วิมายา
ความรัก ความผูกพันที่เกาะเกี่ยว โยงยึดแน่นหนาของคนสามคน ซึ่งถูกกลบฝังไว้ในอดีตร่วม 2 พันปี ได้นำพาคนสามคนกลับมาพบกันอีกครั้ง ณ กาลปัจจุบัน
ประตูแห่งอดีตกาลค่อยๆเผยความลับผ่าน...กำไลทอง...ของหญิงสาวที่ชื่อวิมายา
เหรียญตราโบราณ...ของชายหนุ่มที่ชื่อพยับหมอก
รอยกระรูปไฟไหม้...ที่หลังมือของชายหนุ่มที่ชื่อน่านน้ำ และความฝันซ้ำๆของเขา ถึงเรือนแปดเหลี่ยมกลางน้ำ แห่งนครในสายหมอก ซึ่งไม่เคยปรากฏอยู่ในแผนที่ใดๆ
เรื่องราวที่ต่างคนต่างสืบค้น ได้กลายเป็นเรื่องเดียวกัน ทว่า...แต่ละคนสามารถรู้เรื่องราวได้เพียงส่วนหนึ่ง หากจะรู้ทั้งหมดต้องนำแต่ละส่วนเหล่านั้นมาปะติดปะต่อ จึงจะได้ภาพรวมของเรื่องราว
ปมปริศนาและคำตอบทั้งหมดอยู่ที่เรื่องราวในอดีตชาติ ปริศนาชิ้นสุดท้าย...
รอยกระรูปไฟไหม้บนหลังมือน่านน้ำ มีความเป็นมาอย่างไร
วิมายาเคยอธิษฐานอะไรไว้ในอดีต
พยับหมอกเคยลั่นสัจจาต่อฟ้าแลดินไว้อย่างไร
หากค้นพบ และทำได้ดั่งลั่นสัจจาไว้ ทุกอย่างจึงจะยุติและคลี่คลาย พันธะซึ่งเคยมีต่อกันจะสิ้นสุดลง

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทนำ

บทนำ





ปลายฝน...ต้นหนาว ที่โรงพยาบาลประจำอำเภอแห่งหนึ่งในภาคอีสาน

เวลาค่อนรุ่ง





แว่วเสียงทารกร้องจ้า ขณะที่เวิ้งฟ้าเริ่มฉาบด้วยแสงแห่งอรุณรุ่ง หมอกขาวลอยระเรี่ยทิวไม้ ดูควะคว้าง อ้อยอิ่ง...โอบล้อมเมืองเล็กๆ ให้คลับคล้ายตกอยู่ในหุบห้วงแห่งความฝัน

จวนครึ่งชั่วโมงต่อมา...นางพยาบาลร่างเล็ก ผิวคล้ำ ก้าวออกมาจากห้องคลอด หล่อนเหลียวซ้ายแลขวา กวาดสายตา ทว่า...เมื่อพบคนที่กำลังมองหา ก็กลับมีอาการลังเล

แสงไฟนีออนจากเพดานหน้าห้องคลอด นวล กระจ่าง ขับไล่ความมืดไปถึงสุดมุมผนังแล้วสาดกระทบแผ่นหลังกว้างของชายผู้หนึ่ง ซึ่งยืนเอามือไพล่หลัง ทอดสายตานิ่งมองผ่านช่องหน้าต่างออกไป ด้วยอาการสงบ

ดูผิดวิสัย...สำหรับสามีผู้เฝ้ารอภรรยาอยู่หน้าห้องคลอด แต่กลับไม่มีอาการตื่นเต้น กระสับกระส่ายให้เห็นแม้เพียงน้อย อีกทั้ง...ยังคล้ายมีกระแสบางอย่าง สงบเย็น แผ่ซ่านเจือจานมาสู่ผู้ที่พบเห็น

ความกังวลที่ต้องแจ้งทั้งข่าวดีและร้ายต่อญาติผู้เสียชีวิต ลดลงอย่างประหลาด เมื่อร่างสูงสง่าของชายผู้นั้นหันกลับมา สบตากับหล่อน

เขาเป็นฝ่ายก้าวเข้ามาหา

“เด็กปลอดภัยดีใช่ไหม” เสียงทุ้มนุ่มแต่ทรงอำนาจอยู่ในที เอ่ยถามนำ

“ค่ะ...คุณได้ลูกชาย ยังกะตุ๊กตา น่ารักน่าชัง ไม่เห็นเหมือนแม่เลย ผิวพรรณ ยังกับ...”

หล่อนชะงัก ปิดปากฉับ เมื่อนึกได้ว่าไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะวิพากษ์วิจารณ์ ทั้งที่ข่าวร้ายยังจดจ่อ รออยู่ที่ริมฝีปาก

“แต่...แม่ เอ่อ...” หล่อนอึกอัก หากอีกฝ่ายพยักหน้าราวเข้าใจสถานการณ์เป็นอย่างดี

“เสียใจ จริงๆค่ะ เราพยายามเต็มที่แล้วแต่ช่วยได้แค่เด็ก”

“ผมทราบ ไม่เป็นไร...” น้ำเสียงนั้นนุ่มนวล คล้ายเป็นฝ่ายปลุกปลอบ

สายตาหล่อนเปลี่ยนเป็นประหลาดใจ รู้หรือ...รู้ได้อย่างไรกัน? มิหนำซ้ำ เมียตายทั้งคนไม่เห็นเขาโศกเศร้าสักนิด หรือจะไม่ใช่เมียออกหน้าออกตา...

อีกทั้งผู้เสียชีวิต ช่างดูแตกต่างกับชายผู้นี้ราวฟ้ากับดิน และหากไม่เห็นกับตาก็ยากจะเชื่ออีกนั่นแหละว่า หญิงกลางคนที่ดูทรุดโทรมยากไร้ คือแม่ผู้ให้กำเนิดทารก ซึ่งหน้าตา ผิวพรรณราวกับเทพจุตินั่น

“ดิฉันเสียใจด้วยค่ะ ไม่ทราบว่าคุณจะรับศพกลับไปทำพิธีวันนี้เลยหรือเปล่าคะ”

มีแววครุ่นคิดในดวงตาคู่นั้นชั่ววูบ ก่อนปรารภกึ่งหารือ

“ผมไม่ใช่คนที่นี่ ไม่ทราบว่า คุณจะช่วยแนะนำหรือติดต่อทางวัดให้ผมได้หรือเปล่า”

“ได้ค่ะ...ดิฉันจะโทรให้ แต่คุณต้องตกลงกับทางวัดเอง”

“ขอบคุณ”

“แล้วเด็ก…” หล่อนยังไม่วายกังขา

“จะรับกลับไป”

คำตอบนั้นทำให้นางพยาบาลมีสีหน้าดีขึ้น

“เชิญทางนี้ค่ะ คุณคงอยากเห็นลูกชาย”

เขาเดินตามหล่อนไปเงียบๆ ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ ตำแหน่ง ‘พ่อ’ และ ‘ลูกชาย’ ในเมื่อเขาเดินทางไกลหลายร้อยกิโลมาถึงนี่ ทันเวลาได้ส่งหญิงท้องแก่ใกล้คลอดคนนี้มาโรงพยาบาล ก็หาใช่ด้วยเหตุผลอื่นใด นอกจาก...มาเพื่อรับหน้าที่ดูแล ทารกน้อยผู้นี้

ร่างเล็กจ้อย มีผิวละเอียด บางใส ผ่องแผ้วดั่งทองทา ผมเส้นเล็กนุ่มขอดหนา ดำขลับ ตัดกับแก้มสีชมพูและปากเล็กหยักได้รูปราวคันศร จมูกเรียวขึ้นสันสวย ทุกองคาพยพงามราวกับปั้นแต่ง พยาบาลผู้นั้นพูดถูกที่ว่า...ไม่เหมือนแม่เลย

หญิงม่าย อนาถาผู้น่าสงสาร หล่อนหาได้มีวาสนาได้กล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดู เป็นได้เพียงผู้ให้อาศัยท้องเกิด...

ใช่ !! ทุกคนที่เกิดมา ล้วนแต่มีเส้นทางของตน ซึ่งดำเนินไปภายใต้กฎแห่งกรรม ไม่เว้นแม้แต่...เขา ศาสตราจารย์ผู้ครองตัวเป็นโสด ด้วยไม่เคยปรารถนาชีวิตคู่

เขามองหน้าทารกน้อย มุมปากขยับคล้ายจะยิ้ม ก่อนทักทาย

“ในที่สุดเจ้าก็กลับมา ยินดีที่ได้พบกันอีก” คนพูดนิ่งคิดอยู่ชั่วอึดใจก่อนเอ่ยต่อไปว่า... “ต่อไปนี้เราจะเรียกเจ้าว่า พยับหมอก”



lys.gif



กลางฤดูหนาวปีต่อมา...ที่บ้านริมทะเล

ยามโพล้เพล้



“อะไรนะ...คลอดแล้วรึ” เสียงอุทานดังขึ้น ก่อนเปลี่ยนเป็นเสียงสั่งการอย่างโกลาหล

“ใครช่วยโทรตามหมอนทีให้หน่อย บอกหมอด้วยว่าเมียคลอดแล้ว ไปโรงพยาบาลไม่ทัน เอ้า! รีบไปสิ มัวเงอะงะกันอยู่ได้”

“เอาผ้ามาเร็ว ปูรองไว้ก่อนหัวโผล่ออกมาแล้ว”

“ไม่ต้องกลัวนะคะคุณแสงเงิน หมอนทีกำลังมา” ใครบางคนปลุกปลอบ

“โธ่ถัง...ทำไม๊ มันคลอดง่ายดายอย่างนี้ ท้องแรกแท้ๆ”

แสงเงินรู้สึกหูอื้อไปหมด ด้วยสรรพเสียงต่างๆนานารอบตัว หล่อนยึดมือใครบางคนเอาไว้แน่นราวจะยึดเป็นที่พึ่ง ความเจ็บปวด หวาดกลัวและตื่นตระหนก ประดังเข้ามาจนแยกไม่ออก

นาทีต่อมาก็คล้ายกับว่าความเจ็บปวด รวดร้าวที่บังเกิด ยุติลง ราวกับปลิดทิ้ง

“ออกแล้ว ออกมาแล้ว” คนที่สั่งการเอะอะมาตั้งแต่แรก เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงโล่งใจ

“เออแน่ะ! ผู้ชายเสียด้วย สมใจหมอนทีละ เขาอยากได้ลูกชายนี่”

เสียงเด็กร้อง ทำให้แสงเงินยิ้มออกมาได้แม้ร่างกายจะอ่อนล้าเต็มที แว่วคล้ายคนพูดว่า “หมอนทีมาแล้ว” ในการรับรู้ครั้งสุดท้ายที่หล่อนได้ยิน



รู้สึกว่าตัวเองหลับไปชั่วพักเดียวเท่านั้น หากแต่พอลืมตา แสงแดดยามเช้าก็ลอดผ่านผ้าม่านสีครีมเข้ามาถึงเตียงนอน หล่อนมึนงงอยู่ชั่วขณะก่อนจะนึกออกว่า ตัวเองกำลังนอนอยู่ที่ห้องพักฟื้นพิเศษของโรงพยาบาลนั่นเอง

“ตื่นแล้วหรือจ๊ะ”

เสียงนั้นทำให้หล่อนเหลียวไปมอง สามีตรงเข้ามาหาพร้อมกับร่างเล็กจ้อยในอ้อมแขน เขาบรรจงวางทารกน้อยในห่อผ้าเนื้อนุ่ม ลงบนเตียง

“ลูก” แสงเงินน้ำตารื้นขึ้นมาทันที

“ลูกชายของเรา” ผู้เป็นสามีบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนยิ่ง

“ผมขับรถแทบไม่ได้เหยียบเบรก ตอนที่คนข้างบ้านโทรมาบอกว่าคลอดแล้ว ให้รถพยาบาลตามไปด้วย พอตัดสายสะดือเสร็จก็พามาโรงพยาบาล”

“ลูกแข็งแรงดีใช่มั้ยคะ”

“จ้ะ...”

หล่อนไล้ปลายนิ้วลงที่แก้มใส บอบบางของลูก เด็กน้อยตอบสนองด้วยการยกมือไขว่ คล้ายสะดุ้ง ผวา แสงเงินจับมือเล็กๆนั้นไว้

“เอ๊ะ! นี่รอยอะไรคะนที” น้ำเสียงมีแววประหลาดใจ พลางก้มลงพินิจพิเคราะห์

“น่าจะเป็นกระนะ จางแล้วก็กระจายแบบนี้ คงไม่ใช่ปาน มีที่หลังมือซ้ายกับหลังเท้าข้างเดียวกัน”

หล่อนแตะรอยกระนั้น แล้วนิ่วหน้า “จะโตตามตัวหรือเปล่าก็ไม่รู้ มองแวบแรกยังนึกว่ารอยไฟไหม้” หลุดปากออกมาเพียงนั้นแล้วก็ชะงัก

“นทีคะ...หรือว่าที่แสงฝัน นั่นมัน...” ดวงตาที่สบกับสามีแน่วนิ่งนั้นมีรอยตื่นตระหนก

“คงบังเอิญน่ะแสง เป็นไปไม่ได้หรอก อย่าเก็บมากังวลเลย”

“แต่ ไม่น่าบังเอิญขนาดนี้”

คราวนี้มีเสียงหัวเราะเบาๆจากผู้เป็นสามี

“ผมไม่เชื่อเรื่องวิญญาณมาขอเกิด แล้วแสงอย่าไปเผลอเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังล่ะ เขาจะหัวเราะเอา” หมอนทีส่ายหน้าอย่างเห็นเป็นเรื่องเหลวไหล

จะให้เชื่อได้อย่างไรว่า ‘ลูก’ คือชายคนนั้น ในความฝันของภรรยาเมื่อครั้งเริ่มตั้งครรภ์ คนที่วิ่งไฟลุกท่วมตัว มาล้มลงตรงหน้าหล่อน ก่อนบอกว่าจะมาขอเกิดเป็นลูก

นี่มันยุคสมัยของหลักการและเหตุผล เขาไม่เคยเชื่อเรื่องผีสางแม้กระทั่งการเวียนว่ายตายเกิด เพราะรู้สึกว่านั่นคือความงมงาย ก่อนที่ภรรยาจะเอ่ยถึงเรื่องนี้อีก นายแพทย์นทีก็ชิงเปลี่ยนเรื่องเสีย

“ผมจะให้ลูกชื่อ น่านน้ำ แสงว่าดีไหม”

“น่านน้ำ” หล่อนทวนชื่อนั้น “ดีค่ะ...นทีแปลว่าสายน้ำ แต่น่านน้ำฟังดูกว้างใหญ่ดีจัง”

ความวิตกกังวลในใจแสงเงินเริ่มเจือจางแล้วเลือนหาย

นับจากนั้น...ผู้เป็นภรรยาก็ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องความฝันนั่นกับสามีอีกเลย





ปลายฤดูหนาวอีกปีถัดมา

กรุงเทพฯ เที่ยงวัน



“คุณพ่อคะ...เชิญด้านในเลยค่ะ หมอผ่าเอาเด็กออกมาแล้ว”

รักชาติก้าวตามนางพยาบาลเข้าไปด้านใน มือชื้นไปด้วยเหงื่อ รู้สึกได้ถึงความตื่นเต้นของตัวเองขณะสวมชุดฆ่าเชื้อ

เวียนนานอนอยู่บนเตียง หล่อนยิ้มเซียวๆเมื่อเห็นหน้าสามี

“เจ็บหรือเปล่า” เขากระซิบถาม

หล่อนส่ายหน้า ฤทธิ์ยาทำให้หล่อนปราศจากความเจ็บปวด ทว่า...เขาต่างหากที่เป็นฝ่ายยึดมือของเวียนนาเอาไว้แน่น

เพิ่งค้นพบคำตอบว่า แท้จริงแล้วผู้หญิงต้องใช้ความเข้มแข็งและกล้าหาญมากเพียงไร ในการให้กำเนิดชีวิตหนึ่งขึ้นมา โดยที่เพศชายไม่อาจเข้าใจถ่องแท้ถึงความรู้สึกนั้นเลย

“ลูกสาวค่ะ” พยาบาลผู้ช่วยสูติแพทย์คนหนึ่ง หันมาบอก

อีกครู่เดียว พยาบาลก็นำทารกน้อยตัวแดงจัดมาวางข้างๆแม่

ในวินาทีที่ได้เห็นลูกเต็มตา ช่างเป็นความรู้สึกสุดมหัศจรรย์ ชีวิตน้อยๆตรงหน้านี้คือเลือดเนื้อส่วนหนึ่งของเขาและเวียนนา ลูกซึ่งเกือบหมดหวังที่จะมี เขายอมทำทุกอย่างตั้งแต่ปรึกษาแพทย์ จนกระทั่งแอบไปบนบานศาลกล่าว เพื่อให้ได้ชีวิตน้อยๆนี้มา

ความรู้สึกเต็มตื้นบังเกิดขึ้น ก่อนเปลี่ยนเป็นประหลาดใจ เมื่อลูกลืมตาขึ้น แล้วมองตรงมาคล้ายกำลังสบตากับพ่อและแม่ จากนั้นเหมือนกวาดแลไปยังคนอื่น รักชาติมั่นใจว่าเขาเห็นกิริยาดุจตื่นตระหนกจากดวงตาคู่นั้น

ทันใดนั้นทารกน้อยหลับตาปี๋แล้วส่ายหน้า เหวี่ยงแขนขาแผดร้องจ้าราวกับขัดใจอย่างแรง

รักชาติผงะออกห่าง ขณะที่เวียนนายิ้มอย่างอ่อนเพลีย

“โอ๊ะโอ๋...ร้องเอะอะเชียว เพิ่งนึกได้หรือไงจ๊ะ” พยาบาลอุ้มร่างน้อยขึ้นหยอกเอิน แต่เจ้าตัวเล็กท่าทางจะเอาแต่ใจ เพราะยังแผดเสียงไม่หยุดหย่อน

“เวียนนา” เขากระซิบ “คุณรู้สึกอย่างผมหรือเปล่า”

หล่อนเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม

“ผมรู้สึกเหมือน...” เขายิ้มแหยๆเหมือนไม่แน่ใจว่าภรรยาจะมีปฏิกิริยาอย่างไร ต่อคำพูดที่เขากำลังจะเอ่ยออกมา

“อะไรคะ”

“ลูกมองหน้าเรา มองคนอื่นๆด้วย แล้วร้องดิ้นพราดๆเหมือนไม่ค่อยชอบใจที่เกิดมา”

เวียนนาหลุดเสียงหัวเราะ สายตาที่มองสามีนั้นมีแววขบขันกึ่งระอา

“ผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆนะ คุณก็เห็นนี่ว่าแกสบตากับเรา” แม้เขาจะพยายามพูดให้เบาที่สุดแต่สูติแพทย์ก็ได้ยินเข้าจนได้

“เด็กเพิ่งเกิดจะยังมองไม่เห็นภาพอย่างเราหรอกครับ คุณพ่อสบายใจได้ว่าไม่ใช่อย่างที่คิดแน่นอน” หมอหันมาบอกยิ้มๆ

รักชาติยิ้มเจื่อนๆเขาอยากอธิบายว่า ไม่ได้ประสาทไปเอง แต่ยิ่งพูดมากไปอาจถูกมองเป็นไอ้งี่เง่าเข้าขั้นประสาทกินไปจริงๆ

และเย็นวันนั้นเอง เมื่อรักชาติกลับมาถึงบ้าน ความตื่นเต้นก็บังเกิดขึ้นอีกคำรบหนึ่งเมื่อได้รับโทรศัพท์จากศาสตราจารย์พิชฌาน

“วันต้องต้องฤกษ์ดีแน่ๆอาจารย์โทรมาวันเดียวกับที่เวียนนาคลอดพอดี ผมได้ลูกสาวครับ” เขาอดที่จะรายงานเหมือนเมื่อครั้งยังเป็นนักศึกษากับอาจารย์ไม่ได้

“ยินดีด้วยนะ” กระแสเสียงทางปลายสายราบเรียบ ปราศจากความตื่นเต้น และคนที่กำลังเห่อ...ก็อยากเล่าจนไม่ได้รู้สึกผิดแผกใดๆเช่นกัน

“ผ่าออกเมื่อตอนเที่ยงนี่เอง”

“อ้อ...ตั้งชื่อหรือยังล่ะ”

“ยังเลยครับ อาจารย์ช่วยตั้งชื่อให้หน่อยสิครับจะได้เป็นสิริมงคล” เขาบอกออกไปอย่างนั้น อาจเพราะกำลังตื่นเต้นเรื่องลูก หรือไม่ก็ดีใจที่ศาสตราจารย์ผู้ค่อนข้างเก็บเนื้อเก็บตัว จนขาดการติดต่อกันไปนาน โทรมาหาราวประจวบเหมาะเช่นนี้

“วิมายา”

ไม่มีการหยุดคิดหรือลังเล ชื่อนั้นผ่านปากออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่นมั่นคงยิ่งดั่งตระเตรียมไว้แล้ว

“วิมายา เวียนนาแม่เค้าคงชอบชื่อนี้ แปลว่าอะไรครับ”

“แจ้งในอุปาทาน ปราศจากความลวง”

๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐

ฝากติดตามด้วยนะคะ

ปัญจนารถ



ปัญจนารถ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 30 ก.ค. 2557, 11:30:37 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 30 ก.ค. 2557, 11:30:37 น.

จำนวนการเข้าชม : 1034





   ตอนที่ 1. >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account