พระพรหมดลรัก
คอนิยาย : พระพรหมดลรัก มีอะไรชวนให้น่าติดตามบ้าง

หนึ่งจันทร์ : ไม่มี

คอนิยาย : อ้าว! ตอบแบบนี้แล้วใครจะมาอ่านนิยายคุณ

หนึ่งจันทร์ : ก็มันไม่มีจริงๆ นี่นา กุ๊กกิ๊กก็บางเบา หวานก็เล็กน้อย ดร่าม่าก็ไม่มี บู๊สนั่นหั่นแหลกก็ไม่มี โรมานซ์ก็หาไม่เจอ อภินิหารย์ก็ไม่โผล่ คอมเมดี้ก็ไม่เห็น ปรัชญาก็เขียนไม่เป็น

คอนิยาย : เวรกรรม แล้วนิยายคุณมีอะไรบ้างเนี่ย (คอนิยายเริ่มมีน้ำโห)

หนึ่งจันทร์ : มีความสุขมอบให้แบบไม่มีอะไรเลย 5555

ปล. อย่างที่กล่าวในข้างต้น ใครที่อยากรู้ว่านิยายที่ไม่มีอะไรเลย เป็นอย่างไรก็ต้องทดลองเข้าไปอ่านนะคะ ถ้าอ่านแล้วรู้สึกว่ามันไร้แก่นสารในชีวิตมาก ก็ขออภัยไว้ ณ.ที่นี้ด้วย ^^ ส่วนใครก็ตามที่คิดว่าไหนๆ ก็หลงเข้ามาอ่านแล้วก็ต้องตามอ่านให้จบ ท่านอาจจะค้นพบอะไรมากมายในความที่ไม่มีอะไรเลยก็ได้ (หรือเปล่าหว่า...555)

Tags: หาดใหญ่

ตอน: บทที่ 5

บทที่ 5

ทุกอย่างกระจ่างแล้ว เมื่อเขาได้มาเห็นด้วยตาตัวเอง มิได้เชื่อคำเล่าลือที่ดังไปถึงทางตอนใต้ของประเทศไทย จนเขาต้องดั้นด้นมาถึงที่นี่ เพื่อพิสูจน์ความจริง ภาพหนุ่มสาวที่ออกจากห้องพักพร้อมกันในเวลาเช้าตรู่ของวันใหม่ ท่าทางโอบกอดแนบชิดชนิดที่ใครเห็นก็ต้องเข้าใจเป็นอย่างเดียวกัน แต่สิ่งหนึ่งที่ชายหนุ่มไม่เข้าใจก็คือ เมื่อมัลลิกาพบคนใหม่แล้ว เหตุใดยังติดต่อกับเขาสม่ำเสมอ ทำราวกับว่าเรื่องระหว่างเรายังคงเหมือนเดิม ระยะทางมิได้เป็นอุปสรรคกับความรักของเราเลย เขาจะไม่เสียใจเลยถ้าเธอจะเอ่ยปากบอกกันตรงๆ ว่า ความห่างไกลและความเหงา ทำให้หัวใจของเราห่างกันไปด้วย

ปวเรศมองภาพของคนรักที่อยู่ในอ้อมกอดของคนอื่นเป็นครั้งสุดท้าย หลังจากที่คนทั้งคู่เดินหายลับไปตรงมุมผนังลิฟท์ ชายหนุ่มก้าวออกจากระเบียงที่อยู่ติดกับทางเดินระหว่างห้องพักซ้ายขวา คงไม่ต้องซักถามหาความจริงอะไรกันอีก ทุกอย่างที่ได้รู้ทุกอย่างที่ได้เห็น เพียงพอแล้วที่จะคืนอิสระให้กับเธอและคืนอิสระให้กับหัวใจของตัวเอง เมื่อกลับถึงบ้านเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้จะเป็นเพียงรอยอดีตที่ฝังใจ นับว่าโชคดีที่พ่อสอนให้เขาเป็นคนเข้มแข็งและกล้าเผชิญหน้ากับทุกเรื่องด้วยเหตุผล เขาขอเสียใจแค่วันนี้วันเดียวเท่านั้น แล้ววันพรุ่งนี้เขาก็จะกลับมาเป็นนายปวเรศ โตณณาการ คนเดิม การรอคอยของเขาสิ้นสุดลงสักที ลาก่อนความรักที่ไม่สมหวัง ลาก่อนมัลลิกาผู้หญิงที่สร้างรอยแผลให้กับหัวใจของเขา

หนุ่มใต้พาหัวใจที่อ่อนล้าบินกลับสู่มาตุภูมิในวันรุ่งขึ้น ส่วนความบอบช้ำ ความเจ็บปวดทั้งหลายเขาก็ฝังมันไว้ที่ผืนดินของเมืองจิงโจ้ มิได้พามันติดตัวกลับมาด้วย ปล่อยให้ทุกอย่างมันจบสิ้นที่นั่น เมื่อเขาเหยียบผืนแผ่นดินไทยอีกครั้ง เขาจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ ชีวิตที่ปราศจากคำว่ารอคอย จะมีเพียงแต่ชีวิตที่จะดำเนินไปข้างหน้าอย่างมั่นคงและสวยงาม

เพียงแค่เท้าแตะแผ่นดินบ้านเกิดเมืองนอน คนแรกที่ชายหนุ่มคิดถึงกลับไม่ใช่บุพการี แต่เป็นสาวหน้าหวานที่เขามักจะปรับทุกข์ด้วยเสมอ มือถือถูกเปิดเมื่อเดินออกมายังห้องผู้โดยสารขาเข้าเรียบร้อยแล้ว

“สวัสดีค่ะ” เสียงปลายสายทักทายอย่างนุ่มนวล ทำให้ปวเรศยิ้มได้อีกนิด

“สะดวกคุยหรือเปล่าครับคุณครูกุ้งนาง”

“คุณคิวท์อยู่ที่ไหนคะ” สุพิชญาถามด้วยความแปลกใจ เวลานี้ไม่น่าเป็นเวลาที่ชายหนุ่มโทรหาเธอ โดยเฉพาะหากเขาอยู่ต่างประเทศกับคนรัก

“สนามบินครับ” คำตอบของเขายิ่งพาให้หญิงสาวฉงน...สนามบินไหนล่ะ สนามบินที่ออสเตรเลีย หรือสนามบินสุวรรณภูมิ หรือสนามบินหาดใหญ่

“มีอะไรให้กุ้งนางช่วยหรือเปล่าคะ” เมื่อไม่กล้าถามถึงสถานที่เจาะจงกับเขา สุพิชญาจึงเลือกใช้คำถามพื้นๆ ต่อไป

“ช่วยมารับพี่ที่สนามบินได้หรือเปล่าล่ะครับ” ชายหนุ่มถามไปอย่างนั้นเอง เพราะขณะนี้เขาติดต่อรถโดยสารที่ให้บริการเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่กำลังคิดว่าจะตรงกลับบ้านเลย หรือจะแวะพบหญิงสาวก่อน

“อย่าบอกนะคะว่าคุณคิวท์กลับจากออสเตรเลียแล้ว” เป็นอีกครั้งที่หญิงสาวถามอย่างแปลกใจ

“กุ้งนางรู้ได้ยังไงครับว่าพี่ไปออสเตรเลีย” ปวเรศฉงนในคำถามนั้นเช่นกัน

“คือกุ้งนางเพิ่งพาเพื่อนไปเลี้ยงส่งที่ร้านคุณคิวท์ค่ะ ก็เลยทราบจากลุงสุนว่าคุณคิวท์บินไปออสเตรเลีย สรุปว่าคุณคิวท์อยู่ที่ไหนคะ”

“สนามบินหาดใหญ่ครับ ตกลงว่ามารับพี่ได้หรือเปล่า” ชายหนุ่มแกล้งถามอีกครั้ง

“ได้ค่ะ คุณคิวท์หามุมหลบระเบิดดีๆ นะคะ กว่ากุ้งนางจะไปถึงก็ประมาณครึ่งชั่วโมง” เป็นการพูดเล่นที่เธอไม่อยากให้เกิดขึ้นจริงๆ ความโกลาหลในคืนนั้นเธอยังจำได้ติดตา และไม่อยากเห็นมันเกิดขึ้นอีกครั้ง

“ถ้าอย่างนั้นพี่ไม่รอรับลูกระเบิดดีกว่า ว่าแต่กุ้งนางพอมีเวลาว่างสักชั่วโมงสองชั่วโมงหรือเปล่าครับ พี่จะแวะไปหาก่อนกลับบ้าน” ชายหนุ่มได้จังหวะเอ่ยถาม

“ได้ค่ะ กุ้งนางรอที่ร้านเดิมนะคะ” ร้านเดิมที่ว่าก็คือร้านอาหารชื่อดังที่มีสาขาอยู่ทั่วประเทศ และอยู่ในห้างสรรพสินค้าท้องถิ่นชื่อดังที่อยู่คู่เมืองหาดใหญ่มานาน ซึ่งใกล้บ้านของเธอ

“ครับ ขอบคุณครับ” จากนั้นสองหนุ่มสาวก็คุยกันอีกสองสามประโยคก็วางสาย คนหนึ่งก็ออกเดินทางมายังตัวเมืองหาดใหญ่ อีกคนก็เตรียมตัวจะไปพบกับคนที่เพิ่งนัดสดๆ ร้อนๆ


วันนี้เป็นวันหยุดทำให้ห้างแห่งนี้มีผู้มาใช้บริการค่อนข้างมาก ร้านอาหารที่เธอนัดแนะกับปวเรศก็เช่นเดียวกัน หญิงสาวจึงมองหาโต๊ะว่างก่อนจะเดินเข้าไปจับจอง สั่งของว่างมาสองสามอย่างระหว่างรอ ไม่รู้ว่าวันนี้เขามีเรื่องราวอะไรมาเล่าให้เธอฟังนะ ถ้าเป็นเรื่องความสุขระหว่างเขากับมัลลิกา มันก็คงเป็นความทุกข์ในหัวใจของเธอ ‘รักเขาข้างเดียวข้าวเหนียวนึ่ง’ ก็ต้องทำใจอย่างเดียว โชคดีที่เธอเชื่อว่าความรักไม่ใช่การแก่งแย่ง ไม่อย่างนั้นเธอคงทำตัวเป็นมือที่สาม ทำตัวเป็นผู้หญิงไร้ศักดิ์ศรี ใช้ระยะทางและเวลาเป็นเครื่องมือแทรกแซงความรักของคนทั้งสอง แม้แต่ภาวนาให้ทั้งสองคนเลิกรากันเธอก็ไม่เคยทำ มีแต่เก็บความสุขเล็กๆ น้อยๆ ที่ได้จากการทำกิจกรรมยามว่างร่วมกันเท่านั้น

“สวัสดีอีกครั้งครับคุณครูพี่กุ้งนาง” เสียงทุ้มนุ่มแฝงไปด้วยความความเศร้าเล็กน้อย ทำให้การหยอกล้อในวันนี้ให้ความรู้สึกไม่เหมือนเดิม คนที่ตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเองลุกขึ้นยืนต้อนรับ พร้อมกับจ้องไปที่ดวงตาคม แต่กลับไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ

“สวัสดีค่ะอาจารย์ปวเรศ” รอยยิ้มหวานๆ ของสุพิชญา ทำให้ชายหนุ่มกระตุกมุมปากขึ้นเล็กน้อย วางกระเป๋าเดินทางใบไม่ใหญ่นักไว้ข้างเก้าอี้และเชื้อเชิญให้หญิงสาวนั่งลงอีกครั้ง

“ขอโทษนะครับที่รบกวนเวลาในวันหยุดแบบนี้”

“ไม่เป็นไรค่ะ กุ้งนางไม่มีธุระอะไรที่ไหน การเดินทางเป็นไงบ้างคะ” สุพิชญายิ้มให้เขาอีกครั้ง

“ก็เรียบร้อยดีครับ รู้สึกเหนื่อยนิดหน่อย” ก็จะไม่ให้เหนื่อยได้อย่างไร เดินทางไปถึงยังไม่ทันได้พักให้หายเหนื่อยเขาก็ตัดสินใจเดินทางกลับ ไม่ได้ท่องเที่ยวออสเตรเลียอย่างที่คิดเอาไว้

“คุณม่านสบายดีใช่ไหมคะ” สีหน้าของชายหนุ่มเปลี่ยนไปเล็กน้อยก่อนจะปรับให้เป็นปกติ

“ครับ สบายทั้งกาย สบายทั้งใจ เขาคงมีความสุขมากที่สุดนั่นแหละครับ” คำตอบของเขาทำให้คิ้วเรียวสวยขมวดเป็นปม มันเป็นประโยคพื้นๆ ที่แฝงด้วยอะไรบางอย่างที่ไม่ปกติ

“เอ่อ...แล้วทำไมรีบกลับล่ะคะ ลุงสุนบอกว่าคุณคิวท์จะไปสิบวัน คุณม่านไม่ว่างพาเที่ยวหรือคะ”

“ครับ” คำตอบของเขาทำให้สุพิชญาไม่กล้าถามต่อ จึงเลือกที่จะเงียบและรอ ทุกครั้งที่เขาต้องการศิราณีอย่างเธอ เธอไม่เคยรุกเขาเลยสักครั้ง มีแต่นั่งรอจนเขาพร้อมที่จะเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้ฟัง และระหว่างรอเธอก็หันไปเรียกบริกรสั่งเครื่องดื่มให้กับชายหนุ่ม

“พี่ตัดสินใจเลิกกับม่าน” ช้อนเล็กที่กำลังตักเค้กชิ้นพอดีคำเข้าปากชะงัก ดวงตาสวยเหลือบขึ้นสบกับดวงตาคม มองอย่างแปลกใจ

“เกิดอะไรขึ้นคะ” ปวเรศเล่าถึงเหตุการณ์ที่ตนไปประสบมา อย่างไม่คิดจะปิดบัง แม้ว่าความเสียใจจะไม่ได้ถาโถมเหมือนในเวลานั้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่รู้สึกอะไรเลย เขายังรู้สึกเจ็บจี๊ดๆตรงหัวใจ รู้สึกว่าตัวเองโง่ รู้สึกว่าตัวเองถูกปั่นหัว ถูกหลอกให้รอ และถูกหักหลังอย่างเลือดเย็น

“อาจจะเป็นการเข้าใจผิดก็ได้นะคะ ทำไมคุณคิวท์ไม่คุยกับคุณม่านก่อนล่ะคะ ถ้าเรื่องมันไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด คุณทั้งสองคนจะสูญเสียเวลาที่มีให้กันอย่างไม่มีวันหวนกลับไปแก้ไขอะไรได้แล้วนะคะ” สุพิชญาไม่เข้าใจว่าทำไมปวเรศไม่สอบถามแฟนสาวให้รู้เรื่องกันไป

“พี่กลัวว่าจะไม่เหลือความรู้สึกดีๆ ให้กับม่านเลยมั้ง และพี่เป็นผู้ชายนะกุ้งนาง ทำไมพี่จะมองไม่ออกว่าสองคนนั้นเป็นแค่เพื่อนหรือคนรัก” เช้าวันนั้นเขาตั้งใจไปหามัลลิกาโดยไม่มีการแจ้งล่วงหน้า ไม่ใช่ว่าจะไปจับผิด แต่เขาอยากพิสูจน์ว่าสิ่งที่เพื่อนเขาบังเอิญมาพบเห็นมันเป็นความจริงหรือไม่เท่านั้น ถ้าจริงเขาควรทำอย่างไรต่อไป ถ้าไม่จริงเขาก็จะได้ไม่ต้องหวาดระแวงหรือกังวลใจใดๆ อีก

ใครจะคิดแค่ยืนอยู่หน้าห้อง กำลังจะเคาะประตูเรียกแฟนสาว ก็มีเสียงก๊อกแก๊กดังจากด้านใน ในเวลานั้นเขาก็ไม่แน่ใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องรีบหลบไปที่ระเบียง ทำไมไม่ยืนรอตรงหน้าห้องให้มันรู้ดำรู้แดงกันไปเลย อาจเป็นเพราะความกล้าของเขายังมีไม่มากพอกระมัง

“แต่กุ้งนางว่ามันไม่ยุติธรรมกับคุณม่านนะคะ ทำไมคุณคิวท์ไม่ให้โอกาสคุณม่านได้อธิบายล่ะค่ะ เรื่องมันอาจจะไม่มีอะไรเลยก็ได้” สุพิชญาก็ยังไม่เห็นด้วยกับการกระทำของชายหนุ่ม หากแฟนสาวของเขาไม่ได้นอกใจเขาจริงๆ ล่ะ มัลลิกาเป็นผู้บริสุทธิ์ที่จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบเหตุการณ์ครั้งนี้อย่างนั้นหรือ

“พี่ไม่ได้ไปออสเตรเลียอย่างไม่รู้เรื่องอะไรเลยนะกุ้งนาง”

“หมายความว่ายังไงคะ”

“ก็หมายความว่า ถ้าไม่มีมูลหมามันก็ไม่ขี้น่ะสิครับ กุ้งนางอาจจะคิดว่าพี่ตั้งใจไปเยี่ยมหาม่านด้วยความคิดถึงหรืออะไรก็ตาม จริงๆ แล้วมันไม่ใช่ครับ สาเหตุที่พี่ไปก็เพราะเพื่อนพี่ไปพบม่านกับผู้ชายคนนั้นโดยบังเอิญ เห็นท่าทางสนิทสนมกันเกินพอดีไปหน่อย เขาก็เลยมาเตือนพี่น่ะ พี่ก็ไม่อยากเชื่อคำใครก็เลยตัดสินใจไปพิสูจน์ด้วยตัวเอง ไปให้เห็นกับตาจะตัดสินทุกอย่างด้วยตัวเอง หากเกิดความผิดพลาดอะไรขึ้นมาจะได้ไม่ต้องโยนความผิดให้กับใคร” ชายหนุ่มอธิบายถึงสาเหตุของการเดินทางอย่างกะทันหันของตน

“ในเมื่อคุณคิวท์ตั้งใจจะไปพิสูจน์ แล้วทำไมไม่ทำอะไรให้มันกระจ่างกว่านี้ล่ะค่ะ โอเค! เรื่องเห็นกับตากุ้งนางไม่เถียง แล้วได้ยินกับหูหรือยังคะ”

“พี่กลัวม่านโกหกมั้ง กลัวม่านจะไม่ยอมรับความจริง กลัวม่านปฏิเสธและหลอกใช้ความเชื่อใจของพี่อีกครั้ง แต่กุ้งนางไม่ต้องห่วงหรอกนะ ถ้าม่านเขายังซื่อสัตย์กับพี่ เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์เอง” ใช้เวลาไม่นานหรอก ทุกอย่างมันก็จะคลี่คลาย อาจารย์หนุ่มคิดเช่นนั้นจริงๆ

“เจ็บมากไหมคะ” สุพิชญาเอื้อมมือเรียวไปตบบนมือใหญ่ที่วางอยู่บนโต๊ะเบาๆ ราวกับต้องการปลอบใจและแบ่งเบาความทุกข์ ตัวเธอน่าจะดีใจที่เหตุการณ์เป็นไปในรูปแบบนี้ เพราะมันเป็นโอกาสที่ดีสำหรับเธอ แต่ทำไมเธอไม่รู้สึกดีใจเลย กลับทุกข์ไปกับเขาด้วยซ้ำ

“ไม่มากเท่าวันที่เห็นครับ พี่ทิ้งความบอบช้ำและความเจ็บปวดไว้ที่นั่นหมดแล้ว” ปวเรศตบไปที่มือเล็กที่วางอยู่บนมือของเขาด้วยความขอบคุณ

“โกหก” สุพิชญากล่าวหาชายหนุ่มยิ้มๆ

“ครับโกหก” ปวเรศเปิดยิ้มมากขึ้น รับข้อกล่าวหาแต่โดยดี ไม่คิดเลยว่าการได้ระบายมันจะทำให้เขารู้สึกดีขึ้นมากจริงๆ

“อยากดื่มไหมคะ กุ้งนางจะนั่งเป็นเพื่อน”

“ไม่ครับ การดื่มไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ดี มีแต่จะสร้างปัญหาให้เพิ่มมากขึ้น”

“เก่ง” สุพิชญายกนิ้วโป้งชูให้ชายหนุ่ม เปิดยิ้มกว้าง เธอคิดว่าไม่ควรสร้างบรรยากาศที่พาให้เกิดความทุกข์มากไปกว่านี้ เวลานี้มันเป็นเวลาของการสร้างกำลังใจมากกว่า ไม่ว่าชายหรือหญิง หากต้องเจ็บปวดด้วยเรื่องของความรัก มันก็มีสภาพไม่ต่างกันนักหรอก

“อยู่แล้ว” ปวเรศเกทับหญิงสาว ทำให้สุพิชญาหัวเราะออกมาเบาๆ

“ชีวิตขาดความหวานแล้ว เติมความหวานสักหน่อยนะคะ” คุณครูพี่กุ้งนางของน้องๆ ยกเค้กของตัวเองให้กับชายหนุ่ม แม้มันจะถูกตัดออกมาเป็นชิ้นเล็กๆ ชิ้นหนึ่งแล้ว แต่เธอก็ยังไม่ได้ทานมันเลย

“ขอบคุณครับ” ปวเรศก็รับจานเค้กนั้นมาด้วยความเต็มใจ ไม่มีทีท่ารังเกียจแต่อย่างไร วันเลวร้าย หากมีเพื่อนคอยปลอบใจสักคน มันรู้สึกดีอย่างนี้นี่เอง


ปวเรศกลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้โดยไม่ใช่เรื่องยากนัก เพราะรอบตัวเขารายล้อมไปด้วยคนที่รักและหวังดี ไม่ว่าจะเป็นบุพการีทั้งสองคน น้องๆ ในร้าน รวมถึงก๊วนเพื่อนที่ไม่เคยทิ้งกัน และสี่สาวลูกค้าประจำของบิดามารดา เมื่อเวลาผ่านไปชายหนุ่มก็เริ่มมั่นใจในความเปลี่ยนแปลงระหว่างเขากับแฟนสาว ส่วนหนึ่งอาจจะเกิดจากตัวเองที่ไม่ได้ติดต่อมัลลิกาอย่างสม่ำเสมอเช่นแต่ก่อน ส่วนหญิงสาวก็ส่งข่าวคราวทิ้งระยะห่างออกไปเรื่อยๆ จนในที่สุดก็หายเข้ากลีบเมฆ เวลาแค่สามเดือนเท่านั้นทุกอย่างก็จบบริบูรณ์
ความรักและความห่วงใยจากใครบางคนหายไป แต่ความหวังดีและกำลังใจจากใครอีกคนถูกส่งมาให้ทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นข้อความหรือเสียงหวานๆ ที่มักจะได้ยินเสมอในยามที่เขาต้องการ ทั้งคนให้และคนได้รับไม่อาจรู้เลยว่าความรู้สึกบางอย่างได้หยั่งรากลงบนหัวใจที่อ่อนล้าลึกลงไปเรื่อยๆ พร้อมที่จะสร้างรากฐานที่มั่นคงและยากที่จะขุดรากถอนโคนได้ง่ายๆ

“สวัสดีค่ะพี่คิวท์ ค่ำนี้มาหาดใหญ่ได้ไหมคะ” เสียงใสของหนึ่งในลูกค้าคนสำคัญของร้านทะเลนี้มีรักดังขึ้นหลังจากที่เขากดปุ่มรับสาย

“ฉลองอะไรกันอีกล่ะ” ถ้าได้ยินเสียงกมลทิพย์ มีเรื่องเดียวเลย ฉลองวาระนั่น วาระนี่ แม้แต่วาระอยากเจอพี่คิวท์ก็ยังมี

“วันนี้วันเกิดกุ้งนางค่ะ” นี่เป็นปีแรกที่สามสาวเพื่อนซี้ของสุพิชญายอมควักกระเป๋าเลี้ยงฉลองวันเกิดให้เพื่อน เพราะมีแผนการบางอย่างที่อยากทำให้สำเร็จ โดยเฉพาะเธอที่ลุ้นมาตั้งแต่แรก ตอนนี้โอกาสเปิดให้แล้ว ไม่มีทางที่คนอย่างกมลทิพย์จะพลาด

“หือ?”

“จริงค่ะ เจอกันที่ร้านยายนานะคะ ทิพย์นัดทุกคนไว้หมดแล้ว” กมลทิพย์เลือกร้านอาหารของเพื่อนรักอีกคน เพื่อที่จะได้ฉลองกันได้อย่างเต็มที่ และซารีนาจะได้ทานอาหารได้อย่างสะดวกใจ

“วันเกิดกุ้งนาง แล้วทำไมกุ้งนางไม่โทรมาชวนพี่เองล่ะ” ปวเรศถามอย่างสงสัย

“พวกทิพย์ตั้งใจเซอร์ไพร์สยายกุ้งนางน่ะค่ะ เจ้าตัวไม่รู้หรอกว่าทิพย์เชิญใครบ้าง รู้แต่พวกเรานัดกินข้าวกันที่ร้านยายนา แต่ถ้าพี่คิวท์ไม่ว่างก็ไม่เป็นไรนะคะ” ปลายเสียงของกมลส่อแววน้อยใจเต็มที่

“ตอนเย็นพี่นัดนักศึกษาเอาไว้ด้วย ไม่รู้จะเสร็จธุระกี่โมง” นี่ล่ะปัญหาหลักของการไม่ได้นัดล่วงหน้า

“เหรอคะ” กมลทิพย์ถามเสียงอ่อยแผนล้มตั้งแต่ต้นเลยหรือนี่ “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เป็นไรค่ะ กุ้งนางคงเข้าใจ”

“เสร็จธุระแล้วพี่จะโทรหาอีกทีแล้วกันนะ” เพราะใจก็อยากไปอวยพรวันเกิดให้กับหญิงสาวเหมือนกัน ทำให้เขาไม่อยากปฏิเสธคำเชิญของกมลทิพย์

“ค่ะ ทิพย์ไม่กวนเวลาราชการของพี่คิวท์แล้วนะคะ สวัสดีค่ะ” บอกลาลูกชายลุงสุนเรียบร้อยแล้ว กมลทิพย์ก็วางสายอย่างเซ็งๆ อะไรก็ไม่ได้อย่างใจเลย...เซ็งโว้ย!


สามทุ่มกว่าแล้ว ปวเรศก็ยังไม่ปรากฏกายให้เห็น คนที่เศร้าและผิดหวังไม่ได้มีเพียงแค่กมลทิพย์เท่านั้น คนที่เก็บความรู้สึกเก่งเป็นเยี่ยม หัวใจก็เหี่ยวเฉาไปไม่น้อย เพราะเพื่อนของชายหนุ่มมากันครบทุกคน ไม่ว่าจะเป็นอนุศักดิ์ ประเสริฐ สราวุธ และธีรดล จริงๆ ก็ไม่ควรตั้งความหวังว่าเขาจะมา ในเมื่อเธอไม่ใช่คนสำคัญสักหน่อยก็แค่เพื่อนรุ่นน้องที่บังเอิญได้มารู้จักและสนิทสนมกันก็เท่านั้น

ทุกคนก็อิ่มกันหมดแล้ว คุยกันจนไม่มีเรื่องจะคุยแล้วด้วยซ้ำ เมื่อเห็นเช่นนั้น สุพิชญาจึงคิดว่างานเลี้ยงวันนี้ได้เวลาเลิกลากันเสียที ทุกคนจะได้กลับไปพักผ่อน เพราะพรุ่งนี้ต่างยังต้องทำงานกันอีก

“แยกย้ายกันเถอะทิพย์ เกรงใจป๊ะกับมะ” สุพิชญากระซิบบอกเพื่อน

“เพิ่งสามทุ่มกว่าเอง จะรีบกลับไปไหนยายกุ้งนาง” กมลทิพย์รั้งเพื่อนเอาไว้เต็มที่ แม้ว่าความหวังของตัวเองจะเลือนลางลงทุกที
“แต่เรานั่งกันตั้งแต่หกโมงเย็นแล้วนะ” เจ้าของวันเกิดแย้งเพื่อนอีกครั้ง แทนที่บิดามารดาของซารีนาจะมีโต๊ะไว้รองรับลูกค้าเพิ่มอีกหนึ่งโต๊ะในช่วงเวลาหลายชั่วโมงที่ผ่านมา

“ก็ได้” กมลทิพย์ยอมแบบไม่เต็มใจนัก แต่การแยกย้ายกันตอนนี้ก็ถือเป็นมารยาทที่ควรกระทำด้วย

“กุ้งนางขอบคุณพี่โอ๋ พี่เสริฐ พี่โป้ง พี่หนุ่มมากนะคะ สำหรับของขวัญ” สุพิชญาหันไปบอกรุ่นพี่หนุ่มที่ยังเจียดเวลาหาของขวัญให้เธอจนได้

“พี่ก็ต้องขอบคุณกุ้งนางเหมือนกันที่ทำให้พวกพี่ได้กินของฟรี” สราวุธบอกรุ่นน้องสาวอย่างอารมณ์ดี

“โห! พูดแบบนี้น่าจะให้หารค่าอาหารนะเนี่ย” พวงเพชรพูดขึ้นด้วยความหมั่นไส้

“ใสเจีย เสียใจด้วยครับน้องเพชร เพราะพี่เอาตังค์ไปซื้อของขวัญให้กุ้งนางหมดแล้ว” ชายหนุ่มยังหยอกล้อกับรุ่นน้องสาวต่อไปอีก

“พี่ๆ จะไปต่อที่ไหนก็เชิญเลยนะคะ เอ่อ...กุ้งนางไม่ได้ไล่นะ แต่เห็นว่ามันสามทุ่มกว่าแล้ว เราน่าจะสลายตัวกันได้แล้ว” เจ้าของวันเกิดบอกผู้มาร่วมงานอย่างเกรงใจ

“อ้าว! ไม่รอนายคิวท์แล้วเหรอ” ประเสริฐถามขึ้น

“พี่คิวท์คงยังไม่เสร็จธุระมั้งคะ อีกอย่างป่านนี้แล้วคงไม่มาแล้วล่ะ” กมลทิพย์เป็นคนตอบคำถาม

“นั่นสิ ถึงมันเสร็จธุระแล้ว ดูเวลาก็คงคิดว่าเราอิ่มกันเรียบร้อยแล้วล่ะ มาตอนงานเลี้ยงเลิก เจ้าภาพก็กร่อยกันพอดี” ธีรดลออกความคิดเห็นบ้าง

“ไม่ต้องเป็นห่วงมันหรอก ถ้ามันมาพวกพี่พามันไปหาข้าวกินเอง สาวๆ กลับบ้านเลยก็ดี” อนุศักดิ์ตัดสินใจแทนทุกคน

“นาเคลียร์ค่าอาหารไว้นะ พรุ่งนี้ฉันกับยายเพชรค่อยมาจัดการให้เรียบร้อย” เมื่อได้ข้อสรุปกมลทิพย์ก็หันไปบอกกับลูกสาวเจ้าของร้าน

“ได้ไม่มีปัญหา”

“ถ้างั้นพวกพี่ก็ขอตัวเลยก็แล้วกันนะ ขี่รถกลับบ้านกันดีๆ ล่ะ” ประเสริฐเป็นตัวแทนกลุ่มเพื่อนบอกลาสี่สาว รวมถึงแสดงความห่วงใยสามสาวที่ต้องเดินทางกลับบ้านด้วยพาหนะสองล้อ เมื่องานเลี้ยงเลิกรา หนุ่มๆ สาวๆ ก็เดินเข้าไปลาเจ้าของสถานที่ก่อนจะแยกย้ายกันไป

ระหว่างที่เพื่อนซี้ทั้งสี่กำลังร่ำลากันอีกครั้งตรงบริเวณหน้าร้าน เสียงหอบของใครบางคนก็ดังขึ้นจากนอกวงสนทนา เสียงคุ้นๆ ชื่อคนที่ถูกเรียกก็คุ้นๆ ไม่ใช่ใครที่ไหนเจ้าของวันเกิดในวันนี้นี่เอง ทั้งหมดหันไปตามเสียงเรียก แล้วบุคคลที่ทุกคนรอคอยก็มาถึง

“คุณคิวท์/พี่คิวท์” สี่สาวเรียกชื่อเขาด้วยความคาดไม่ถึง

“โห! มาถึงเอาวินาทีสุดท้ายเลยหรือคะ แต่ก็ไม่ทันกินแล้วค่ะ” กมลทิพย์ค้อนใส่ชายหนุ่ม ที่ทำให้แผนของเธอพังยับเยิน

“ยายทิพย์” สุพิชญาปรามเพื่อน

“ทานข้าวหรือยังคะพี่คิวท์” พวงเพชรถาม

“ยังครับ เสร็จธุระแล้วพี่ก็รีบมาเลย” ปวเรศตอบตามตรง

“อ้าว! เอาไงดีล่ะทีนี้” ซารีนาเปรยขึ้นอย่างต้องการถามความเห็นทุกคนในกลุ่มมากกว่าจะคิดอะไรไม่ออกจริงๆ

“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวพี่หาทานแถวนี้ก็ได้ นี่ตั้งใจจะมาอวยพรวันเกิดให้กุ้งนางเท่านั้นเอง” เมื่อเห็นสีหน้าลำบากใจของรุ่นน้องสาวเจ้าของร้านอาหาร ปวเรศก็รีบแจงถึงเหตุที่ตนต้องวิ่งมาจนเหนื่อยหอบ เพราะต้องนำรถยนต์ไปจอดที่ลานจอดรถของโรงแรมแห่งหนึ่งใจกลางเมืองหาดใหญ่ ซึ่งห่างจากร้านของซารีนาพอสมควร

“เอาอย่างนี้ก็แล้วกันค่ะ ทิพย์จะให้กุ้งนางไปทานเป็นเพื่อน แต่พี่คิวท์ต้องไปส่งยายกุ้งนางถึงบ้านด้วยนะคะ” แผนการถูกขุดขึ้นมาใช้อีกครั้ง ท่าทางจะเวิร์กว่าแผนเดิมเสียด้วย เพราะไม่มีก้างขวางคออย่างพวกเธอ

“ก็ดีเหมือนกันนะ” ซารีนารีบหนุนความคิดของเพื่อน

“แต่ฉันว่าไม่ดีมั้ง รบกวนคุณคิวท์เปล่าๆ” สุพิชญารู้สึกเกรงใจชายหนุ่มมาก เขารีบมาก็เพราะเธอ แล้วยังต้องไปส่งเธอที่บ้านอีก

“แบบนี้ล่ะดีแล้ว เธอเป็นเจ้าของวันเกิดนะ จะปล่อยให้แขกไปกินข้าวคนเดียวได้ยังไง แล้วพี่คิวท์น่ะอุตส่าห์ขับรถมาตั้งไกลเพื่ออวยพรวันเกิดให้เธอ เธอจะใจดำปล่อยให้พี่คิวท์ไปหาข้าวกินคนเดียวเหรอ” กมลทิพย์อ้างโน่นอ้างนี้ไปเรื่อยเพื่อไม่ให้เพื่อนปฏิเสธ

“ไม่เป็นไรหรอกทิพย์ มืดแล้วให้กุ้งนางกลับบ้านดีกว่า พี่หาอะไรง่ายๆ ทานเสร็จก็จะกลับเลยเหมือนกัน” ชายหนุ่มซึ่งไม่อยากให้เจ้าของวันเกิดลำบากใจหันไปบอกกับคนที่โทรไปเชิญเขามา

“ถ้าเป็นแบบนั้นทิพย์ว่าพี่คิวท์กลับไปกินข้าวบ้านเลยดีกว่า จะเสียเวลาหาข้าวแถวนี้กินทำไม” กมลทิพย์ค้อนใส่ชายหนุ่มอีกครั้งที่ไม่ยอมตกหลุมที่เธอขุดเอาไว้ให้สักที

“กุ้งนางไปเป็นเพื่อนพี่คิวท์หน่อยก็แล้วกัน ยืนเถียงกันตรงนี้ก็ไม่มีทางจบ อย่างที่ยายทิพย์บอกนั่นแหละ พี่คิวท์อุตส่าห์รีบมา เธอก็ทำหน้าที่เจ้าบ้านที่ดีหน่อยสิ” พวงเพชรหาข้อสรุป ขืนยังยืนคุยกับแบบนี้เที่ยงคืนก็ไม่ได้กลับ

“งั้นก็ตามนี้ แยกย้าย” ซารีนาฟังธงอีกครั้ง เพื่อไม่ให้เจ้าของวันเกิดเรื่องมากอีก

“ว่าไงครับกุ้งนาง” ปวเรศถามความเห็นคนที่จะต้องไปกับเขาก่อน

“ไม่มีปัญหาค่ะ” สุพิชญายิ้มรับ เพราะคิดไปคิดมา การปล่อยเขาไปกินข้าวคนเดียวก็ใจร้ายไม่ใช่เล่น ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วเก็บความสุขค่ำคืนนี้ไว้ดีกว่า

“ถ้างั้นทิพย์กับเพชรกลับก่อนนะคะพี่คิวท์ ขอให้ทานอาหารอย่างมีความสุขนะคะ” กมลทิพย์โบกมือลา พร้อมกับฉุดมือพวงเพชรให้เดินตาม ส่วนซารีนาก็หันไปลาชายหนุ่มแล้วเดินกลับเข้าร้านไปเช่นเดียวกัน

“อยากทานอะไรคะ”

“อะไรก็ได้ครับ หิวจนไส้จะขาดแล้วครับ” ปวเรศลูบท้องตัวเองเป็นการบอก สุดท้ายสองหนุ่มสาวก็เลือกร้านข้าวมันไก่ที่ขายอยู่หน้าห้างสรรพสินค้า ซึ่งก็เดินถัดจากร้านอาหารของซารีนาไปไม่ไกล หลังจากสั่งข้าวและเครื่องดื่มเรียบร้อยแล้ว สุพิชญาก็เป็นคนเปิดบทสนทนา

“จริงๆ คุณคิวท์ไม่ต้องมาก็ได้นะคะ เหนื่อยจากงานแล้วยังต้องเหนื่อยขับรถมาอีก ถ้าเกิดอะไรขึ้นกุ้งนางคงรู้สึกผิดและรับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ไหวนะคะ” สุพิชญาบอกเสียงอ่อน เพราะไม่อยากสร้างความลำบากให้กับใคร

“วันนี้วันคล้ายวันเกิดนะครับ ต้องยิ้มสิ ไม่ใช่ทำหน้าหมองแบบนี้ แล้วพี่ตั้งใจมาไม่ได้โดนบังคับให้มา แต่ที่มาสายเพราะพี่รู้ช้าไปนิดเลยนัดนักศึกษาเอาไว้แล้ว เข้าใจไหมครับ” ชายหนุ่มอธิบายให้อีกฝ่ายเข้าใจถึงเจตนาที่แท้จริงของตัวเอง

“ขอบคุณค่ะ” เมื่อรู้ว่าเขาตั้งใจมารอยยิ้มพิมพ์ใจก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของสุพิชญา ดวงตากลมโตส่องประกายเจิดจ้ายิ่งกว่าแสงดาราบนฟากฟ้าเสียอีก

กุหลาบแดงถูกจรดที่ปลายจมูกอีกครั้ง รอยยิ้มแต่งแต้มบนใบหน้าไม่จาง เวลาแค่หนึ่งชั่วโมงของการเดินย่อยอาหาร ไม่คิดว่ามันจะให้ความรู้สึกสุขจนล้นใจแบบนี้ ไม่เคยคิดเลยว่าจะมีโอกาสได้เดินเที่ยวกับคนที่แอบรักตามลำพัง ในบรรยากาศสบายๆ ยามค่ำคืนของเมืองหาดใหญ่

ต่างหูคือสิ่งต่อไปที่มือเรียวเล็กหยิบขึ้นมาชื่นชม มันเป็นของขวัญราคาถูกก็จริง แต่มีคุณค่าทางจิตใจมากที่สุดชิ้นหนึ่ง เมื่อนึกถึงตอนที่ได้มันมา รอยยิ้มก็กว้างขึ้นอีกเท่าตัว ผู้ชายหน้าตาดีไปยืนเลือกต่างหูด้วยท่าทีขวนเขินเล็กน้อย กว่าจะได้ของชิ้นนี้ เธอเห็นเขาเลือกอยู่นาน ในใจตอนนั้นได้แต่คิดว่าใครจะเป็นผู้โชคดีได้รับของกำนัลชิ้นนี้จากเขา ไม่คิดเลยว่าผู้โชคดีคนนั้นคือ ตัวเอง เพราะในขณะที่เขากำลังทานข้าวมันไก่ มีเด็กหญิงตัวเล็กคนหนึ่งถือตะกร้ากุหลาบเดินเข้ามา เรียกร้องให้เขาซื้อดอกกุหลาบให้กับเธอ ปวเรศมองหน้าเธอนิดหนึ่ง ก่อนจะเลือกกุหลาบจากตะกร้าของเด็กน้อย แล้วยื่นให้กับเธอพร้อมกับพูดว่า ‘สุขสันต์วันเกิดครับกุ้งนาง’ จากนั้นก็ขอโทษขอโพยที่ไม่มีเวลาซื้อของขวัญวันเกิดให้ ซึ่งเธออยากจะบอกเขาเหลือเกินว่า แค่เขามาดั้นด้นมาอวยพรวันเกิดให้กับเธอทั้งๆ ที่ไม่ว่าง มันก็เป็นของขวัญชิ้นพิเศษสุดแล้ว

ปี๊บ..ปี๊บ...สัญญาณข้อความเข้าจากมือถือ ทำให้สุพิชญารีบเปิดข้อความดู...‘สุขสันต์วันเกิดอีกครั้งนะครับ ฝันดี/คิวท์’ แค่นี้เธอก็รู้แล้วว่าเขาถึงบ้านอย่างปลอดภัย หญิงสาวส่งข้อความไปขอบคุณและอวยพรให้เขาหลับฝันดีด้วยเช่นกัน และเธอก็มั่นใจว่าคืนนี้เธอต้องหลับฝันดีอย่างแน่นอน


สรุปว่า อกหักทั้งคู่...อิอิ ที่นี้ก็มาลุ้นคนอกหักกับคนแอบรักกันนะคะ ^^



หนึ่งจันทร์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 8 ส.ค. 2557, 10:26:43 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 8 ส.ค. 2557, 10:26:59 น.

จำนวนการเข้าชม : 1285





<< บทที่ 4   บทที่ 6 (ลบแล้วค่ะ) >>
ร้อยวจี 8 ส.ค. 2557, 16:32:48 น.
อ่านง่าย เนื้อเรื่องสบายๆ ดีค่ะ ไม่เครียดดี


แว่นใส 8 ส.ค. 2557, 19:22:21 น.
หวังว่าจะเป็นไปตามแผนนะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account