พระพรหมดลรัก
คอนิยาย : พระพรหมดลรัก มีอะไรชวนให้น่าติดตามบ้าง

หนึ่งจันทร์ : ไม่มี

คอนิยาย : อ้าว! ตอบแบบนี้แล้วใครจะมาอ่านนิยายคุณ

หนึ่งจันทร์ : ก็มันไม่มีจริงๆ นี่นา กุ๊กกิ๊กก็บางเบา หวานก็เล็กน้อย ดร่าม่าก็ไม่มี บู๊สนั่นหั่นแหลกก็ไม่มี โรมานซ์ก็หาไม่เจอ อภินิหารย์ก็ไม่โผล่ คอมเมดี้ก็ไม่เห็น ปรัชญาก็เขียนไม่เป็น

คอนิยาย : เวรกรรม แล้วนิยายคุณมีอะไรบ้างเนี่ย (คอนิยายเริ่มมีน้ำโห)

หนึ่งจันทร์ : มีความสุขมอบให้แบบไม่มีอะไรเลย 5555

ปล. อย่างที่กล่าวในข้างต้น ใครที่อยากรู้ว่านิยายที่ไม่มีอะไรเลย เป็นอย่างไรก็ต้องทดลองเข้าไปอ่านนะคะ ถ้าอ่านแล้วรู้สึกว่ามันไร้แก่นสารในชีวิตมาก ก็ขออภัยไว้ ณ.ที่นี้ด้วย ^^ ส่วนใครก็ตามที่คิดว่าไหนๆ ก็หลงเข้ามาอ่านแล้วก็ต้องตามอ่านให้จบ ท่านอาจจะค้นพบอะไรมากมายในความที่ไม่มีอะไรเลยก็ได้ (หรือเปล่าหว่า...555)

Tags: หาดใหญ่

ตอน: บทที่ 4

บทที่ 4

เมื่ออิ่มหนำสำราญกับอาหารทะเลรสเลิศ ชนิดที่เรียกว่า ‘อิ่มจังตังค์อยู่ครบ’ แล้ว สุพิชญาก็ออกไปเดินย่อยอาหารรับลมทะเลเพียงลำพัง เพราะอีกสามสาวขอนั่งให้ข้าวเรียงเม็ดอีกสักพักจึงจะตามไป หญิงสาวก้าวเท้าเดินไปเรื่อยๆ ฟังเสียงคลื่นซัดสาด สายลมที่ปะทะร่าง กลิ่นอายของน้ำเค็ม ให้ความสดชื่อไม่น้อย เธอชื่นชอบทะเลเป็นชีวิตจิตใจ ยามเศร้าก็นึกถึงทะเล ยามสนุกก็คิดถึงทะเล อารมณ์ของมนุษย์ก็คงคล้ายๆ กับทะเล มีทั้งวันที่คลื่นลมสงบ และมีทั้งวันที่คลื่นลมพัดกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง แต่เมื่อทุกอย่างผ่านพ้นไป ชีวิตก็กลับมาดำรงอยู่เช่นเดิม ทุกอย่างล้วนแล้วแต่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา อยู่ที่ว่าใครจะสามารถปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงนั้นได้มากน้อยกว่ากัน ไม่ใช่เพียงแค่มนุษย์ แต่รวมถึงทุกสิ่งที่อยู่บนโลกใบนี้

อย่างเช่นสถานที่ท่องเที่ยวริมทะเลบางแห่งของจังหวัดสงขลา ถูกกัดเซาะด้วยน้ำทะเล จนกระทั่งเจ้าหน้าที่ต้องหินมาทำเขื่อนเพื่อไม่ให้ดินพังทลายลงเรื่อยๆ นั่นก็ทำให้ทัศนียภาพที่เคยสวยงามเปลี่ยนไปเช่นกัน แต่ถ้าไม่ทำอะไรเลย แผ่นดินก็จะถูกกลืนกินไปเรื่อยๆ เขาถึงว่าเมื่อได้อย่างก็ต้องเสียอย่าง เราคงต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุด ผู้คนได้รับผลกระทบน้อยที่สุด

ระหว่างที่เดินคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย สายตาก็ไปปะทะกับร่างๆ หนึ่งที่นั่งอยู่ริมหาด นัยน์ตาคู่นั้นทอดมองไปยังท้องทะเลที่แสนกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา และณ.เส้นขอบฟ้าก็พบลูกไฟดวงใหญ่ที่ค่อยๆ ถูกกลืนหายไปในท้องทะเล ทำให้ท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้มกลายเป็นสีส้มเป็นบริเวณกว้าง ท่าทางเหงาๆ นั้นทำให้คนที่เดินกินลมชมวิวตัดสินใจเดินตรงเข้าไปหา

“ขอนั่งด้วยคนได้ไหมคะ” สุพิชญาขออนุญาต เมื่อมาหยุดยืนอยู่ข้างๆ ร่างที่นั่งชันเข่าอยู่

“เชิญครับ” เสียงนั้นแฝงด้วยความเศร้าจนคนฟังรู้สึกหดหู่

“ฉันมารบกวนเวลาส่วนตัวของคุณหรือเปล่าคะ” สุพิชญาถามเมื่อย่อกายนั่งลงเคียงข้าง

“ไม่หรอกครับ อาหารวันนี้ถูกปากไหมครับ” ปวเรศยิ้มบางๆ เป็นการยืนยันให้อีกฝ่ายรับรู้ว่าการปรากฏตัวของเธอไม่ได้สร้างความลำบากใจให้กับเขาแต่อย่างใด

“อาหารที่นี่สดและอร่อยไม่เคยเปลี่ยนค่ะ” ไกด์สาวตอบกลับด้วยรอยยิ้ม

“แม่บอกกับผมว่าคุณเป็นมัคคุเทศก์ เกิดเหตุแบบนี้แล้ว งานของคุณเป็นยังไงบ้างครับ”

“ทุกคนที่พึ่งพาอาศัยนักท่องเที่ยวก็ได้รับผลกระทบกันไปหมดนั่นแหละค่ะ เพียงแต่ฉันอาจจะทำใจได้ดีกว่าคนอื่นตรงที่ต่อให้มีงาน ฉันก็รับงานนั้นไม่ได้เพราะแขนเจ็บ พอแขนหายความรู้สึกกังวลเกี่ยวกับงานมันก็หายไปด้วย อย่างที่เขาเรียกว่าเวลาจะช่วยเยียวยาความทุกข์ทั้งหลายมั้งคะ” ระหว่างที่พูดสายตาของหญิงสาวก็ทอดไปยังผืนน้ำที่กว้างใหญ่ เธอก็แค่มนุษย์ตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ในโลกใบใหญ่แห่งนี้มีอะไรให้เรียนรู้อีกมากมาย อยู่ที่ว่าตัวเราจะยอมการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ก็เท่านั้น

“แล้วหลังจากนี้ล่ะคุณจะทำยังไงต่อไปครับ” ปวเรศถามอย่างสนใจ

“ฉันยังไม่รู้เลยค่ะ จริงๆ แล้วที่ฉันทำอาชีพนี้ก็เพียงเพราะใจรัก ไม่ได้แสวงหาประโยชน์จากมันมากมาย เมื่อมันไม่เอื้ออำนวยให้ฉันทำต่อไปได้ ฉันก็คงต้องเบนเข็มชีวิตตัวเอง ไปเลือกทางอื่นก็เท่านั้น”

“คุณเป็นคนมองโลกในแง่ดีจังเลยนะครับ และผมก็เห็นด้วยกับคุณ เราจะมาตีอกชกตัวกับสิ่งที่สูญเสียไปแล้วทำไม สู้ลุกขึ้นมาหาโอกาสให้ตัวเองดีกว่า” ปวเรศชื่นชมความคิดอย่างมีเหตุมีผลของคนนั่งข้าง และไม่ใช่ใครทุกคนจะคิดได้แบบนี้ในระยะเวลาอันสั้น

“แล้วคุณล่ะคะ มีความทุกข์อะไรที่ปลดปล่อยไม่ได้” สุพิชญาถามทั้งที่รู้ว่าเป็นการเสียมารยาท แต่ก็ไม่อยากให้คนที่เคยช่วยเหลือตัวเองจมอยู่กับความเศร้าเช่นนี้

“ทำไมคุณถึงคิดว่าผมกำลังไม่สบายใจครับ”

“มีหลายคนบอกกับฉันว่า เวลาทุกข์ก็ให้นั่งมองทะเล เวลาสุขก็ให้นั่งมองทะเล สายตาของคุณที่ทอดมองไปยังท้องทะเล ไม่มีประกายของความสุขอยู่เลย มันเจือไปด้วยความเศร้า ครุ่นคิด เหมือนคนหาทางออกไม่เจอ หรือไม่ก็ไม่รู้จะตัดสินใจอย่างไรดีกับปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่” ปวเรศมองหน้าอีกฝ่ายอย่างรู้สึกประหลาดใจ ส่วนสุพิชญาก็ยิ้มบางๆ ก่อนจะเฉลยความฉงนที่ปรากฏบนบนหน้าของชายหนุ่ม

“ฉันก็เคยเป็นอย่างคุณ ทุกครั้งที่ทุกข์ ฉันก็มักจะมานั่งมองทะเล มองได้เป็นชั่วโมงๆ บางครั้งในหัวไม่มีอะไรสักอย่าง แต่น้ำตากลับไหลเป็นทาง อีกอย่างด้วยอาชีพของฉันทำให้ได้พบเจอผู้คนหลายประเภท ก็เลยทำให้ฉันกลายเป็นคนช่างสังเกตพฤติกรรมของคนค่ะ”

“คุณเดาถูกแล้วครับ ผมกำลังมีความทุกข์จริงๆ นั่นแหละ”

“ถึงเราจะเพิ่งรู้จักกัน แต่ก็ขอให้มองว่าฉันเป็นเพื่อนคนหนึ่ง เพื่อนที่สามารถรับฟังความทุกข์ของคุณได้ทุกเรื่อง ถ้าเรื่องที่ทำให้คุณทุกข์ไม่ใช่ความลับจนเกินไป ฉันยินดีที่จะรับฟัง อย่างน้อยการได้ระบายออกมา มันอาจจะช่วยให้สมองคุณปลอดโปร่งขึ้น และทำให้คุณหาทางแก้ไขได้ก็ได้นะคะ” สุพิชญาเปิดรอยยิ้มแห่งมิตรภาพอีกครั้ง จากนั้นก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอีก นอกจากมองไปยังท้องทะเลที่อยู่เบื้องหน้า

“เรื่องของผมไม่ใช่ความลับ และไม่ใช่เพราะผมแก้ไขปัญหาไม่ได้ แต่ผมไม่เข้าใจมันมากกว่า” ปวเรศถอนหายใจเฮือกใหญ่ ในขณะที่สุพิชญาก็ไม่เอ่ยปากถามสิ่งใดๆ เช่นเดิม นอกจากรอรับฟังสิ่งที่อีกฝ่ายบอกเล่า

“ม่าน เอ่อ...คนรักของผม เธอกำลังจะเดินทางไปเรียนต่อที่ออสเตรเลีย เธออยากให้ผมไปด้วย และเธอก็เสนอให้ครอบครัวผมไปเปิดร้านอาหารที่นั่นเลย ซึ่งผมทำไม่ได้ ผมรู้ว่าพ่อกับแม่รักร้านนี้มากแค่ไหน อีกทั้งใจผมก็ตั้งใจจะมาดูแลร้านนี้ต่อจากท่าน เพื่อเก็บเป็นอนุสรณ์ความรักของท่านให้อยู่กับครอบครัวเราตลอดไป” ปวเรศก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ทำไมเขาถึงยอมที่จะเอ่ยปากเล่าเรื่องนี้ให้กับหญิงสาวฟัง ทั้งๆ ที่เราเพิ่งจะรู้จักกันด้วยซ้ำ แต่พอได้ระบายออก เขาก็รู้สึกดีขึ้นจริงๆ

“ฉันก็เคยได้ยินลุงสุนกับป้าพัชเล่าให้ฟังว่าที่ท่านมาเปิดร้านนี้ เพราะท่านพบกันครั้งแรกที่ชายหาดแห่งนี้ และมันก็ก่อให้เกิดเป็นความรัก ตอนที่ฉันได้ยินท่านเล่า ฉันยังรู้สึกประทับใจมาก และยังรู้สึกอิจฉาท่านทั้งสองคนเลย แต่ฉันเข้าใจคนรักของคุณนะคะ เธออาจจะอยากให้ทุกคนมีชีวิตที่ดีขึ้น เธอรู้ว่าคุณคงไม่ทิ้งพ่อแม่ไปแน่ๆ จึงยื่นข้อเสนอให้พาท่านไปด้วย ทำไมคุณไม่ลองถามความเห็นของลุงสุนกับป้าพัชดูล่ะคะ”

“ผมรู้ ถ้าผมเอ่ยปาก พ่อกับแม่จะยอมทิ้งทุกอย่างที่เป็นความทรงจำของท่าน และที่ผมทุกข์ไม่ใช่เพราะผมอยากไป จริงๆ ผมตั้งใจมาลงหลักปักฐานที่บ้านเกิด และคิดว่าตัวเองมีโอกาสมากกว่าคนอื่น ไม่ต้องเริ่มต้นใหม่ เพราะพ่อแม่ได้สร้างรากฐานที่มั่นคงให้กับผมแล้ว แค่ผมมาสานต่อกิจการของท่าน ช่วยท่านดูแล ‘ทะเลนี้มีรัก’ ให้คงอยู่ต่อไปเท่านั้นเอง” ปวเรศบอกเล่าถึงความตั้งใจของตนเอง เพราะถ้าหากเขาต้องการหาความก้าวหน้าทางหน้าที่การงาน เขาก็คงไม่ลาออกจากบริษัทกลับมาอยู่บ้านเกิดหรอก

“ถ้าอย่างนั้นที่คุณมานั่งกลุ้มอยู่ตรงนี้ เพราะเธอไม่ฟังเหตุผลของคุณใช่ไหมคะ” สุพิชญาถามอย่างประเมินสถานการณ์ได้

“ใช่ เธอพูดกับผมด้วยประโยคที่ผมไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะได้ยิน เธอบอกกับผมว่า ถ้าผมไม่ไปกับเธอ เราเลิกกัน มันง่ายขนาดนั้นเลยหรือครับคุณกุ้งนาง คนที่รักกันเขาเลิกกันง่ายๆ ด้วยเหตุผลแค่นี้หรือครับ” ปวเรศหันไปมองหน้าหญิงสาวอย่างค้นหาคำตอบ

“ฉันว่าคุณม่านคงไม่ได้ตั้งใจพูดแบบนั้นกับคุณ แต่อาจเป็นเพราะเธอกำลังโกรธ เธอคงคิดว่า สิ่งที่เธอทำ เธอทำเพื่อคุณ เพื่อครอบครัวของคุณ และเพื่อตัวเธอเอง วันนี้อาจจะคุยกันไม่รู้เรื่อง แต่พรุ่งนี้อะไรที่มันวุ่นวายใจคุณอยู่ตอนนี้อาจจะคลี่คลายก็ได้นะคะ คุณคิวท์ลองพูดคุยกับเธออีกครั้งสิคะ ฉันเชื่อว่าทุกคนมีเหตุผลเป็นของตัวเอง และพร้อมที่จะยอมรับฟังเหตุผลของคนอื่นด้วย” สุพิชญาปลอบอีกฝ่ายด้วยเหตุผล

“คุณว่าผมควรทำยังไง”

“คุณก็ลองบอกเธอสิคะว่าคุณขอเวลาทำตามความฝันของคุณ เหมือนที่เธอกำลังจะไปทำตามความฝันของเธอ เมื่อระยะเวลาผ่านไป พวกคุณคงจะตัดสินใจได้เองว่า ใครจะเป็นฝ่ายก้าวเดินเข้าไปหาใครอีกคน ไม่แน่นะคะ ช่วงระหว่างที่คุณม่านเรียนต่ออยู่ที่นั่น อาจจะทำให้เธอเปลี่ยนใจกลับมาอยู่ที่นี่หลังเรียนจบก็ได้ และในทางตรงกันข้าม คุณอาจจะยินยอมพร้อมใจไปตั้งรกรากอยู่กับเธอที่นั่น ฉันเชื่อว่า ไม่ว่า ‘ทะเลนี้มีรัก’ จะตั้งอยู่ที่ส่วนใดของโลกนี้ก็ตาม ความหมายในตัวมันก็ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงหรอกค่ะ”
“ขอบคุณมากครับคุณกุ้งนาง คุณทำให้ผมคิดอะไรได้หลายอย่าง ไม่น่าเชื่อเลยนะครับ การได้พูดคุยกับใครสักคน นอกจากจะทำให้เราสบายใจขึ้นแล้ว เรายังได้คำแนะนำที่คาดไม่ถึงอีกต่างหาก” ปวเรศยอมรับว่าเขารู้สึกประทับใจในตัวผู้หญิงคนนี้ไม่น้อย ดูจากหน้าตาของเธอ อายุคงไม่เกินยี่สิบห้าปี แต่เธอกลับสามารถชี้ทางออกให้กับคนอายุจะสามสิบอย่างเขาได้แบบสบายๆ

“อย่างที่เขาบอกว่า เส้นผมบังภูเขา ไงคะ”

“กลับไปที่ร้านกันดีกว่าครับ ท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว เชิญครับ” ปวเรศลุกขึ้นยืน อยากจะยื่นมือไปฉุดให้เธอลุกขึ้นเช่นกัน แต่เมื่อคิดถึงความเหมาะสม เขาจึงทำได้เพียงแค่ยืนรอเธอเท่านั้น หลังจากนั้นสองหนุ่มสาวก็เดินตรงกลับไปยังร้านอาหาร ‘ทะเลนี้มีรัก’ โดยไม่มีเสียงพูดคุยอะไรกันอีก ราวกับว่าทั้งสองอยากซึมบรรยากาศยามพลบค่ำแบบนี้ให้นานที่สุด


...หนึ่งปีผ่านไป…
ไม่มีอีกแล้วไกด์สาวสวยที่มีนามว่า ‘พีย่า’ ปัจจุบันมีเพียง ‘คุณครูพี่กุ้งนาง’ ของเด็กๆ วัยเริ่มต้นเข้าโรงเรียน สุพิชญายอมทิ้งความฝันของตัวเอง จะว่าเธอทิ้งความฝันก็ไม่ใช่ เพราะเธอได้ทำในสิ่งที่เธอฝันเอาไว้แล้วต่างหาก เมื่อเวลาและสิ่งแวดล้อมไม่เอื้ออำนวยให้เธอเดินตามฝันไปเรื่อยๆ เธอก็จำเป็นต้องเลือกหนทางชีวิตใหม่ให้กับตัวเอง สามเดือนกับการรอคอยให้ทุกอย่างดีขึ้น แต่มันก็ยังไม่ดีอย่างที่ใจคิด แม้เหตุการณ์ต่างๆ จะเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว แต่ความหวาดกลัวของผู้คนก็ยังมีอยู่ พร้อมกับข่าวลือการลอบวางระเบิดก็ยังมีเป็นระยะๆ นั่นทำให้หญิงสาวตัดสินใจหันเหชีวิตเข้าไปสู่รั้วโรงเรียนอนุบาลตามคำเชิญชวนของพวงเพชร แต่สิ่งหนึ่งที่เธอไม่เคยทิ้งเลย หลังจากเลิกอาชีพมัคคุเทศก์ นั่นก็คือสารพัดเรื่องเล่าของเธอ มักจะนำมาสอดแทรกในบทเรียน ซึ่งก็ต้องเป็นเรื่องเล่าที่เข้าใจง่ายสำหรับเด็กๆ รวมถึงต้องสนุกด้วย

“สวัสดีครับคุณครูพี่กุ้งนาง” เสียงทุ้มบ่งบอกเพศดังขึ้นตรงทางเข้าประตูโรงเรียน ทำให้เจ้าของชื่อที่กำลังส่งนักเรียนกลับบ้านหันไปมอง

“อ้าวตั้ม มายังไงไปยังไงนี่ ทำไมถึงได้โผล่มาที่นี่ได้” สุพิชญาร้องทักอย่างดีใจ เพราะไม่มีโอกาสเจอเพื่อนคนนี้นานพอสมควรแล้ว หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น เพื่อนร่วมอาชีพของเธอก็ตัดสินใจเดินตามความฝันของตัวเองต่อในเมืองหลวง และในปัจจุบันทวิภาคก็มีหน้าที่พากรุ๊ปทัวร์จากเมืองไทยไปเมืองจีน เกาหลี ไต้หวัน เรียกว่าไปได้ดีเลยล่ะ

“ผมไม่ได้เป็นขอมดำดินมาก็แล้วกัน” สุพิชญาอดยิ้มให้กับคำตอบของชายหนุ่มไม่ได้

“คราวนี้กลับมาให้ป๊ากับม้าชื่นใจกี่วันล่ะ” หญิงสาวยิงคำถามต่อ

“ลามาหนึ่งอาทิตย์ เพราะหลังจากนี้ทัวร์ยาวเลย แล้วกุ้งนางล่ะเป็นยังไงบ้าง สบายดีใช่ไหม” เมื่อตอบคำถามแล้ว ชายหนุ่มก็เป็นฝ่ายป้อนคำถามบ้าง

“ก็ดีจ้ะ ตั้มไปนั่งรอกุ้งนางสักครู่นะ ส่งเด็กๆ กลับบ้านเรียบร้อยแล้ว เราค่อยคุยกัน ถ้ามัวแต่คุยดูเด็กๆ ไม่ทัน ลูกเขาเป็นอะไรขึ้นมากุ้งนางแย่แน่ๆ” สุพิชญาบอกเพื่อนก่อนจะชี้ไปตรงม้านั่งหินขัดที่ตั้งอยู่ไม่ไกล ก่อนจะหันกลับมาทำหน้าที่ของตัวเอง ส่วนทวิภาคได้แต่นั่งมองการทำงานของหญิงสาวไปเรื่อยๆ ไม่ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน เธอก็ยังคงมอบความเป็นเพื่อนให้กับเขา ยิ่งระยะทางห่างกันแบบนี้ และตัวเขาไม่มีเวลาแวะเวียนมาสานสัมพันธ์กับเธอต่อเลย ยิ่งทำให้ความหวังที่อยากมีเธอเคียงคู่ริบหรี่ลงทุกที ก็ได้แต่ปลอบใจตัวเองว่า หากเธอยังไม่มีใคร เขาก็ยังมีหวัง

“ตั้ม ตั้มใช่ไหม” พวงเพชรที่เพิ่งเดินออกจากตัวตึก เห็นร่างคุ้นตาของใครบางคนทำให้ต้องรีบสาวเท้าเข้ามาใกล้ เพื่อดูให้รู้แน่ว่าเป็นคนที่เธอคิดหรือเปล่า

“สวัสดีเพชร ไม่ได้เจอกันตั้งนานสบายดีใช่ไหม”

“สบายดี นายหล่อขึ้นเยอะเลยนะ กลับมาเยี่ยมบ้านเหรอ” พวงเพชรถามชายหนุ่มอย่างเป็นกันเอง

“ใช่ เพราะหลังจากนี้ ผมต้องเดินสายยาวเลยล่ะเพชร”

“ทำอาชีพอย่างนายก็ดีเหมือนกันนะ ได้ท่องเที่ยวไปทั่วเลย”

“แต่มันก็ต้องแลกกับการอยู่ห่างบ้านห่างเมืองนะเพชร บางทีผมก็เบื่อก็ท้อ อยากกลับมาอยู่บ้านใจจะขาด แต่เมื่อคิดว่า เรายังต้องกินข้าวเป็นอาหาร ไม่ได้อิ่มทิพย์ ทำให้ต้องอดทนต่อไป” ทวิภาคระบายความอัดอั้นที่มีอยู่ในใจให้เพื่อนสาวฟังบ้าง

“ชีวิตไม่สิ้นก็ต้องดิ้นกันไปล่ะนะ เย็นนี้ว่างหรือเปล่าล่ะ”

“ว่าง ทำไมเหรอ”

“งั้นเดี๋ยวฉันโทรนัดยายทิพย์กับยายนา พานายไปเลี้ยงต้อนรับกลับมาเยี่ยมบ้านก็แล้วกัน” นานๆ จะมีโอกาสได้เจอกันสักครั้ง กินข้าวด้วยกันสักมื้อจะเป็นอะไรไป

“ได้ ผมเลี้ยงสาวๆ เองก็ได้” ทวิภาคพูดอย่างใจป้ำ

“เสนอมาแบบนี้ ฉันก็สนองคุณสิจ๊ะ นานๆ จะมีหนุ่มกระเป๋าหนักมาเลี้ยงข้าวสักที” พวงเพชรรับข้อเสนออย่างเต็มใจ

“ด้วยความเต็มใจครับคุณผู้หญิง” ทวิภาคลุกขึ้นยืนพร้อมกับโค้งคำนับให้กับพวงเพชร เรียกเสียงหัวเราะให้กับหญิงสาวอีกครั้ง หลังจากนั้นเธอก็ติดต่อหาเพื่อนสนิทอีกสองคน จัดการนัดแนะร้านกันเรียบร้อย เมื่อถึงเวลาเลิกงาน ทั้งหมดก็เดินทางไปยังจุดนัดพบ โดยไม่มีใครเสียเวลาเดินทางกลับบ้าน เพราะเวลาทุกนาทีสำหรับเพื่อนที่ต้องห่างไกลกันไป มันสำคัญเสมอ


พรุ่งนี้แล้วที่ทวิภาคจะเดินทางกลับไปทำหน้าที่ของตัวเองต่อ สี่สาวจึงนัดกันเลี้ยงส่งชายหนุ่ม เพื่อเป็นการตอบแทนที่เมื่อหลายวันก่อนเป็นเจ้ามือให้พวกเธอถล่มจนกระเป๋าแทบฉีก และแน่นอนว่ามันไม่ใช่ฝีมือของคุณครูอนุบาลสองคนอย่างแน่นอน เจ้าแม่ที่คอยกลั่นแกล้งทวิภาคมาแต่ไหนแต่ไรก็ไม่พ้นสาวขี้เล่นอย่างกมลทิพย์ และสถานที่เลี้ยงส่งทวิภาคจะเป็นที่ไหนไปไม่ได้ นอกจากร้านทะเลนี้มีรัก เจ้าเก่าเจ้าเดิม ที่พวกเธอซี๊ปึกตั้งแต่รุ่นพ่อแม่จนถึงรุ่นลูก ตลอดระยะเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมา พวกเธอมักจะพบปะสังสรรค์กันที่นี่เรียกว่าแทบจะอาทิตย์เว้นอาทิตย์เลยก็ว่าได้ วันหยุดสุดสัปดาห์คิดอะไรไม่ออกก็มาที่นี่ มีของอร่อยให้กิน ได้เล่นน้ำทะเลอย่างสนุกสนาน ห้องน้ำห้องท่าสำหรับอาบน้ำเปลี่ยนชุดก็แสนสบาย (ซึ่งบางอาทิตย์ก็ไม่ได้มากินของอร่อย เพราะตังค์ในกระเป๋าไม่อำนวย มาอาศัยห้องน้ำห้องท่าอย่างเดียว) และที่แน่ๆ ได้พบกับพี่มอสสองของกมลทิพย์ ไม่ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน กมลทิพย์ก็ยังไม่เลิกล้มความตั้งใจที่จะคู่เพื่อนกับทายาทเจ้าของร้าน แถมมีดีกรีเป็นถึงอาจารย์สอนในมหาวิทยาลัยชื่อดังของจังหวัดด้วย

“สวัสดีค่ะลุงสุน ป้าพัช” ทั้งสี่สาวยกมือไหว้ทักทายเจ้าของร้านอย่างเป็นกันเอง โดยมีทวิภาคมองอย่างงงๆ แต่ก็ยังไม่เสียมารยาทที่จะยกมือไหว้ผู้ใหญ่เช่นกัน

“วันนี้พาเพื่อนมาเลี้ยงส่งค่ะ นายตั้มจะกลับไปทำงานที่กรุงเทพ ทิพย์ของส่วนลดห้าสิบเปอร์เซ็นต์นะคะ” กมลทิพย์รายงานพร้อมกับต่อรองค่าอาหาร เสียงรอยยิ้มให้กับผู้ใหญ่ทั้งสองได้เป็นอย่างดี

“ลุงสุนอย่าไปหลงคารมยายทิพย์นะคะ ไม่ต้องลดค่ะ ของซื้อของขาย พวกเรามาทีไรลุงขาดทุนทุกที เพราะแถมตลอด” สุพิชญาดักคอผู้ใหญ่ด้วยความเกรงใจ ซึ่งบางครั้งทำให้เธอไม่กล้ามาใช้บริการ แต่จะให้เปลี่ยนไปใช้บริการร้านอื่น เธอก็ทำใจไม่ได้สักที เพราะความผูกพันที่มีกับเจ้าของร้านมันก็มีมากโข

“เอาล่ะ ไม่ต้องเถียงกัน เอาเป็นว่าลุงลดสิบเปอร์เซ็นต์เท่ากับลูกค้าทั่วไปก็แล้วกันนะลูก พาเพื่อนไปหาที่นั่งสิ เดี๋ยวลุงให้เจ้าทิวไปจดรายการอาหาร” วิสุทธิ์เอ่ยปากบอกหญิงสาวรุ่นลูก

“พี่คิวท์ไปสอนหรือคะ” ซารีนาถามถึงลูกชายเจ้าของร้านบ้าง ตอนนี้พวกเธอสนิทสนมกับชายหนุ่มจนกระทั่งกล้าเรียกว่าพี่เต็มปากเต็มคำแล้ว จะมีเพื่อนสุดที่รักเพียงคนเดียวที่ยังรักษาระยะห่าง เรียกคุณคิวท์ทุกคำ ไม่ใช่ใครที่ไหนหรอกก็ยายกุ้งนางนี่แหละ
“เปล่า เจ้าคิวท์ไปออสเตรเลียนะ” วิสุทธิ์ตอบตามความเป็นจริง

“ไปเมื่อไหร่ ไม่ยอมบอกกันบ้างเลย ทิพย์จะได้ฝากซื้อของ คอยดูนะกลับมาเมื่อไหร่ ทิพย์จะทวงของฝาก ถ้าไม่มีล่ะน่าดู” คำคาดโทษของกมลทิพย์ทำให้วิสุทธิ์กับพัชนียิ้มด้วยความเอ็นดู จะว่าไปทั้งสองคนก็รักหญิงสาวทั้งสี่คนไม่ต่างจากลูกหลานของตัวเองเลย อาจจะเป็นเพราะความน่ารัก เป็นกันเอง และรู้จักกาลเทศะของทั้งสี่สาวก็ได้

“เอาไว้พี่เขากลับมาเมื่อไหร่ ป้าจะโทรบอกให้หนูทิพย์มาทวงของฝากนะจ๊ะ” พัชรีบอกด้วยความเอ็นดู

“ขอบคุณค่ะ แต่ตอนนี้ทิพย์ขอตัวพาเพื่อนๆ ไปหาที่นั่งก่อนนะคะ” กมลทิพย์รับคำตาหน้าเฉย ไม่รู้สึกกระดากอายสักนิด ทำให้สุพิชญาส่ายหน้าให้กับการกระทำของเพื่อน

“จ้า”

เมื่อได้โต๊ะนั่ง พร้อมสั่งอาหารรสเลิศที่โปรดปรานเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มคนเดียวก็เริ่มบทสนทนาด้วยคำถามที่ตนสงสัย ยิ่งเห็นใบหน้าสลดของสุพิชญา เขาก็ยิ่งอยากรู้ว่า ‘พี่คิวท์’ เป็นใคร แล้วสนิทสนมกับทั้งสี่สาวแค่ไหน สำหรับคนอื่นเขาไม่ติดใจสงสัย แต่สำหรับหญิงที่เขาพึ่งใจนี่สิ หรือว่างานนี้จะแห้วร้อยเปอร์เซ็นต์เต็มแล้ว

“คนชื่อ คิวท์ เป็นใครหรือเพชร” ทวิภาคเลือกถามคนที่คิดว่าน่าจะตอบคำถามเขาอย่างตรงไปตรงมา ไม่ได้แกล้งแหย่เขาอย่างกมลทิพย์

“ลูกชายคนเดียวของเจ้าของร้านน่ะ” พวงเพชรตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเป็นปกติของตัวเอง

“ดูท่าทางพวกเธอจะสนิทกับเขามากเลยนะ”

“แน่นอนสิย่ะ นายไจ่ไจ๋ ก็พวกฉันเป็นลูกค้าร้านนี้ตั้งแต่เป็นนักศึกษา ไม่สนิทกับเจ้าของร้านก็แปลกล่ะ” กมลทิพย์ตอบแบบกำกวมนิดหน่อย เพราะกับเจ้าของร้านน่ะพวกเธอสนิทสนมมาแต่ไหนแต่ไรจริงๆ แต่สำหรับลูกชายเจ้าของร้านนะ เพิ่งจะรู้จักกันแค่ปีเดียวเอง

ขณะที่ทวิภาคตะล่อมหาข้อมูลของลูกชายเจ้าของร้าน สุพิชญาก็จมลงสู่ความคิดของตัวเอง ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา ความใกล้ชิด ความสนิทสนม และความไว้ใจ ระหว่างเธอกับปวเรศมีเพิ่มมากขึ้นทุกวัน เวลาเธอมีปัญหาก็มักจะคุยกับเขา เช่นเดียวกับเขา เมื่อมีปัญหา โดยเฉพาะเรื่องของมัลลิกา เขาก็มักจะเล่าให้เธอฟัง อาจจะเป็นเพราะเธอเป็นผู้ฟังที่ดี ยามที่เขาอยากระบาย และให้คำปรึกษาทุกครั้งยามที่เขาต้องการ โดยเขาไม่อาจรู้เลยว่าหัวใจดวงน้อยๆ ของเธอ ถูกเขาเข้ายึดครองพื้นที่วันละนิดวันละน้อย จนกระทั่งเธอยกให้เขาไปทั้งดวง แม้จะรู้ดีว่าความรักครั้งนี้ต้องพบกับความผิดหวัง หัวใจของเธอก็ยังดื้อด้านที่จะรัก

หลังจากที่พูดคุยกันครั้งแรก ผ่านไปได้อีกประมาณสองอาทิตย์ เธอก็มีโอกาสมาฝากท้องที่ร้านแห่งนี้อีกครั้ง และแน่นอนว่า เขากับเธอก็มีโอกาสได้พบกันด้วย เรื่องราวของเขากับมัลลิกาจบลงด้วยดี นั่นก็คือ ฝ่ายหญิงเตรียมตัวเดินทางไปเรียนต่อ ในขณะที่ฝ่ายชายสัญญาที่จะรอคอยการกลับมาของคนรัก ซึ่งไมตรีจิตที่มีให้กันตั้งแต่รุ่นพ่อแม่ก็ถูกส่งต่อมายังรุ่นลูก ทำให้มิตรภาพระหว่างหนึ่งหนุ่มกับสี่สาวมีเพิ่มขึ้นตามวันเวลาที่ผันผ่าน

มัลลิกาไปเรียนต่อได้เพียงสามเดือนก็เริ่มงอแงอีกครั้ง ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะต้องไปอยู่ต่างบ้านต่างเมืองเพียงลำพัง จึงเพียรพยายามหว่านล้อมหวังให้ปวเรศเปลี่ยนใจ หรือไม่ก็หาโอกาสไปเยี่ยมเธอบ้าง ชายหนุ่มก็ปฏิเสธอย่างนุ่มนวล บางครั้งมัลลิกาก็ยอมรับเหตุผลอย่างเข้าใจ บางทีเธอก็ไม่รับฟังอะไรเลย เป็นเหตุให้ทั้งสองคนผิดใจกันและมีปากเสียงกันบ้าง ซึ่งปวเรศก็ได้เธอนี่ล่ะทำหน้าที่เป็นศิราณีที่ดีคอยปลอบประโลมและให้คำแนะนำ ปลอบกันไปแนะนำกันมาจนเข้าทำนอง วัวพันหลัก รักพันใจ ชนิดดิ้นไม่หลุดเลยล่ะ

ไม่ใช่แต่พวกเธอมาใช้บริการร้านทะเลนี้มีรัก หากปวเรศเดินทางไปหาเพื่อนที่ตัวเมืองหาดใหญ่ก็มักจะนัดพบกลุ่มของเธอบ้างเป็นครั้งคราว เรียกว่าแวะมาเจอกับสี่สาวก่อนที่จะไปต่อกับเพื่อนๆ สายตาของเขามันก็ฟ้องออกมาอย่างเห็นได้ชัดว่า พวกเธอทั้งสี่คนเป็นเสมือนน้องสาว และเธอก็รู้ดีว่าไม่อาจเป็นอะไรได้มากกว่านั้น ปวเรศเป็นผู้ชายที่หากยากในสังคมปัจจุบัน เขารักเดียวใจเดียว ไม่เคยออกนอกลู่นอกทางสักครั้ง เพราะเท่าที่เคยพบเจอมาเพียงแค่แฟนสาวหันหลังให้ หนุ่มๆ ก็พร้อมที่จะเหล่ตามองสาวอื่นแล้ว

และวันนี้ก็เป็นเครื่องยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าเขารักมัลลิกาขนาดไหน เพราะครั้งนี้เขาไม่ปฏิเสธที่จะเดินทางไปหาคนรัก รวมถึงไม่ได้เอ่ยปากปรึกษาเธออย่างทุกๆ ครั้งที่ผ่านมาด้วย คิดแล้วสุพิชญาก็อดน้อยใจไม่ได้ ไม่ได้น้อยใจที่เขาไม่เห็นคุณค่าในตัวเธอ แต่น้อยใจที่เขาไปโดยไม่บอกกล่าวกันสักคำ เธอคงจะอยู่ในสายตาของเขาเฉพาะในช่วงที่เขาเผชิญปัญหาคิดไม่ตกกระมัง
“กุ้งนาง ยายกุ้งนาง” เสียงเรียกที่เพิ่มเดสิเบลดังขึ้นอีกครั้ง ทำให้คนที่จมอยู่ในความคิดของตัวเองสะดุ้งเฮือก

“ใจลอยไปไหนแล้วยายกุ้งนาง ถึงออสเตรเลียหรือยัง” กมลทิพย์ได้ทีกระเซ้าเพื่อน เธอไม่รู้หรอกว่าเพื่อนคิดยังไงกับปวเรศ เพราะสุพิชญาเก็บความรู้สึกเก่งมาก อีกทั้งฝ่ายชายก็มีคนรักเป็นตัวเป็นตน ถึงจะอยู่ห่างไกลคนละประเทศ แต่สายใยก็ยังพันผูกกันอย่างเหนียวแน่น และรู้ดีว่าไม่ว่าอดีตไกด์สาวจะรู้สึกอย่างไรกับอีกฝ่าย ก็ไม่มีทางทำตัวเป็นมือที่สามอย่างแน่นอน ไอ้ที่พูดแหย่ไปนั้นก็เพราะความคึกคะนองและมั่นใจว่าเพื่อนจะไม่โกรธเท่านั้นเอง

“จะบ้าเหรอยายทิพย์” สุพิชญาต่อว่าเพื่อน เพื่อปกปิดความรู้สึกของตัวเองอีกครั้ง

“ไม่บ้าหรอก ก็ฉันเรียกเธอตั้งนานแล้ว เธอไม่ได้ยินเลยนี่นา แสดงว่าใจของเธอนะต้องลอยไปไกลมาก เธอว่าไหมยายนา” กมลทิพย์หันไปหาพรรคพวก

“จริง” ซารีนาก็พร้อมจะเป็นลูกคู่ให้เพื่อนเสมอ ส่วนคุณครูอนุบาลอีกคนก็ได้แต่ส่ายหน้า ส่วนชายหนุ่มอีกคนก็ถึงกับหน้าสลดลงอีกเล็กน้อย

“กุ้งนาง เธอรู้หรือเปล่าว่าพี่คิวท์ไปออสเตรเลีย แล้วเขาไปทำไม” ซารีนาถาม เพราะในบรรดาเราทั้งสี่คน สุพิชญาเป็นคนที่สนิทกับชายหนุ่มที่ถูกพาดพิงถึงที่สุด อาจจะด้วยเคยช่วยเหลือกันมาและเพื่อนก็เธอก็เป็นผู้ฟังที่ดีในยามที่ใครก็ตามต้องการระบายความอึดอัดภายในใจ

“ไม่รู้ คุณคิวท์ไม่ได้บอก ส่วนไปทำไมนี่ก็ตอบไม่ยากนะ ก็แฟนเขาอยู่ที่โน่น เขาก็ไปหาแฟนเขาสิ” สุพิชญาตอบยิ้มๆ แม้ว่าหัวใจจะรู้สึกเจ็บเล็กน้อย สามสาวก็ลอบสังเกตปฏิกิริยาของเพื่อน ก็ไม่พบสิ่งใดผิดปกติ นอกจากความจริงที่ปรากฏทางสายตาและคำพูด

ทวิภาคแอบถอนหายใจอย่างโล่งอก เมื่อรู้ว่าคนที่คิดว่าเป็นศัตรูหัวใจมีเจ้าของอยู่แล้ว ความหวังที่ดับไปเมื่อไม่นาน ถูกจุดประกายขึ้นอีกครั้งแต่ก็ยังไม่ส่องสว่างให้ความมั่นใจกับเขาเลย แม้จะรู้ดีกว่าโอกาสที่จะเป็นเช่นนั้น มันเป็นไปได้ยาก สุพิชญายังหยิบยื่นความเป็นเพื่อนให้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย และไม่ว่าวันข้างหน้าเขาจะสมหวังหรือไม่ เขาก็พร้อมที่จะยืนเคียงข้างเธอไม่ว่าในฐานะใดก็ตาม




หนึ่งจันทร์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 6 ส.ค. 2557, 08:46:04 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 6 ส.ค. 2557, 08:46:04 น.

จำนวนการเข้าชม : 1362





<< บทที่ 3   บทที่ 5 >>
แว่นใส 6 ส.ค. 2557, 20:55:32 น.
ไปทำไมนะ อยากรู้จริง


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account