กลรัตติกาล
เรื่องต่อ ซ่อนใจไว้ใต้ดาว ชุดเสน่หาฆาตกรรม

หลงกลิ่นจันทน์ , ซ่อนใจไว้ใต้ดาว , กลรัตติกาล
Tags: กลรัตติกาล คีตา ณิชนิตา

ตอน: บทที่ ๑ สาวปริศนาแมวดำ (แก้ไข)

บทที่ ๑

สาวปริศนาแมวดำ



ชายหนุ่มนั่งหน้านิ่วครุ่นคิดถึงเรื่องที่ตัวเองได้เจอบนเก้าอี้หวายสีน้ำตาลเข้มใต้ถุนเรือนไทย ตั้งอยู่ด้านหลังของร้านอาหารซึ่งล้วนเป็นพื้นที่ของบ้านกุลธรา มีอาณาบริเวณกว้างขวางจัดการอย่างเป็นสัดส่วน แยกอย่างชัดเจนระหว่างบ้านและร้านอาหาร ถัดจากเรือนไทยของยายชมนาด เป็นบ้านปูนชั้นเดียวของครอบครัวเขาเอง

สมัยที่ยังเด็ก ชายหนุ่มแอบคิดว่าเสมอว่าเขาเป็นหลานชายคนเดียวที่ต้องแบกภาระผู้นำของตระกูลรุ่นต่อไป

เขาเป็นลูกชายคนโตมีหน้าที่ดูแลทุกคน เรียกได้ว่าเป็นผู้ถูกอบรมจากยายชมนาดมาตั้งแต่เด็ก เขาเรียนรู้เรื่องศาสตร์ลี้ลับมาจากยาย แม้จะไม่ได้รับการเห็นด้วยจากพ่อเลยแม้แต่น้อย ก่อนหน้านั้นเขาต้องกลายเป็นคนกลางระหว่างพ่อกับยายซึ่งทะเลาะกันอย่างหนักจนเกือบจะแยกบ้านกันอยู่ ถ้าผ่าตัดแบ่งครึ่งลูกชายได้คงทำไปเรียบร้อยแล้ว เหตุผลง่ายๆก็คือ ยายต้องการให้สืบทอดวิชาโหราศาสตร์ ส่วนพ่อก็อยากให้เขาเป็นนักวิชาการเหมือนท่านนั่นเอง ชายไทเลยต้องตัดสินใจ...

เขาไม่ชอบที่จะทำร้ายใคร รักและเคารพทั้งสองท่านอยู่แล้วเลยจัดการเรียนเสียทั้งสองอย่างเพื่อรักษาความสัมพันธ์ในครอบครัวไว้

โชคดีเขาสามารถทำให้ทั้งสองเรื่องไปด้วยกันได้ ชายไทเรียนดีมาตั้งแต่เด็ก เข้าเรียนก่อนเกณฑ์อายุและเรียนได้เร็วกว่าเพื่อนร่วมชั้น แต่ก็ยังมีช่วงระยะเวลาหนึ่งที่เขาสับสนแล้วก็ทำตัวไม่ดีอยู่บ้าง กลายเป็นแผลเป็นในใจมาโดยตลอด

“เป็นอะไรหรือหลานชาย ทำไมทำหน้ามุ่ยอย่างนั้นล่ะ มีอะไรไม่สบายใจหรือ” ยายชมนาดเอ่ยถามทั้งเดินหลังงุ้มเข้ามาหาหลานชายคนเดียว ด้วยอายุเกือบแปดสิบแล้วทำให้ดูเหน็ดเหนื่อยกับการก้าวย่างและการเอ่ยปากพูดคุยหลายเท่านัก

“เปล่าครับ มันก็แค่เรื่องค้างคาใจนิดหน่อยครับ” แม้ปากปฏิเสธแต่ดวงตายังมีประกายความไม่เข้าใจหลายอย่างอยู่ในนั้น

“เรื่องอะไรล่ะ เล่าให้ยายฟังสิ” ยายชมนาดถามกลับ

“คือ...ผมเห็น...ผู้หญิงคนหนึ่งที่ๆ มีเหตุฆาตกรรม แล้วเธอดูประหลาดมาก ผิวขาว...ขาวมาก เหมือนสำลีเลย ผมสีดำยาวเกือบถึงกลางหลัง ตาจ้องมาที่ผมตลอด แล้วอยู่ๆ เธอก็หายไป เธอเป็นผีหรือเปล่าครับยาย” ชายไทนึกไม่ออกว่าสิ่งที่เห็นนั้นเป็นแค่ภาพลวงตาหรือมากกว่านั้น ใจจริงเขาไม่ได้คิดจะสนใจเลยแต่ไม่รู้เพราะอะไร เขาจึงไม่สามารถสะบัดความคิดหรือกระทั่งภาพที่เห็นนั้นออกไปได้เลย

“ไหนว่าไม่เชื่อเรื่องผีสางไงล่ะ” ยายชมนาดทักท้วงไม่จริงจังนัก สีหน้าชายไทเลยได้แต่ยิ้มจืดๆส่งให้ก่อนจะตอบคำถาม

“ครับ ไม่เชื่อแต่...อยู่ดีๆ ผมก็ขนลุกนี่สิ”

ผู้เป็นยายยื่นมือเข้ามาจับมือหลานชายเอาไว้ ความรู้สึกวูบไหวบางอย่างแล่นผ่านจากผิวหนังที่สัมผัสกัน ผู้ที่คงแก่กล้าทั้งวิชาชีพดั้งเดิมและอายุขัย จ้องมองผ่านดวงตาที่เริ่มฝ้าฝาง

“คนเราน่ะ เกิดมาพร้อมกับกรรม ขึ้นอยู่กับว่าเราได้สร้างกรรมนั้นเพิ่มหรือทำให้มันลดลงหรือเปล่า ชาย...หลานอาจจะได้พบเจอช่วงที่ลำบากที่สุดในชีวิตแต่อย่าลืมว่าความดีมันจะชนะทุกอย่าง เอาสติคุมให้อยู่ จะมีคนมาช่วยหลานเองแหละ” ผู้เป็นยายไม่ได้ตอบคำถามของเขาแต่กลับพูดถึงเรื่องกรรมเก่าขึ้นมาแทน ยิ่งสร้างความสงสัยเพิ่มขึ้นไปอีก

“ช่วย? เรื่องอะไรครับแล้วมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องที่ผมถามละยาย”

“สิ่งที่หลานคาใจมันไม่ใช่เรื่องสำคัญ เธอคนนั้นอาจจะไม่เหมือนเรา แต่เธอจะมาช่วยหลานแล้วหลานเองก็จะเป็นคนช่วยเธอ กรรมของหลานและเธอเกี่ยวข้องกันอยู่ ไม่วันใดวันหนึ่งก็ต้องมาเจอกัน แม้ว่ามันจะเป็นกรรมที่ทำให้เจอกันก็เถอะ”

ชายไทไม่เข้าใจสิ่งที่ยายบอก เพียงแต่ว่าเขายังไม่กล้าถามมากความ ยายดูเหน็ดเหนื่อยจนเขาต้องประคองไปพักในห้องนอน สุดท้ายเรื่องมันก็ยังคาใจเขาอยู่ดี...

เธอจะมาช่วยเขาเรื่องอะไรอย่างนั้นเหรอ?



ขันเงินผิวเกลี้ยงถูกวางไว้กลางห้อง น้ำตาเทียนเล่มเล็กสีเหลืองเข้มหยดลงบนน้ำซึ่งอยู่ภายในขันใบนั้นทีละหยดๆจนเกือบหมดเล่ม ปากก็พร่ำคาถาด้วยน้ำเสียงเบาหวิวแต่กลับสะท้อนชัดเจนในยามนี้ ยายชมนาดจึงเป่าให้ไฟนั้นมอดดับลง กลิ่นไหม้ยังคงเจือจางลอยอบอวลอยู่ภายในห้อง ภาพบางอย่างปรากฎอยู่ภายในนั้น ดวงตาที่เริ่มฝ้าฟางนั้นเบิกกว้างเพียงเล็กน้อย

ยายชมนาดถอยหายใจเพียงเล็กน้อย ขาเล็กๆซึ่งพับเพียงหลังคุดคู้อยู่นั้นเริ่มเหยียดออกอย่างปวดเมื่อย ร่างกายของนางเริ่มโรยราเต็มที หลงเหลือพลังเพียงเล็กน้อย ความจำเริ่มเสื่อมถอยลงไปทุกขณะ ใกล้ถึงเวลาที่ต้องจากไปแล้ว แต่ยายชมนาดยังไม่หมดห่วง...ชายไทคือห่วงเดียวที่ยายชมนาดมีอยู่ นิมิตรระหว่างที่แตะตัวชายไทนั้นเป็นภาพเลือนลางของหญิงสาวผู้หนึ่งมีไอเหมือนหมอกสีขาวคอยวนเวียนอยู่รอบตัวเธอ ทว่า...ที่ชัดเจนคือ ผู้หญิงคนนั้นช่วยเหลือหลานชายของเธอ อาจจะเป็นกรรมนำพาให้มาเจอกันก็เป็นได้...ชมนาดไม่เห็นรอยเนื้อคู่หรืออะไรที่บ่งบอกถึงเรื่องเช่นนั้น อย่างน้อยอาจจะเป็นผู้อุปถัมภ์ช่วยเหลือชายไทก็เป็นได้

เหตุผลที่ชมนาดให้หลานชายสืบทอดเรื่องไสยศาสตร์ก็เพื่อเอาไว้ป้องกันตัว แต่ชายไทไม่ได้จริงจังกับมันนัก เขาเลือกเรียนดูไพ่ของหมอดูสมัยใหม่มากกว่าที่จะเรียนบทคาถาต่างๆ อาจเป็นโชคชะตาของเด็กคนนี้ก็เป็นได้ ในวัยเด็กก็เกือบพลาดพลั้งเสียหลายครั้ง ครั้งแรกที่ชายไททำให้ชมนาดหัวใจแทบร่วงคือตอนที่เขาจะก้าวลงไปในคลองหลังบ้านหลังเก่าด้วยถูกใครบางคนเรียกหา ก่อนที่เท้าเด็กชายจะแตะน้ำมือเธอก็คว้าตัวเขาไว้ได้ก่อน

‘ยายครับ ดึกแล้วทำไมผู้หญิงคนนั้นไม่ยอมขึ้นจากคลองเลยล่ะกวักมือเรียกผมด้วย ให้ผมไปเล่นด้วยได้ไหม’เด็กน้อยชายไทวัยเพียงสิบขวบทำให้ชมนาดหน้าตื่นเหลือบมองในคลองบ้านหลังเก่าอย่างตระหนก ร่างโปรงขาวของหญิงสาวคนหนึ่งโผล่ขึ้นเหนือน้ำเพียงครึ่งตัว ใบหน้าซีดขาวราวกับกระดาษ ดวงตาคู่นั้นไม่มีตาดำ ผมยาวสยายไปตามแผ่นน้ำ

นางพราย!! ชายไทเห็นนางพรายได้อย่างไร ชมนาดพร่ำบ่นคาถาเพียงไม่กี่นาทีร่างโปร่งนั้นจึงหายไป

‘ไปแล้ว หายไปแล้ว เขาหายไปไหนครับยาย จมน้ำหรือเปล่า’ชายไทช่างสงสัย ดวงตาเล็กๆนั้นพลอยสื่อสารคำถามมากมายมาให้

ตั้งแต่บัดนั้นชมนาดจึงต้องเป็นคนปกป้องชายไทไว้ด้วยคาถาต่างๆ อีกทั้งย้ายบ้านออกมาจากตรงนั้นอย่างหวาดระแวง ด้วยดวงของชายไทที่ต้องรุ่งโรจน์ มีชื่อเสียง แต่เมื่อใดก็ตามที่เขามีทุกอย่างพร้อม...เขาต้องสูญเสียบางอย่างไป และสิ่งนั้นต้องสำคัญเทียบเท่ากับชีวิตของเขา มันเป็นชะตา...เขาอาจไม่รับรู้ว่าตัวของเขาดึงดูดสิ่งใด แต่หากถึงวันที่ดวงชะตาอ่อนแรง...ชมนาดไม่อาจมีชีวิตอยู่ปกป้องเขาได้อีก...ชายไทจะอยู่ได้อย่างไร สิ่งเดียวเท่านั้นที่จะช่วยเขาได้...มีเพียงสิ่งเดียว

มือเหี่ยวแห้งของผู้แก่ชราเอื้อมไปแตะกล่องไม้สี่เหลี่ยมสีน้ำตาลเข้มซึ่งถูกวางไว้บนชั้นใกล้ตัวนั้นออกมาเปิดออกดู มันเป็นเพียงกล่องเปล่าทว่าเมื่อในอดีตมันเคยบรรจุบางสิ่งไว้ ของที่หายไปเนิ่นนาน...สี่สิบปีที่หายไปถึงเวลาที่ต้องตามหาอย่างจริงจังเสียแล้ว



ความมืดมิดในยามค่ำคืนนั้นไม่ได้ทำให้หญิงสาวหวาดกลัวเธอยังคงนั่งอยู่บนม้านั่งในสวนสาธารณะคนเดียว เหมือนกับการรอคอยใครสักคน หญิงสาวผมสีดำยาวเกือบถึงกลางหลังแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ดวงหน้ารูปไข่นั้นขาวซีด ริมฝีปากสีสดเม้มแน่น เหมือนว่ากำลังครุ่นคิดบางสิ่งบางอย่าง

ดวงจันทร์ลอยเด่นดูสวยงามแต่หญิงสาวกลับทำหน้าเหมือนเกลียดชังภาพที่เห็นเหลือเกิน

“พระจันทร์คืนนี้สวยนะว่าไหมเจ้าหวานใจ” เธอเอ่ยถามแมวน้อยที่นั่งข้าง ๆ

เจ้าแมวน้อยสีขาวล้วนเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวทำหน้าตาสงสัย ประหนึ่งเหมือนกับว่าอยากรู้ว่าเธอพูดอะไรออกมา

เมี๊ยว! เจ้าแมวน้อยร้องรับ

รัตติกาลยิ้มกว้าง ชีวิตของเธอหลังผ่านเหตุการณ์ร้าย ๆ มามาก บัดนี้ก็มีเพียงแค่สัตว์เลี้ยงเท่านั้นละที่เข้าใจเธอ มันไม่ตะโกนด่าว่าเธอเป็นคนบ้า ไม่ทำสายตาหวาดระแวงให้เห็น ไม่มองหน้าจดจำรายละเอียดประหนึ่งเธอเป็นอาชญากรคนสำคัญ ไม่นินทาลับหลัง และไม่ทิ้งเธอไปไหน มือบางแตะจี้ห้อยคอรูปพระจันทร์เสี้ยวนั้นเพื่อสร้างความอุ่นใจให้กับตัวเอง เพราะสร้อยเส้นนี้ทำให้เธอรอดชีวิตมาได้ แม้ว่าจะเป็นเพียงแค่ครึ่งเดียวก็ตามที...อย่างน้อยเธอก็รอด

เธอเอื้อมมือไปอุ้มแมวน้อยแนบอกก่อนจะลุกขึ้นเดินจากมา จุดหมายคือ บ้านของเธอซึ่งอยู่ท้ายซอย เมื่อเปิดประตูเล็กเข้ามาเธอก็ค่อยๆก้าวผ่านเลยบ้านหลังใหญ่ไปยังบ้านหลังเล็กที่อยู่ติดริมรั้วด้านหลังสุดของบริเวณบ้าน

บ้านหลังเล็กที่มีเพียงหนึ่งห้องนอน หนึ่งห้องรับแขกและหนึ่งห้องน้ำ ด้านหน้ามีระเบียงยื่นออกมาให้เธอรับลม รับแดด หญิงสาวใช้บริเวณนี้เองจัดเป็นสวนกล้วยไม้เล็ก ๆ เพื่อให้บ้านเย็นและร่มรื่น

ตั้งแต่เธอถูกวินิจฉัยว่าบ้า...เป็นโรคจิตประเภทหนึ่งที่เธอจำชื่อภาษาทางการแพทย์ไม่ได้แล้ว เธอก็ถูกแยกออกจากบ้านหลังใหญ่ เหตุผลคือ กลัวเธออาการกำเริบแล้วอาละวาด ทำข้าวของราคาแพงของพ่อและแม่เลี้ยงเสียหาย

แม้จะรู้สึกน้อยใจอยู่บ้างแต่เธออยากขอบคุณที่พ่อสร้างบ้านหลังเล็กนี้ให้ อย่างน้อยเธอก็เลิกอาละวาด เพราะไม่ได้เจอ ภาพเลือนรางของเพื่อนรักที่ติดตามไม่ห่าง มันทำให้เธออดแปลกใจไม่ได้อยู่เสมอ หลังจากอุบัติเหตุครั้งนั้นทำให้เพื่อนรักของเธอเสียชีวิต ที่เธอเห็นตลอดเวลาที่ลืมตาตื่น นั่นคือ วิญญาณ

เมื่อเปิดประตูบ้านเข้าไป บรรดาลูกๆ ของเธอต่างส่งเสียงร้องหากันจ้าละหวั่น แมวเกือบสิบตัวที่อยู่ในบ้าน ทุกตัวคือเพื่อนที่ดีที่สุดของเธอ ไม่คิดว่า สาวสวย รวย เชิด อย่างเธอจะมีแค่สัตว์เลี้ยงเป็นเพื่อน ใช่สินะ ตอนนี้เธอไม่เหลือคำเหล่านั้นอยู่เลย เป็นแค่ผู้หญิงคนหนึ่งที่บ้าเอาหมาแมวมาเลี้ยง ทุกวันพระต้องทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับเจ้าชะตา ต้องนั่งสมาธิแผ่เมตตาก่อนนอนทุกคืน มันเปรียบเทียบกับชีวิตเก่าก่อนไม่ได้เลย

รัตติกาลเปิดทีวีปลายเตียงหวังให้ส่งเสียงเป็นเพื่อนยามค่ำคืน ช่องที่เปิดไว้เป็นรายการดูดวงทางเคเบิลทีวี ด้วยเหตุที่เมื่อช่วงกลางวันป้าลีแม่บ้านเข้ามาทำความสะอาดบอกว่าชอบรายการในช่องนี้ ยิ่งพรุ่งนี้เป็นวันหวยออกชาวบ้านก็ต่างเช็คดวง เช็คตัวเลขที่จะออกในช่วงบ่ายนั่นเอง เสียงนักจัดรายการพูดเจื้อยแจ้วอะไรมากมายไม่ได้ทำให้หญิงสาวสนใจจนกระทั่ง...

“หมอชายว่าไงครับ มีเอสเอ็มเอสมาถามเรื่องการงานครับ เกิดวันที่...” นักจัดรายการหนุ่มที่ยังคงเป็นวัยรุ่นหันไปถามคู่ที่นั่งถัดไป

การแต่งกายของ ‘หมอชาย’ ค่อนข้างตามสมัยไม่ได้เหมือนหมอดูทั่วไปที่แต่งตัวภูมิฐาน เน้นความน่าเชื่อถือ แต่สำหรับหมอดูหนุ่มคนนี้ไม่เน้นสิ่งนั้นเลยสักนิด สีผมออกน้ำตาลประกายทอง ใบหน้าค่อนข้างคม ตาเรียวชั้นเดียว ริมฝีปากสีแดงระเรื่อ เธอไม่มั่นใจว่าเพราะการแต่งหน้าหรือเปล่าทว่ามันทำให้ใบหน้านั้นขาวเนียน เด่นชัด และน่ามอง

ทว่าสิ่งที่สะกดให้ดวงตาสวยของรัตติกาลจ้องมองไม่ใช่ความหล่อเหลาของหมอดูหนุ่ม แต่เป็นภาพซ้อนทับของเขาต่างหาก มีเงาดำลางเลือนอยู่ข้างหลังเป็นเงาที่ไม่ใช่เงาของเขาเอง!!

“ได้หรือไม่ได้ใช่ไหมครับ ช่วงนี้คุณค่อนข้างสับสนครับ จริงๆ คุณต้องมั่นใจก่อนนะครับ จะให้ฟังธงก็...เสียใจด้วยครับ ไปทำบุญบ้างนะครับ แล้วนั่งสมาธิตั้งสติสักหน่อยอาจจะช่วยคุณได้” คำตอบของหมอชายทำให้หญิงสาวเลิกคิ้วสูง

หมอดูคนนี้กล้าที่จะฟันธงขนาดนี้เชียวหรือ อาจจะเป็นเพราะเขามีกุมาร เงาดำ ๆนั่นอาจจะเป็นกุมารที่เลี้ยงเอาไว้ก็ได้ พวกเล่นของ!! รัตติกาลคิดในใจ



เสียงกุกกักท้ายสวนดังขึ้นเป็นระยะพลอยทำให้ชายหนุ่มที่เพิ่งจะถือถ้วยกาแฟร้อนเดินออกมาชมสวนต้องชะงักเท้า เขาพยายามเพ่งมองว่าต้นเสียงคืออะไรกันแน่

อยู่ ๆเจ้าแมวสีดำล้วนก็กระโดดออกมาจากพงหญ้าที่มีกระถางต้นพุดชมพูตั้งอยู่ทำเอาคนที่กำลังตั้งอกตั้งใจมองแทบล้มลงไปกองกับพื้นหญ้าเลยทีเดียว ชายหนุ่มเอามือทาบอกลูบไปมาเหมือนต้องการปลอบใจตัวเองหลังจากขวัญหนีไปเมื่อครู่

“เฮ้ย! ไอ้ชาย ทำอะไรตรงนั้นวะ” เสียงทุ้มของเพื่อนหนุ่มที่ดูเหมือนเพิ่งลุกจากที่นอนดังขึ้นหลังจากที่เห็น ชายไทยืนเก้ ๆกัง ๆ อยู่ตรงพุ่มไม้หลังบ้าน ชายหนุ่มที่ถูกเรียกชื่อเล่นง่าย ๆนั้นหันขวับกลับมาหาเพื่อนทันที

“ก็เมื่อกี้เห็นอะไรในพุ่มไม้เลยเข้ามาดู ตกใจแทบแย่แมวมาจากไหนไม่รู้ บ้านแกมีแมวด้วยเหรอ” ชายไทหันไปถามเพื่อน

“ไม่มีหรอก ข้างบ้านมั้งรายนั้นน่ะมีทั้งแมว หมาเต็มไปหมด” อชิตะตอบง่ายๆ ก่อนจะยกเท้าขึ้นวางไว้บนโต๊ะ ตาก็จ้องไปที่ทีวีตรงหน้าที่กำลังฉายรายการตลกอย่างอารมณ์ดี

อชิตะ ชายหนุ่มหน้าตาดี เป็นหนุ่มนักเรียนนอกที่มีลักษณะการใช้ชีวิตคล้ายกัน เจอกับชายไทครั้งแรกในมหาวิทยาลัยต่างประเทศ อชิตะกำลังเรียนปริญญาโท ส่วนชายไทกำลังเรียนปริญญาเอก

พอกลับมาเมืองไทยด้วยความที่มีหน้าตาดี รูปร่างสูงเพรียวเหมาะกับอาชีพนายแบบ จึงมีคนชักชวนให้อชิตะทำงานในวงการบันเทิง เริ่มแรกก็เป็นนายแบบ แล้วค่อยๆ รับงานพรีเซนเตอร์อื่นๆ อีกมากมาย

ชายไทหันไปมองบ้านหลังใหญ่ที่สุดในซอยด้วยความแปลกใจ บ้านออกจะหรูหราแต่ทำไมถึงได้เลี้ยงแมวดำแทนที่จะเป็นแมวเปอร์เซียหรือแมวมีราคากว่านั้น

“ไม่ต้องทำหน้าแปลกใจหรอก ไม่ใช่บ้านใหญ่ที่เลี้ยงแต่เป็น ลูกสาวเขาเป็นคนเลี้ยง หมาแมวไม่มีเจ้าของ บาดเจ็บถูกรถชน ยายนี่เก็บมาเลี้ยงหมด ตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุเมื่อปีที่แล้วก็เหมือนสมองกลับทำอะไรแปลก ๆ ตลอด” อชิตะกล่าวเป็นเชิงบ่นมากกว่าจะตั้งใจบอกเล่าเรื่องราว

“ยังไง แล้วตกลงเป็นบ้านใคร”

“จริงๆ เธอเป็นเพื่อนฉันตอนมอต้น เพิ่งย้ายมาเมื่อต้นปีนี้เอง เห็นว่าไม่สบาย เลยหาบ้านที่สงบๆ เป็นที่พักแต่ฉันว่ามันแปลกๆ ตั้งแต่ย้ายมาฉันเคยเจอครั้งสองครั้งมั้งเห็นท่าทางก็ร่าเริงดีอยู่หรอก สวยด้วยเสียดายเป็นบ้าน่ะสิ”

“บ้า?”

“ช่าย...”ไม่ทันที่อชิตะจะพูดอะไรต่อบางอย่างกลับตกลงมาจากกำแพงบ้านของเขา

ตุ๊บ!!

เสียงอะไรสักอย่างหล่นจากรั้วบ้าน สายตาของสองหนุ่มจ้องไปที่ต้นเหตุของเสียงแทบทันที หญิงสาวร่างผอมบางผมยาวสีดำขลับกระเซอะกระเซิงเต็มไปด้วยใบไม้แห้ง ดวงสวยเบิกกว้างมองตอบกลับสองหนุ่มที่ยืนจ้องอ้าปากค้างกันอยู่

“ขอโทษที...นึกว่าไม่มีคนอยู่” เธอกล่าวขอโทษขอโพยก่อนจะเดินฉับๆ เข้ามา ทำเหมือนประหนึ่งเป็นบ้านของตัวเองก็ไม่ปาน

ชายไทถึงกับทำหน้าเอ๋อ พร้อมทั้งครุ่นคิดเกี่ยวกับสิ่งที่เธอพูดออกมา ถึงไม่มีคนอยู่ก็จะเข้ามาง่ายๆเลยงั้นหรือ คำว่ามารยาทอยู่ตรงไหนกัน? ผู้หญิงคนนี้ทำตัวแปลกเกินไปแล้ว!

“เมี๊ยวๆ เจ้าสีนิลๆ หายไปไหนของมันนะ พวกนายเห็นป๊ะ” เธอหันมาถามหน้าซื่อ ชายไทชี้ไปที่ต้นไม้ข้างบ้าน

“คงอยู่หลังต้นไม้ต้นนั้นมั้ง เอ่อ...” ชายไทกล่าว เขายังตกใจไม่หายกับเรื่องเมื่อครู่ ใบหน้าสวยนั้นดูคุ้นตาอย่างมาก ชายไทพยายามนึกว่าเขาเคยเห็นเธอที่ไหนมาก่อนนะ

เขาจำเธอได้...ผีจูออนตอนพบศพที่หนองน้ำ? ธะ...เธอนี่เอง

หญิงสาวเจอแมวตัวน้อยของเธอแล้ว เธอกวักมือเรียกแค่สองครั้ง แมวตัวนั้นวิ่งกลับเข้ามาสู่อ้อมแขนของหญิงสาวทันที ประหนึ่งเข้าใจในสิ่งที่นายสาวทำ หมอดูหนุ่มสังเกตพฤติกรรมเหล่านั้นอยู่เงียบๆ

รัตติกาลหันหน้ากลับมาหาคนที่ยืนจ้องเงียบ ทว่ามีบางอย่างที่ทำให้เธอต้องก้มหน้างุดลงทันที

“ขอบคุณ ฉันไปละ” หญิงสาวกำลังจะปีนกำแพงกลับไปแต่ถูกมือหนาคว้าแขนเธอไว้ก่อน

“ไป...ทางหน้าบ้านก็ได้ครับ” เขาชี้ไปที่ประตูหน้าบ้าน หญิงสาวทำหน้าเหรอหราก่อนจะยิ้มแผล็บ

“อ๊ะ ลืมไป มาทางนี้จนเคยชิน” เธอบอกสีหน้ายิ้ม ๆ เมื่อเธอกำลังจะก้าวเท้าออกจากประตูกลับหันหลังขวับมาจ้องชายหนุ่มอีกครั้ง

“นายเป็นหมอดูเก๊ในช่องเคเบิ้ลใช่มะ” เธอทักน้ำเสียงเหมือนกำลังตื่นเต้นที่ได้พบเขาอย่างนั้น

“ผมไม่ใช่หมอดูเก๊เสียหน่อย” หมอดูหนุ่มปฏิเสธทันที เรื่องอะไรเล่าที่จะมาบอกว่าเขาเป็นหมอดูเก๊ ทุกอย่างทำตามหลักของโหราศาสตร์และหลักของจิตวิทยาทั้งนั้น

“เหอะ...งั้นดูดวงฉันสิว่าเป็นไง” หญิงสาวท้าทายก่อนจะยิ้มที่มุมปาก

ชายไทมองคนที่แอบยิ้มหยันตัวเอง “ทำไมจะดูไม่ได้ เอามือมานี่สิ” ชายไทไม่ยอมแพ้จัดการคว้ามือหญิงสาวออกมาแบะให้เห็นลายมือนั้นชัดเจนขึ้น แต่สิ่งที่อยู่ตรงหน้าเขาทำให้ชายหนุ่มต้องเงยหน้าขึ้นจ้องมองเธออีกครั้ง แล้วพยายามที่จะลูบฝ่ามือดึงให้มันตึงเพื่อให้เห็นลายมือชัดเจนขึ้น

ทว่า...มันไม่ช่วยเขาเลย ผู้หญิงคนนี้ไม่มีลายมือ!!! ช่วงเวลานี้เองที่เขากลับรู้สึกเหมือนร่างทั้งร่างเย็นยะเยือกราวกับถูกน้ำแข็งกองใหญ่เททับลงบนตัวราวกับว่าเขาตัวแข็งทื่อขยับเขยื้อนตัวไม่ได้เลย...นี่มันความรู้สึกอะไร!

“ลูบยังไงก็ไม่มีหรอก เอาวันเกิดไหม” เธอถามกลั้วน้ำเสียงหัวเราะ ชายไทปล่อยมือเล็กเรียวนั้นลง ความรู้สึกบางอย่างทำให้ชายหนุ่มขนลุกซู่ บางอย่างที่ทำให้เขาเหลือบตามองดวงหน้าใสนั้นอย่างเพ่งพินิจ

“คุณ...ไม่มีลายมือ” น้ำเสียงที่แผ่วเบาราวกับไม่ได้ออกมาจากริมฝีปากหนา เขาหน้าซีดเผือดถอยหลังกรูดด้วยอาการบางอย่างตามหลักวิทยาศาสตร์คนไม่มีลายมืออาจจะเกิดจากกรรมพันธุ์ แต่เขาเคยได้ยินยายพูดว่าคนที่ไม่มีลายมือ...คือ คนตายไปแล้ว!!

“มีอะไรเหรอคะ ทำไมคุณทำหน้าตาหน้ากลัวขนาดนั้น” หญิงสาวแกล้งแหย่ ก่อนจะตัดสินใจพูดเรื่องที่เธอเห็นออกมา“อ้อ...คุณน่ะ ทำบุญบ้างหรือเปล่า ลองทำดูบ้างนะเพราะมีบางคนรอบุญจากคุณอยู่” เธอกล่าวจบก็เดินผ่านประตูรั้วเหล็กสีฟ้านั้นออกไป ปล่อยให้ชายไทยืนนิ่งดั่งถูกสาป

ความรู้สึกเย็นยะเยือกยังคงอยู่ ชายหนุ่มจำได้ดีราวกับมันฝังอยู่ในหัวของเขา มือสวยเล็กๆ นั่นเย็นเฉียบ มีคนปกติที่ไหนบ้างที่อยู่ในอุณหภูมิปกติแล้วมือเย็นเหมือนน้ำแข็ง แถมเธอยังไม่มีลายมืออีกด้วย มันเป็นไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำ คนเราถึงจะมือบางหรือทำงานหนักจนทำให้รอยลายบนฝ่ามือเลือนหายไปแต่มันก็จะยังคงอยู่ ไม่มีทางเนียนเรียบดังเช่น ผู้หญิงคนนี้!!

“เฮ้ย !! ชายเป็นอะไรวะ ทำไมทำหน้าเหมือนเห็นผีอย่างนั้น”

“ฉัน...เธอ เอ่อ...เธอไม่มีลายมือแล้วอยู่ๆ ฉันก็รู้สึกประหลาดๆ” ชายไทกล่าวทั้งรู้สึกว่ามือเริ่มสั่น มันแปลกประหลาดเอามาก ๆ เขาเป็นหมอดูก็จริงแต่เขาไม่เคยเจอผีเลยสักครั้ง จะมีบ้างก็แค่ข้าวของเครื่องใช้วางผิดที่ทั้งๆที่เขาจำได้ว่าได้จัดเก็บมันอย่างดีและเรียบร้อยแล้ว ครั้งนี้มันช่างทำให้เขาสะพรึงกลัวยิ่งนัก

“แก...แก...พูดจริงๆ แล้วงั้นเราก็เจอผีน่ะสิ ไม่ๆ แกพูดบ้าอะไรของแก ถ้าเป็นผีจริงแกจะจับมือเขาได้ยังไง”

“นั่นสิ...ฉันทำอย่างนั้นได้ยังไง” เขากล่าวเหมือนเพ้อมากกว่าจะเป็นการตอบคำถามของเพื่อนรัก

เป็นไปไม่ได้ เธอเป็นผีต้องแตะต้องตัวไม่ได้ แต่คนเราไม่มีลายมือ...มันเป็นไปไม่ได้!!



หลังจากเก็บเจ้าแมวน้อยไว้ในบ้านแล้วรัตติกาลจึงเดินออกมายังระเบียงเล็กๆหน้าบ้าน ซึ่งมีหญิงสาวอีกคนนั่งอยู่ มโนชา สาวร่างเล็ก รูปร่างมีอวบนิดแต่ยังไม่ถึงกับอ้วน แก้มยุ้ยกำลังน่ารัก ผมสีดำยาวถูกรวบเป็นจุกไว้กลางศีรษะ หญิงสาวเป็นเพื่อนสมัยเรียนมัธยม แต่ช่วงแรกนั้นไม่ได้สนิทชิดเชื้อกัน ออกแนวไม่ถูกกันเสียด้วยซ้ำ จนเธอกลายเป็นบ้า ด้วยความบังเอิญทำให้ได้เจอกันที่โรงพยาบาล ด้วยความเห็นใจ

มโนชา กลายเป็นคนเดียวที่ยื่นไมตรีมาให้น่าแปลก...ที่สุดท้ายคนที่เธอคิดว่าเป็นศัตรูกลับกลายเป็นมิตรแท้ แล้วคนที่เป็นมิตรกลายเป็นศัตรูในที่สุด

“แกปีนบ้านคนอื่นอย่างนั้นได้ยังไง”น้ำเสียงตำหนิจากปากมโนชาไม่ได้ทำให้รัตติกาลรู้สึกผิดเท่าใดนัก

“ไม่เป็นไรหรอก ฉันทำบ่อย แล้วบ้านนั้นก็บ้านเพื่อนเราไง”ถ้อยคำที่เข้าข้างตัวเองนั้นทำให้เพื่อนถึงกับเลิกคิ้วกับความคิดประหลาดอย่างนั้น

“เพื่อน?” มโนชาถามกลับแววตาสื่อถึงความสงสัยเต็มเปี่ยม

“ก็อชิไง อชิตะดาวห้องเราตอนเรียนมัธยมปลาย”

ชื่อนั้นกลับทำให้มโนชาทำหน้าแหยงมากกว่าจะปลาบปลื้มอย่างคนอื่นเป็น “ดาวตกน่ะสิ”

“นี่ยังไม่หายแค้นกันอีกเหรอ ตั้งหลายปีมาแล้วนะ” รัตติกาลทักท้วงคดีความเมื่ออดีตที่มโนชากับอชิตะมีเรื่องกันจนต้องเรียกผู้ปกครอง เป็นที่ร่ำลือกันทั้งโรงเรียน

“ก็ลองโดนสาดน้ำทั้งถัง โดนด่าว่าไม่เจียมดูสิ เธอจะลืมมันได้ไหม”

“ทีฉันด่าเธอแรงๆ เธอยังยกโทษให้ กลับมาเป็นเพื่อนกันได้เลยนะ หวาน” ชื่อเล่นไม่สมตัวของมโนชานั้นกลายเป็นชื่อที่รัตติกาลชอบมาก เพราะมันเหมาะสมกับตัวมโนชามากที่สุด ภายนอกอาจจะดูไม่หวาน เรียบร้อย แต่จริงๆ เธออ่อนโยนและน่ารักมาก

“เอาเถอะ เธอคงไม่ได้เจอเขาเท่าไหร่หรอก ดูเป็นนายแบบฮ็อต เพราะไม่ค่อยเห็นอยู่บ้าน มีวันนี้ที่เห็นอยู่แต่ไม่คิดว่าจะมีแขก”

“เพราะคิดว่าเขาไม่มีแขกสิเนี่ยเลยปีนเข้าไป แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่สมควรไหม ไม่มีผู้หญิงดีๆที่ไหนเขาปีนเข้าบ้านผู้ชายหรอกนะ”

“บ่นจริงแม่คุณ ยังไงก็ไม่มีใครคิดว่าฉันสมองปกติดีอยู่แล้วน่ะ”รัตติกาลกล่าวอย่างปลง ๆ

“เพราะคิดอย่างนี้สิ เลยได้บ้าตามที่ตัวเองคิด แล้วปีนี้เธอจจะไปงานเลี้ยงรุ่นมัธยมไหม”มโนชาถามกลับเมื่อนึกถึงเรื่องสำคัญนี้ได้ รัตติกาลทำทีท่าครุ่นคิดเพียงเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้ารับ

“ไปสิ ปีที่แล้วฉันไม่ได้ไปก็อยากไปบ้าง”

“ที่มาหาก็เพราะอยากชวนไปด้วยกันนี่แหละ ไปสยบข่าวลือ ที่หาว่าเธออยู่โรงพยาบาลได้แล้ว อีกอย่าง...กลับไปเป็นคนเดิมเถอะรัต...อย่าจมกับความกลัวอีกเลย”มโนชาเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงใจ ดวงตาบ่งบอกถึงความห่วงใยเพื่อน

รัตติกาลไม่ได้สนใจเรื่องนั้นหรอก แต่เธอแค่อยากชดเชยความสนุกที่หายไปตอนเด็กๆ ความผูกพันระหว่างเพื่อนที่เธอเคยคิดว่ามันไม่สำคัญ

เธอย้อนเวลากลับคืนไม่ได้อีกแล้ว ทำได้แค่...ทำตอนนี้ให้ดีที่สุดเท่านั้นเอง...



ณิชนิตา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 7 ส.ค. 2557, 17:19:07 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 2 ม.ค. 2558, 07:15:19 น.

จำนวนการเข้าชม : 2713





<< บทนำ   ---ลบ--- >>
บุลินทร 7 ส.ค. 2557, 17:38:00 น.
อ้าววว นึกว่าจะไม่มาซะแล้ว


ณิชนิตา 7 ส.ค. 2557, 18:04:16 น.
ฮ่าๆๆๆ หายไปปีหนึ่ง...กลับมาอีกครั้ง ก๊ากกกก


ใบบัวน่ารัก 7 ส.ค. 2557, 19:57:40 น.
อะ รู้สึกแปลกๆๆ
ต้องไปเปิดไฟก่อน เปิดทีวีด้วย เวลาอ่านเรื่องนี้


พันธุ์แตงกวา 7 ส.ค. 2557, 23:10:01 น.
เรื่องใหม่ๆ มาเจิมจ้า ^^


ณิชนิตา 8 ส.ค. 2557, 08:27:00 น.
อิอิ ขอบคุณค่าพี่แตงกวา

ขอบคุณคุณใบบัวน่ารักด้วยจ้า ^^


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account