เชลยรักแห่งเม็ดทราย ชุดเพลิงสวาททาสทราย (ทำมือ เปิดจอง)
Tags: ทะเลทราย,ชีค,นิยายรัก,โรมานซ์
ตอน: ตอนที่ 1
ตอนที่ 1
สภาพการจราจรบนท้องถนนในเช้าวันจันทร์วันแห่งการรีบเร่งไปทำงานของมนุษย์เงินเดือนต่างก็เต็มไปด้วยรถราหลากหลายยี่ห้อหลากสีสัน การจราจรที่ค่อนข้างแออัดรถราที่ติดแล้วติดอีกจนแทบเคลื่อนตัวไม่ได้ทำให้ผู้ที่สัญจรรีบเร่งต่างก็หงุดหงิดอารมณ์เสียไปตามๆ กัน ตัวเลขสัญญาณไฟจราจรตรงบริเวณสี่แยกที่เปลี่ยนเป็นไฟแดงทำให้รถที่ขับเคลื่อนอยู่บนท้องถนนได้ชะลอความเร็วรถลงแล้วจอดสนิทตามสัญญาณไฟ แต่รถบีเอ็มดับบลิวที่ขับโดยสารถีสาวสวยไม่ได้หยุดตามสัญญาณไฟ อุบัติเหตุที่ไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้นในเช้าวันทำงานที่รีบเร่งก็ได้เกิดขึ้นทันที
โครม!!...
รถเก๋งบีเอ็มดับบลิวที่คนขับสาวแสนสวยใจลอยติดอยู่ในอาการโศกเศร้าไม่ได้มองสัญญาณไฟจราจรได้ไถลเข้าไปสัมผัสฝากรอยจูบให้กับรถเบ็นซ์คันใหญ่สีดำสนิทใหม่เอี่ยมมันปลาบ หญิงสาวผู้งดงามเจ้าของรถเก๋งบีเอ็มดับบลิวตกใจหน้าถอดสีเผือด มือไม้สั่นเทากับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแบบไม่ทันได้ตั้งตัว ยิ่งได้เห็นเจ้าของรถที่มีเรือนร่างสูงใหญ่ล่ำสันในชุดสูทสากลสีน้ำเงินเข้มก้าวลงมาจากประตูด้านหลังรถด้วยใบหน้าถมึงทึงดวงตาคมกริบดุจพญาอินทรีลุกวาวด้วยไฟพิโรธยิ่งทำให้หญิงสาวหวาดกลัวสั่นเทาเข้าไปอีก
เจ้าชายฮารีฟร์ อัล ริฟาอีลส์ กระแทกประตูรถปิดดังปัง! เหลือบสายตามองไฟท้ายและตัวรถที่ยุบเข้าไปทั้งแถบด้วยความโมโหโกรธาพลางก้าวเท้าฉับๆ มากระชากประตูรถของคู่กรณีเปิดออกกว้าง
นีราพรรรณค่อยๆ หย่อนเท้าที่สั่นเทาไร้เรี่ยวแรงลงจากรถอย่างเชื่องช้า พอได้เห็นสภาพท้ายรถเบ็นซ์คันงามป้ายแดงลมแทบใส่ ร่างบางระหงเอนตัวพิงรถเก๋งของตนเองอย่างต้องการที่พึ่ง สีหน้าซีดเผือดไร้สีเลือดเมื่อนึกถึงค่าซ่อมรถหรูที่เธอต้องเป็นผู้ควักเงินจ่าย
“เอ่อ...Sorry...”
นีราพรรณเอ่ยขอโทษเป็นภาษาอังกฤษด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักหวาดกลัวต่อสายตาคมกริบที่จ้องมองอย่างพร้อมที่จะเอาเรื่องทุกวินาที แต่ไม่ทันได้เอ่ยพูดประโยคต่อไปหญิงสาวก็ต้องผงะถอยหลังเมื่อบุรุษหนุ่มรูปงามตวาดลั่นเสียงห้วน
“ไม่ต้องมาขอโทษ”
เจ้าชายฮารีฟร์กระชากเสียงห้วนตวาดต่อว่าเป็นภาษาไทยชัดถ้อยชัดคำยิ่งกว่าเจ้าของภาษาเสียอีก
“ขับรถภาษาอะไรไม่เห็นหรือไงว่ารถข้างหน้าจอดติดไฟแดงอยู่”
เจ้าชายฮารีฟร์ อัล ริฟาอีลส์ บุรุษหนุ่มรูปงามเรือนร่างใหญ่โตกำยำบึกบึนลูกครึ่งไทย-อาหรับ เจ้าชายแห่งประเทศ ‘อัลนูรีน’ ประเทศเกิดใหม่ทางแถบตะวันออกกลางซึ่งเป็นประเทศที่ร่ำรวยด้วยสายแร่น้ำมันนับร้อยๆ บ่อที่ขุดขายทั้งชาติก็ไม่มีหมด เจ้าชายฮารีฟร์เจ้าชายมาดเข้มหล่อเหลาที่ทำให้สาวๆ ที่ได้พบเห็นหัวใจแทบละลายได้ยกมือขึ้นดูเวลาบนนาฬิกาข้อมือเรือนแพงก่อนจะปรายตามองสาวสวยเรือนร่างอรชรที่ยืนซีดพิงรถตัวเองอยู่ด้วยความหงุดหงิดที่อีกฝ่ายทำให้ตนเองต้องเสีย
เวลาเพราะอุบัติเหตุที่ไม่สมควรเกิดขึ้น
นีราพรรณหันไปมองไฟจราจรที่ขึ้นเป็นสีแดงอย่างที่อีกฝ่ายต่อว่าพร้อมกับหลุบสายตามองที่ท้ายรถเบ็นซ์อีกครั้ง เธอผิดเต็มประตูเหมือนที่บุรุษชาติชาวอาหรับคนนี้กำลังต่อว่าจริงๆ นั่นแหละ เพราะมัวแต่ใจลอยเสียใจกับเรื่องที่ทะเลาะกับ
มารดาเมื่อช่วงเช้าก่อนที่จะออกมาทำงานทำให้เธอไม่มีสมาธิในการขับรถ
อานีสต์ ดามาสต์ ซาบิลซ์ องครักษ์เอกซึ่งทำหน้าที่อารักขาความปลอดภัยให้กับเจ้าชายฮารีฟร์ พร้อมกับองครักษ์อีกคนซึ่งทำหน้าที่เป็นสารถีได้ก้าวลงมาจากรถแล้วเดินไปสำรวจความเสียหายท้ายรถจากนั้นก็สาวเท้าเข้ามาหยุดยืนข้างๆ เจ้าเหนือหัวของตน ส่วนรถเบ็นซ์สีดำอีกคันที่จอดอยู่ด้านหน้ารถของเจ้าชายฮารีฟร์เป็นรถของเหล่าองครักษ์ เมื่อองครักษ์ที่ทำหน้าที่ขับรถเหลือบสายตามองกระจกมองหลังเห็นว่าเจ้าเหนือหัวของตนได้ก้าวลงมาจากรถเบ็นซ์คันงามจึงรอจนกระทั่งไฟเขียวแล้วขับรถชิดข้างไหล่ทางและก้าวลงจากรถมาอารักขาความปลอดภัยให้กับเจ้าเหนือหัวเช่นเดียวกันกับองครักษ์กลุ่มแรก
“เอายังไงดีพะยะค่ะ”
อานีสต์เอ่ยถามเจ้าเหนือหัวด้วยภาษาอาหรับ ออกจะเห็นใจหญิงสาวที่แสนงดงามราวกับนางฟ้าซึ่งยืนหน้าซีดตัวสั่นอยู่ข้างๆ รถ ถึงแม้ก่อนหน้านี้จะไม่ได้ยินว่าเจ้าเหนือหัวของตนต่อว่าคู่กรณีอย่างไรบ้างแต่เขาก็พอเดาออกว่าถ้อยคำที่หลุดมาจากริมฝีปากสีสดของเจ้าชายฮารีฟร์คงทำให้หญิงสาวผู้นี้รู้สึกผิดเอามากๆ
เจ้าชายฮารีฟร์หันไปมององครักษ์เอกครู่หนึ่งแล้วเอ่ยตอบเป็นภาษาอาหรับเช่นเดียวกัน
“เจ้าโทรไปบอกคณะกรรมการโรงแรมบอกให้รู้ว่าเราจะเข้าไปที่บริษัทช้ากว่าเวลาที่กำหนดเล็กน้อย”
“แล้วเรื่องรถละพะยะค่ะ”
อานีสต์โค้งคำนับรับคำสั่งเจ้าชายพลางเอ่ยถามถึงปัญหาที่ยังคาราคาซังอยู่กลางท้องถนน
“ประชุมเสร็จค่อยส่งซ่อม”
เจ้าชายฮารีฟร์เอ่ยตอบห้วนๆ ตลอดเวลาที่สนทนากับองครักษ์เอก นัยน์ตาคมกริบได้จับจ้องมองแน่นิ่งอยู่ที่ใบหน้างามหวานติดซีดเซียว เขายอมรับว่าหญิงสาวผู้นี้งดงามชวนพิศยิ่งนัก เส้นผมสีน้ำตาลอ่อนยาวระลงมาถึงกลางหลังถูกเจ้าตัวรวบไว้ง่ายๆ ด้วยริบบิ้นสีดำ ถ้าหากได้ลูบไล้แตะสัมผัสด้วยฝ่ามือร้อนผ่าวคงให้ความนุ่มนิ่มละมุนละไมยิ่งกว่าผ้าไหมใดๆ ในโลก เรียวปากอิ่มเอิบสีหวานคงให้รสชาติที่หวานล้ำชื่นฉ่ำกาย เจ้าชายฮารีฟร์ตีหน้าบึ้งรู้สึกตกใจกับความคิดของตนเองยิ่งนักที่คิดไปไกลกับหญิงสาวที่ยังไม่รู้จักแม้แต่ชื่อเสียงเรียงนาม
นีราพรรณขมวดคิ้วโก่งงามดุจคันศรเข้าหากันยุ่งด้วยไม่รู้ว่าบุรุษชายชาติที่เธอมั่นใจว่าต้องเป็นชาวอาหรับสองคนนี้กำลังสนทนากันว่าอย่างไร
“ขอโทษอีกครั้งนะคะ ดิฉันยอมรับผิดทั้งหมด เดี๋ยวดิฉันโทรเรียกบริษัทประกัน”
“ไม่ต้อง!...ไม่จำเป็น! ถ้าหากขับรถไม่เป็นทีหลังก็อย่ามาขับบนถนนที่เต็มไปด้วยยวดยานแบบนี้อีก”
มือบางที่กำลังล้วงเข้าไปหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋าสะพายมีอันต้องหยุดชะงักกลางอากาศ ใบหน้าหวานเนียนลออมีอันต้องหน้าม้านเมื่อเจอถ้อยคำปฏิเสธห้วนๆ ต่อว่าดุเดือดโดยไม่ถนอมน้ำใจกันสักนิด
“นี่คุณ!...การที่ฉันขับรถชนคุณใช่ว่าจะทำให้คุณมีสิทธิ์มาต่อว่าฉอดๆ แบบนี้นะ”
นีราพรรณชักโมโหชายชาติชาวอาหรับผู้นี้ เขาต่อว่าเธอได้เธอก็ว่าเขาได้เช่นเดียวกัน เรื่องอะไรจะยอมให้คนที่เพิ่งพบเห็นกันครั้งแรกมาด่าแค่ฝ่ายเดียว
“แล้วถ้าเจ้าขับรถเป็นและก็เคารพกฎจราจรหัดมองสัญญาณไฟอุบัติเหตุก็คงไม่เกิดขึ้น”
เจ้าชายฮารีฟร์ยังต่อว่าคู่กรณีไม่ได้หยุด ดวงตาคมกริบดุจพญาอินทรีทอดมองสาวสวยที่ยืนหน้าซีดด้วยความรำคาญ เขาเบื่อที่สุดที่ต้องมาเจอกับคนใช้รถใช้ท้องถนนโดยไม่เคารพกฎจราจร การอยู่ในเมืองไทยแค่เพียงไม่กี่วันทำให้เขาพบเจอผู้คนที่ทำผิดกฎจราจรอยู่มาก มีทั้งมอเตอร์ไซด์ที่ขับย้อนศร รถยนต์ที่ขับฝ่าไฟแดงหรือบรรดาพวกที่ชอบแซงซ้ายปาดหน้าโดยไม่เปิดไฟให้สัญญาณ
นีราพรรณหน้าเสียเมื่อถูกอีกฝ่ายเอ่ยต่อว่าสั่งสอนอีกชุดใหญ่ ถ้าหากเธอไม่ใจลอยและมีสมาธิในการขับรถสักนิดก็คงไม่ทำให้เกิดอุบัตเหตุขึ้น ดีที่ว่าไม่มีใครได้รับบาดเจ็บไม่เช่นนั้นสถานการณ์คงได้แย่กว่านี้อีก
คู่กรณีทั้งสองไม่ทันได้โต้คารมกันต่อเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจได้วิ่งเข้ามาอำนวยความสะดวกและเจรจาให้ทั้งสองช่วยเคลื่อนรถออกจากบริเวณเพื่อให้รถคันอื่นสามารถเคลื่อนที่ออกไปได้
อานีสต์ ดามาสต์ ซาบิลซ์เดินกลับไปขึ้นรถแล้วขับเข้าชิดไหล่ทางเพื่อเปิดให้รถคันหลังซึ่งเป็นรถของหญิงสาวแสนสวยคู่กรณีได้เคลื่อนที่ออกจากบริเวณสี่แยกไฟแดงบ้าง
“เรียกประกันหรือยังครับ”
เจ้าหน้าที่ตำรวจเอ่ยถามหนุ่มสาวทั้งสองไม่จำเพาะเจาะจงลงที่ใครคนใดคนหนึ่ง
“ไม่ต้องหรอกเราเคลียร์กันได้ ขอบคุณมาก”
เจ้าชายฮารีฟร์ตอบเสียงราบเรียบริมฝีปากสีสดไม่แพ้ผู้หญิงกระตุกยิ้มบางๆ ให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจวัยค่อนคนที่ดู เป็นมิตรกับผู้ใช้รถใช้ถนนอยู่มาก
“ถ้าตกลงกันได้ก็ดีแล้วน่ะครับ มีปัญหาก็ค่อยๆ คุยกัน ปัญหาทุกอย่างแก้ไขได้ครับ”
เจ้าหน้าที่ตำรวจอาวุโสทั้งอายุและหน้าที่การงานได้เอ่ยพูดลอยๆ ไม่รู้ว่าเอ่ยสั่งสอนคู่กรณีทั้งสองคนหรือว่าเอ่ยสั่ง
สอนประชาชนทั่วทั้งประเทศที่ใช้อารมณ์เป็นตัวตัดสินปัญหา สติปัญญาอันชาญฉลาดที่มีอยู่ก็กลับเก็บนิ่งไว้ให้ขึ้นสนิม...
“ขอบคุณคุณตำรวจมากนะคะ”
นีราพรรณยกมือไหว้ขอบคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้อาวุโส ใบหน้างามลออแย้มยิ้มบางๆ ให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่พอหันมาสบตากับดวงตาสีดำคมกริบดุจพญาอินทรีที่กำลังจ้องมองเขม็งหญิงสาวก็รีบหุบยิ้มทันที
“เอ่อ...คุณจะเอารถไปซ่อมที่อู่แถวไหนคะ ดิฉันยินดีจ่ายค่าซ่อมให้ทั้งหมด”
นีราพรรณเอ่ยถามอีกครั้งเมื่อบุรุษหนุ่มชาวอาหรับหล่อเหลาผู้นี้ไม่ยอมเรียกประกันให้มาเคลียร์ปัญหาเรื่องค่าซ่อมรถ
เจ้าชายฮารีฟร์ถึงกับตาพร่าไปชั่วขณะเมื่อได้เห็นรอยยิ้มหวานๆ ที่หญิงสาวคู่กรณีของตนได้แย้มยิ้มให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เขาหลุบสายตามองเวลาบนนาฬิกาข้อมือเรือนแพงอีกครั้งเมื่อเห็นว่าเวลาได้ล่วงเลยจากเวลาที่นัดหมายไว้กับคณะกรรมการโรงแรมมาเกือบชั่วโมงแล้วจึงโบกมือว่อนตัดบทตัดปัญหาทุกอย่าง รถพังแค่นี้เขามีปัญญาซ่อมไม่จำเป็นต้อง
ให้ผู้หญิงมาจ่ายเงินให้
“ไม่ต้อง เจ้าซ่อมแค่รถของเจ้าก็พอ ทีหลังขับรถก็หัดระวังกว่านี้บ้าง”
เจ้าชายฮารีฟร์ สั่งสอนหญิงสาวอีกครั้งพลางหันไปกวักมือเรียกองครักษ์ให้เข้ามาใกล้ๆ พร้อมกับออกคำสั่งเป็นภาษาอาหรับเพื่อให้เข้าใจกันแค่สองคน
“สืบมาหน่อยสิว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใครมาจากไหน”
อานีสต์ ดามาสต์ ซาบิลซ์เบิกตากว้างอ้าปากค้างด้วยความแปลกใจเมื่อได้ยินคำสั่งที่ไม่คาดคิดว่าจะได้ยินจากเจ้าชายผู้หล่อเหลาเย่อหยิ่งอย่างเจ้าชายฮารีฟร์
“พระองค์สนใจเธอหรือพะยะค่ะ”
อานีสต์กระซิบถามแผ่วเบาด้วยภาษาเดียวกัน การที่เจ้าชายฮารีฟร์ สนใจหญิงสาวที่เพิ่งพบเจาะเจอกันแค่ไม่กี่วินาทีมากเป็นพิเศษจนสั่งให้สืบเสาะหาประวัติสร้างความแปลกใจให้กับองครักษ์อย่างเขาเป็นอย่างมาก
“ใช่...อานีสต์ เราสนใจเธอ เจ้าว่าแปลกไหมเราสนใจหญิงสาวคนนี้มาก แล้วเจ้าอย่าบังอาจมาถามว่าเพราะเหตุใด ทำตามที่เราสั่งก็พอ”
เจ้าชายฮารีฟร์หันมาถลึงตาใส่องครักษ์เอกครู่หนึ่งแล้วเอ่ยตอบตามความรู้สึกที่กลั่นออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจจนเขาเองก็อดแปลกใจไม่ได้ที่มีความรู้สึกเช่นนี้กับหญิงสาวที่เพิ่งพบกันแค่เพียงไม่กี่วินาที เขารู้แค่ว่าเวลาเข้าใกล้หญิงสาวแสนงดงามผู้นี้จะมีกระแสบางอย่างที่แผ่เข้ามากระทบทั่วกายใจจนทำให้เรือนร่างของเขาสั่นสะท้าน
อานีสต์คันปากหยิกๆ อยากเอ่ยถามเหตุผลแต่เมื่อมองสบตากับดวงตาคมกริบที่ถลึงตาห้ามทำให้ไม่กล้าหลุดปากถาม
“กระหม่อมจะหาประวัติของหญิงงามผู้นี้มาให้เร็วที่สุดพะยะค่ะ”
เจ้าชายฮารีฟร์พยักหน้ารับพลางหันมาต่อว่าแกมสั่งสอนหญิงสาวแสนสวยที่ยังยืนหน้าซีดอยู่ตรงหน้าเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะผละเดินจากไป
“เจ้าโชคดีที่เจอคู่กรณีอย่างเรา ถ้าหากเป็นคนอื่นเขาคงไม่ยอมความง่ายๆ”
“โชคร้ายไม่ว่าสิ”
นีราพรรณงึมงำสวนกลับทันทีที่ชายชาติชาวอาหรับต่อว่าไม่ทันจบประโยคดีด้วยซ้ำ ถึงแม้ชายหนุ่มหล่อเหลาผู้นี้จะไม่เรียกค่าเสียหายแต่เธอก็ถูกเขาต่อว่าแกมด่ากลายๆ เสียยับ
เจ้าชายฮารีฟร์ส่ายหน้าเหนื่อยหน่ายกับท่าทางที่บ่งบอกให้รู้ว่าดื้อด้านอยู่ไม่น้อย นัยน์ตาสีดำคมกริบทอดสายตาจ้องมองใบหน้างามลออเพื่อประทับไว้ในดวงใจจากนั้นก็ผละไปขึ้นรถโดยไม่พูดอะไรออกมา
นีราพรรณมองตามบุรุษชาติอาหรับหล่อเข้มด้วยสายตางงๆ กับท่าทีของอีกฝ่าย ตะกี้ต่อว่าเธอทั้งถ้อยคำและสายตาจนเธอตัวสั่นหน้าซีดแต่บทจะผละจากไปก็เล่นเดินหนีไปดื้อๆ ทำเอาเธอตามอารมณ์ไม่ทัน
หญิงสาวละสายตาจากบุรุษหนุ่มรูปงามแล้วหยิบนามบัตรขอตนมาหนึ่งใบจากนั้นก็ยื่นให้ชายหนุ่มอีกคนที่เธอคาดเดาว่าอาจเป็นเลขาของคู่กรณี
“นามบัตรของน้ำเหนือ...เอ่อ...ของดิฉันค่ะ”
นีราพรรณรีบเปลี่ยนสรรพนามของตน ลืมไปว่าเธอยังไม่สนิทสนมกับบุรุษชาติชาวอาหรับเหล่านี้มากถึงขนาดให้เรียกชื่อเล่นของเธอได้
อานีสต์ ดามาสต์ ซาบิลซ์รับนามบัตรมาอ่านในใจก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวแสนสวยแล้วเอ่ยถามยิ้มๆ อย่างต้องการผูกมิตร
“คุณชื่อนีราพรรณหรือครับ”
“ค่ะ เอ่อ...ถ้าคุณไม่รังเกียจะชื่อเล่นน้ำเหนือก็ได้ค่ะ”
นีราพรรณยิ้มหวานให้อีกฝ่ายรู้สึกโล่งอกขึ้นเมื่อได้พูดคุยกับชายผู้นี้ที่มีท่าทางเป็นมิตรกว่าคนที่เป็นเจ้านาย
อานีสต์ หยิบนามบัตรจากเสื้อสูทยื่นให้กับหญิงสาวแล้วเอ่ยแนะนำตัวด้วยสีหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้มอบอุ่น
“ยินดีที่ได้รู้จักน่ะครับ ผมอานีสต์ ดามาสต์ ซาบิลซ์เป็นองครักษ์ของเจ้าชายฮารีฟร์ อัล ริฟาอีลส์”
“ขอโทษด้วยนะคะที่ทำให้คุณ...”
นีราพรรณชะงักคำพูดไม่รู้จะเรียกชื่อองครักษ์หนุ่มผู้นี้ด้วยชื่อไหนดีเพราะชื่ออีกฝ่ายค่อนข้างยาวเหยียดจนเธอจำไม่ได้
อานีสต์หัวเราะเบาๆ แล้วเอ่ยอนุญาตให้หญิงสาวเรียกชื่อต้นของตนเองได้
“เรียกผมว่าอานีสต์ก็ได้ครับ ถ้าจะเรียกเต็มๆ ตามชื่ออาหรับผมว่าคงจะยาวไปหน่อย”
“ขอบคุณค่ะคุณอานีสต์ น้ำเหนือขอโทษอีกครั้งนะคะที่ทำให้คุณกับเอ่อ...กับเจ้าชายต้องเสียเวลา”
นีราพรรณปรายตามองไปยังบุรุษหนุ่มที่นั่งรออยู่ในรถเบ็นซ์คันงามแต่สิ่งที่เธอมองเห็นผ่านกระจกรถคือแผ่นหลังแข็งแกร่งในชุดสูทสากลที่นั่งตรงแด่วไม่ไหวติง
อานีสต์ยิ้มอบอุ่นให้หญิงสาวที่มีชื่อเล่นแบบไทยๆ แถมยังไพเราะอีกต่างหาก
“ไม่เป็นไรหรอกครับ คุณน้ำเหนือไม่ได้รับบาดเจ็บก็ดีแล้ว ถ้าไงผมคงต้องขอตัวก่อน”
“คุณอานีสต์คะ น้ำเหนือไม่สบายใจเรื่องค่าซ่อมรถ ถ้าไงให้น้ำเหนือรับผิดชอบได้หรือเปล่า ยังไงน้ำเหนือก็ผิดเต็มๆ ที่ขับรถมาชนคุณอานีสต์”
นีราพรรณร้องขอด้วยน้ำเสียงทุกข์ร้อน ถ้าหากเป็นคนอื่นคงดีใจที่ไม่ต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเรื่องค่าซ่อมรถ แต่สำหรับเธอแล้วยังรู้สึกผิดอยู่ดีที่ปล่อยให้คู่กรณีรับผิดชอบค่าซ่อมแต่เพียงฝ่ายเดียว
“คุณน้ำเหนืออย่ากังวลเลยครับ ถ้าหากเจ้าชายปฏิเสธเรื่องค่าใช้จ่ายก็ต้องเป็นไปตามนั้น ไม่มีใครไปบังคับฝืนใจเจ้าชายฮารีฟร์ได้หรอกครับ”
อานีสต์จับความรู้สึกที่เป็นกังวลของหญิงสาวได้จึงแย้มยิ้มให้อีกฝ่ายได้สบายใจ เขาค่อนข้างถูกชะตากับหญิงสาวผู้นี้เอามากๆ นอกจากจะกล้ารับผิดแล้วยังรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเองด้วย
“ถ้าคุณอานีสต์ยืนยันแบบนี้น้ำเหนือคงไม่กล้ารบเร้าอีก”
“อานีสต์!...เจ้าจะเลิกคุยกับเธอได้หรือยัง“
เจ้าชายฮารีฟร์กดกระจกรถลงพร้อมกับตะโกนเรียกองครักษ์เอกด้วยภาษาอาหรับ
“ผมคงต้องขอตัวก่อนน่ะครับ ท่าทางเจ้าชายอารมณ์เริ่มไม่ดีแล้ว”
อานีสต์ยิ้มแห้งๆ ให้หญิงสาวที่ถูกชะตาตั้งแต่แรกพบพลางเอ่ยขอตัวอย่างรีบเร่งด้วยรู้ว่าน้ำเสียงที่ตะโกนเรียกค่อนข้างดังของเจ้าชายฮารีฟร์นั้นเต็มไปด้วยกระแสแห่งความไม่พอใจเอาอย่างมาก
“เดินทางโดยปลอดภัยนะคะคุณอานีสต์”
นีราพรรณเอ่ยอวยพรบุรุษชาติอาหรับพออีกฝ่ายโค้งคำนับให้พร้อมกับรอยยิ้มแล้วเดินจากไปเธอก็ต้องหัวเราะออกมาเบาๆ จริงๆ แล้วคนที่สมควรอวยพรให้เดินทางโดยปลอดภัยควรจะเป็นองครักษ์อานีสต์เสียมากกว่า
เมื่อรถเบ็นซ์คันงามใหม่เอี่ยมเคลื่อนที่ออกไปจนลับสายตาแล้วนีราพรรณจึงได้เดินเข้าไปสำรวจความเสียหายรถของตนเองบ้าง พอได้เห็นร่องรอยความเสียหายทำเอาลมแทบใส่ งานนี้ได้เสียค่าซ่อมรถเป็นหมื่นแน่
หญิงสาวเดินโผเผเข้าไปนั่งในรถพลางซบหน้ากับพวงมาลัย ใบหน้างามเต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งความหมองเศร้า วันนี้เป็นวันวิปโยคหรืออย่างไร เริ่มตั้งแต่เช้าก็มีเรื่องทุกข์ใจให้ทะเลาะกับมารดา พอออกมาจากบ้านก็มาเจออุบัติเหตุบนท้องถนนอีก เธอซบหน้านิ่งกับพวงมาลัยเป็นเวลานานหลายนาที พอเงยหน้าขึ้นเห็นตัวเลขเวลาบนหน้าปัดรถยนต์ก็ทำให้ต้องร้องออกมาเบาๆ ด้วยความตกใจ
“แย่แล้วเก้าโมงครึ่งแล้ว เลยเวลาประชุมมาเกือบชั่วโมง ป่านนี้คณะกรรมการได้บ่นตายแน่เลย”
นีราพรรณบ่นพึมพำเป็นหมีกินผึ้งพร้อมกับสตาร์ทรถและขับออกไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้หัวสมองคิดถึงแต่เรื่องงานและคำแก้ตัวที่จะเอ่ยขอโทษกับบรรดาคณะกรรมการโรงแรมที่ต้องนั่งรอเธอคนเดียวเป็นเวลานานนับชั่วโมง...
อานีสต์ ดามาสต์ ซาบิลซ์ กระซิบบอกลูกน้องที่ทำหน้าที่เป็นสารถีให้ขับรถด้วยความนุ่มนวลไม่ให้กระทบกระเทือนอารมณ์ร้อนที่กำลังจะเดือดของเจ้าชายฮารีฟร์ เขาหยิบนามบัตรสวยงามใบเล็กที่ได้จากนีราพรรณขึ้นมาดูครู่หนึ่งจากนั้นก็แย้มยิ้มบางๆ แล้วยื่นให้กับเจ้าชายฮารีฟร์ที่นั่งคู่กันด้านเบาะหลัง
“พระองค์พะยะค่ะ นามบัตรของคุณนีราพรรณพะยะค่ะ”
เจ้าชายฮารีฟร์ อัล ริฟาอีลส์ รับนามบัตรมาจากองครักษ์กวาดสายตามองชื่อนามสกุล ตำแหน่งหน้าที่การงานที่พิมพ์ไว้อย่างสวยงามด้วยตัวหนังสือสีทอง ริมฝีปากสีสดคลี่ยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจขณะที่อ่านชื่อและนามสกุลของหญิงสาวที่แทบเรียกได้ว่าต้องตาต้องใจตั้งแต่แรกพบก็ว่าได้
“นีราพรรณ กมลเนตร ประธานโรงแรมเดอะธาราแกรนด์โฮเทล”
“พะยะค่ะพระองค์ คุณน้ำเหนือเป็นประธานโรงแรมที่เราเพิ่งซื้อมาเมื่อไม่กี่สัปดาห์”
อานีสต์ ยิ้มกริ่มขณะที่เอ่ยบอกเจ้าเหนือหัว ดีใจที่คุณนีราพรรณหรือน้ำเหนือเป็นคนใกล้ตัวทำให้เขาไม่ต้องเสียเวลาในการสืบเสาะตามหาประวัติของหญิงงามที่เจ้าชายฮารีฟร์ต้องตาต้องใจตั้งแต่แรกพบ
เจ้าชายฮารีฟร์เลิกคิ้วเข้มหนาขึ้นข้างหนึ่ง ดวงตาคมกริบจ้องมององครักษ์เอกด้วยความแปลกใจ
“นี่เจ้าคุยกับเธอแค่ไม่กี่นาทีก็รู้จักชื่อเล่นเธอแล้วหรือ”
“พะยะค่ะ คุณนีราพรรณชื่อเล่นชื่อน้ำเหนือพะยะค่ะ ชื่อน่ารักสมกับเจ้าตัวจริงๆ”
น้ำเสียงขององครักษ์เอกที่เอื้อนเอ่ยออกมาเต็มไปด้วยความนิยมชมชอบทำให้ผู้ที่เป็นเจ้าเหนือหัวต้องเลิกคิ้วหันมามองอีกครั้ง
“เจ้าชอบเธอหรืออานีสต์”
เจ้าชายฮารีฟร์เอ่ยถามอย่างปลงๆ ถ้าหากองครักษ์ผู้ซื่อสัตย์ภักดีต่อตนได้มีใจรักต่อนีราพรรณเขาเองก็พร้อมที่จะหลีกทางให้
อานีสต์หัวเราะในลำคอเบาๆ รู้ความนัยของคำถามที่เจ้าเหนือหัวได้เอ่ยออกมา ถ้าหากเขาบอกว่ารักคุณนีราพรรณ ไม่ว่าจะต้องใจรักภักดีต่อหญิงสาวมากเพียงใดเจ้าชายฮารีฟร์ อัล ริฟาอีลส์ เจ้าชายผู้เสียสละมีอันต้องหลีกทางให้กับตนเองอย่างแน่นอน
“กระหม่อมชอบคุณน้ำเหนือพะยะค่ะ แต่ว่าชอบแบบพี่ชายชอบน้องสาวเสียมากกว่า กระหม่อมถูกชะตาคุณน้ำเหนือตั้งแต่ได้พูดคุยกับเธอ”
“อานีสต์ เจ้าคิดว่าหญิงสาวที่งดงามอ่อนหวานอย่างน้ำเหนือจะมีคู่รักหรือยัง”
เจ้าชายรูปงามหล่อเหลาดุจดังบุรุษอาหรับโบราณเอนกายพิงเบาะรถพลางถอนหายใจยาวขณะที่เอ่ยถามองครักษ์ ในใจภาวนาให้นีราพรรณหรือน้ำเหนือยังไม่มีภุมรินแวะเวียนมาลิ้มลองเรณูเกสรดอกไม้ที่แสนงดงาม
“กระหม่อมขอคิดเข้าข้างพระองค์ไว้ก่อน กระหม่อมคิดว่าไม่น่าจะมีพะยะค่ะ”
ด้วยรู้ว่าเจ้าเหนือหัวผู้ยิ่งใหญ่แห่งประเทศอัลนูรีนได้ต้องใจกับหญิงสาวชาวสยามที่แสนงดงามทำให้อานีสต์ได้ภาวนาขอให้นีราพรรณอย่างเพิ่งมีคนรักเลย เจ้าชายฮารีฟร์ อัล ริฟาอีลส์ ผู้ครองราชบัลลังก์อัลนูรีนแทนพระบิดาตั้งแต่เริ่มเข้าสู่วัยหนุ่มมิเคยให้ความสนใจกับหญิงใดมากเป็นพิเศษ หญิงสาวทุกคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเจ้าชายผู้เย่อหยิ่งล้วนแต่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไปมิได้ทำให้เจ้าชายประทับใจหรือจดจำจนต้องเรียกหาเหมือนดังนีราพรรณหญิงสาวที่น่าหลงใหลใคร่เสน่หา
เจ้าชายฮารีฟร์ทอดสายตาจ้องมองแน่นิ่งนามบัตรที่ถืออยู่ในมือพร้อมกับเอ่ยบอกความในใจของตนเองให้องครักษ์เอกได้รับรู้
“ถ้าหากน้ำเหนือเป็นของเราและเกิดมาเพื่อเราไม่ว่าเธอจะมีคนรักหรือไม่!...เราก็จะช่วงชิงมาเป็นของเราให้จงได้”
อานีสต์ลอบถอนหายใจยาวขณะที่ได้ยินถ้อยคำหมายมั่นที่หลุดออกมาจากริมฝีปากสีสดของเจ้าแห่งทะเลทรายอันกว้างใหญ่ไพศาล ถ้าหากได้เอ่ยเช่นนี้แล้วเจ้าชายฮารีฟร์มีอันได้ลงมือทำตามความต้องการของตนเองเป็นแน่...
“พระองค์พะยะค่ะ พระองค์จะอยู่ที่เมืองไทยนานแค่ไหน”
“ไม่เกินเดือนอานีสต์ เราไม่อยากจากอัลนูรีนนานเกินไป”
ซุ่มเสียงที่เอื้อนเอ่ยตอบคำถามขององครักษ์เอกเต็มไปด้วยความเศร้าสร้อยระคนเจ็บปวดกับปัญหาช่วงชิงราชบัลลังก์...ช่วงชิงแผ่นดินเกิด ปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นหมักหมมก่อตัวเป็นคลื่นลูกเล็กมาอย่างช้านานจนกระทั่ง เจ้าชายชารีฟร์ อัล ริฟาอีลส์ อนุชาต่างมารดาได้เติบโตขึ้น เกลียวคลื่นแห่งความริษยาอาฆาต การช่วงชิงราชบัลลังก์ก็ได้ก่อตัวขึ้นเป็นลูกใหญ่เตรียมพร้อมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ราชบัลลังก์ไปไว้ในครอบครอง เขาไม่เคยพบเจ้าชายชารีฟร์ อนุชาต่างมารดา เนื่องจากอีกฝ่ายไม่ยอมเผยตัวให้ใครได้พบเห็นง่ายๆ ชารีฟร์มีกองกำลังเล็กๆ เป็นชนเผ่า ‘คาลีส์’ แฝงกายอยู่ทางชายแดนประเทศคอยต่อต้านรัฐบาลอัลนูรีน ทั้งตัวเขาและอนุชาอีกคนคือ เจ้าชายซารีฟร์ อัล ริฟาอีลส์ ต่างก็ช่วยกันประคับประคองให้คนในสายเลือดเดียวกันได้อยู่ร่วมกันอย่างผาสุข แต่เจ้าชายชารีฟร์กลับปฏิเสธสิ่งที่เชษฐาทั้งสองได้หยิบยื่นให้
อานีสต์ ดามาสต์ ซาบิลซ์ องครักษ์เอกที่คอยให้การอารักขาเจ้าชายฮารีฟร์มาตั้งแต่แรกรุ่นได้ทราบดีถึงปัญหาศึกชิงราชบัลลังก์อัลนูรีน เขารู้ว่าเจ้าชายไม่อยากอยู่เมืองไทยเป็นเวลานานเนื่องจากเกรงว่าจะเป็นช่องโหว๋ให้เจ้าชายชารีฟร์ได้ส่งกองกำลังเข้ามาเข่นฆ่าคนในประเทศเดียวกัน และการเดินทางมาเมืองไทยของเจ้าชายฮารีฟร์ในครั้งนี้ค่อนข้างเป็นความลับเนื่องจากไม่อยากให้เจ้าชายฮารีฟร์ต้องตกเป็นเป้าหมายในการถูกลอบสังหาร
“เสร็จจากการทำธุระที่เมืองไทยแล้วพระองค์จะกลับอัลนูรีนเลยใช่มั้ยพะยะค่ะ”
“อืม...อาจจะเป็นเช่นนั้น จริงๆ แล้วเราอยากไปเยี่ยมซารีฟร์ที่อเมริกาก่อน ถ้าหากสถานการณ์ในอัลนูรีนไม่ร้อนระอุมากเกินไปเราอาจไปเยี่ยมซารีฟร์ก่อนที่จะกลับอัลนูรีน”
เจ้าชายซารีฟร์ อัล ริฟาอีลส์ ได้ไปศึกษาต่อด้านกฎหมายในระดับปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด การไปศึกษาต่อยังต่างบ้านต่างแดนห่างไกลกันคนละซีกโลกทำให้สองพี่น้องไม่มีเวลาพบเจอกันสักเท่าไหร่
“กระหม่อมได้แต่ภาวนาให้เจ้าชายชารีฟร์สงบศึกพักการช่วงชิงราชบัลลังค์ไว้ชั่วคราว เพื่อให้พระองค์ได้พักผ่อนได้พบเจาะเจอกับเจ้าชายซารีฟร์บ้าง”
อานีสต์ถอนหายใจยาวด้วยความหนักใจเป็นกังวลแทนเจ้าเหนือหัวของตน เจ้าชายฮารีฟร์และเจ้าชายซารีฟร์ไม่ได้พบกันมาเกือบปีแล้ว ด้วยงานทำนุบำรุงสุขให้ราษฎรอัลนูรีนได้อยู่ร่วมกันอย่างสุขสบายทำให้เจ้าชายทั้งสองต่างก็ละทิ้งความสุขของตนทรงงานหนักด้วยกันทั้งคู่จนไม่มีเวลาได้พบปะสังสรรค์กันตามประสาพี่น้อง ส่วนเจ้าชายซารีฟร์ก็ไม่ได้เรียนแต่เพียงอย่างเดียวแต่พระองค์ได้ศึกษาวัฒนธรรมวิทยาการล้ำสมัยของประเทศที่เจริญแล้วนำกลับมาพัฒนาประเทศอัลนูรีนบ้านเกิดเมืองนอนของตน
“เราก็ได้แต่ภาวนาเช่นเดียวกันกับเจ้า เราภาวนาต่อเม็ดทรายสีทองนับแสนนับล้านเม็ดทั่วทั้งอัลนูรีนให้ช่วยดลบันดาลใจเปลี่ยนจิตใจที่แข็งกร้าวกระหายเลือดของเจ้าชายชารีฟร์ อนุชาของเราให้แปรเปลี่ยนเป็นเจ้าชายที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเมตตาปราณีต่อราษฎรอัลนูรีน”
เจ้าชายฮารีฟร์เอ่ยบอกจากใจจริง เขาได้แต่หวังว่าสักวันชารีฟร์จะได้เห็นคุณค่าความรักความเมตตาที่เชษฐาทั้งสองได้มอบให้กับอนุชาผู้มีสายเลือดอัลนูรีนที่เข้มข้นทุกหยาดหยด...
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
“เชลยรักแห่งเม็ดทราย” เป็นนิยายลำดับที่ 1 ในชุดเพลิงสวาททาสทราย ซึ่งเคยตีพิมพ์กับสำนักพิมพ์มายเลิฟ แต่ตอนนี้ได้หมดสัญญาแล้ว ผู้เขียนจึงได้นำมันกลับมาทำใหม่ในฉบับทำมือ
และฉบับทำมือนี้มีความ พิเศษ กว่าฉบับตีพิมพ์กับทางสำนักพิมพ์คือ ผู้เขียนจะเอาฉากเลิฟซีนร้อนแรงที่ทางสำนักพิมพ์ตัดทิ้งเพื่อให้สามารถผ่านการพิจารณาวางขายจากซีเอ็ด ชนิดที่เรียกได้ว่า “จัดหนักจัดเต็ม”
นอกจากนี้ผู้เขียนยังได้ตอบแทนเหล่าแฟนคลับที่น่ารักทุกคนด้วยการ “แจกจี้ทองไอริสมูลค่าครึ่งสลึง 1 รางวัล“ กติกาง่ายๆ เพียงมี นิยายชุดเพลิงสวาททาสทราย ฉบับทำมือครบทั้ง 3 เล่ม ซึ่งได้แก่
1. เชลยรักแห่งเม็ดทราย (กำลังเปิดจอง)
2. พายุรักแห่งเม็ดทราย (เปิดจองประมาณเดือนตุลาคม)
3. ไฟรักแห่งเม็ดทราย (เปิดจองประมาณเดือนธันวาคม)
ให้สิทธิ์ทั้งคนที่มีรูปเล่มและ ebook นะคะ (อย่าลืมสั่งจองกันเยอะๆ นะคะ ^^)
หนังสือมีความหนา 356 หน้า ราคาปก 300 บาทขายเพียง 269 บาทเท่านั้น (ฟรีค่า+ปกพลาสติก)
สนใจสั่งซื้อหรือสอบถามรายละเอียดที่ sornwarunya@gmail.com
เปิดจองตั้งแต่วันนี้ – วันที่ 03/09/57 (พิมพ์ตามยอดจอง) หนังสือสามารถจัดส่งได้ประมาณปลายเดือนกันยายนนะคะ
เรื่องนี้จะลงไม่จบนะคะ ลงให้อ่านเป็นตัวอย่างเพื่อช่วยในการตัดสินใจสั่งจองเท่านั้นจ้า และลงครบ 50% เมื่อไหร่จะทยอยลบตอนต้นๆ ออกนะคะ
ขอบคุณค่ะ
ไอริส
สภาพการจราจรบนท้องถนนในเช้าวันจันทร์วันแห่งการรีบเร่งไปทำงานของมนุษย์เงินเดือนต่างก็เต็มไปด้วยรถราหลากหลายยี่ห้อหลากสีสัน การจราจรที่ค่อนข้างแออัดรถราที่ติดแล้วติดอีกจนแทบเคลื่อนตัวไม่ได้ทำให้ผู้ที่สัญจรรีบเร่งต่างก็หงุดหงิดอารมณ์เสียไปตามๆ กัน ตัวเลขสัญญาณไฟจราจรตรงบริเวณสี่แยกที่เปลี่ยนเป็นไฟแดงทำให้รถที่ขับเคลื่อนอยู่บนท้องถนนได้ชะลอความเร็วรถลงแล้วจอดสนิทตามสัญญาณไฟ แต่รถบีเอ็มดับบลิวที่ขับโดยสารถีสาวสวยไม่ได้หยุดตามสัญญาณไฟ อุบัติเหตุที่ไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้นในเช้าวันทำงานที่รีบเร่งก็ได้เกิดขึ้นทันที
โครม!!...
รถเก๋งบีเอ็มดับบลิวที่คนขับสาวแสนสวยใจลอยติดอยู่ในอาการโศกเศร้าไม่ได้มองสัญญาณไฟจราจรได้ไถลเข้าไปสัมผัสฝากรอยจูบให้กับรถเบ็นซ์คันใหญ่สีดำสนิทใหม่เอี่ยมมันปลาบ หญิงสาวผู้งดงามเจ้าของรถเก๋งบีเอ็มดับบลิวตกใจหน้าถอดสีเผือด มือไม้สั่นเทากับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแบบไม่ทันได้ตั้งตัว ยิ่งได้เห็นเจ้าของรถที่มีเรือนร่างสูงใหญ่ล่ำสันในชุดสูทสากลสีน้ำเงินเข้มก้าวลงมาจากประตูด้านหลังรถด้วยใบหน้าถมึงทึงดวงตาคมกริบดุจพญาอินทรีลุกวาวด้วยไฟพิโรธยิ่งทำให้หญิงสาวหวาดกลัวสั่นเทาเข้าไปอีก
เจ้าชายฮารีฟร์ อัล ริฟาอีลส์ กระแทกประตูรถปิดดังปัง! เหลือบสายตามองไฟท้ายและตัวรถที่ยุบเข้าไปทั้งแถบด้วยความโมโหโกรธาพลางก้าวเท้าฉับๆ มากระชากประตูรถของคู่กรณีเปิดออกกว้าง
นีราพรรรณค่อยๆ หย่อนเท้าที่สั่นเทาไร้เรี่ยวแรงลงจากรถอย่างเชื่องช้า พอได้เห็นสภาพท้ายรถเบ็นซ์คันงามป้ายแดงลมแทบใส่ ร่างบางระหงเอนตัวพิงรถเก๋งของตนเองอย่างต้องการที่พึ่ง สีหน้าซีดเผือดไร้สีเลือดเมื่อนึกถึงค่าซ่อมรถหรูที่เธอต้องเป็นผู้ควักเงินจ่าย
“เอ่อ...Sorry...”
นีราพรรณเอ่ยขอโทษเป็นภาษาอังกฤษด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักหวาดกลัวต่อสายตาคมกริบที่จ้องมองอย่างพร้อมที่จะเอาเรื่องทุกวินาที แต่ไม่ทันได้เอ่ยพูดประโยคต่อไปหญิงสาวก็ต้องผงะถอยหลังเมื่อบุรุษหนุ่มรูปงามตวาดลั่นเสียงห้วน
“ไม่ต้องมาขอโทษ”
เจ้าชายฮารีฟร์กระชากเสียงห้วนตวาดต่อว่าเป็นภาษาไทยชัดถ้อยชัดคำยิ่งกว่าเจ้าของภาษาเสียอีก
“ขับรถภาษาอะไรไม่เห็นหรือไงว่ารถข้างหน้าจอดติดไฟแดงอยู่”
เจ้าชายฮารีฟร์ อัล ริฟาอีลส์ บุรุษหนุ่มรูปงามเรือนร่างใหญ่โตกำยำบึกบึนลูกครึ่งไทย-อาหรับ เจ้าชายแห่งประเทศ ‘อัลนูรีน’ ประเทศเกิดใหม่ทางแถบตะวันออกกลางซึ่งเป็นประเทศที่ร่ำรวยด้วยสายแร่น้ำมันนับร้อยๆ บ่อที่ขุดขายทั้งชาติก็ไม่มีหมด เจ้าชายฮารีฟร์เจ้าชายมาดเข้มหล่อเหลาที่ทำให้สาวๆ ที่ได้พบเห็นหัวใจแทบละลายได้ยกมือขึ้นดูเวลาบนนาฬิกาข้อมือเรือนแพงก่อนจะปรายตามองสาวสวยเรือนร่างอรชรที่ยืนซีดพิงรถตัวเองอยู่ด้วยความหงุดหงิดที่อีกฝ่ายทำให้ตนเองต้องเสีย
เวลาเพราะอุบัติเหตุที่ไม่สมควรเกิดขึ้น
นีราพรรณหันไปมองไฟจราจรที่ขึ้นเป็นสีแดงอย่างที่อีกฝ่ายต่อว่าพร้อมกับหลุบสายตามองที่ท้ายรถเบ็นซ์อีกครั้ง เธอผิดเต็มประตูเหมือนที่บุรุษชาติชาวอาหรับคนนี้กำลังต่อว่าจริงๆ นั่นแหละ เพราะมัวแต่ใจลอยเสียใจกับเรื่องที่ทะเลาะกับ
มารดาเมื่อช่วงเช้าก่อนที่จะออกมาทำงานทำให้เธอไม่มีสมาธิในการขับรถ
อานีสต์ ดามาสต์ ซาบิลซ์ องครักษ์เอกซึ่งทำหน้าที่อารักขาความปลอดภัยให้กับเจ้าชายฮารีฟร์ พร้อมกับองครักษ์อีกคนซึ่งทำหน้าที่เป็นสารถีได้ก้าวลงมาจากรถแล้วเดินไปสำรวจความเสียหายท้ายรถจากนั้นก็สาวเท้าเข้ามาหยุดยืนข้างๆ เจ้าเหนือหัวของตน ส่วนรถเบ็นซ์สีดำอีกคันที่จอดอยู่ด้านหน้ารถของเจ้าชายฮารีฟร์เป็นรถของเหล่าองครักษ์ เมื่อองครักษ์ที่ทำหน้าที่ขับรถเหลือบสายตามองกระจกมองหลังเห็นว่าเจ้าเหนือหัวของตนได้ก้าวลงมาจากรถเบ็นซ์คันงามจึงรอจนกระทั่งไฟเขียวแล้วขับรถชิดข้างไหล่ทางและก้าวลงจากรถมาอารักขาความปลอดภัยให้กับเจ้าเหนือหัวเช่นเดียวกันกับองครักษ์กลุ่มแรก
“เอายังไงดีพะยะค่ะ”
อานีสต์เอ่ยถามเจ้าเหนือหัวด้วยภาษาอาหรับ ออกจะเห็นใจหญิงสาวที่แสนงดงามราวกับนางฟ้าซึ่งยืนหน้าซีดตัวสั่นอยู่ข้างๆ รถ ถึงแม้ก่อนหน้านี้จะไม่ได้ยินว่าเจ้าเหนือหัวของตนต่อว่าคู่กรณีอย่างไรบ้างแต่เขาก็พอเดาออกว่าถ้อยคำที่หลุดมาจากริมฝีปากสีสดของเจ้าชายฮารีฟร์คงทำให้หญิงสาวผู้นี้รู้สึกผิดเอามากๆ
เจ้าชายฮารีฟร์หันไปมององครักษ์เอกครู่หนึ่งแล้วเอ่ยตอบเป็นภาษาอาหรับเช่นเดียวกัน
“เจ้าโทรไปบอกคณะกรรมการโรงแรมบอกให้รู้ว่าเราจะเข้าไปที่บริษัทช้ากว่าเวลาที่กำหนดเล็กน้อย”
“แล้วเรื่องรถละพะยะค่ะ”
อานีสต์โค้งคำนับรับคำสั่งเจ้าชายพลางเอ่ยถามถึงปัญหาที่ยังคาราคาซังอยู่กลางท้องถนน
“ประชุมเสร็จค่อยส่งซ่อม”
เจ้าชายฮารีฟร์เอ่ยตอบห้วนๆ ตลอดเวลาที่สนทนากับองครักษ์เอก นัยน์ตาคมกริบได้จับจ้องมองแน่นิ่งอยู่ที่ใบหน้างามหวานติดซีดเซียว เขายอมรับว่าหญิงสาวผู้นี้งดงามชวนพิศยิ่งนัก เส้นผมสีน้ำตาลอ่อนยาวระลงมาถึงกลางหลังถูกเจ้าตัวรวบไว้ง่ายๆ ด้วยริบบิ้นสีดำ ถ้าหากได้ลูบไล้แตะสัมผัสด้วยฝ่ามือร้อนผ่าวคงให้ความนุ่มนิ่มละมุนละไมยิ่งกว่าผ้าไหมใดๆ ในโลก เรียวปากอิ่มเอิบสีหวานคงให้รสชาติที่หวานล้ำชื่นฉ่ำกาย เจ้าชายฮารีฟร์ตีหน้าบึ้งรู้สึกตกใจกับความคิดของตนเองยิ่งนักที่คิดไปไกลกับหญิงสาวที่ยังไม่รู้จักแม้แต่ชื่อเสียงเรียงนาม
นีราพรรณขมวดคิ้วโก่งงามดุจคันศรเข้าหากันยุ่งด้วยไม่รู้ว่าบุรุษชายชาติที่เธอมั่นใจว่าต้องเป็นชาวอาหรับสองคนนี้กำลังสนทนากันว่าอย่างไร
“ขอโทษอีกครั้งนะคะ ดิฉันยอมรับผิดทั้งหมด เดี๋ยวดิฉันโทรเรียกบริษัทประกัน”
“ไม่ต้อง!...ไม่จำเป็น! ถ้าหากขับรถไม่เป็นทีหลังก็อย่ามาขับบนถนนที่เต็มไปด้วยยวดยานแบบนี้อีก”
มือบางที่กำลังล้วงเข้าไปหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋าสะพายมีอันต้องหยุดชะงักกลางอากาศ ใบหน้าหวานเนียนลออมีอันต้องหน้าม้านเมื่อเจอถ้อยคำปฏิเสธห้วนๆ ต่อว่าดุเดือดโดยไม่ถนอมน้ำใจกันสักนิด
“นี่คุณ!...การที่ฉันขับรถชนคุณใช่ว่าจะทำให้คุณมีสิทธิ์มาต่อว่าฉอดๆ แบบนี้นะ”
นีราพรรณชักโมโหชายชาติชาวอาหรับผู้นี้ เขาต่อว่าเธอได้เธอก็ว่าเขาได้เช่นเดียวกัน เรื่องอะไรจะยอมให้คนที่เพิ่งพบเห็นกันครั้งแรกมาด่าแค่ฝ่ายเดียว
“แล้วถ้าเจ้าขับรถเป็นและก็เคารพกฎจราจรหัดมองสัญญาณไฟอุบัติเหตุก็คงไม่เกิดขึ้น”
เจ้าชายฮารีฟร์ยังต่อว่าคู่กรณีไม่ได้หยุด ดวงตาคมกริบดุจพญาอินทรีทอดมองสาวสวยที่ยืนหน้าซีดด้วยความรำคาญ เขาเบื่อที่สุดที่ต้องมาเจอกับคนใช้รถใช้ท้องถนนโดยไม่เคารพกฎจราจร การอยู่ในเมืองไทยแค่เพียงไม่กี่วันทำให้เขาพบเจอผู้คนที่ทำผิดกฎจราจรอยู่มาก มีทั้งมอเตอร์ไซด์ที่ขับย้อนศร รถยนต์ที่ขับฝ่าไฟแดงหรือบรรดาพวกที่ชอบแซงซ้ายปาดหน้าโดยไม่เปิดไฟให้สัญญาณ
นีราพรรณหน้าเสียเมื่อถูกอีกฝ่ายเอ่ยต่อว่าสั่งสอนอีกชุดใหญ่ ถ้าหากเธอไม่ใจลอยและมีสมาธิในการขับรถสักนิดก็คงไม่ทำให้เกิดอุบัตเหตุขึ้น ดีที่ว่าไม่มีใครได้รับบาดเจ็บไม่เช่นนั้นสถานการณ์คงได้แย่กว่านี้อีก
คู่กรณีทั้งสองไม่ทันได้โต้คารมกันต่อเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจได้วิ่งเข้ามาอำนวยความสะดวกและเจรจาให้ทั้งสองช่วยเคลื่อนรถออกจากบริเวณเพื่อให้รถคันอื่นสามารถเคลื่อนที่ออกไปได้
อานีสต์ ดามาสต์ ซาบิลซ์เดินกลับไปขึ้นรถแล้วขับเข้าชิดไหล่ทางเพื่อเปิดให้รถคันหลังซึ่งเป็นรถของหญิงสาวแสนสวยคู่กรณีได้เคลื่อนที่ออกจากบริเวณสี่แยกไฟแดงบ้าง
“เรียกประกันหรือยังครับ”
เจ้าหน้าที่ตำรวจเอ่ยถามหนุ่มสาวทั้งสองไม่จำเพาะเจาะจงลงที่ใครคนใดคนหนึ่ง
“ไม่ต้องหรอกเราเคลียร์กันได้ ขอบคุณมาก”
เจ้าชายฮารีฟร์ตอบเสียงราบเรียบริมฝีปากสีสดไม่แพ้ผู้หญิงกระตุกยิ้มบางๆ ให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจวัยค่อนคนที่ดู เป็นมิตรกับผู้ใช้รถใช้ถนนอยู่มาก
“ถ้าตกลงกันได้ก็ดีแล้วน่ะครับ มีปัญหาก็ค่อยๆ คุยกัน ปัญหาทุกอย่างแก้ไขได้ครับ”
เจ้าหน้าที่ตำรวจอาวุโสทั้งอายุและหน้าที่การงานได้เอ่ยพูดลอยๆ ไม่รู้ว่าเอ่ยสั่งสอนคู่กรณีทั้งสองคนหรือว่าเอ่ยสั่ง
สอนประชาชนทั่วทั้งประเทศที่ใช้อารมณ์เป็นตัวตัดสินปัญหา สติปัญญาอันชาญฉลาดที่มีอยู่ก็กลับเก็บนิ่งไว้ให้ขึ้นสนิม...
“ขอบคุณคุณตำรวจมากนะคะ”
นีราพรรณยกมือไหว้ขอบคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้อาวุโส ใบหน้างามลออแย้มยิ้มบางๆ ให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่พอหันมาสบตากับดวงตาสีดำคมกริบดุจพญาอินทรีที่กำลังจ้องมองเขม็งหญิงสาวก็รีบหุบยิ้มทันที
“เอ่อ...คุณจะเอารถไปซ่อมที่อู่แถวไหนคะ ดิฉันยินดีจ่ายค่าซ่อมให้ทั้งหมด”
นีราพรรณเอ่ยถามอีกครั้งเมื่อบุรุษหนุ่มชาวอาหรับหล่อเหลาผู้นี้ไม่ยอมเรียกประกันให้มาเคลียร์ปัญหาเรื่องค่าซ่อมรถ
เจ้าชายฮารีฟร์ถึงกับตาพร่าไปชั่วขณะเมื่อได้เห็นรอยยิ้มหวานๆ ที่หญิงสาวคู่กรณีของตนได้แย้มยิ้มให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เขาหลุบสายตามองเวลาบนนาฬิกาข้อมือเรือนแพงอีกครั้งเมื่อเห็นว่าเวลาได้ล่วงเลยจากเวลาที่นัดหมายไว้กับคณะกรรมการโรงแรมมาเกือบชั่วโมงแล้วจึงโบกมือว่อนตัดบทตัดปัญหาทุกอย่าง รถพังแค่นี้เขามีปัญญาซ่อมไม่จำเป็นต้อง
ให้ผู้หญิงมาจ่ายเงินให้
“ไม่ต้อง เจ้าซ่อมแค่รถของเจ้าก็พอ ทีหลังขับรถก็หัดระวังกว่านี้บ้าง”
เจ้าชายฮารีฟร์ สั่งสอนหญิงสาวอีกครั้งพลางหันไปกวักมือเรียกองครักษ์ให้เข้ามาใกล้ๆ พร้อมกับออกคำสั่งเป็นภาษาอาหรับเพื่อให้เข้าใจกันแค่สองคน
“สืบมาหน่อยสิว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใครมาจากไหน”
อานีสต์ ดามาสต์ ซาบิลซ์เบิกตากว้างอ้าปากค้างด้วยความแปลกใจเมื่อได้ยินคำสั่งที่ไม่คาดคิดว่าจะได้ยินจากเจ้าชายผู้หล่อเหลาเย่อหยิ่งอย่างเจ้าชายฮารีฟร์
“พระองค์สนใจเธอหรือพะยะค่ะ”
อานีสต์กระซิบถามแผ่วเบาด้วยภาษาเดียวกัน การที่เจ้าชายฮารีฟร์ สนใจหญิงสาวที่เพิ่งพบเจาะเจอกันแค่ไม่กี่วินาทีมากเป็นพิเศษจนสั่งให้สืบเสาะหาประวัติสร้างความแปลกใจให้กับองครักษ์อย่างเขาเป็นอย่างมาก
“ใช่...อานีสต์ เราสนใจเธอ เจ้าว่าแปลกไหมเราสนใจหญิงสาวคนนี้มาก แล้วเจ้าอย่าบังอาจมาถามว่าเพราะเหตุใด ทำตามที่เราสั่งก็พอ”
เจ้าชายฮารีฟร์หันมาถลึงตาใส่องครักษ์เอกครู่หนึ่งแล้วเอ่ยตอบตามความรู้สึกที่กลั่นออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจจนเขาเองก็อดแปลกใจไม่ได้ที่มีความรู้สึกเช่นนี้กับหญิงสาวที่เพิ่งพบกันแค่เพียงไม่กี่วินาที เขารู้แค่ว่าเวลาเข้าใกล้หญิงสาวแสนงดงามผู้นี้จะมีกระแสบางอย่างที่แผ่เข้ามากระทบทั่วกายใจจนทำให้เรือนร่างของเขาสั่นสะท้าน
อานีสต์คันปากหยิกๆ อยากเอ่ยถามเหตุผลแต่เมื่อมองสบตากับดวงตาคมกริบที่ถลึงตาห้ามทำให้ไม่กล้าหลุดปากถาม
“กระหม่อมจะหาประวัติของหญิงงามผู้นี้มาให้เร็วที่สุดพะยะค่ะ”
เจ้าชายฮารีฟร์พยักหน้ารับพลางหันมาต่อว่าแกมสั่งสอนหญิงสาวแสนสวยที่ยังยืนหน้าซีดอยู่ตรงหน้าเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะผละเดินจากไป
“เจ้าโชคดีที่เจอคู่กรณีอย่างเรา ถ้าหากเป็นคนอื่นเขาคงไม่ยอมความง่ายๆ”
“โชคร้ายไม่ว่าสิ”
นีราพรรณงึมงำสวนกลับทันทีที่ชายชาติชาวอาหรับต่อว่าไม่ทันจบประโยคดีด้วยซ้ำ ถึงแม้ชายหนุ่มหล่อเหลาผู้นี้จะไม่เรียกค่าเสียหายแต่เธอก็ถูกเขาต่อว่าแกมด่ากลายๆ เสียยับ
เจ้าชายฮารีฟร์ส่ายหน้าเหนื่อยหน่ายกับท่าทางที่บ่งบอกให้รู้ว่าดื้อด้านอยู่ไม่น้อย นัยน์ตาสีดำคมกริบทอดสายตาจ้องมองใบหน้างามลออเพื่อประทับไว้ในดวงใจจากนั้นก็ผละไปขึ้นรถโดยไม่พูดอะไรออกมา
นีราพรรณมองตามบุรุษชาติอาหรับหล่อเข้มด้วยสายตางงๆ กับท่าทีของอีกฝ่าย ตะกี้ต่อว่าเธอทั้งถ้อยคำและสายตาจนเธอตัวสั่นหน้าซีดแต่บทจะผละจากไปก็เล่นเดินหนีไปดื้อๆ ทำเอาเธอตามอารมณ์ไม่ทัน
หญิงสาวละสายตาจากบุรุษหนุ่มรูปงามแล้วหยิบนามบัตรขอตนมาหนึ่งใบจากนั้นก็ยื่นให้ชายหนุ่มอีกคนที่เธอคาดเดาว่าอาจเป็นเลขาของคู่กรณี
“นามบัตรของน้ำเหนือ...เอ่อ...ของดิฉันค่ะ”
นีราพรรณรีบเปลี่ยนสรรพนามของตน ลืมไปว่าเธอยังไม่สนิทสนมกับบุรุษชาติชาวอาหรับเหล่านี้มากถึงขนาดให้เรียกชื่อเล่นของเธอได้
อานีสต์ ดามาสต์ ซาบิลซ์รับนามบัตรมาอ่านในใจก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวแสนสวยแล้วเอ่ยถามยิ้มๆ อย่างต้องการผูกมิตร
“คุณชื่อนีราพรรณหรือครับ”
“ค่ะ เอ่อ...ถ้าคุณไม่รังเกียจะชื่อเล่นน้ำเหนือก็ได้ค่ะ”
นีราพรรณยิ้มหวานให้อีกฝ่ายรู้สึกโล่งอกขึ้นเมื่อได้พูดคุยกับชายผู้นี้ที่มีท่าทางเป็นมิตรกว่าคนที่เป็นเจ้านาย
อานีสต์ หยิบนามบัตรจากเสื้อสูทยื่นให้กับหญิงสาวแล้วเอ่ยแนะนำตัวด้วยสีหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้มอบอุ่น
“ยินดีที่ได้รู้จักน่ะครับ ผมอานีสต์ ดามาสต์ ซาบิลซ์เป็นองครักษ์ของเจ้าชายฮารีฟร์ อัล ริฟาอีลส์”
“ขอโทษด้วยนะคะที่ทำให้คุณ...”
นีราพรรณชะงักคำพูดไม่รู้จะเรียกชื่อองครักษ์หนุ่มผู้นี้ด้วยชื่อไหนดีเพราะชื่ออีกฝ่ายค่อนข้างยาวเหยียดจนเธอจำไม่ได้
อานีสต์หัวเราะเบาๆ แล้วเอ่ยอนุญาตให้หญิงสาวเรียกชื่อต้นของตนเองได้
“เรียกผมว่าอานีสต์ก็ได้ครับ ถ้าจะเรียกเต็มๆ ตามชื่ออาหรับผมว่าคงจะยาวไปหน่อย”
“ขอบคุณค่ะคุณอานีสต์ น้ำเหนือขอโทษอีกครั้งนะคะที่ทำให้คุณกับเอ่อ...กับเจ้าชายต้องเสียเวลา”
นีราพรรณปรายตามองไปยังบุรุษหนุ่มที่นั่งรออยู่ในรถเบ็นซ์คันงามแต่สิ่งที่เธอมองเห็นผ่านกระจกรถคือแผ่นหลังแข็งแกร่งในชุดสูทสากลที่นั่งตรงแด่วไม่ไหวติง
อานีสต์ยิ้มอบอุ่นให้หญิงสาวที่มีชื่อเล่นแบบไทยๆ แถมยังไพเราะอีกต่างหาก
“ไม่เป็นไรหรอกครับ คุณน้ำเหนือไม่ได้รับบาดเจ็บก็ดีแล้ว ถ้าไงผมคงต้องขอตัวก่อน”
“คุณอานีสต์คะ น้ำเหนือไม่สบายใจเรื่องค่าซ่อมรถ ถ้าไงให้น้ำเหนือรับผิดชอบได้หรือเปล่า ยังไงน้ำเหนือก็ผิดเต็มๆ ที่ขับรถมาชนคุณอานีสต์”
นีราพรรณร้องขอด้วยน้ำเสียงทุกข์ร้อน ถ้าหากเป็นคนอื่นคงดีใจที่ไม่ต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเรื่องค่าซ่อมรถ แต่สำหรับเธอแล้วยังรู้สึกผิดอยู่ดีที่ปล่อยให้คู่กรณีรับผิดชอบค่าซ่อมแต่เพียงฝ่ายเดียว
“คุณน้ำเหนืออย่ากังวลเลยครับ ถ้าหากเจ้าชายปฏิเสธเรื่องค่าใช้จ่ายก็ต้องเป็นไปตามนั้น ไม่มีใครไปบังคับฝืนใจเจ้าชายฮารีฟร์ได้หรอกครับ”
อานีสต์จับความรู้สึกที่เป็นกังวลของหญิงสาวได้จึงแย้มยิ้มให้อีกฝ่ายได้สบายใจ เขาค่อนข้างถูกชะตากับหญิงสาวผู้นี้เอามากๆ นอกจากจะกล้ารับผิดแล้วยังรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเองด้วย
“ถ้าคุณอานีสต์ยืนยันแบบนี้น้ำเหนือคงไม่กล้ารบเร้าอีก”
“อานีสต์!...เจ้าจะเลิกคุยกับเธอได้หรือยัง“
เจ้าชายฮารีฟร์กดกระจกรถลงพร้อมกับตะโกนเรียกองครักษ์เอกด้วยภาษาอาหรับ
“ผมคงต้องขอตัวก่อนน่ะครับ ท่าทางเจ้าชายอารมณ์เริ่มไม่ดีแล้ว”
อานีสต์ยิ้มแห้งๆ ให้หญิงสาวที่ถูกชะตาตั้งแต่แรกพบพลางเอ่ยขอตัวอย่างรีบเร่งด้วยรู้ว่าน้ำเสียงที่ตะโกนเรียกค่อนข้างดังของเจ้าชายฮารีฟร์นั้นเต็มไปด้วยกระแสแห่งความไม่พอใจเอาอย่างมาก
“เดินทางโดยปลอดภัยนะคะคุณอานีสต์”
นีราพรรณเอ่ยอวยพรบุรุษชาติอาหรับพออีกฝ่ายโค้งคำนับให้พร้อมกับรอยยิ้มแล้วเดินจากไปเธอก็ต้องหัวเราะออกมาเบาๆ จริงๆ แล้วคนที่สมควรอวยพรให้เดินทางโดยปลอดภัยควรจะเป็นองครักษ์อานีสต์เสียมากกว่า
เมื่อรถเบ็นซ์คันงามใหม่เอี่ยมเคลื่อนที่ออกไปจนลับสายตาแล้วนีราพรรณจึงได้เดินเข้าไปสำรวจความเสียหายรถของตนเองบ้าง พอได้เห็นร่องรอยความเสียหายทำเอาลมแทบใส่ งานนี้ได้เสียค่าซ่อมรถเป็นหมื่นแน่
หญิงสาวเดินโผเผเข้าไปนั่งในรถพลางซบหน้ากับพวงมาลัย ใบหน้างามเต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งความหมองเศร้า วันนี้เป็นวันวิปโยคหรืออย่างไร เริ่มตั้งแต่เช้าก็มีเรื่องทุกข์ใจให้ทะเลาะกับมารดา พอออกมาจากบ้านก็มาเจออุบัติเหตุบนท้องถนนอีก เธอซบหน้านิ่งกับพวงมาลัยเป็นเวลานานหลายนาที พอเงยหน้าขึ้นเห็นตัวเลขเวลาบนหน้าปัดรถยนต์ก็ทำให้ต้องร้องออกมาเบาๆ ด้วยความตกใจ
“แย่แล้วเก้าโมงครึ่งแล้ว เลยเวลาประชุมมาเกือบชั่วโมง ป่านนี้คณะกรรมการได้บ่นตายแน่เลย”
นีราพรรณบ่นพึมพำเป็นหมีกินผึ้งพร้อมกับสตาร์ทรถและขับออกไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้หัวสมองคิดถึงแต่เรื่องงานและคำแก้ตัวที่จะเอ่ยขอโทษกับบรรดาคณะกรรมการโรงแรมที่ต้องนั่งรอเธอคนเดียวเป็นเวลานานนับชั่วโมง...
อานีสต์ ดามาสต์ ซาบิลซ์ กระซิบบอกลูกน้องที่ทำหน้าที่เป็นสารถีให้ขับรถด้วยความนุ่มนวลไม่ให้กระทบกระเทือนอารมณ์ร้อนที่กำลังจะเดือดของเจ้าชายฮารีฟร์ เขาหยิบนามบัตรสวยงามใบเล็กที่ได้จากนีราพรรณขึ้นมาดูครู่หนึ่งจากนั้นก็แย้มยิ้มบางๆ แล้วยื่นให้กับเจ้าชายฮารีฟร์ที่นั่งคู่กันด้านเบาะหลัง
“พระองค์พะยะค่ะ นามบัตรของคุณนีราพรรณพะยะค่ะ”
เจ้าชายฮารีฟร์ อัล ริฟาอีลส์ รับนามบัตรมาจากองครักษ์กวาดสายตามองชื่อนามสกุล ตำแหน่งหน้าที่การงานที่พิมพ์ไว้อย่างสวยงามด้วยตัวหนังสือสีทอง ริมฝีปากสีสดคลี่ยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจขณะที่อ่านชื่อและนามสกุลของหญิงสาวที่แทบเรียกได้ว่าต้องตาต้องใจตั้งแต่แรกพบก็ว่าได้
“นีราพรรณ กมลเนตร ประธานโรงแรมเดอะธาราแกรนด์โฮเทล”
“พะยะค่ะพระองค์ คุณน้ำเหนือเป็นประธานโรงแรมที่เราเพิ่งซื้อมาเมื่อไม่กี่สัปดาห์”
อานีสต์ ยิ้มกริ่มขณะที่เอ่ยบอกเจ้าเหนือหัว ดีใจที่คุณนีราพรรณหรือน้ำเหนือเป็นคนใกล้ตัวทำให้เขาไม่ต้องเสียเวลาในการสืบเสาะตามหาประวัติของหญิงงามที่เจ้าชายฮารีฟร์ต้องตาต้องใจตั้งแต่แรกพบ
เจ้าชายฮารีฟร์เลิกคิ้วเข้มหนาขึ้นข้างหนึ่ง ดวงตาคมกริบจ้องมององครักษ์เอกด้วยความแปลกใจ
“นี่เจ้าคุยกับเธอแค่ไม่กี่นาทีก็รู้จักชื่อเล่นเธอแล้วหรือ”
“พะยะค่ะ คุณนีราพรรณชื่อเล่นชื่อน้ำเหนือพะยะค่ะ ชื่อน่ารักสมกับเจ้าตัวจริงๆ”
น้ำเสียงขององครักษ์เอกที่เอื้อนเอ่ยออกมาเต็มไปด้วยความนิยมชมชอบทำให้ผู้ที่เป็นเจ้าเหนือหัวต้องเลิกคิ้วหันมามองอีกครั้ง
“เจ้าชอบเธอหรืออานีสต์”
เจ้าชายฮารีฟร์เอ่ยถามอย่างปลงๆ ถ้าหากองครักษ์ผู้ซื่อสัตย์ภักดีต่อตนได้มีใจรักต่อนีราพรรณเขาเองก็พร้อมที่จะหลีกทางให้
อานีสต์หัวเราะในลำคอเบาๆ รู้ความนัยของคำถามที่เจ้าเหนือหัวได้เอ่ยออกมา ถ้าหากเขาบอกว่ารักคุณนีราพรรณ ไม่ว่าจะต้องใจรักภักดีต่อหญิงสาวมากเพียงใดเจ้าชายฮารีฟร์ อัล ริฟาอีลส์ เจ้าชายผู้เสียสละมีอันต้องหลีกทางให้กับตนเองอย่างแน่นอน
“กระหม่อมชอบคุณน้ำเหนือพะยะค่ะ แต่ว่าชอบแบบพี่ชายชอบน้องสาวเสียมากกว่า กระหม่อมถูกชะตาคุณน้ำเหนือตั้งแต่ได้พูดคุยกับเธอ”
“อานีสต์ เจ้าคิดว่าหญิงสาวที่งดงามอ่อนหวานอย่างน้ำเหนือจะมีคู่รักหรือยัง”
เจ้าชายรูปงามหล่อเหลาดุจดังบุรุษอาหรับโบราณเอนกายพิงเบาะรถพลางถอนหายใจยาวขณะที่เอ่ยถามองครักษ์ ในใจภาวนาให้นีราพรรณหรือน้ำเหนือยังไม่มีภุมรินแวะเวียนมาลิ้มลองเรณูเกสรดอกไม้ที่แสนงดงาม
“กระหม่อมขอคิดเข้าข้างพระองค์ไว้ก่อน กระหม่อมคิดว่าไม่น่าจะมีพะยะค่ะ”
ด้วยรู้ว่าเจ้าเหนือหัวผู้ยิ่งใหญ่แห่งประเทศอัลนูรีนได้ต้องใจกับหญิงสาวชาวสยามที่แสนงดงามทำให้อานีสต์ได้ภาวนาขอให้นีราพรรณอย่างเพิ่งมีคนรักเลย เจ้าชายฮารีฟร์ อัล ริฟาอีลส์ ผู้ครองราชบัลลังก์อัลนูรีนแทนพระบิดาตั้งแต่เริ่มเข้าสู่วัยหนุ่มมิเคยให้ความสนใจกับหญิงใดมากเป็นพิเศษ หญิงสาวทุกคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเจ้าชายผู้เย่อหยิ่งล้วนแต่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไปมิได้ทำให้เจ้าชายประทับใจหรือจดจำจนต้องเรียกหาเหมือนดังนีราพรรณหญิงสาวที่น่าหลงใหลใคร่เสน่หา
เจ้าชายฮารีฟร์ทอดสายตาจ้องมองแน่นิ่งนามบัตรที่ถืออยู่ในมือพร้อมกับเอ่ยบอกความในใจของตนเองให้องครักษ์เอกได้รับรู้
“ถ้าหากน้ำเหนือเป็นของเราและเกิดมาเพื่อเราไม่ว่าเธอจะมีคนรักหรือไม่!...เราก็จะช่วงชิงมาเป็นของเราให้จงได้”
อานีสต์ลอบถอนหายใจยาวขณะที่ได้ยินถ้อยคำหมายมั่นที่หลุดออกมาจากริมฝีปากสีสดของเจ้าแห่งทะเลทรายอันกว้างใหญ่ไพศาล ถ้าหากได้เอ่ยเช่นนี้แล้วเจ้าชายฮารีฟร์มีอันได้ลงมือทำตามความต้องการของตนเองเป็นแน่...
“พระองค์พะยะค่ะ พระองค์จะอยู่ที่เมืองไทยนานแค่ไหน”
“ไม่เกินเดือนอานีสต์ เราไม่อยากจากอัลนูรีนนานเกินไป”
ซุ่มเสียงที่เอื้อนเอ่ยตอบคำถามขององครักษ์เอกเต็มไปด้วยความเศร้าสร้อยระคนเจ็บปวดกับปัญหาช่วงชิงราชบัลลังก์...ช่วงชิงแผ่นดินเกิด ปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นหมักหมมก่อตัวเป็นคลื่นลูกเล็กมาอย่างช้านานจนกระทั่ง เจ้าชายชารีฟร์ อัล ริฟาอีลส์ อนุชาต่างมารดาได้เติบโตขึ้น เกลียวคลื่นแห่งความริษยาอาฆาต การช่วงชิงราชบัลลังก์ก็ได้ก่อตัวขึ้นเป็นลูกใหญ่เตรียมพร้อมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ราชบัลลังก์ไปไว้ในครอบครอง เขาไม่เคยพบเจ้าชายชารีฟร์ อนุชาต่างมารดา เนื่องจากอีกฝ่ายไม่ยอมเผยตัวให้ใครได้พบเห็นง่ายๆ ชารีฟร์มีกองกำลังเล็กๆ เป็นชนเผ่า ‘คาลีส์’ แฝงกายอยู่ทางชายแดนประเทศคอยต่อต้านรัฐบาลอัลนูรีน ทั้งตัวเขาและอนุชาอีกคนคือ เจ้าชายซารีฟร์ อัล ริฟาอีลส์ ต่างก็ช่วยกันประคับประคองให้คนในสายเลือดเดียวกันได้อยู่ร่วมกันอย่างผาสุข แต่เจ้าชายชารีฟร์กลับปฏิเสธสิ่งที่เชษฐาทั้งสองได้หยิบยื่นให้
อานีสต์ ดามาสต์ ซาบิลซ์ องครักษ์เอกที่คอยให้การอารักขาเจ้าชายฮารีฟร์มาตั้งแต่แรกรุ่นได้ทราบดีถึงปัญหาศึกชิงราชบัลลังก์อัลนูรีน เขารู้ว่าเจ้าชายไม่อยากอยู่เมืองไทยเป็นเวลานานเนื่องจากเกรงว่าจะเป็นช่องโหว๋ให้เจ้าชายชารีฟร์ได้ส่งกองกำลังเข้ามาเข่นฆ่าคนในประเทศเดียวกัน และการเดินทางมาเมืองไทยของเจ้าชายฮารีฟร์ในครั้งนี้ค่อนข้างเป็นความลับเนื่องจากไม่อยากให้เจ้าชายฮารีฟร์ต้องตกเป็นเป้าหมายในการถูกลอบสังหาร
“เสร็จจากการทำธุระที่เมืองไทยแล้วพระองค์จะกลับอัลนูรีนเลยใช่มั้ยพะยะค่ะ”
“อืม...อาจจะเป็นเช่นนั้น จริงๆ แล้วเราอยากไปเยี่ยมซารีฟร์ที่อเมริกาก่อน ถ้าหากสถานการณ์ในอัลนูรีนไม่ร้อนระอุมากเกินไปเราอาจไปเยี่ยมซารีฟร์ก่อนที่จะกลับอัลนูรีน”
เจ้าชายซารีฟร์ อัล ริฟาอีลส์ ได้ไปศึกษาต่อด้านกฎหมายในระดับปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด การไปศึกษาต่อยังต่างบ้านต่างแดนห่างไกลกันคนละซีกโลกทำให้สองพี่น้องไม่มีเวลาพบเจอกันสักเท่าไหร่
“กระหม่อมได้แต่ภาวนาให้เจ้าชายชารีฟร์สงบศึกพักการช่วงชิงราชบัลลังค์ไว้ชั่วคราว เพื่อให้พระองค์ได้พักผ่อนได้พบเจาะเจอกับเจ้าชายซารีฟร์บ้าง”
อานีสต์ถอนหายใจยาวด้วยความหนักใจเป็นกังวลแทนเจ้าเหนือหัวของตน เจ้าชายฮารีฟร์และเจ้าชายซารีฟร์ไม่ได้พบกันมาเกือบปีแล้ว ด้วยงานทำนุบำรุงสุขให้ราษฎรอัลนูรีนได้อยู่ร่วมกันอย่างสุขสบายทำให้เจ้าชายทั้งสองต่างก็ละทิ้งความสุขของตนทรงงานหนักด้วยกันทั้งคู่จนไม่มีเวลาได้พบปะสังสรรค์กันตามประสาพี่น้อง ส่วนเจ้าชายซารีฟร์ก็ไม่ได้เรียนแต่เพียงอย่างเดียวแต่พระองค์ได้ศึกษาวัฒนธรรมวิทยาการล้ำสมัยของประเทศที่เจริญแล้วนำกลับมาพัฒนาประเทศอัลนูรีนบ้านเกิดเมืองนอนของตน
“เราก็ได้แต่ภาวนาเช่นเดียวกันกับเจ้า เราภาวนาต่อเม็ดทรายสีทองนับแสนนับล้านเม็ดทั่วทั้งอัลนูรีนให้ช่วยดลบันดาลใจเปลี่ยนจิตใจที่แข็งกร้าวกระหายเลือดของเจ้าชายชารีฟร์ อนุชาของเราให้แปรเปลี่ยนเป็นเจ้าชายที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเมตตาปราณีต่อราษฎรอัลนูรีน”
เจ้าชายฮารีฟร์เอ่ยบอกจากใจจริง เขาได้แต่หวังว่าสักวันชารีฟร์จะได้เห็นคุณค่าความรักความเมตตาที่เชษฐาทั้งสองได้มอบให้กับอนุชาผู้มีสายเลือดอัลนูรีนที่เข้มข้นทุกหยาดหยด...
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
“เชลยรักแห่งเม็ดทราย” เป็นนิยายลำดับที่ 1 ในชุดเพลิงสวาททาสทราย ซึ่งเคยตีพิมพ์กับสำนักพิมพ์มายเลิฟ แต่ตอนนี้ได้หมดสัญญาแล้ว ผู้เขียนจึงได้นำมันกลับมาทำใหม่ในฉบับทำมือ
และฉบับทำมือนี้มีความ พิเศษ กว่าฉบับตีพิมพ์กับทางสำนักพิมพ์คือ ผู้เขียนจะเอาฉากเลิฟซีนร้อนแรงที่ทางสำนักพิมพ์ตัดทิ้งเพื่อให้สามารถผ่านการพิจารณาวางขายจากซีเอ็ด ชนิดที่เรียกได้ว่า “จัดหนักจัดเต็ม”
นอกจากนี้ผู้เขียนยังได้ตอบแทนเหล่าแฟนคลับที่น่ารักทุกคนด้วยการ “แจกจี้ทองไอริสมูลค่าครึ่งสลึง 1 รางวัล“ กติกาง่ายๆ เพียงมี นิยายชุดเพลิงสวาททาสทราย ฉบับทำมือครบทั้ง 3 เล่ม ซึ่งได้แก่
1. เชลยรักแห่งเม็ดทราย (กำลังเปิดจอง)
2. พายุรักแห่งเม็ดทราย (เปิดจองประมาณเดือนตุลาคม)
3. ไฟรักแห่งเม็ดทราย (เปิดจองประมาณเดือนธันวาคม)
ให้สิทธิ์ทั้งคนที่มีรูปเล่มและ ebook นะคะ (อย่าลืมสั่งจองกันเยอะๆ นะคะ ^^)
หนังสือมีความหนา 356 หน้า ราคาปก 300 บาทขายเพียง 269 บาทเท่านั้น (ฟรีค่า+ปกพลาสติก)
สนใจสั่งซื้อหรือสอบถามรายละเอียดที่ sornwarunya@gmail.com
เปิดจองตั้งแต่วันนี้ – วันที่ 03/09/57 (พิมพ์ตามยอดจอง) หนังสือสามารถจัดส่งได้ประมาณปลายเดือนกันยายนนะคะ
เรื่องนี้จะลงไม่จบนะคะ ลงให้อ่านเป็นตัวอย่างเพื่อช่วยในการตัดสินใจสั่งจองเท่านั้นจ้า และลงครบ 50% เมื่อไหร่จะทยอยลบตอนต้นๆ ออกนะคะ
ขอบคุณค่ะ
ไอริส
ไอริสโชกุนา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 ส.ค. 2557, 19:35:16 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 ส.ค. 2557, 19:35:16 น.
จำนวนการเข้าชม : 1192
ตอนที่ 2 >> |