีก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่พัก เรื่องกิน เรื่องจับจ่ายใช้สอย สิ่งที่ดึงดูดให้มัคคุเทศก์ประจำรถกระตือรือร้นจะพาลูกทัวร์ของตัวเองไปชอปร้านนั้น กินข้าวร้านนี้ ก็เพราะทางร้านมีการตัดแบ่งเปอร์เซนต์ให้ต่างหาก และเมื่อเป็นแบบนี้ก็ทำให้มัคคุเทศก์ชาวไทยยึดอาชีพนี้ได้ยากยิ่งขึ้น สรุปใครล่ะที่จะสามารถยืนหยัดอยู่ในอาชีพนี้ได้นานที่สุด ก็ไม่มีใครตอบได้ เพราะบางคนก็ยังมีงานป้อนให้อยู่สม่ำเสมอ บางคนก็แทบจะไม่ได้งานเลย ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปแล้ว ยิ่งใครที่มีภาระหนี้สิน ก็ต้องกระเสือกกระสนเพื่อหามาจ่ายก่อนที่บ้านจะถูกยึด ก่อนที่จะโดนแบล็คลิสจนไม่สามารถทำอะไรได้อีก

ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป ชีวิตของเธอคงต้องพลิกผันอีกครั้ง หรือจะถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนงานแล้วจริงๆ สุพิชญาถอนหายใจเฮือกใหญ่ รับรู้ได้เลยว่างานคงถูกยกเลิกหมดแน่ๆ หาดใหญ่จะกลับมาเงียบเป็นป่าช้าอีกครั้ง และครั้งนี้คงสาหัสสากรรจ์กว่าครั้งที่แล้วมาก ไม่รู้จะต้องใช้เวลาเยียวยาอีกนานแค่ไหน

กลับถึงบ้านสุพิชญาก็กลับเป็นเด็กอีกครั้ง เมื่อเธอรู้สึกเหนียวตัว ผมเผ้ากระเซอะกระเซิงไปหมด อยากอาบน้ำเต็มทน แต่เมื่อสภาพไม่เอื้ออำนวยก็จำเป็นต้องให้มารดาช่วยชำระร่างกายให้กับเธอตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้า ก้าวแรกที่บิดามารดาเดินผ่านประตูกระจกของโรงพยาบาล ก็ทำให้ได้รับรู้ถึงความรักความเป็นห่วงของท่าน บิดายังไม่เท่ามารดาที่น้ำตาอาบแก้ม วิ่งเข้ามากอดพร้อมกับสำรวจร่างกายของลูกด้วยน้ำตาคลอเบ้า เมื่อแน่ใจว่าเลือดเนื้อเชื้อไขของตนไม่ได้เป็นอะไรมาก ผู้เป็นแม่ถึงกับยกมือไหว้ขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่คุ้มครองลูกสาวให้ปลอดภัย

สมุดบันทึกประจำวันถูกเปิดออกหลังจากที่บิดามารดากลับออกไปจากห้องส่วนตัว เมื่อแน่ใจว่าสุพิชญาไม่ต้องการความช่วยเหลือใดๆ แล้ว ไกด์สาวเริ่มจรดปลายปากกาบนกระดาษ บันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเองอย่างสั้นๆ

16 กันยายน 2549
เวลาประมาณ 21.00 น. ระเบิดใจกลางเมืองหาดใหญ่ ฉันคือหนึ่งในผู้เห็นเหตุการณ์และเป็นหนึ่งในผู้โชคร้ายที่รับบาดเจ็บ ฉันไม่รู้ว่าการกระทำครั้งนี้ใครได้รับประโยชน์ แต่ผู้ที่เสียประโยชน์ก็คือประชาชนที่อาศัยอยู่ในเมืองหาดใหญ่ ทุกคนต้องได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์นี้อย่างแน่นอน แต่ก็ยังมีสิ่งดีๆ ที่เกิดอยู่ในความโชคร้าย อย่างน้อยฉันก็รู้ว่า คนไทยก็ยังมีน้ำใจที่จะช่วยเหลือกันในยามที่ตกทุกข์ได้ยาก ขอบคุณวีรบุรุษที่เข้ามาช่วยชีวิตฉันเอาไว้ ถึงแม้จะไม่รู้ว่าคุณเป็นใคร แต่ฉันจะจดจำคุณไปชั่วชีวิต / กุ้งนาง


วันรุ่งขึ้นบ้านของสุพิชญาก็ได้ต้อนรับสามสาวเพื่อนซี้ และหนึ่งหนุ่มที่ตามขายขนมจีบตั้งแต่เธอเริ่มทำงานงานใหม่ๆ

“เป็นไงบ้างกุ้งนาง” ชายหนุ่มคนเดียวในกลุ่มที่มาเยือนถามด้วยความเป็นห่วง

“ไม่เป็นไรแล้วล่ะ ขอบใจนะตั้มที่มาเยี่ยม” สุพิชญายิ้มให้กับเพื่อนร่วมงาน

“เมื่อคืนผมไม่น่าติดดูแลแขกอีกชุดเลย ไม่อย่างนั้นกุ้งนางก็คงไม่ต้องโดนลูกหลง” ทวิภาคแสดงสีหน้าสำนึกผิดจนสามสาวที่นั่งอยู่ด้วยรู้สึกว่ามันมากเกินเหตุไปแล้ว

“นี่นายไจ่ไจ๋ อย่าโอเวอร์แอคติ้งให้มันมากนัก เห็นแล้วมันเลี่ยน แล้วเพื่อนฉันก็ไม่ได้เป็นอะไรมากสักหน่อย แค่กระดูกเคลื่อนนิดเดียวเอง” กมลทิพย์อดไม่ไหวแขวะชายหนุ่มที่ตีหน้าโศกจนน่าหมั่นไส้

“นั่นสิ ไกลหัวใจตั้งเยอะ ถ้าเป็นนายหน่อยไม่ได้ ฉันจะแช่งให้เจ็บหนักเลย” ซารีนาร่วมวงจิกกัดชายหนุ่มด้วยอีกคน ส่วนสองสาวที่เรียบร้อยที่สุดก็ได้แต่หัวเราะคิก

“ตั้มส่งแขกเรียบร้อยแล้วเหรอ ถึงมาเยี่ยมกุ้งนางได้” สุพิชญาถามไกด์ไจ่ไจ๋ถึงเรื่องงาน เนื่องจากนักท่องเที่ยวกลุ่มที่เธอดูแลนั้น มีหมายกำหนดการกลับในวันนี้ แต่ถึงยังไม่หมดโปรแกรมเที่ยวก็คงไม่มีใครอยากอยู่เที่ยวต่อแล้ว

“เรียบร้อยแล้ว แต่สงสัยงานจะโดนยกเลิกหมดแน่ๆ เลย” ซึ่งทุกคนก็เห็นด้วยกับคำพูดของชายหนุ่ม

“ทำไมตั้มไม่ลองไปสมัครเป็นไกด์ที่ภูเก็ตล่ะ กุ้งนางรู้นะว่าตั้มไม่อยากทิ้งบ้านเกิด แต่เราทุกคนต้องมีชีวิตเดินต่อไปข้างหน้า อนาคตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน ถ้าเราไม่คิดจะไขว่คว้าหาโอกาสดีๆ เอาไว้ สุดท้ายคนที่เสียใจก็ไม่พ้นตัวเราเอง” สุพิชญาเสนอแนะทางออกที่ดีให้กับเพื่อนร่วมอาชีพ

“ไปด้วยกันไหมล่ะกุ้งนาง” ทวิภาคถือโอกาสชวนหญิงสาวที่เขาหมายปอง

“น้อยๆ หน่อย นายไจ่ไจ๋ อยู่ดีๆ มาชวนเพื่อนฉันไปอยู่กับนายที่ภูเก็ตนี่นะ เพื่อนฉันเป็นลูกมีพ่อมีแม่นะยะ” คราวนี้เป็นพวงเพชรที่ลุกขึ้นจิกกัดชายหนุ่มคนเดียวในวงสนทนา เพราะต้องการปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดให้คลายลงได้บ้าง

“หยุดคุยเรื่องงานสักพักเถอะ รักษาตัวให้หายก่อน อย่างอื่นค่อยว่ากัน โอเคนะกุ้งนาง” กมลทิพย์ตัดบทสรุป ซารีนาซึ่งเห็นด้วยจึงถามเบี่ยงเบนประเด็นออกไป

“ว่าแต่เมื่อคืนเธอบอกว่ามีพลเมืองดีพาไปส่งโรงพยาบาล เขาเป็นใครเหรอ” สุพิชญาส่ายหน้าเป็นการบอกว่าเธอก็ไม่รู้เหมือนกัน

“อ้าว?” สามสาวอุทานออกมาพร้อมกันกับคำตอบที่ได้รับ

“ตอนอยู่หน้าผับ ฉันก็มัวแต่ตกใจ พอไปถึงโรงพยาบาลก็ไม่ทันได้ถาม มานึกได้ก็ตอนที่เขาขอตัวกลับไปแล้ว” สุพิชญาถอนหายใจอย่างเสียดาย

“เอาเถอะอย่าคิดมากเลย ไม่แน่นะสักวันเธออาจจะได้พบเขาอีกก็ได้” ซารีนาปลอบใจเพื่อน

“นั่นสิ อย่างน้อยเธอก็ได้ขอบใจเขาแล้วนี่นา แล้วนี่หมอให้พักกี่วัน” กมลทิพย์เห็นด้วยกับสาวมุสลิมประจำกลุ่ม

“หมอให้พักไม่กี่วันหรอก แต่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ ต่อให้ฉันไม่เจ็บก็ไม่มีงานให้ทำอยู่ดี” สุพิชญาบอกอย่างเซ็งๆ

“มันอาจจะไม่เลวร้ายขนาดนั้นก็ได้นะกุ้งนาง” ทวิภาคพยายามสร้างขวัญกำลังใจให้ตัวเองและสาวที่ตนหมายปอง

“เราต่างก็รู้ดีนะตั้ม อาชีพอย่างเรานอกจากอาศัยแหล่งท่องเที่ยวแล้ว เรายังต้องอาศัยนักท่องเที่ยวด้วย สำหรับเรื่องงานที่ภูเก็ต กุ้งนางก็อยากให้ตั้มเอากลับไปคิดและตัดสินใจดีๆ นะ” สุพิชญาวกกลับไปเรื่องงานของเพื่อนชายอีกครั้ง

“ผมรู้ว่ากุ้งนางหวังดี แต่ขอดูสถานการณ์ก่อนนะ เพราะตอนนี้ใครๆ ก็คงคิดไม่ต่างกัน การแข่งขันมันคงสูงน่าดู” ทวิภาควิเคราะห์เหตุการณ์ได้ไม่ยาก เมื่อแหล่งเดิมทำมาหากินไม่คล่อง ต่างคนต่างก็ต้องขวนขวายไปยังแหล่งอื่นที่มีโอกาสที่ดีกว่า

“ถ้าอย่างนั้นก็เปลี่ยนภาคไปเลยนายไจ่ไจ๋” ซารีนาแนะนำอีก อันนี้ไม่ได้ประชด แต่เธอคิดอย่างนั้นจริงๆ เพราะเห็นด้วยกับความคิดของทวิภาค ถ้าลองคิดต่างไปไกลกว่าที่ใครๆ คิด โอกาสดีๆ อาจจะรออยู่ก็ได้

“ฉันเห็นด้วยกับยายนานะตั้ม” พวงเพชรที่นั่งฟังเงียบๆ แสดงความคิดเห็นบ้าง

“ขอบคุณทุกคนมากนะที่เป็นห่วง บางทีมันอาจจะถึงเวลาที่เราจะต้องไปเสาะแสวงหาประสบการณ์ใหม่ๆ แล้วก็ได้นะ” สุดท้ายชายหนุ่มก็อดเห็นด้วยกับเพื่อนๆ ไม่ได้

“เอาน่าชีวิตไม่สิ้นก็ต้องดิ้นกันไป ว่าแต่เย็นนี้ฝากท้องบ้านนี้ได้ไหมจ๊ะกุ้งนาง” กมลทิพย์ถามเพื่อนยิ้มๆ ไม่มีประโยชน์อะไรที่ต้องมาเครียดกับเรื่องที่มีทางออก และเธอเชื่อว่าชีวิตเราไม่มีทางเจอทางตันหรอก ทุกอย่างอยู่ที่ตัวเราว่าจะเปิดโอกาสให้ตัวเองหรือเปล่า

“ได้สิจ๊ะ แม่คงเตรียมไว้ให้แล้วล่ะ ตั้มก็อยู่ทานด้วยกันเลยนะ ฉลองวันพักผ่อนยาวของเรา” สุพิชญาเอ่ยเป็นเรื่องตลก ทั้งๆ ที่ใจก็กังวลไม่น้อย ในเมื่อทำอะไรไม่ได้ เราก็ต้องทำใจยอมรับมัน


ปล. แม้เหตุการณ์จะผ่านมาหลายปีแล้ว แต่ก็ยังเชื่อว่าเหตุการณ์เลวร้ายในครั้งนั้นยังอยู่ในความทรงจำของใครหลายคน ซึ่งก็อยากบอกว่า ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ก็ขอเป็นกำลังใจให้ผู้ประสบเหตุในครั้งนั้น เพราะหลายคนสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก หลายคนก็สูญเสียอวัยวะ แต่เมื่อเรายังมีชีวิตอยู่ก็ต้องสู้ต่อไปนะคะ ^^




หนึ่งจันทร์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 1 ส.ค. 2557, 10:11:10 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 1 ส.ค. 2557, 10:14:10 น.

จำนวนการเข้าชม : 1333





<< บทที่ 1   บทที่ 3 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account