วิมายา
ความรัก ความผูกพันที่เกาะเกี่ยว โยงยึดแน่นหนาของคนสามคน ซึ่งถูกกลบฝังไว้ในอดีตร่วม 2 พันปี ได้นำพาคนสามคนกลับมาพบกันอีกครั้ง ณ กาลปัจจุบัน
ประตูแห่งอดีตกาลค่อยๆเผยความลับผ่าน...กำไลทอง...ของหญิงสาวที่ชื่อวิมายา
เหรียญตราโบราณ...ของชายหนุ่มที่ชื่อพยับหมอก
รอยกระรูปไฟไหม้...ที่หลังมือของชายหนุ่มที่ชื่อน่านน้ำ และความฝันซ้ำๆของเขา ถึงเรือนแปดเหลี่ยมกลางน้ำ แห่งนครในสายหมอก ซึ่งไม่เคยปรากฏอยู่ในแผนที่ใดๆ
เรื่องราวที่ต่างคนต่างสืบค้น ได้กลายเป็นเรื่องเดียวกัน ทว่า...แต่ละคนสามารถรู้เรื่องราวได้เพียงส่วนหนึ่ง หากจะรู้ทั้งหมดต้องนำแต่ละส่วนเหล่านั้นมาปะติดปะต่อ จึงจะได้ภาพรวมของเรื่องราว
ปมปริศนาและคำตอบทั้งหมดอยู่ที่เรื่องราวในอดีตชาติ ปริศนาชิ้นสุดท้าย...
รอยกระรูปไฟไหม้บนหลังมือน่านน้ำ มีความเป็นมาอย่างไร
วิมายาเคยอธิษฐานอะไรไว้ในอดีต
พยับหมอกเคยลั่นสัจจาต่อฟ้าแลดินไว้อย่างไร
หากค้นพบ และทำได้ดั่งลั่นสัจจาไว้ ทุกอย่างจึงจะยุติและคลี่คลาย พันธะซึ่งเคยมีต่อกันจะสิ้นสุดลง

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 1.

1

ยี่สิบเจ็ดปีต่อมา





เมฆทะมึน...ขับเคลื่อนเข้ายึดครองพื้นที่บนท้องฟ้า แสงอาทิตย์ยามบ่ายคล้อย ค่อยๆถูกริดรอนลงทีละน้อย กระทั่งปราชัย ถนนทั้งสายจึงตกอยู่ในความมืดมัว ลมแรงจัดโหมพัดฝุ่นและใบไม้แห้งปลิวว่อน ส่งสัญญาณเตือนให้รู้ว่าอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า ฝนคงเทกระหน่ำลงมาอย่างหนัก

เจ้าของร้านรวงละแวกนั้น ลงมือเก็บสินค้าซึ่งตั้งโชว์อยู่นอกร้านกันอย่างเร่งรีบ เช่นเดียวกับผู้คนที่เดินเลือกชมสินค้า ต่างก็พากันเร่งฝีเท้า หลบเข้าหาร่มกำบัง

สตรีร่างเพรียว จนดูผอมสูง ในชุดเสื้อยืดสีขาว สอดชายไว้ในกางเกงตัวโคร่ง ลายพรางแบบทหาร วิ่งข้ามถนนมาจากอีกฟากหนึ่ง ตรงเข้ามาในกลุ่มผู้คน ทว่า...ยังไม่ทันไร ร่างนั้นก็ถูกเบียดปะทะ จนเซถลา ไปกระแทกบานประตูโค้งสีเข้ม ที่ตีเป็นตารางประดับกระจกใส

ศีรษะทุยได้รูปสวย โขกกับกรอบประตูดัง...‘ปึ้ก’ ตามมาด้วยเสียงใส ด่าไล่หลัง อย่างไม่กลัวมีเรื่อง

“ไอ้บ้าเอ๊ย...ขอโทษเป็นมั้ย”

บุรุษในเครื่องแต่งกายสุภาพเรียบร้อย ก้าวต่อไปอย่างรีบเร่ง โดยไม่แม้แต่จะเหลียวกลับมามอง และอย่างไม่มีใครคาดคิด...เท้าขวาในรองเท้าหนังแท้หุ้มข้อของหญิงสาว ก็เหวี่ยงผางเข้าที่กระป๋องโค้กบุบบี้ซึ่งกลิ้งอยู่แถวนั้น ส่งผลให้มันลอยละลิ่ว ฉิวเฉียดก้นชายผู้ชนแล้วหนี ไปอย่างหวุดหวิด

“เล่นกับใครไม่เล่น” ปากบางขยับ ยิ้มเยาะ อย่างสาแก่ใจ

ฝีเท้าซึ่งก้าวอย่างรีบเร่งชะงักหยุด ร่างสูงเอี้ยวตัวกลับมามอง เผยให้เห็นดวงหน้ากระจ่าง คม ด้วยเส้นสายหยักโค้งของเครื่องหน้า เหมาะเจาะลงตัว ไร้ที่ติ งามปานรูปปั้นกรีก แม้จะเห็นในระยะไกล มุมปากเขาขยับวาดขึ้นคล้ายจะยิ้ม ค้อมศีรษะให้เล็กน้อยเป็นเชิงขออภัย แล้วหันกลับเร่งฝีเท้ากลืนหายไปในกลุ่มผู้คน ดั่งหมดสิ้นเรื่องราวซึ่งติดค้างระหว่างกันแล้ว

วิมายารู้สึกว่าหัวใจตนเองหล่นวูบ ก่อนระรัวแรงขึ้นอย่างประหลาด เพียงแค่สบตากับชายผู้นั้น ทั้งที่วิสัยเธอหาใช่คนประเภทจะตื่นเต้นกับความหล่อได้ง่ายๆ

หญิงสาวกะพริบตาถี่ๆ ความรู้สึกงงงัน หวั่นไหวหายวับไป รวดเร็วพอๆกับเมื่อมันเกิดขึ้น มือข้างหนึ่งเลื่อนขึ้นคลำป้อยบริเวณศีรษะ สำรวจหารอยปูด โน เมื่อไม่พบก็ใช้นิ้วมือนั่นแหละเสยพรวด เท่านั้น...ผมซอยสั้นแนบศีรษะราวหนุ่มน้อย ก็เข้าทรงดังเดิม

เสียงอู้ อื้ออึงมาแต่ไกล แล้วเม็ดฝนก็ซัดซ่าลงมาราวกับฟ้ารั่ว

“บ้าเอ๊ย ! ป้ายรถเมล์อีกตั้งไกล” ปากบางแดงจัดด้วยธรรมชาติ พึมพำสบถด้วยคำติดปากอย่างขัดใจ เมื่อรู้ตัวว่าอย่างไรก็ต้องเปียกโชกแน่ กว่าจะวิ่งไปถึงป้ายรถเมล์ที่หมายตาไว้จะใช้หลบฝน

“เปียกเพราะอีตานั่นแท้ๆ เฮ้อ...ตกแรงยังกะจะล้างโลก” บ่นพลาง แนบหน้าลงกับช่องกระจกใสบนบานประตู ที่เพิ่งทดสอบความแข็งของหัวไปหยกๆ แล้วแหงนมองป้ายอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ

ร้านแอนทีค !

คราวนี้ดวงตาดำจัดในหน่วยเรียวกว้างเป็นประกายขึ้นทันที

ได้แล้ว...ที่หลบฝน มือไวเท่าใจคิด หมุนลูกบิดผลักเข้าไปด้านใน...

เสียงอื้ออึงจากพายุฝน เงียบกริบลงทันทีเมื่อบานประตูปิดลง เปลี่ยนเป็นเสียงเพลงบรรเลงแผ่วๆ ของ ‘ENYA’ แทน เสียงร้องและท่วงทำนองเยือกเย็น ราวเพลงสวด เปลี่ยนอารมณ์ขุ่นข้องของเธอให้สงบลงได้ในฉับพลัน

รอบห้องนั้น...หนาแน่นไปด้วยข้าวของประดามี แต่เจ้าของร้านมีศิลปะในการจัด จึงดูค่อนข้างโปร่งสบายตา ภายในใช้แสงไม่สว่างนัก อีกทั้งยังเปิดโคมไฟเอาไว้เป็นจุด ตามหลืบมุม ก่อให้เกิดแสงเงา ขรึม เข้มขลัง และวังเวงหนักขึ้น

ดวงตาดำขลับกวาดแล หวังจะพบเจ้าของร้าน แต่ไม่เห็นใครสักคน

ด้านหนึ่งเป็นสินค้าประเภทตู้ โต๊ะเครื่องแป้ง ฉากกั้นห้อง อีกมุมเป็นเครื่องทองเหลือง เครื่องเงิน ถ้วย โถ หีบไม้ แต่ละอย่างล้วนมีร่องรอยชำรุด น้อยบ้างมากบ้าง ให้สมกับที่เป็นของเก่า ส่วนจะเก่า แบบไหน จริงหรือไม่นั่นเป็นอีกเรื่อง

เธอก้าวช้าๆตรงไปยังตู้โชว์ใส่ของกระจุกกระจิก เพื่อชมสินค้า ไหนๆก็เข้ามาแล้ว เผื่อเจออะไรถูกใจจะได้อุดหนุน

“ลมหนาวทำท่าจะมาอยู่แท้ๆ แต่ฝนตกเสียงั้น”

เสียงที่เปรยขึ้น...ทำให้เธอเกือบสะดุ้ง หันขวับไปสบตากับเจ้าของเสียงที่โผล่ออกมาจากมุมฉากกั้นห้อง

ผิดคาด...จากคิดไว้แต่แรกว่า เจ้าของร้านคงจะมีบุคลิก วัยและหน้าตากลมกลืนกับสินค้าในร้าน แต่ชายหนุ่มผู้เดินทอดน่องตรงมา วัยน่าจะไร่เรี่ยกับเธอเสียด้วยซ้ำ และนอกจากจะดูไม่โบราณแล้วยังค่อนไปทาง ล้ำสมัยอีกด้วย

แวบแรกเมื่อเห็นหน้า เธอนึกถึง ‘คีนู รีฟส์’ เสียแต่รายนี้คล้ำและเข้มกว่า ผมสั้นจัดจนดูเหมือนรองทรง รูปหน้าออกยาว คิ้วเข้มตรงและคล้ายจะมีรอยยิ้มประดับอยู่บนหน้าเป็นนิจ ทั้งที่ริมฝีปากมิได้แย้มออก อาจเพราะดวงตาคู่นั้นพราวพรายเกินปกติก็ได้

ร่างสูงโปร่ง ช่วงขายาว ทำให้ใส่กางเกงยีนส์ลีวายได้สวย แต่เสื้อเชิ้ตสีดำเข้ารูปนั่นสิ นอกจากนายแบบบนหน้าหนังสือแฟชั่นแล้ว ไม่เห็นมีคนเดินถนนที่ไหนกล้าใส่

‘เรี่ยม ชะมัด’ เธอวิพากษ์อยู่ในใจ

“เชิญตามสบาย คงอีกนานกว่าฝนจะหยุด” เขาบอกอย่างมีน้ำใจ

เธอรู้สึกละอายนิดหน่อย นี่เขาคงเดาได้ว่าเธอแค่หนีฝนเข้ามา มุมปากจึงขยับนิดอย่างเกรงใจ “ขอบคุณ...ของเยอะจัง ขอชมหน่อยนะคะ คงจะมีถูกใจซักชิ้น”

ดวงตาคู่นั้นคล้ายมีรอยยิ้มยิ่งขึ้น ขณะเดินมาหยุดที่ตู้โชว์ด้านตรงข้าม เอ่ยขึ้นลอยๆ

“ผมก็ว่าจะซื้ออะไรสักชิ้นเหมือนกัน”

“อ้าว !” เธออุทาน “เป็นลูกค้าเหมือนกันหรือคะ คิดว่า...”

“ไม่เหมือน” เขาขัดขึ้นอย่างจงใจ “เพราะผมตั้งใจมาจริงๆไม่ใช่แค่...หลบฝนเข้ามา”

ตอนท้ายเน้น ปนเสียงหัวเราะคล้ายรู้ทัน บวกกับอาการยืนล้วงกระเป๋า เอียงคอ โดยที่สายตาไม่ละจากใบหน้าเธอ ทำให้คนถูกมอง หน้าร้อนวูบ ความรู้สึกไม่ต่างจากการถูกตำหนิ คางเรียวจึงเชิดขึ้นโดยอัตโนมัติ ด้วยชักไม่ค่อยชอบใจ…

“ถึงฉันจะหนีฝนเข้ามาจริง แต่คุณก็ไม่ใช่เจ้าของร้านนี่ จะได้เดือดร้อน” เธอย้อนให้บ้าง แล้วเดินหนีไปยังตู้โชว์ถัดไป ให้รู้ว่าไม่ปรารถนาจะเสวนาด้วยอีก

คราวนี้...หาใช่เพียงรอยขันในดวงตาปรากฏชัดเท่านั้น ปากได้รูป แย้มออกกระทั่งเห็นไรฟัน “ไม่เห็นต้องโกรธ ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรซักหน่อย”

อีกฝ่ายพยายามจะญาติดี แต่เธอทำหูทวนลมเสีย

“นี่คุณ..นั่งก่อนก็ได้ไม่ต้องเดินให้เมื่อยหรอก ดูท่าฝนคงไม่หยุดง่ายๆ” ฝ่ายนั้นยังไม่เลิกราเหมือนสนุกกับการได้ตามตอแย

วิมายาสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆเพื่อข่มระลอกโทสะที่เริ่มขยับไหวๆ เหอะ...มันก็แค่มุกตื้นๆ...เจอมานับไม่ถ้วนแล้วกับผู้ชายแบบนี้ เห็นผู้หญิงเข้าหน่อยก็หาเรื่องปะทะคารม หรือลับฝีปากเพื่อหว่านเสน่ห์...ดูตาก็รู้ว่าหมอนี่ ‘ขี้หลี’ แค่ไหน แพรวพราวออกปานนั้น และคนอย่างเธอก็ไม่ใช่ผู้หญิงอ่อนต่อโลกเสียด้วย จะได้ตกหลุมพรางไปต่อปากต่อคำด้วย

ความคิดสะดุดลงตรงนั้น เมื่อจู่ๆเสียงไก่ขันก็ดังออกมาจากกระเป๋ากางเกงทหาร แข่งกับเพลงของ ENYA เธอลนลานควานหาโทรศัพท์มือถือ กระนั้น ก็ยังไม่วายได้ยินเสียงหัวเราะ ขบขันแว่วมาจากด้านหลัง

“ขอโทษค่ะแม่ วีมาร์มัวแต่เดินดูของเพลิน เลยติดฝน...ไม่ต้องรอก็ได้ จะนั่งแท็กซี่กลับไปเอง…บ๊ายบายค่ะแม่”

เจ้าตัวใช้เวลาแค่นาทีเดียวสำหรับอธิบาย และแก้ปัญหาเสร็จสรรพถึงการหายตัวไปของเธอ ขณะมารดาเสร็จธุระจากการประชุม และพร้อมที่จะกลับบ้าน แจกแจงเสร็จก็กดตัดสายทันทีก่อนแม่จะตั้งกัณฑ์เทศน์ ตามประสาคนตรงต่อเวลา

เพราะธุรกิจปลูกบ้านจัดสรรขายของแม่แท้ๆ ที่ทำให้เธอต้องตามมาร่วมประชุมด้วย ทนนั่งอยู่ไม่นานก็เบื่อ คิดว่าแอบออกมาเดินดูข้าวของแค่แป๊บเดียว ที่ไหนได้กลายเป็นติดฝนจนกลับไปไม่ทัน มิหนำซ้ำยังต้องมาผจญกับนายคนชนแล้วหนี กับอีตาคีนู รีฟส์ขี้หลีนี่อีก

“วีมาร์”

คนที่อยู่ด้านหลัง รำพึงชื่อนั้นด้วยอาการคล้ายตกภวังค์ อะไรบางอย่างวูบวาบ เลือนราง รบกวนอยู่ในใจ

“ไบราห์” อีกชื่อ...ผุดขึ้นในความรำลึก

น่านน้ำกะพริบตาปริบ...แล้วทุกอย่างก็หายวับเหมือนไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เมื่อกลิ่นกาแฟหอมกรุ่นลอยออกมา พร้อมกับร่างระหงของเจ้าของร้านแอนทีคตัวจริง ในชุดเสื้อกางเกงผ้าไหมไทยสีแดงก่ำก้าวออกมาจากบานประตูด้านใน และแล้ว...สีหน้าของน่านน้ำก็พลันระบายด้วยรอยยิ้มของหนุ่มเจ้าเสน่ห์ดังเดิม

มือขาวเผือดซึ่งโผล่พ้นจากแขนเสื้อไหมกรุยกรายนั้น ประคองถาดกาแฟออกมาด้วย หล่อนวางลงบนโต๊ะรับแขกไม้สัก แล้วร้องถาม โดยยังไม่ทันสังเกตว่ามีบุคคลที่สามอยู่ในร้านด้วย

“เจออะไรถูกใจมั้ยน่าน”

“เจอ”

เขาตอบทันทีเหมือนกัน แต่สายตาส่งสัญญาณไปยังอีกมุมของร้าน

หล่อนชะงัก มองตาม...พอเห็นเจ้าของร่างสูงในเครื่องแต่งกายคล้ายหนุ่มน้อยมองตรงมา ก็ยิ้มให้อย่างผู้มีอัธยาศัยอันดี

“สวัสดีค่ะ…มัวแต่เข้าไปต้มกาแฟ ไม่รู้ว่ามีลูกค้า”

หญิงสาวผู้เป็นลูกค้ายิ้มตอบ

คราวนี้วิมายายอมรับกับตัวเองว่าประเมินภาพเจ้าของร้านแอนทีคผิดจริงๆ เพราะหล่อนเป็นหญิงสาวสวยจัด ผมยาวเป็นมันระยับหวีแสกกลาง แล้วปล่อยเหยียดตรงยาวคลุมแผ่นหลัง

เครื่องแต่งกายรุ่มร่าม ยามอยู่บนเนื้อตัวหล่อนกลับดูเหมาะเจาะ กลมกลืน น้อยคนหรอกที่สวมผ้าไหมไทยแล้วจะดูอ่อนวัยเยี่ยงนี้

ชายหนุ่มผู้ถูกเรียกว่าน่าน เดินตรงไปหาหล่อน เขาคีบน้ำตาลสี่ก้อนใส่ถ้วยกาแฟ แล้วถือมันเดินกลับมาหา ‘ลูกค้า’ ซึ่งกำลังก้มๆเงยๆอยู่หน้าตู้โชว์

“ดื่มกาแฟร้อนๆ ตอนฝนตก แกล้มเพลงของ ENYA ผมว่าได้อารมณ์ดี” เขาวางถ้วยกาแฟลงบนแผ่นกระจกตู้

“อย่าเลย แค่เข้ามาหลบฝนก็เป็นบุญคุณพอแล้ว” เธอประชดแล้วเมินหนี ตบหัวแล้วจะมาลูบหลัง...ไม่มีทาง

“คุณนี่เจ้าคิดเจ้าแค้นเหมือนกันแฮะ” เขาวิจารณ์ เหลือบมองไปทางโต๊ะรับแขก ที่เจ้าของร้านกำลังนั่งดื่มกาแฟมองมาอย่างประเมินสถานการณ์ แล้วหลิ่วตาให้หล่อน เป็นเชิงว่า...ให้เฉยๆแล้วจะดีเอง

“เพื่อนผม...ร้อยกรอง คงเสียใจที่ลูกค้าปฏิเสธความปรารถนาดีของเธอ กาแฟนี่ถึงผมไม่ยกมาบริการคุณ ร้อยกรองก็ต้องยกมาเองอยู่ดี”

ในคำพูดประโยคเดียว น่านน้ำสามารถบอกได้ทั้งชื่อของเจ้าของร้าน และสถานะของเขากับหล่อน รวมถึงการบีบบังคับให้หญิงสาวตรงหน้าทำในสิ่งที่เขาอยากให้ทำ ได้ครบถ้วน ซึ่งไม่ใช่ทุกคนหรอกที่จะมีชั้นเชิงขนาดนี้ได้ นอกเสียจาก...ฝึกฝนจนเชี่ยวชาญ

และนานที...เขาถึงใช้วิธีนี้กับใคร ด้วยแทบไม่มีหญิงสาวคนไหน เคยปฏิเสธเขา

แต่...เหนือฟ้ายังมีฟ้า อีกฝ่ายหลีกเลี่ยงไปได้อย่างง่ายดาย

“คุณร้อยกรองคะ ฉันอยากขอดูของในหีบไม้นี่หน่อย” วิมายาวางโทรศัพท์มือถือบนหลังตู้โชว์ก่อนร้องเรียกเจ้าของร้าน ดุจเขาเป็นเพียงธาตุอากาศที่ไร้ตัวตน

ร้อยกรองแอบยิ้มเยาะ แต่คนไม่เคยถูกปฏิเสธ หน้าไม่เปลี่ยน แม้เริ่มจะรู้ว่า...พบคู่ต่อสู้ที่ฝีมือทัดเทียมเข้าแล้ว เขายืนรีรออยู่ตรงนั้น กระทั่งร้อยกรองเดินมาเปิดตู้ หยิบหีบไม้ออกมา ทั้งหมดในนั้นเป็นเครื่องประดับ แต่มีชิ้นหนึ่งซึ่งสะดุดเข้าตาปลาบ

น่านน้ำจ้องแน่วไปที่กำไลทอง...ราวถูกสะกด

“ขอสารภาพว่า ของกล่องนี้ กรองเล่าประวัติไม่ได้ซักชิ้นว่ามาจากสมัยไหน รู้แค่ว่าอายุกว่าพันปีแน่นอน ตรวจสอบกันได้แค่นั้น” เจ้าของร้านรีบออกตัว

วิมายาไม่ได้มองของชิ้นอื่นเลย นอกจากกำไลทองรูปพญานาค ทับทิมที่ฝังอยู่ในดวงตา

ทั้งคู่ เจิดจ้าราวกับมีชีวิต หัวและหางซึ่งไขว้มาบรรจบเป็นวง แกะลายเป็นเกล็ดละเอียดยิบงดงาม ประณีตนัก

นอกจากความงดงาม นั่นคือความรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด...ราวกับเคยเป็นเจ้าของ ที่หยิบใช้มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน

เธอเอื้อมมือ หมายจะหยิบขึ้นมาลองสวม ขณะนั้น...มือของชายหนุ่มก็เอื้อมมาเช่นกัน ทันทีที่ปลายนิ้วต่างแตะลงบนเรือนกำไล และมือปะทะ กระทบ...

ร่างของคนทั้งคู่ชาวาบ !!

เหมือนถูกช็อตด้วยกระแสไฟฟ้าแรงสูง

ทั้งวิมายาและน่านน้ำต่างรู้สึกคล้ายหน้ามืดไปวูบหนึ่ง

หลังจากนั้น...วิมายาก็มองไม่เห็นสิ่งใดนอกจากรอยกระจางๆบนหลังมือเขา

‘รอยไฟไหม้’ ความคิดนั้นจู่โจมเข้ามาอย่างกะทันหัน หัวใจเธอเต้นแรงจนรัวกระหน่ำโดยไร้สาเหตุเป็นครั้งที่สองของวันนี้...

ใจวะวับ...วูบ ดั่งละลิ่วลงจากที่สูง รู้สึกเหมือนบรรยากาศรอบๆตัวร้อนผะผ่าว ราวอยู่ใต้เปลวเพลิง ชัดเจนเสียจนแทบได้กลิ่นควันไฟ

ภาพบางอย่างเคลื่อนผ่านตาเธอวูบวาบ ผู้คนในเครื่องแต่งกายแปลกๆ ห้องหับโอ่อ่าและบึงกว้างใหญ่ที่มีดอกไม้สีม่วงดารดาษ

‘ดอกกิระณา’

ชื่อนั้นผุดขึ้นอย่างไร้ต้นสายปลายเหตุ วิมายาสะดุ้งวาบในอก...ใช่...เธอรู้จัก แต่รู้จากไหน อย่างไรล่ะ?



น่านน้ำยืนนิ่งค้าง จู่ๆก็ใจหายวับ หัวหมุนติ้วคล้ายขาดอากาศหายใจ แว่วเสียงผู้หญิงกรีดก้องในมโนสำนึกด้วยภาษาแปลกประหลาด แต่เขากลับเข้าใจมันเป็นอย่างดี...

“มารุสก์...ช่วยด้วย...ช่วยข้าด้วย”

ชายหนุ่มตะลึงงัน หัวใจราวกับจะแตกสลาย

แม้สิ้นชีพวางวาย ลมหายใจสุดท้าย สละได้เพื่อนาง

ความคิดเช่นนั้นผ่านล่วงเข้ามาในความรำลึกพร้อมกับกลิ่นควันไฟคละคลุ้ง



“แหม...ใจตรงกัน” เสียงพูดอย่างขันๆของร้อยกรอง ปลุกคนทั้งคู่ให้ตื่นจากอาการตะลึงงัน ทุกอย่างเกิดขึ้นเพียงไม่ถึงนาที แต่กลับดูเป็นจริงเป็นจังเสียเหลือเกิน

วิมายาชักมือกลับ รู้สึกได้ถึงหัวใจซึ่งเต้นรัวแรง ราวจะโลดแล่นออกมากระนั้น ขณะที่น่านน้ำผงะก้าวถอยหลังออกมา ทว่า...ใจยังวูบวับ และความอาลัยยิ่ง อ้อยอิ่งอยู่ในสำนึก

ดวงตาของคนทั้งคู่เลื่อนมาสบกัน มีแววงุนงงและไม่แน่ใจ หากแต่ไม่มีใครยอมปริปาก

สุดท้ายต่างก็เมินไปทางอื่น

บรรยากาศเงียบยิ่งกว่าเงียบ จนสัมผัสได้ถึงความอึดอัด กระทั่ง...

“เอาชิ้นนี้” ทั้งคู่เอ่ยขึ้นพร้อมกัน

คราวนี้ร้อยกรองหลุดเสียงหัวเราะ พร้อมกับส่ายหน้า

“ขอโทษจริงๆค่ะ...กำไลนี่มีคนจองไว้แล้ว กรองยังไม่ได้แยกไว้ต่างหาก ไม่คิดว่าคุณกับน่านจะเลือกชิ้นนี้”

“กรองยกเลิกทางโน้นไม่ได้เหรอ…ราคาเท่าไหร่ไม่เกี่ยง” เสียงและสีหน้าของน่านน้ำยามนี้บอกให้รู้ว่าไม่ได้ล้อเล่น

“ฉันให้สองเท่า ถ้าคุณขายให้ฉัน” วิมายาโพล่งออกไป ไม่แน่ใจว่า...เพราะความอยากเอาชนะ หรือเพราะเหตุการณ์แปลกประหลาดซึ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่ ที่แน่ๆคือ...ความหวงแหนแล่นปราดเมื่อเห็นอีกฝ่าย มีท่าทีอยากได้เช่นกัน

เจ้าของร้านมองหน้าคนทั้งคู่อย่างอ่อนใจ

“กรองขายให้ไม่ได้จริงๆ เสียเครดิตแย่เพราะคนที่จองไว้เขาจ่ายมัดจำด้วย ” คำพูดคล้ายขอความเห็นใจ ก่อนเบนความสนใจทันที

“ไม่ถูกใจชิ้นอื่นเลยหรือคะ”

แม้จะรู้ว่าเจ้าของร้านไม่เปลี่ยนใจแน่ แต่วิมายาก็ไม่อาจละสายตาจากกำไลนั้นได้

“เสียดาย...” เธอรำพึง

"รู้สึกเหมือนเจอของที่หายไปนาน เหมือนเคยเป็นเจ้าของ”

เจ้าของร้านเองก็เสียดาย...น่าจะติดใจชิ้นอื่น ไม่งั้น...คงได้ขาย

น่านน้ำลอบมองคนพูด ราวจะค้นหาความหมายที่มากกว่าถ้อยคำ

เป็นไปได้อย่างไร?

ปรากฏการณ์แปลกประหลาดเกิดขึ้นทั้งที่ตื่นเต็มตา หาได้หลับฝัน ใช่แต่เท่านั้น...เธอยังมีความรู้สึกเดียวกับเขาอีกด้วย

เหมือนเจอของที่หายไปนาน เหมือนเคยเป็นเจ้าของ...

เกล็ดทุกเกล็ด แกะเกลาด้วยมานะพยายามยิ่ง เพียงเพื่อให้นางพึงใจ

ชายหนุ่มสะดุ้งเมื่อความคิดนั้นผ่านเข้ามาในหัว เหมือนภาพความฝันอันแหว่งวิ่น

อีกทั้งจากการสบตากันเมื่อครู่...เขาค่อนข้างแน่ใจว่าเธอรับรู้ถึงเหตุการณ์แปลกประหลาดที่เกิดขึ้นร่วมกับเขาแน่นอน

วิมายาสบตากับเจ้าของร้าน ยิ้มเนือยๆอย่างเสียดายไม่หาย

“แล้วจะแวะมาอีกค่ะ หวังว่าคนที่จองไว้อาจจะเปลี่ยนใจ”

“ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงกรองจะเก็บไว้ให้” เจ้าของร้านเปิดยิ้มกว้าง

“อ้าว...ไหงเป็นงั้น แล้วน่านล่ะ” อีกคนรีบท้วง

“นี่มันของผู้หญิง ผู้ชายจะเอาไปทำไมกัน น่านก็...” ร้อยกรองนิ่วหน้าทำเสียงดุ เข้าใจว่า...น่านน้ำแค่เพียงเซ้าซี้จะเอาชนะ

“ก็เอาไปให้ผู้หญิงไง” พอหลุดปากออกไปเพียงนั้นก็ชะงัก...เหมือนจะนึกอะไรได้แต่พอตั้งใจคิด ค้นหาก็ว่างเปล่า คล้ายกับประสาทไปเอง

“ขอบคุณ...สำหรับที่หลบฝน" สายตาเธอเลื่อนเลยมายังเขา ก่อนตวัดผ่านไปหยุดที่เจ้าของร้านอย่างรวดเร็ว

“ไม่รอฝนหยุดก่อนหรือคะ”

“ซาแล้ว พอไปได้”

คนพูดก้มศีรษะให้หญิงสาวเจ้าของร้านเป็นเชิงลา น้ำเสียงทอดอ่อนแม้จะไม่มีคำลงท้าย แต่ก็ไม่ถึงกับห้วน รอยยิ้มจางๆปรากฏที่มุมปากแต่ดวงตาคล้ายมีรอยครุ่นคิด ยามทอดนิ่งเป็นครั้งสุดท้ายที่กำไลทอง ก่อนร่างผอมสูงจะก้าวหลังตรงออกไป โดยมิได้เอ่ยลาน่านน้ำแม้แต่คำเดียว

ชายหนุ่มมองตาม กระทั่งร่างนั้นวิ่งโหย่งๆฝ่าแพรสายฝนลับหายไปจากสายตา แล้วจึงหันกลับมาเห็นโทรศัพท์มือถือที่ถูกวางลืมไว้บนหลังตู้โชว์ เรียวปากจึงคลี่ออกเป็นรอยยิ้ม ขณะเอื้อมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเดาะเล่น

“โอ๊ะโอ๋...มีหลักฐาน พยานวัตถุทิ้งไว้ให้ตามร่องรอย” คนช่างเปรียบเปรยเอ่ยปนหัวเราะ

“วิ่งตามไปสิ...น่าจะทัน” ร้อยกรองออกความเห็น

“เรื่องอะไร” น่านน้ำยัดมันใส่กระเป๋ากางเกงหน้าตาเฉย “ของฟรีไม่มีจ้ะ...อยากได้คืน ต้องมีของแลกเปลี่ยน” คำพูดคล้ายล้อเล่น หากจะไม่ปรากฏรอยมาดหมาดในดวงตาคู่นั้น

คนฟังเบ้หน้าเดินหนีกลับไปนั่งที่ชุดรับแขก

ชายหนุ่มคว้าถ้วยกาแฟที่ไม่ถูกแตะต้องแก้วนั้น ยกขึ้นดื่มรวดเดียวหมด แล้วนำถ้วยเปล่ามาส่งคืนให้เจ้าของร้าน

“เย็นชืดดีแท้”

“นอกจากเย็นชืดแล้วน่าจะขมขื่นอีกด้วย” ร้อยกรองว่าปนหัวเราะ “รู้สึกยังไงน้า...เวลาจีบแล้วไม่ติดน่ะ”

“อย่าเพิ่งสรุป นี่แค่ยกแรกเอง อย่างช้าพรุ่งนี้ต้องโทรมา”

น่านน้ำยิ้มระรื่น และน้ำเสียงที่เอ่ยก็มั่นใจเป็นอย่างยิ่ง ไม่ทันสังเกตสีหน้าของเพื่อนสาวซึ่งเปลี่ยนไปแวบหนึ่ง

“ไม่ยักรู้ว่าแบบนี้สเป็คน่าน” เสียงหล่อนห้วนขึ้นนิดราวลืมตัวก่อนเปลี่ยนเป็นอ่อนลง

“ที่จริงทิ้งเอาไว้ที่นี่ก็ได้ เค้าน่าจะกลับมาเอาได้ง่ายกว่า เว้นเสียแต่ว่าน่านอยากเจอเค้าอีก”

คราวนี้ชายหนุ่มยิ้มเฉย...

อยากเจอนั่นน่ะ...แน่นอน และไม่ใช่แค่อยาก แต่ว่า...ต้องเจอ!!

แท้จริงแล้วเขาเห็นเธอตั้งแต่วิ่งข้ามถนนมา จนกระทั่งถูกเบียดหัวโขกประตูร้านนั่นแล้ว เขาคงเลิกสนใจเพียงแต่เท่านั้น หากไม่บังเอิญเห็นหญิงสาวเตะกระป๋องโค้กใส่คนที่ชนเธอ...ผู้หญิงอะไรเฮี้ยวห้าวได้ปานนั้น อะไรที่แปลกและแตกต่างมักน่าสนใจ

แต่ในยามนี้ สิ่งสำคัญและน่าสนใจกว่านั้นก็คือ น่านน้ำต้องการรู้...ผู้หญิงที่เรียกตัวเองว่าวีมาร์เห็นสิ่งเดียวกับเขาหรือไม่

และเธอคิดอย่างไรกับประสบการณ์พิลึกพิลั่นที่เกิดขึ้น!!

“อีกเดี๋ยวกรองจะปิดร้านแล้ว น่านอยู่กินข้าวด้วยกันก่อนมั้ย”

“ไม่ละ...รถติดอย่างนี้ จะไปจัดรายการไม่ทัน”

“ทันถมเถละไม่ว่า จากท่าพระจันทร์ไปสถานีวิทยุน่ะ กรองให้สี่สิบนาทีเอ้า”

“ก็จะไปร่างสคริปให้เขาอัดสปอตโฆษณาร้านให้กรองด้วยไง...ไว้วันหลังนะ”

ถึงปฏิเสธแต่ในตอนท้ายก็ยังไม่วายทอดเสียงเอาใจ ชายหนุ่มลุกขึ้นยืน ก้าวตรงไปยังประตู แล้วหันมายิ้มอวดฟันขาว

“แล้วเจอกัน”

“บ๊ายบาย ขับรถดีๆล่ะ”

ร้อยกรองโบกมือ ใบหน้าระบายยิ้มปราศจากความขุ่นข้อง รู้ดีว่า...หากรักจะคบหากับ

น่านน้ำให้ยืนยาว ต้องวางตัวอย่างไร

น่านน้ำไม่เคยยอมให้ผู้หญิงคนไหนเข้าใกล้ จน ‘ล้ำเส้น’ หรือแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ ที่คบหากับเขามาได้ยาวนาน นับแต่เรียนร่วมมหาวิทยาลัยจนถึงทุกวันนี้ ก็เพราะร้อยกรองฉลาดพอที่จะรักษาระดับมิตรภาพแค่ ‘เพื่อนสนิท’ เอาไว้ ไม่ให้มากหรือน้อยไปกว่านั้นนั่นเอง

เคยหวัง...สักวัน ความสัมพันธ์อาจคืบไปข้างหน้า แต่ว่า...จนถึงบัดนี้แล้วที่หล่อนเรียนจบและมาช่วยบิดาดูแลร้านแอนทีค ส่วนน่านน้ำก็ผันตัวเองจากสถาปนิกมาเป็นนักจัดรายการวิทยุ ปีแล้วปีเล่าผันผ่าน ล่วงพ้น เขาก็ยังรักษาช่องว่างเอาไว้เท่าเดิม ไม่เคยเปิดโอกาสให้หล่อน ก้าวล้ำเส้นเพื่อนสนิทไปเป็นอื่นได้เลย

ภาพหญิงสาวปราดเปรียวในชุดทะมัดทะแมงผู้นั้น ผ่านเข้ามาในความครุ่นคำนึง

มองแวบแรกเหมือนหนุ่มน้อย หากพินิจจะเห็นโครงหน้างามแปลก เหมือนพวกแขกขาว บวกกับอาการเชื่อมั่นในตนเต็มเปี่ยม กับดวงตาดำขลับที่ฉายแววถือดีและเจ้าอารมณ์อยู่ไม่น้อย ยิ่งทำให้ดูน่าค้นหา

แบบนี้หรือเปล่าที่เรียกว่างามพิศ

ร้อยกรองหลับตาสร้างจินตภาพ เพียงแค่...เปลี่ยนผมซอยสั้นแนบศีรษะมาเป็นผมยาวคลุมหลังไหล่ แล้วแต่งองค์ทรงเครื่องเสียใหม่ให้เป็นผู้หญิงขึ้น สตรีผู้มีนามว่า ‘วีมาร์’ จะเลิศล้ำ งามยิ่ง

ความหวั่นไหวผ่านล่วงเข้ามาให้ใจวาบวับ

“ไม่เห็นจะมีอะไร น่านก็ตอแยไปทั่วอย่างนี้แหละ ไม่เคยจริงจังกับใครสักที”

หญิงสาวผุดลุกขึ้นราวจะขับไล่ความคิดเหล่านั้น จังหวะเดียวกับที่ร่างสูงโปร่งในเครื่องแต่งกายสุภาพเรียบร้อย ผลักประตูร้าน ก้าวเข้ามา

แสงไฟมลังเมลือง โรยแสงอาบลงบนร่างบุรุษผู้มาเยือน ร้อยกรองรู้สึกราวกับว่า...ภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า เหมือนหลุดเร้นออกมาจากภาพวาด หรือจินตนาการของศิลปินเสียมากกว่าจะเป็นมนุษย์ผู้มีเลือดเนื้อจริงๆ

หญิงสาวนิ่งงันอยู่ชั่วอึดใจ ตราบกระทั่งเสียงทุ้มเย็นเอ่ยขึ้น

“ผมมารับของที่ศาสตราจารย์พิชฌานสั่งจองไว้”

QQQQQQQQ

ฝากติดตามด้วยนะคะ

ปัญจนารถ



ปัญจนารถ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 31 ก.ค. 2557, 17:20:35 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 31 ก.ค. 2557, 17:20:35 น.

จำนวนการเข้าชม : 928





<< บทนำ   ตอนที่ 2. >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account