วิมายา
ความรัก ความผูกพันที่เกาะเกี่ยว โยงยึดแน่นหนาของคนสามคน ซึ่งถูกกลบฝังไว้ในอดีตร่วม 2 พันปี ได้นำพาคนสามคนกลับมาพบกันอีกครั้ง ณ กาลปัจจุบัน
ประตูแห่งอดีตกาลค่อยๆเผยความลับผ่าน...กำไลทอง...ของหญิงสาวที่ชื่อวิมายา
เหรียญตราโบราณ...ของชายหนุ่มที่ชื่อพยับหมอก
รอยกระรูปไฟไหม้...ที่หลังมือของชายหนุ่มที่ชื่อน่านน้ำ และความฝันซ้ำๆของเขา ถึงเรือนแปดเหลี่ยมกลางน้ำ แห่งนครในสายหมอก ซึ่งไม่เคยปรากฏอยู่ในแผนที่ใดๆ
เรื่องราวที่ต่างคนต่างสืบค้น ได้กลายเป็นเรื่องเดียวกัน ทว่า...แต่ละคนสามารถรู้เรื่องราวได้เพียงส่วนหนึ่ง หากจะรู้ทั้งหมดต้องนำแต่ละส่วนเหล่านั้นมาปะติดปะต่อ จึงจะได้ภาพรวมของเรื่องราว
ปมปริศนาและคำตอบทั้งหมดอยู่ที่เรื่องราวในอดีตชาติ ปริศนาชิ้นสุดท้าย...
รอยกระรูปไฟไหม้บนหลังมือน่านน้ำ มีความเป็นมาอย่างไร
วิมายาเคยอธิษฐานอะไรไว้ในอดีต
พยับหมอกเคยลั่นสัจจาต่อฟ้าแลดินไว้อย่างไร
หากค้นพบ และทำได้ดั่งลั่นสัจจาไว้ ทุกอย่างจึงจะยุติและคลี่คลาย พันธะซึ่งเคยมีต่อกันจะสิ้นสุดลง
ประตูแห่งอดีตกาลค่อยๆเผยความลับผ่าน...กำไลทอง...ของหญิงสาวที่ชื่อวิมายา
เหรียญตราโบราณ...ของชายหนุ่มที่ชื่อพยับหมอก
รอยกระรูปไฟไหม้...ที่หลังมือของชายหนุ่มที่ชื่อน่านน้ำ และความฝันซ้ำๆของเขา ถึงเรือนแปดเหลี่ยมกลางน้ำ แห่งนครในสายหมอก ซึ่งไม่เคยปรากฏอยู่ในแผนที่ใดๆ
เรื่องราวที่ต่างคนต่างสืบค้น ได้กลายเป็นเรื่องเดียวกัน ทว่า...แต่ละคนสามารถรู้เรื่องราวได้เพียงส่วนหนึ่ง หากจะรู้ทั้งหมดต้องนำแต่ละส่วนเหล่านั้นมาปะติดปะต่อ จึงจะได้ภาพรวมของเรื่องราว
ปมปริศนาและคำตอบทั้งหมดอยู่ที่เรื่องราวในอดีตชาติ ปริศนาชิ้นสุดท้าย...
รอยกระรูปไฟไหม้บนหลังมือน่านน้ำ มีความเป็นมาอย่างไร
วิมายาเคยอธิษฐานอะไรไว้ในอดีต
พยับหมอกเคยลั่นสัจจาต่อฟ้าแลดินไว้อย่างไร
หากค้นพบ และทำได้ดั่งลั่นสัจจาไว้ ทุกอย่างจึงจะยุติและคลี่คลาย พันธะซึ่งเคยมีต่อกันจะสิ้นสุดลง
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: ตอนที่ 3.
3
B.M.W.สีดำแล่นผ่านแนวกำแพงรั้ว ที่ปกคลุมด้วยต้นตีนตุ๊กแกหนาทึบ แล้วชะลอลงตรงหน้าซุ้มประตูไม้
ป้ายชื่อบ้านต้องแสงไฟ แลเห็นเป็นตัวอักษรชัดเจนว่า “เวียงไม้งาม”
คนในรถกดแตรสั้นๆสองครั้ง รอไม่กี่นาทีประตูรั้วก็เปิดออก ชายหนุ่มพารถเคลื่อนผ่านไปตามถนนคอนกรีต ซึ่งพื้นที่ทั้งสองฝั่ง ร่มครึ้มไปด้วยประดู่ ก้ามปู ตะแบกและหางนกยูงฝรั่ง ยืนต้นสูงตระหง่านเก่าแก่ ราวกับผู้เฒ่าซึ่งรักสงบ เดียวดายและเก็บงำความลับของกาลเวลามาหลายชั่วคน
แสงสว่างรำไร ยิ่งทำให้อาณาบริเวณในพื้นที่เกือบสามไร่นี้ดูลึกลับวังเวง ข่มให้คนขวัญอ่อนผู้ไม่คุ้นเคยหวาดผวาได้ง่ายๆ
รถเคลื่อนมาหยุดนิ่งที่มุมหนึ่งของบ้าน ซึ่งต่อยื่นออกมาเป็นโรงรถ ไฟด้านหน้าสว่างพอมองเห็นตึกสองชั้น ก่อด้วยอิฐแดงโชว์แนว ทว่า...ยามนี้มองไม่เห็นแนวอิฐเหล่านั้นแล้ว ด้วยต้นตีนตุ๊กแกได้ยึดพื้นที่ของผนังด้านนอก ไว้เสียทั้งหมด
บ้านทั้งหลังจึงกลายเป็นสีเขียว ยกเว้นบานกระจกหน้าต่าง และประตู ต่อเมื่อก้าวเข้าไปภายในจึงได้สัมผัสกับอิฐโชว์แนวอย่างแท้จริง กระเบื้องปูพื้นสีอ่อนกว่าผนังเล็กน้อย แต่ก็จัดเป็นโทนเดียวกัน เครื่องเรือนทั้งหมดเป็นเนื้อไม้แท้ สีเข้มขรึม ยิ่งทำให้บรรยากาศในบ้านน่าเกรงขามหนักขึ้น หากสะอาดเอี่ยม...ด้วยฝีมือป้าจีบ ผู้รับหน้าที่ทั้งดูแลบ้านช่องและเรื่องอาหารการกิน รวมถึงเลี้ยงดูพยับหมอกมาแต่แบเบาะ
สำหรับพยับหมอก...นอกจากศาสตราจารย์พิชฌานแล้ว ก็มีป้าจีบและลุงชม สามีภรรยาคู่นี้ ที่เปรียบเสมือนญาติผู้ใหญ่ซึ่งนับได้ว่าเป็นครอบครัว
ชายหนุ่มก้าวตรงไปยังห้องหนังสือ มีกล่องไม้ใบเล็ก มุมล่างด้านขวาประทับตราชื่อร้านแอนทีคถือติดมือมาด้วย
ใจหวนระลึกไปถึงหญิงสาวผมซอยสั้นคนนั้น ซึ่งแยกจากกัน โดยไม่ทันถามแม้แต่ชื่อ...ปาฏิหาริย์ไม่ยักเกิดอีกครั้ง จู่ๆฝนก็หยุด เขาก็เลยไม่ได้ทำตามที่ตั้งใจว่า...จะส่งให้ถึงบ้าน
มุมปากชายหนุ่มหยักโค้งขึ้นเมื่อนึกถึง...ก่อนล่ำลา
“ยังไงผมก็ผ่านดอนเมืองอยู่แล้ว จะสะดวกกว่าไหม...ถ้าไปด้วยกัน” เขาเอื้อเฟื้อ แต่เธอสั่นหน้า
“ฝนหยุดแล้ว...ไม่รบกวนดีกว่า” เสียงใสยืนยัน หนักแน่นว่า ‘ไม่’
ลักษณะของเธอบอกให้รู้ว่าถ้าปฏิเสธ ใคร...อย่ามาเซ้าซี้ เขาจึงหยุดการเอื้อเฟื้อไว้แต่เพียงนั้น
“ไม่มีอะไรติดค้างกันแล้ว...ไปนะคะ”
เจ้าตัวไม่วายย้ำถึงเจตนา...ค่าอาหารมื้อนั้น คือ...การใช้หนี้ค่าที่เสียกิริยาแท้ๆ
หวังว่า...ป่านนี้ คงจะถึงบ้าน อย่างปลอดภัย พยับหมอกสะดุดความคิดตัวเอง...เมื่อพบว่าเขากำลังคิดเป็นห่วงเธอ
แปลก! ผู้คนนับร้อยที่เดินสวนกันแต่ละวันในเมืองใหญ่ แต่ทำไมไม่เคยรู้สึก ไม่เคยจดจำ
บางคน...ไม่เคยเจอหน้ากันซ้ำอีกเลย ตราบชั่วชีวิต เหมือนเขากับแม่ผู้ให้กำเนิด ไม่เคยเห็นหน้ากัน ไม่มีความผูกพันก่อเกิด คนหนึ่งเกิด...อีกคนกลับตาย ‘สวน’ กันไปโดยไม่มีโอกาสพบพาน เกี่ยวข้อง
และกับหลายคนที่พบเห็นกันเป็นประจำ ในที่ทำงาน หรือปากซอยบ้าน กลับงั้นๆ ไม่มีอะไรลึกซึ้ง ชีวิตของใครของมัน ไม่ผูกพัน ห่วงหา
แต่...กับคนบางคน แค่ ‘สบตา’ กลับรู้จักได้ถึงใจ ความห่วงใยก่อเกิดได้ง่ายๆ
ร่างสูงเลี้ยวขวาตรงไปยังห้องหนังสือ
พยับหมอกเคาะเบาๆบนบานประตูที่เปิดทิ้งไว้ก่อนก้าวเข้าไป ไฟกลางห้องเปิดสว่าง ผนังทั้งสามด้านแน่นขนัดไปด้วยหนังสือ กลางห้องมีโต๊ะทำงานตัวใหญ่ และร่างสูงใหญ่ของชายสูงวัยนั่งสงบนิ่งดั่งรอคอยอยู่ตรงนั้น บนโต๊ะมีหนังสือปกแข็งเล่มหนาวางอยู่เพียงเล่มเดียว หากไม่นับโคมไฟแบบตั้งโต๊ะ
“กลับมาแล้วหรือ”
“ครับผม” ชายหนุ่มวางกล่องไม้ลงบนโต๊ะ “นี่ครับ ของที่อาจารย์สั่งให้ไปรับ”
‘อาจารย์’ คือสรรพนามซึ่งฝ่ายที่อุปการะเลี้ยงดูมาแต่แรกเกิด อีกทั้งยังเป็นบิดาบุญธรรมตามกฎหมาย สั่งสอนให้เรียกแทนคำว่าพ่อ มาตั้งแต่พยับหมอกเริ่มหัดพูด
“นั่งสิ”
เมื่อชายหนุ่มนั่งลงฝั่งตรงข้าม อีกฝ่ายจึงเลื่อนกล่องนั้นมาตรงหน้า แล้วถอดสลักเปิดฝา
ตราทองคำแท้ ลักษณะคล้ายเข็มกลัดติดเสื้อ ขนาดใหญ่ไม่เกินเหรียญสิบ แกะสลักเป็นรูปพระอาทิตย์ฉายแสงก็ปรากฏต่อสายตา
สีหน้าสงบราบเรียบของศาสตราจารย์พิชฌาน ยามนี้มีรอยยิ้มจางๆ ดวงตาแจ่มกระจ่างเกินวัยเลื่อนมาสบกับชายหนุ่มตรงหน้า
“อีกชิ้น...เห็นแล้วใช่ไหม”
“ครับผม เป็นกำไลรูปพญานาค”
“เจ้าของร้านเขาว่ายังไงบ้าง ที่เราจองไว้สองชิ้นแต่เอามาชิ้นเดียว”
“ครับ...ประหลาดใจ ตกใจ” คำตอบสั้น ไม่ต้องมีคำอธิบายเพราะอาจารย์ย่อมรู้ดีว่าเจ้าของร้านจะมีปฏิกิริยาอย่างไร หลังจากเขาถ่ายทอดคำพูดของอาจารย์ให้หล่อนรับทราบถึงเหตุผล ว่าเหตุไรจึงรับของมาชิ้นเดียว
หญิงสาวเจ้าของร้านแอนทีค มีสีหน้างุนงงกึ่งประหลาดใจ เมื่อพยับหมอกบอกหล่อนว่า
“กำไลนี่ฝากเก็บไว้ด้วย จนกว่าจะมีผู้หญิงคนนึงมาขอซื้อ คาดว่าคงจะเป็นวันสองวันนี้ส่วนที่วางมัดจำไปแล้วไม่ต้องคืน ยกประโยชน์ให้คนมาซื้อก็แล้วกัน”
“เธอชื่ออะไรคะ กรองจะได้ขายให้ถูกคน”
“ผมไม่ทราบ”
“อ้าว ! แล้ว...”
“ผู้หญิงคนนั้นจะบอกกับคุณว่า เธออยากได้กำไลนี่เพราะรู้สึกเหมือนเคยเป็นเจ้าของ”
“คะ” หล่อนอุทาน คราวนี้มีรอยตระหนกปนเคลือบแคลงในดวงตาคู่นั้น
“คุณรู้ได้ยังไงว่ามีคนพูดแบบนั้น”
“หมายความว่าเธอมาแล้วงั้นหรือ” คราวนี้คนถามเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจเช่นกัน
“ค่ะ...วันนี้มีผู้หญิงขอซื้อกำไลอันนี้ พอบอกว่ามีคนจองแล้วเธอก็บอกว่าเสียดาย เหมือนเจอของที่หายไปนาน เหมือนเคยเป็นเจ้าของ”
“อย่างนั้นช่วยเก็บไว้ให้เธอด้วย” เขาตัดบทลงเพียงนั้น
สีหน้าเจ้าของร้านแอนทีคยังเปี่ยมไปด้วยความเคลือบแคลงเมื่อเขาจากมา ก็น่าจะเป็นอย่างนั้น เพราะแม้แต่ตัวเขาเอง หากถ้าไม่ได้ใกล้ชิดกับศาสตราจารย์พิชฌานอย่างนี้ คงมีอาการไม่ต่างจากผู้หญิงคนนั้นเช่นกัน
ศาสตราจารย์ปิดฝากล่องแล้วเลื่อนมันคืนมาให้ชายหนุ่ม
“เก็บไว้”
คราวนี้พยับหมอกเป็นฝ่ายได้ประหลาดใจบ้าง
“แต่ว่า...” เขาอ้ำอึ้ง
ผู้เปรียบเสมือนบิดา โบกมือแล้วขัดขึ้นก่อนที่ชายหนุ่มจะทันได้ปฏิเสธ
“เธอนี่ไม่เคยเปลี่ยนนิสัยเลย ไม่ว่านานแค่ไหน” คำพูดนั้นมีกระแสความปราณี ดวงตาลึกดำสนิทที่มองตรงมา ฉายแววล้ำลึกสุดจะหยั่ง
คนฟังนิ่งงัน ด้วยไม่เข้าใจ แม้ยุติคำโต้แย้ง หากในใจยังกังขา ทำไมอาจารย์ถึงซื้อของชิ้นนี้มา เพียงแค่ให้เขาเก็บไว้ แล้วนิสัยแบบไหนของเขางั้นหรือ? ที่อาจารย์ว่าไม่เคยเปลี่ยน
คนสูงวัยยัดกล่องไม้ใส่มือให้ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังมีอาการลังเล
“ของบางอย่าง...ถึงเราจะไม่เคยปรารถนา แต่ใช่ว่าจะปฏิเสธมันได้ ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้มีเหตุผลของมันเสมอ”
พยับหมอกวางกล่องไม้ลงบนโต๊ะข้างเตียง ดวงตามีร่องรอยครุ่นคิด
เขาคุ้นเคยกับการอดทนรอ โดยไม่ปริปากซักถาม ด้วยรู้ว่าไร้ประโยชน์ที่จะทำเช่นนั้น เพราะสิ่งใดที่อาจารย์อยากให้รู้ก็จะบอกออกมาเอง และสิ่งใดที่ไม่เอ่ยถึง นั่นย่อมหมายความว่ายังไม่ปรารถนาจะอธิบาย
เหตุผลนั้นย่อมมีแน่ เพียงแต่ยังเป็นปริศนาค้างคา รอเวลาให้พบกุญแจแห่งคำตอบ
ศาสตราจารย์พิชฌานหาใช่แค่ผู้เชี่ยวชาญทางด้านศาสนาและปรัชญาเท่านั้น แต่ยังรอบรู้ และล่วงรู้ในสิ่งที่คนธรรมดามิอาจรู้ได้...
ยามที่พยับหมอกเผชิญหน้ากับปัญหาต่างๆนานา แม้ไม่เคยเอ่ยปากเล่า แต่อาจารย์มักรู้และแสดงออกด้วยการนั่งพูดคุยกับเขา นานกว่าทุกครั้ง
“เบื่อคนหรือเบื่อโลก”
คนถูกถาม ได้แต่ยิ้มเนือยๆแทนคำตอบ
“ไหนๆก็เกิดมาแล้วอย่าให้เสียชาติเกิด กว่าจะเกิดเป็นคนไม่ใช่ง่าย...ถ้าจิตไม่เป็นกุศล ไม่มีศีลห้า ไม่ได้เกิดมาเป็นคนหรอก อยู่ในศีลในธรรม คิดดี ทำดี เอาไว้ไม่เสียหลายหรอก”
สิ่งที่พูดคุย มักเกี่ยวข้องพ้องกับปัญหาอยู่ร่ำไป ดั่งรู้...เกิดอะไรขึ้น และการนั่งเงียบๆฟังอาจารย์พูดไปเรื่อยๆ ก็ทำให้ปมปัญหาในใจ คลายลงทุกที
“ผู้คนที่ต้องมาเกี่ยวข้อง พบพานกัน ไม่ว่า...มิตรหรือศัตรู ล้วนแต่มีกรรมร่วมกันมาในอดีตทั้งนั้น เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร ดีกว่าผูกกรรมไม่รู้จบ ทำยาก...แต่ถ้าทำได้แล้วดี”
“ครับผม”
คำตอบ...ใช่ตอบเพื่อเอาใจ แต่เชื่อมั่น เคารพ เพราะอาจารย์วางตนเป็นแบบอย่าง คิดดีทำดี อยู่ในศีลธรรม ให้เห็นเสมอมา
“เข้าใจก็ดีแล้ว” รอยยิ้มจางๆปรากฏชั่วขณะเมื่ออีกฝ่ายเริ่มเปิดปากพูด
“เคยเห็นไหม บางคนก่นด่าฟ้าดินหาว่าทำดีไม่ได้ดี บางคนเกิดมาดีมีพร้อมมากกว่าคนอื่นทั้งรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติก็กลับหลงระเริง สร้างแต่เหตุที่จะพาลงต่ำใต้ ที่เป็นๆกันอยู่ทั้งดีทั้งร้ายในปัจจุบันนี่ก็เพราะผลจากกรรมเก่า สร้างเหตุมาอย่างไรในอดีต ผลที่ได้ในปัจจุบันก็เป็นเช่นนั้น เขาถึงบอกไงล่ะว่า...ดีชั่วอยู่ที่ตัวทำ สูงต่ำอยู่ที่ทำตัว”
น้ำเสียงเรียบเรื่อยที่บอกเล่า ล้วนแต่ปลูกเพาะเมล็ดพันธุ์ลงในเนื้อใจของผู้ฟัง ให้เชื่อในกฎแห่งกรรม และมุ่งสร้างแต่เหตุอันดีอันควร
“วัฏสงสารน่ากลัวตรงนี้แหละ ตรงที่มันเป็นความลับ การเปลี่ยนชาติภพทำให้เราลืม...”
“แต่ก็มีคนระลึกชาติได้ใช่มั้ยครับ”
คำถามนั้นเลียบเคียงอย่างสุภาพ คนฟังจึงหัวเราะแผ่วๆอยู่ในลำคอ
“ก็ต้องสร้างเหตุไว้” คำตอบสั้น จนอีกฝ่ายไม่กล้าหาคำตอบที่ชี้ชัดไปมากกว่านั้น
“ท่านถือศีล ภาวนามาแต่หนุ่มๆแล้ว จีบว่าท่านน่ะเผลอๆจะระลึกชาติได้ด้วยซ้ำ มีอย่างรึ...ตอนคุณหมอกเกิดน่ะ ท่านก็รู้ล่วงหน้า เดินทางไปรับมาด้วยตัวเอง”
ป้าจีบเคยบอกเมื่อครั้งพยับหมอกยังเป็นเด็กชาย คำพูดเหล่านี้มาจากป้าจีบและลุงชมเสียเป็นส่วนใหญ่ ตัวอาจารย์เองนั้นหาได้เคยปริปาก พอถามหนักเข้า...ลุงชมก็ว่า...
“ใครจะรู้ล่ะ...ของจริงเขาไม่โอ้อวดกันหรอกคุณหมอก ถ้าท่านไม่พูดเราก็ไม่ควรไปถาม”
ชีวิตดำเนินไปอย่างราบรื่น
กระทั่งเริ่มเข้าเรียนมัธยม ความพลัดพรากก็เยี่ยมกรายเข้ามาเมื่ออาจารย์ต้องย้ายไปทำงานที่ต่างประเทศ
“อยู่เองได้ใช่ไหม”
คำถามนั้นเจือด้วยกระแสเมตตา แต่คนฟังใจวูบลงทันที รู้แน่...ว่าไม่ได้รับอนุญาตให้ไปด้วย พยับหมอกเพิ่งรู้ซึ้งถึงใยโยงยึด แห่งความผูกพันก็คราวนั้น
“ครับผม” รับคำแต่หาได้ยอมสบตา
“ตั้งใจเรียนนะ มีปัญหาขาดเหลืออะไรก็บอกจีบกับชม”
“ครับผม”
เสียงแผ่วลงยิ่งกว่าเดิม ฝ่ามือหนาจึงเอื้อมมาวางลงบนศีรษะ
“เสียใจหรือเปล่าที่ไม่ได้พาไปด้วย”
พออีกฝ่ายใช้ความเงียบแทนคำตอบ อาจารย์ก็พยักหน้า “คนเราจะเกาะราวตลอดไปไม่ได้หรอก ถ้าไม่ปล่อยมือ...จะเดินเองได้ยังไง ตนต้องเป็นที่พึ่งแห่งตน”
สิ้นคำพูดนั้น ห้องสมุดดูเงียบวังเวงอย่างประหลาด หากหัวใจของเด็กชายกลับว่างเปล่าเสียยิ่งกว่า ความพลัดพรากครั้งแรกกับบุคคลผู้ผูกพันประหนึ่งบิดา จะมิให้ใจหายได้อย่างไร
ดุจจะรู้ความคิด ประโยคต่อมาน้ำเสียงจึงอ่อนลง “ชีวิตก็อย่างนี้ละ ใช่จะมีแต่สมหวัง สมปรารถนา อย่ายึดติด อะไรก็ล้วนแต่ยึดถือไม่ได้หรอก...จำไว้”
อาจารย์เลื่อนลิ้นชักโต๊ะทำงานออก หยิบสมุดปกแข็งเล่มหนา ลักษณะคล้ายสมุดบันทึกออกมาแล้วยื่นให้
“เอาไว้อ่านเล่น”
เมื่อเปิดหน้าแรก ก็พบลายมือหวัดแกมบรรจงเรียงเป็นระเบียบเต็มหน้ากระดาษ และหน้าต่อๆไปก็เช่นกัน
บรรทัดแรกมีประโยคสั้นๆอยู่กึ่งกลางหน้ากระดาษ อ่านว่า “คีรีรัตนปุระ”
“เป็นประวัติศาสตร์หรือครับ”
“จะว่าอย่างนั้นก็ได้” คนพูดยิ้มน้อยๆ “จะมองว่าเป็นนิยายไว้อ่านเล่นก็ได้ แค่เขียนเตือนความจำ...กันลืม” คำพูดนั้นเจือด้วยเสียงหัวเราะแผ่วๆ ฟังดูคล้ายล้อเล่น
แต่คนใกล้ชิดย่อมรู้...อาจารย์ไม่เคย ‘ล้อเล่น’
พยับหมอกเข้าใจความหมายของคำว่า ‘ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน’ อย่างแท้จริง เมื่อต้องใช้ชีวิตตามลำพัง แม้จะมีป้าจีบกับลุงชม แต่เมื่อปราศจากอาจารย์เสียคนก็เหมือนหมดหลักให้ยึดเกาะ
นานๆอาจารย์ถึงจะเขียนจดหมายมาสักฉบับ สมุดบันทึกเล่มนั้นจึงเป็นเพื่อนที่ดี ในยามรู้สึกโดดเดี่ยว
วิธีการเล่าเหมือนไดอารี่ซึ่งบันทึกเหตุการณ์โดยไม่ได้เรียบเรียง แต่จะด้วยจินตนาการหรืออะไรก็ตาม เขาเรียงลำดับมันได้ หลังจากอ่านจนถึงหน้าสุดท้ายเป็นรอบที่สอง
เหตุการณ์บางช่วงของนครคีรีรัตนปุระขาดหายไป เหมือนจงใจทิ้งว่างเอาไว้ ก่อนมาสรุปท้ายเล่มถึงสาเหตุแห่งการล่มสลายไปของนครแห่งนี้
เคยเข้าใจว่า คีรีรัตนปุระ คือนครแห่งหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ที่อาจารย์ค้นคว้าเพิ่มเติมและบันทึกไว้ ตราบจนกระทั่งเขาจบปริญญาโทสาขาประวัติศาสตร์และโบราณคดี อีกทั้งกลายเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยเมื่อไม่นานมานี้
พยับหมอกแน่ใจว่า คีรีรัตนปุระไม่เคยถูกจารึกหรือปรากฏอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์ใดๆแน่นอน หรือแม้แต่ในตำนานที่คาดว่าน่าจะมี ก็ยังคว้าน้ำเหลว
แล้วอาจารย์เขียนเรื่องราวเหล่านี้ขึ้นมาได้อย่างไร...จากไหน…
ปริศนาเก่ายังไม่คลี่คลาย อาจารย์ก็หยิบยื่นปริศนาชิ้นใหม่ให้อีกแล้ว
อะไรบางอย่างกระตุ้นเตือนอยู่ภายใน คลับคล้ายว่า...ตราทองคำ แกะสลักเป็นรูปพระอาทิตย์ฉายแสง ได้ถูกเอ่ยถึงในบันทึกเล่มนั้นด้วย เขาเองก็เลือนๆไปเสียแล้ว จำได้แค่...เป็นเครื่องหมายอะไรสักอย่าง
พยับหมอกฉุกคิด...
หากคีรีรัตนปุระไม่ได้มีจริง แล้วตราทองคำอันนี้มาจากที่ใด?
อาจารย์ต้องการจะบอกอะไรกันแน่...เห็นทีจะต้องหาเวลาอ่านบันทึกนั่นอีกครั้งกระมัง!
lys.gif
เสียงไก่ขันถี่ๆแว่วมาจากที่ไหนสักแห่ง ขณะที่น่านน้ำกำลังยืนให้น้ำจากฝักบัวไหลผ่านร่าง เพื่อชำระล้างฟองสบู่เป็นครั้งสุดท้าย ชายหนุ่มนิ่วหน้ารำพึงออกมา
“ไก่ที่ไหนหว่า”
คอนโดมิเนียมกลางกรุงแบบนี้มีไก่เสียที่ไหน ชั่วอึดใจก็กระจ่างว่าไก่ของใคร
ป่านนี้เพิ่งนึกได้ว่าโทรศัพท์หาย ความรู้สึกช้าจริงแฮะ เขาแอบค่อนอยู่ในใจอย่างขันๆ แม่จะเดือดดาลซักปานไหนถ้ารู้ว่าโทรศัพท์ตกอยู่ในมือใคร
น่านน้ำไม่รีบร้อนจะออกมารับ ปล่อยให้มันดังอยู่อย่างนั้นจนเงียบไปเอง
“ช่วยไม่ได้ คนกำลังอาบน้ำ”
ยังไม่ทันขาดคำ โทรศัพท์ก็แผดเสียงขึ้นมาอีก
“แม่เจ้าโว้ย จะเอาให้ได้ดั่งใจ จริงๆยายคนนี้” ชายหนุ่มปิดฝักบัว คว้าผ้าเช็ดตัวมาพันกายลวกๆ หยดน้ำยังเกาะพราวไปทั้งเนื้อตัว เมื่อเร่งฝีเท้าออกมาคว้าโทรศัพท์กดรับสาย
“นายกล้าดียังไงถึงหยิบโทรศัพท์ฉันไป” คำกล่าวหาแทรกขึ้นมาเสียก่อนที่น่านน้ำจะเอ่ยทักทาย
“นี่ ความจริงคุณน่าจะขอบคุณ ที่ผมเก็บรักษามือถือเอาไว้ให้ถึงจะถูกนะคุณวีนมา ยังดีที่ผมไม่ได้ชื่อวีนไป ไม่งั้นมีหวังได้ชักธงรบแหง” น่านน้ำแสร้งลากเสียง เรียกชื่ออีกฝ่ายให้ผิดความหมาย
“ว่าแต่คุณรู้ได้ไงว่าอยู่ที่ผม หรือไม่รู้หรอก แต่แผดใส่ทุกคนแบบนี้เป็นปกติ”
“ก็แล้วใครล่ะที่เที่ยวป่าวประกาศตามสถานีวิทยุ ฉันไม่ได้หูป่าตาเถื่อนนี่จะได้ไม่รู้”
“โอ๊ะโอ๋...ที่แท้คุณก็เป็นแฟนดรีมเรดิโอกะเค้าเหมือนกันเรอะนี่...ไม่คิดไม่ฝัน”
ทางปลายสายเงียบไปชั่วครู่เหมือนกำลังนับหนึ่งถึงสิบ
“ฉันต้องการมือถือคืน พรุ่งนี้จะส่งคนไปรับ ช่วยนัดสถานที่ด้วย” เสียงราบเรียบขึ้นอย่างคนที่ควบคุมตัวเองได้แล้ว และมุ่งตรงประเด็นโดยไม่ยอมเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้เฉไฉหรือยั่วโมโห
“ไม่...คุณต้องมาเอง”
“ทำไม...คุณต้องการอะไรอีก หรืออยากได้ค่าไถ่” น้ำเสียงที่เอ่ยออกมา แสดงอาการดูถูกอย่างไม่ซ่อนเร้น
ร่างสูงอันประกอบไปด้วยผิวสีแทนเนียนละเอียด ซึ่งมีเพียงผ้าเช็ดตัวผืนเดียว ย่างเท้าเอื่อยๆไปหยุดบริเวณผนังห้องด้านซึ่งเป็นกระจก มือซ้ายที่มีรอยกระจางๆท้าวยันแผ่นกระจกไว้
“ผมมีเรื่องต้องคุยกับคุณ” ไม่มีสำเนียงยียวนอีกแล้วในยามนี้
“ก็ทำไมไม่คุยเสียเลย ตอนนี้”
“คุณจะได้ว่าผมบ้าปะไร” คำพูดเริ่มออกอาการหงุดหงิด ก่อนจะมีเสียงระบายลมหายใจหนักๆ “ขอร้องละ...ผมต้องการคำตอบแค่ไม่กี่ข้อเพื่อพิสูจน์ว่าผมไม่ได้บ้าหรือตาฝาด”
จบประโยคนั้น ทางปลายสายก็เงียบกริบ น่านน้ำไม่ได้ยินแม้แต่เสียงลมหายใจ
“ฮัลโหล...คุณยังฟังอยู่หรือเปล่า”
มีเสียงตอบรับแผ่วเบา ก่อนจะบอกสั้นๆ “พรุ่งนี้เที่ยงตรงเจอกันที่หน้าร้านแอนทีค”
เธอตัดสายลงเกือบจะพร้อมกับคำพูดสุดท้าย น่านน้ำเบ้หน้าใส่โทรศัพท์
“พอเลิกวีนก็กลายเป็น...เยือกเย็นฤดี”
คนช่างค่อนขอดเดินกลับมาเปิดตู้เสื้อผ้า คว้ากางเกงนอนผ้าฝ้ายกับเสื้อยืดออกมาสวม ผ้าเช็ดตัวถูกเหวี่ยงขึ้นไปพาดบนราวตากผ้ามุมห้อง ที่มีปิจามาขยุ้มแหมะเอาไว้ก่อนหน้านั้นแล้ว บ่งบอกถึงความลวก ตามนิสัยของคนที่มีผู้แวดล้อมดูแลจนเคยชิน
เมื่อแยกตัวมาอยู่คอนโดมิเนียมแต่ตามลำพัง โดยฝากความสะอาดเอาไว้กับเมท ไหนเลยจะให้สะอาดเรี่ยมเหมือนกับคฤหาสน์ของนายแพทย์ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเอกชน ที่ชายทะเลได้เล่า
แต่การยอมสูญเสียความสะดวกสบาย เพื่อแลกกับอิสระในการดำรงชีวิต ในแบบที่อยากเป็น น่านน้ำคิดว่ามันคุ้ม!
พ่อไม่ค้านสักคำ เมื่อเขาบอกว่าจะขอแยกมาอยู่คอนโดฯ
พ่อคงเบื่อ ที่จะเคี่ยวเข็ญหรือคาดหวังอะไร จากลูกคนโตที่ไม่เคยได้อย่างใจแบบเขาอีกแล้ว หลังจากผิดหวังซ้ำๆซากๆ นับจากน่านน้ำเลือกเรียนสถาปัตย์ แทนคณะแพทย์ศาสตร์ พอเรียนจบแทนที่จะเป็นสถาปนิก เขาก็กลับเอาแต่เขียนแปลนบ้านแบบพิลึกพิลั่น ซึ่งไม่มีใครกล้าเสี่ยงเอาไปสร้าง
เมื่อเอาดีทางเป็นสถาปนิกไม่ได้ น่านน้ำก็หันมาเป็นนักจัดรายการวิทยุ นี่กระมัง...เป็นเหตุให้พ่อหมดสิ้นความคาดหวังต่อลูกชายคนโตที่ไม่เอาไหน หันไปส่งเสริม ‘นัตนัย’ ลูกชายคนรองซึ่งสอบเข้าคณะแพทย์ศาสตร์ได้สมดั่งใจพ่อ
“จะจัดรายการวิทยุอย่างนี้ตลอดไปหรือน่าน” นัตนัยเคยออกปากถามอย่างอดรนทนไม่ได้
“ไม่รู้สิ จนกว่าจะได้สร้างบ้านแบบที่เราอยากสร้างละมั้ง”
“แล้วทำไมไม่เขียนแปลนแบบที่ลูกค้าต้องการจริงๆ บ้านหินแบบนั้นใครจะ...”
“สักวัน...ฉันจะทำให้นายเห็นว่าบ้านหินของฉันมันไม่ใช่ความเพ้อเจ้อ” น่านน้ำสวนกลับไปทันทีโดยไม่รอให้น้องชายได้พูดจบ
“นายกับพ่อนี่คิดเหมือนกันเลยว่ะนัต ให้ตายสิ” น่านน้ำมองหน้าน้องชายอย่างเบื่อหน่าย
ดวงตาหลังกรอบแว่นเบือนหลบสายตาของผู้เป็นพี่ แต่ยังไม่วายพึมพำออกมา
“ทำไมน่านไม่คิดบ้างว่าเรากับพ่อเป็นห่วง”
“อย่าห่วงเราเลย ยายนาถเพิ่งเอ็นติดเภสัช นายเองอีกหน่อยก็จะกลายเป็นนายแพทย์ ลูกสามคนได้อย่างใจเสียสองในสามแล้ว ถ้าเราจะไม่เอาไหนเสียคน พ่อกับแม่ก็ยังมีนายกับยายนาถ”
น่านน้ำตบไหล่น้องชาย แล้วเปิดยิ้มกระจ่าง ให้รู้ว่าเขามีความสุขดีกับสิ่งที่เลือกจะเป็น
แท้จริงแล้ว...น่านน้ำรู้สึกเสมอว่าเขาไม่เหมือนคนอื่นในครอบครัว
ชายหนุ่มเหวี่ยงร่างลงบนเตียง ใช้สองมือรองท้ายทอยทับบนหมอนอีกชั้น ทอดสายตาผ่านบานกระจกใสของชั้นที่สิบห้า ออกไปยังแสงไฟยามราตรีที่ไม่เคยหลับใหลของเมืองหลวง
จะให้เขาบอกคนอื่นได้อย่างไรว่า แบบแปลนบ้านแปลกประหลาดเหล่านั้น เขาจดจำมาจากความฝัน!!
เขาหลับฝันซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถึงนครในหุบเขาซึ่งมีแม่น้ำกว้างใหญ่ไหลผ่าน
มันไม่ใช่ความฝันธรรมดาๆ เพราะว่า...ทุกคราวเมื่อฝัน มันต่อเนื่องเป็นเรื่องราว ดั่งละครทีวีที่ตัดขาดตอน ทิ้งความอยากรู้ค้างไว้ ให้ผู้ชมเฝ้ารอลุ้นว่า เหตุการณ์ข้างหน้าจะเป็นอย่างไรต่อไป
มันเริ่มขึ้นเมื่อน่านน้ำเรียนอยู่มหาวิทยาลัยปีสอง จนถึงบัดนี้ ความฝันเกิดขึ้นอย่างไร้เหตุ ไม่มีที่มา และเขาไม่รู้ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร
อีกทั้งมันไม่ได้เกิดขึ้นทุกวัน เขาสั่งให้มันเกิดขึ้นไม่ได้ เช่นเดียวกับที่บังคับให้มันหยุดก็ไม่ได้ น่านน้ำเคยปฏิเสธที่จะเชื่อ แรกๆเขาหัวเราะเยาะมัน มองเป็นเรื่องเหลวไหล ต่อมา...เริ่มหงุดหงิดแล้วพาลก่นด่าตัวเอง ตลอดจนเริ่มสงสัยว่าตัวเองกำลังเป็นบ้าหรือเปล่า
จนกระทั่งวันนี้...เมื่อพบสตรีที่ชื่อวีมาร์
เป็นครั้งแรก ที่เกิดเหตุการณ์แปลกประหลาดโดยไม่ได้หลับฝัน ทว่า...สิ่งประจวบเหมาะยิ่งไปกว่านั้นคือ เขาได้ยินเสียงผู้หญิงเรียกชื่อคนที่อยู่ในภาพฝัน
‘มารุสก์’
เด็กชายผู้เป็นเจ้าน้อยแห่งคีรีรัตนปุระ นครในหุบเขาสายหมอก ซึ่งมีบึงกว้างใหญ่ สีม่วงคราม แลละลิ่วสุดสายตา ด้วยดอกกิระณาที่คลี่คลุมผิวน้ำเอาไว้
ดินแดนอัน สงบสุขและงดงามเกินกว่าจะพรรณาได้
QQQQQQQ
ขอบคุณจากใจ
ปัญจนารถ
B.M.W.สีดำแล่นผ่านแนวกำแพงรั้ว ที่ปกคลุมด้วยต้นตีนตุ๊กแกหนาทึบ แล้วชะลอลงตรงหน้าซุ้มประตูไม้
ป้ายชื่อบ้านต้องแสงไฟ แลเห็นเป็นตัวอักษรชัดเจนว่า “เวียงไม้งาม”
คนในรถกดแตรสั้นๆสองครั้ง รอไม่กี่นาทีประตูรั้วก็เปิดออก ชายหนุ่มพารถเคลื่อนผ่านไปตามถนนคอนกรีต ซึ่งพื้นที่ทั้งสองฝั่ง ร่มครึ้มไปด้วยประดู่ ก้ามปู ตะแบกและหางนกยูงฝรั่ง ยืนต้นสูงตระหง่านเก่าแก่ ราวกับผู้เฒ่าซึ่งรักสงบ เดียวดายและเก็บงำความลับของกาลเวลามาหลายชั่วคน
แสงสว่างรำไร ยิ่งทำให้อาณาบริเวณในพื้นที่เกือบสามไร่นี้ดูลึกลับวังเวง ข่มให้คนขวัญอ่อนผู้ไม่คุ้นเคยหวาดผวาได้ง่ายๆ
รถเคลื่อนมาหยุดนิ่งที่มุมหนึ่งของบ้าน ซึ่งต่อยื่นออกมาเป็นโรงรถ ไฟด้านหน้าสว่างพอมองเห็นตึกสองชั้น ก่อด้วยอิฐแดงโชว์แนว ทว่า...ยามนี้มองไม่เห็นแนวอิฐเหล่านั้นแล้ว ด้วยต้นตีนตุ๊กแกได้ยึดพื้นที่ของผนังด้านนอก ไว้เสียทั้งหมด
บ้านทั้งหลังจึงกลายเป็นสีเขียว ยกเว้นบานกระจกหน้าต่าง และประตู ต่อเมื่อก้าวเข้าไปภายในจึงได้สัมผัสกับอิฐโชว์แนวอย่างแท้จริง กระเบื้องปูพื้นสีอ่อนกว่าผนังเล็กน้อย แต่ก็จัดเป็นโทนเดียวกัน เครื่องเรือนทั้งหมดเป็นเนื้อไม้แท้ สีเข้มขรึม ยิ่งทำให้บรรยากาศในบ้านน่าเกรงขามหนักขึ้น หากสะอาดเอี่ยม...ด้วยฝีมือป้าจีบ ผู้รับหน้าที่ทั้งดูแลบ้านช่องและเรื่องอาหารการกิน รวมถึงเลี้ยงดูพยับหมอกมาแต่แบเบาะ
สำหรับพยับหมอก...นอกจากศาสตราจารย์พิชฌานแล้ว ก็มีป้าจีบและลุงชม สามีภรรยาคู่นี้ ที่เปรียบเสมือนญาติผู้ใหญ่ซึ่งนับได้ว่าเป็นครอบครัว
ชายหนุ่มก้าวตรงไปยังห้องหนังสือ มีกล่องไม้ใบเล็ก มุมล่างด้านขวาประทับตราชื่อร้านแอนทีคถือติดมือมาด้วย
ใจหวนระลึกไปถึงหญิงสาวผมซอยสั้นคนนั้น ซึ่งแยกจากกัน โดยไม่ทันถามแม้แต่ชื่อ...ปาฏิหาริย์ไม่ยักเกิดอีกครั้ง จู่ๆฝนก็หยุด เขาก็เลยไม่ได้ทำตามที่ตั้งใจว่า...จะส่งให้ถึงบ้าน
มุมปากชายหนุ่มหยักโค้งขึ้นเมื่อนึกถึง...ก่อนล่ำลา
“ยังไงผมก็ผ่านดอนเมืองอยู่แล้ว จะสะดวกกว่าไหม...ถ้าไปด้วยกัน” เขาเอื้อเฟื้อ แต่เธอสั่นหน้า
“ฝนหยุดแล้ว...ไม่รบกวนดีกว่า” เสียงใสยืนยัน หนักแน่นว่า ‘ไม่’
ลักษณะของเธอบอกให้รู้ว่าถ้าปฏิเสธ ใคร...อย่ามาเซ้าซี้ เขาจึงหยุดการเอื้อเฟื้อไว้แต่เพียงนั้น
“ไม่มีอะไรติดค้างกันแล้ว...ไปนะคะ”
เจ้าตัวไม่วายย้ำถึงเจตนา...ค่าอาหารมื้อนั้น คือ...การใช้หนี้ค่าที่เสียกิริยาแท้ๆ
หวังว่า...ป่านนี้ คงจะถึงบ้าน อย่างปลอดภัย พยับหมอกสะดุดความคิดตัวเอง...เมื่อพบว่าเขากำลังคิดเป็นห่วงเธอ
แปลก! ผู้คนนับร้อยที่เดินสวนกันแต่ละวันในเมืองใหญ่ แต่ทำไมไม่เคยรู้สึก ไม่เคยจดจำ
บางคน...ไม่เคยเจอหน้ากันซ้ำอีกเลย ตราบชั่วชีวิต เหมือนเขากับแม่ผู้ให้กำเนิด ไม่เคยเห็นหน้ากัน ไม่มีความผูกพันก่อเกิด คนหนึ่งเกิด...อีกคนกลับตาย ‘สวน’ กันไปโดยไม่มีโอกาสพบพาน เกี่ยวข้อง
และกับหลายคนที่พบเห็นกันเป็นประจำ ในที่ทำงาน หรือปากซอยบ้าน กลับงั้นๆ ไม่มีอะไรลึกซึ้ง ชีวิตของใครของมัน ไม่ผูกพัน ห่วงหา
แต่...กับคนบางคน แค่ ‘สบตา’ กลับรู้จักได้ถึงใจ ความห่วงใยก่อเกิดได้ง่ายๆ
ร่างสูงเลี้ยวขวาตรงไปยังห้องหนังสือ
พยับหมอกเคาะเบาๆบนบานประตูที่เปิดทิ้งไว้ก่อนก้าวเข้าไป ไฟกลางห้องเปิดสว่าง ผนังทั้งสามด้านแน่นขนัดไปด้วยหนังสือ กลางห้องมีโต๊ะทำงานตัวใหญ่ และร่างสูงใหญ่ของชายสูงวัยนั่งสงบนิ่งดั่งรอคอยอยู่ตรงนั้น บนโต๊ะมีหนังสือปกแข็งเล่มหนาวางอยู่เพียงเล่มเดียว หากไม่นับโคมไฟแบบตั้งโต๊ะ
“กลับมาแล้วหรือ”
“ครับผม” ชายหนุ่มวางกล่องไม้ลงบนโต๊ะ “นี่ครับ ของที่อาจารย์สั่งให้ไปรับ”
‘อาจารย์’ คือสรรพนามซึ่งฝ่ายที่อุปการะเลี้ยงดูมาแต่แรกเกิด อีกทั้งยังเป็นบิดาบุญธรรมตามกฎหมาย สั่งสอนให้เรียกแทนคำว่าพ่อ มาตั้งแต่พยับหมอกเริ่มหัดพูด
“นั่งสิ”
เมื่อชายหนุ่มนั่งลงฝั่งตรงข้าม อีกฝ่ายจึงเลื่อนกล่องนั้นมาตรงหน้า แล้วถอดสลักเปิดฝา
ตราทองคำแท้ ลักษณะคล้ายเข็มกลัดติดเสื้อ ขนาดใหญ่ไม่เกินเหรียญสิบ แกะสลักเป็นรูปพระอาทิตย์ฉายแสงก็ปรากฏต่อสายตา
สีหน้าสงบราบเรียบของศาสตราจารย์พิชฌาน ยามนี้มีรอยยิ้มจางๆ ดวงตาแจ่มกระจ่างเกินวัยเลื่อนมาสบกับชายหนุ่มตรงหน้า
“อีกชิ้น...เห็นแล้วใช่ไหม”
“ครับผม เป็นกำไลรูปพญานาค”
“เจ้าของร้านเขาว่ายังไงบ้าง ที่เราจองไว้สองชิ้นแต่เอามาชิ้นเดียว”
“ครับ...ประหลาดใจ ตกใจ” คำตอบสั้น ไม่ต้องมีคำอธิบายเพราะอาจารย์ย่อมรู้ดีว่าเจ้าของร้านจะมีปฏิกิริยาอย่างไร หลังจากเขาถ่ายทอดคำพูดของอาจารย์ให้หล่อนรับทราบถึงเหตุผล ว่าเหตุไรจึงรับของมาชิ้นเดียว
หญิงสาวเจ้าของร้านแอนทีค มีสีหน้างุนงงกึ่งประหลาดใจ เมื่อพยับหมอกบอกหล่อนว่า
“กำไลนี่ฝากเก็บไว้ด้วย จนกว่าจะมีผู้หญิงคนนึงมาขอซื้อ คาดว่าคงจะเป็นวันสองวันนี้ส่วนที่วางมัดจำไปแล้วไม่ต้องคืน ยกประโยชน์ให้คนมาซื้อก็แล้วกัน”
“เธอชื่ออะไรคะ กรองจะได้ขายให้ถูกคน”
“ผมไม่ทราบ”
“อ้าว ! แล้ว...”
“ผู้หญิงคนนั้นจะบอกกับคุณว่า เธออยากได้กำไลนี่เพราะรู้สึกเหมือนเคยเป็นเจ้าของ”
“คะ” หล่อนอุทาน คราวนี้มีรอยตระหนกปนเคลือบแคลงในดวงตาคู่นั้น
“คุณรู้ได้ยังไงว่ามีคนพูดแบบนั้น”
“หมายความว่าเธอมาแล้วงั้นหรือ” คราวนี้คนถามเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจเช่นกัน
“ค่ะ...วันนี้มีผู้หญิงขอซื้อกำไลอันนี้ พอบอกว่ามีคนจองแล้วเธอก็บอกว่าเสียดาย เหมือนเจอของที่หายไปนาน เหมือนเคยเป็นเจ้าของ”
“อย่างนั้นช่วยเก็บไว้ให้เธอด้วย” เขาตัดบทลงเพียงนั้น
สีหน้าเจ้าของร้านแอนทีคยังเปี่ยมไปด้วยความเคลือบแคลงเมื่อเขาจากมา ก็น่าจะเป็นอย่างนั้น เพราะแม้แต่ตัวเขาเอง หากถ้าไม่ได้ใกล้ชิดกับศาสตราจารย์พิชฌานอย่างนี้ คงมีอาการไม่ต่างจากผู้หญิงคนนั้นเช่นกัน
ศาสตราจารย์ปิดฝากล่องแล้วเลื่อนมันคืนมาให้ชายหนุ่ม
“เก็บไว้”
คราวนี้พยับหมอกเป็นฝ่ายได้ประหลาดใจบ้าง
“แต่ว่า...” เขาอ้ำอึ้ง
ผู้เปรียบเสมือนบิดา โบกมือแล้วขัดขึ้นก่อนที่ชายหนุ่มจะทันได้ปฏิเสธ
“เธอนี่ไม่เคยเปลี่ยนนิสัยเลย ไม่ว่านานแค่ไหน” คำพูดนั้นมีกระแสความปราณี ดวงตาลึกดำสนิทที่มองตรงมา ฉายแววล้ำลึกสุดจะหยั่ง
คนฟังนิ่งงัน ด้วยไม่เข้าใจ แม้ยุติคำโต้แย้ง หากในใจยังกังขา ทำไมอาจารย์ถึงซื้อของชิ้นนี้มา เพียงแค่ให้เขาเก็บไว้ แล้วนิสัยแบบไหนของเขางั้นหรือ? ที่อาจารย์ว่าไม่เคยเปลี่ยน
คนสูงวัยยัดกล่องไม้ใส่มือให้ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังมีอาการลังเล
“ของบางอย่าง...ถึงเราจะไม่เคยปรารถนา แต่ใช่ว่าจะปฏิเสธมันได้ ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้มีเหตุผลของมันเสมอ”
พยับหมอกวางกล่องไม้ลงบนโต๊ะข้างเตียง ดวงตามีร่องรอยครุ่นคิด
เขาคุ้นเคยกับการอดทนรอ โดยไม่ปริปากซักถาม ด้วยรู้ว่าไร้ประโยชน์ที่จะทำเช่นนั้น เพราะสิ่งใดที่อาจารย์อยากให้รู้ก็จะบอกออกมาเอง และสิ่งใดที่ไม่เอ่ยถึง นั่นย่อมหมายความว่ายังไม่ปรารถนาจะอธิบาย
เหตุผลนั้นย่อมมีแน่ เพียงแต่ยังเป็นปริศนาค้างคา รอเวลาให้พบกุญแจแห่งคำตอบ
ศาสตราจารย์พิชฌานหาใช่แค่ผู้เชี่ยวชาญทางด้านศาสนาและปรัชญาเท่านั้น แต่ยังรอบรู้ และล่วงรู้ในสิ่งที่คนธรรมดามิอาจรู้ได้...
ยามที่พยับหมอกเผชิญหน้ากับปัญหาต่างๆนานา แม้ไม่เคยเอ่ยปากเล่า แต่อาจารย์มักรู้และแสดงออกด้วยการนั่งพูดคุยกับเขา นานกว่าทุกครั้ง
“เบื่อคนหรือเบื่อโลก”
คนถูกถาม ได้แต่ยิ้มเนือยๆแทนคำตอบ
“ไหนๆก็เกิดมาแล้วอย่าให้เสียชาติเกิด กว่าจะเกิดเป็นคนไม่ใช่ง่าย...ถ้าจิตไม่เป็นกุศล ไม่มีศีลห้า ไม่ได้เกิดมาเป็นคนหรอก อยู่ในศีลในธรรม คิดดี ทำดี เอาไว้ไม่เสียหลายหรอก”
สิ่งที่พูดคุย มักเกี่ยวข้องพ้องกับปัญหาอยู่ร่ำไป ดั่งรู้...เกิดอะไรขึ้น และการนั่งเงียบๆฟังอาจารย์พูดไปเรื่อยๆ ก็ทำให้ปมปัญหาในใจ คลายลงทุกที
“ผู้คนที่ต้องมาเกี่ยวข้อง พบพานกัน ไม่ว่า...มิตรหรือศัตรู ล้วนแต่มีกรรมร่วมกันมาในอดีตทั้งนั้น เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร ดีกว่าผูกกรรมไม่รู้จบ ทำยาก...แต่ถ้าทำได้แล้วดี”
“ครับผม”
คำตอบ...ใช่ตอบเพื่อเอาใจ แต่เชื่อมั่น เคารพ เพราะอาจารย์วางตนเป็นแบบอย่าง คิดดีทำดี อยู่ในศีลธรรม ให้เห็นเสมอมา
“เข้าใจก็ดีแล้ว” รอยยิ้มจางๆปรากฏชั่วขณะเมื่ออีกฝ่ายเริ่มเปิดปากพูด
“เคยเห็นไหม บางคนก่นด่าฟ้าดินหาว่าทำดีไม่ได้ดี บางคนเกิดมาดีมีพร้อมมากกว่าคนอื่นทั้งรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติก็กลับหลงระเริง สร้างแต่เหตุที่จะพาลงต่ำใต้ ที่เป็นๆกันอยู่ทั้งดีทั้งร้ายในปัจจุบันนี่ก็เพราะผลจากกรรมเก่า สร้างเหตุมาอย่างไรในอดีต ผลที่ได้ในปัจจุบันก็เป็นเช่นนั้น เขาถึงบอกไงล่ะว่า...ดีชั่วอยู่ที่ตัวทำ สูงต่ำอยู่ที่ทำตัว”
น้ำเสียงเรียบเรื่อยที่บอกเล่า ล้วนแต่ปลูกเพาะเมล็ดพันธุ์ลงในเนื้อใจของผู้ฟัง ให้เชื่อในกฎแห่งกรรม และมุ่งสร้างแต่เหตุอันดีอันควร
“วัฏสงสารน่ากลัวตรงนี้แหละ ตรงที่มันเป็นความลับ การเปลี่ยนชาติภพทำให้เราลืม...”
“แต่ก็มีคนระลึกชาติได้ใช่มั้ยครับ”
คำถามนั้นเลียบเคียงอย่างสุภาพ คนฟังจึงหัวเราะแผ่วๆอยู่ในลำคอ
“ก็ต้องสร้างเหตุไว้” คำตอบสั้น จนอีกฝ่ายไม่กล้าหาคำตอบที่ชี้ชัดไปมากกว่านั้น
“ท่านถือศีล ภาวนามาแต่หนุ่มๆแล้ว จีบว่าท่านน่ะเผลอๆจะระลึกชาติได้ด้วยซ้ำ มีอย่างรึ...ตอนคุณหมอกเกิดน่ะ ท่านก็รู้ล่วงหน้า เดินทางไปรับมาด้วยตัวเอง”
ป้าจีบเคยบอกเมื่อครั้งพยับหมอกยังเป็นเด็กชาย คำพูดเหล่านี้มาจากป้าจีบและลุงชมเสียเป็นส่วนใหญ่ ตัวอาจารย์เองนั้นหาได้เคยปริปาก พอถามหนักเข้า...ลุงชมก็ว่า...
“ใครจะรู้ล่ะ...ของจริงเขาไม่โอ้อวดกันหรอกคุณหมอก ถ้าท่านไม่พูดเราก็ไม่ควรไปถาม”
ชีวิตดำเนินไปอย่างราบรื่น
กระทั่งเริ่มเข้าเรียนมัธยม ความพลัดพรากก็เยี่ยมกรายเข้ามาเมื่ออาจารย์ต้องย้ายไปทำงานที่ต่างประเทศ
“อยู่เองได้ใช่ไหม”
คำถามนั้นเจือด้วยกระแสเมตตา แต่คนฟังใจวูบลงทันที รู้แน่...ว่าไม่ได้รับอนุญาตให้ไปด้วย พยับหมอกเพิ่งรู้ซึ้งถึงใยโยงยึด แห่งความผูกพันก็คราวนั้น
“ครับผม” รับคำแต่หาได้ยอมสบตา
“ตั้งใจเรียนนะ มีปัญหาขาดเหลืออะไรก็บอกจีบกับชม”
“ครับผม”
เสียงแผ่วลงยิ่งกว่าเดิม ฝ่ามือหนาจึงเอื้อมมาวางลงบนศีรษะ
“เสียใจหรือเปล่าที่ไม่ได้พาไปด้วย”
พออีกฝ่ายใช้ความเงียบแทนคำตอบ อาจารย์ก็พยักหน้า “คนเราจะเกาะราวตลอดไปไม่ได้หรอก ถ้าไม่ปล่อยมือ...จะเดินเองได้ยังไง ตนต้องเป็นที่พึ่งแห่งตน”
สิ้นคำพูดนั้น ห้องสมุดดูเงียบวังเวงอย่างประหลาด หากหัวใจของเด็กชายกลับว่างเปล่าเสียยิ่งกว่า ความพลัดพรากครั้งแรกกับบุคคลผู้ผูกพันประหนึ่งบิดา จะมิให้ใจหายได้อย่างไร
ดุจจะรู้ความคิด ประโยคต่อมาน้ำเสียงจึงอ่อนลง “ชีวิตก็อย่างนี้ละ ใช่จะมีแต่สมหวัง สมปรารถนา อย่ายึดติด อะไรก็ล้วนแต่ยึดถือไม่ได้หรอก...จำไว้”
อาจารย์เลื่อนลิ้นชักโต๊ะทำงานออก หยิบสมุดปกแข็งเล่มหนา ลักษณะคล้ายสมุดบันทึกออกมาแล้วยื่นให้
“เอาไว้อ่านเล่น”
เมื่อเปิดหน้าแรก ก็พบลายมือหวัดแกมบรรจงเรียงเป็นระเบียบเต็มหน้ากระดาษ และหน้าต่อๆไปก็เช่นกัน
บรรทัดแรกมีประโยคสั้นๆอยู่กึ่งกลางหน้ากระดาษ อ่านว่า “คีรีรัตนปุระ”
“เป็นประวัติศาสตร์หรือครับ”
“จะว่าอย่างนั้นก็ได้” คนพูดยิ้มน้อยๆ “จะมองว่าเป็นนิยายไว้อ่านเล่นก็ได้ แค่เขียนเตือนความจำ...กันลืม” คำพูดนั้นเจือด้วยเสียงหัวเราะแผ่วๆ ฟังดูคล้ายล้อเล่น
แต่คนใกล้ชิดย่อมรู้...อาจารย์ไม่เคย ‘ล้อเล่น’
พยับหมอกเข้าใจความหมายของคำว่า ‘ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน’ อย่างแท้จริง เมื่อต้องใช้ชีวิตตามลำพัง แม้จะมีป้าจีบกับลุงชม แต่เมื่อปราศจากอาจารย์เสียคนก็เหมือนหมดหลักให้ยึดเกาะ
นานๆอาจารย์ถึงจะเขียนจดหมายมาสักฉบับ สมุดบันทึกเล่มนั้นจึงเป็นเพื่อนที่ดี ในยามรู้สึกโดดเดี่ยว
วิธีการเล่าเหมือนไดอารี่ซึ่งบันทึกเหตุการณ์โดยไม่ได้เรียบเรียง แต่จะด้วยจินตนาการหรืออะไรก็ตาม เขาเรียงลำดับมันได้ หลังจากอ่านจนถึงหน้าสุดท้ายเป็นรอบที่สอง
เหตุการณ์บางช่วงของนครคีรีรัตนปุระขาดหายไป เหมือนจงใจทิ้งว่างเอาไว้ ก่อนมาสรุปท้ายเล่มถึงสาเหตุแห่งการล่มสลายไปของนครแห่งนี้
เคยเข้าใจว่า คีรีรัตนปุระ คือนครแห่งหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ที่อาจารย์ค้นคว้าเพิ่มเติมและบันทึกไว้ ตราบจนกระทั่งเขาจบปริญญาโทสาขาประวัติศาสตร์และโบราณคดี อีกทั้งกลายเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยเมื่อไม่นานมานี้
พยับหมอกแน่ใจว่า คีรีรัตนปุระไม่เคยถูกจารึกหรือปรากฏอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์ใดๆแน่นอน หรือแม้แต่ในตำนานที่คาดว่าน่าจะมี ก็ยังคว้าน้ำเหลว
แล้วอาจารย์เขียนเรื่องราวเหล่านี้ขึ้นมาได้อย่างไร...จากไหน…
ปริศนาเก่ายังไม่คลี่คลาย อาจารย์ก็หยิบยื่นปริศนาชิ้นใหม่ให้อีกแล้ว
อะไรบางอย่างกระตุ้นเตือนอยู่ภายใน คลับคล้ายว่า...ตราทองคำ แกะสลักเป็นรูปพระอาทิตย์ฉายแสง ได้ถูกเอ่ยถึงในบันทึกเล่มนั้นด้วย เขาเองก็เลือนๆไปเสียแล้ว จำได้แค่...เป็นเครื่องหมายอะไรสักอย่าง
พยับหมอกฉุกคิด...
หากคีรีรัตนปุระไม่ได้มีจริง แล้วตราทองคำอันนี้มาจากที่ใด?
อาจารย์ต้องการจะบอกอะไรกันแน่...เห็นทีจะต้องหาเวลาอ่านบันทึกนั่นอีกครั้งกระมัง!
lys.gif
เสียงไก่ขันถี่ๆแว่วมาจากที่ไหนสักแห่ง ขณะที่น่านน้ำกำลังยืนให้น้ำจากฝักบัวไหลผ่านร่าง เพื่อชำระล้างฟองสบู่เป็นครั้งสุดท้าย ชายหนุ่มนิ่วหน้ารำพึงออกมา
“ไก่ที่ไหนหว่า”
คอนโดมิเนียมกลางกรุงแบบนี้มีไก่เสียที่ไหน ชั่วอึดใจก็กระจ่างว่าไก่ของใคร
ป่านนี้เพิ่งนึกได้ว่าโทรศัพท์หาย ความรู้สึกช้าจริงแฮะ เขาแอบค่อนอยู่ในใจอย่างขันๆ แม่จะเดือดดาลซักปานไหนถ้ารู้ว่าโทรศัพท์ตกอยู่ในมือใคร
น่านน้ำไม่รีบร้อนจะออกมารับ ปล่อยให้มันดังอยู่อย่างนั้นจนเงียบไปเอง
“ช่วยไม่ได้ คนกำลังอาบน้ำ”
ยังไม่ทันขาดคำ โทรศัพท์ก็แผดเสียงขึ้นมาอีก
“แม่เจ้าโว้ย จะเอาให้ได้ดั่งใจ จริงๆยายคนนี้” ชายหนุ่มปิดฝักบัว คว้าผ้าเช็ดตัวมาพันกายลวกๆ หยดน้ำยังเกาะพราวไปทั้งเนื้อตัว เมื่อเร่งฝีเท้าออกมาคว้าโทรศัพท์กดรับสาย
“นายกล้าดียังไงถึงหยิบโทรศัพท์ฉันไป” คำกล่าวหาแทรกขึ้นมาเสียก่อนที่น่านน้ำจะเอ่ยทักทาย
“นี่ ความจริงคุณน่าจะขอบคุณ ที่ผมเก็บรักษามือถือเอาไว้ให้ถึงจะถูกนะคุณวีนมา ยังดีที่ผมไม่ได้ชื่อวีนไป ไม่งั้นมีหวังได้ชักธงรบแหง” น่านน้ำแสร้งลากเสียง เรียกชื่ออีกฝ่ายให้ผิดความหมาย
“ว่าแต่คุณรู้ได้ไงว่าอยู่ที่ผม หรือไม่รู้หรอก แต่แผดใส่ทุกคนแบบนี้เป็นปกติ”
“ก็แล้วใครล่ะที่เที่ยวป่าวประกาศตามสถานีวิทยุ ฉันไม่ได้หูป่าตาเถื่อนนี่จะได้ไม่รู้”
“โอ๊ะโอ๋...ที่แท้คุณก็เป็นแฟนดรีมเรดิโอกะเค้าเหมือนกันเรอะนี่...ไม่คิดไม่ฝัน”
ทางปลายสายเงียบไปชั่วครู่เหมือนกำลังนับหนึ่งถึงสิบ
“ฉันต้องการมือถือคืน พรุ่งนี้จะส่งคนไปรับ ช่วยนัดสถานที่ด้วย” เสียงราบเรียบขึ้นอย่างคนที่ควบคุมตัวเองได้แล้ว และมุ่งตรงประเด็นโดยไม่ยอมเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้เฉไฉหรือยั่วโมโห
“ไม่...คุณต้องมาเอง”
“ทำไม...คุณต้องการอะไรอีก หรืออยากได้ค่าไถ่” น้ำเสียงที่เอ่ยออกมา แสดงอาการดูถูกอย่างไม่ซ่อนเร้น
ร่างสูงอันประกอบไปด้วยผิวสีแทนเนียนละเอียด ซึ่งมีเพียงผ้าเช็ดตัวผืนเดียว ย่างเท้าเอื่อยๆไปหยุดบริเวณผนังห้องด้านซึ่งเป็นกระจก มือซ้ายที่มีรอยกระจางๆท้าวยันแผ่นกระจกไว้
“ผมมีเรื่องต้องคุยกับคุณ” ไม่มีสำเนียงยียวนอีกแล้วในยามนี้
“ก็ทำไมไม่คุยเสียเลย ตอนนี้”
“คุณจะได้ว่าผมบ้าปะไร” คำพูดเริ่มออกอาการหงุดหงิด ก่อนจะมีเสียงระบายลมหายใจหนักๆ “ขอร้องละ...ผมต้องการคำตอบแค่ไม่กี่ข้อเพื่อพิสูจน์ว่าผมไม่ได้บ้าหรือตาฝาด”
จบประโยคนั้น ทางปลายสายก็เงียบกริบ น่านน้ำไม่ได้ยินแม้แต่เสียงลมหายใจ
“ฮัลโหล...คุณยังฟังอยู่หรือเปล่า”
มีเสียงตอบรับแผ่วเบา ก่อนจะบอกสั้นๆ “พรุ่งนี้เที่ยงตรงเจอกันที่หน้าร้านแอนทีค”
เธอตัดสายลงเกือบจะพร้อมกับคำพูดสุดท้าย น่านน้ำเบ้หน้าใส่โทรศัพท์
“พอเลิกวีนก็กลายเป็น...เยือกเย็นฤดี”
คนช่างค่อนขอดเดินกลับมาเปิดตู้เสื้อผ้า คว้ากางเกงนอนผ้าฝ้ายกับเสื้อยืดออกมาสวม ผ้าเช็ดตัวถูกเหวี่ยงขึ้นไปพาดบนราวตากผ้ามุมห้อง ที่มีปิจามาขยุ้มแหมะเอาไว้ก่อนหน้านั้นแล้ว บ่งบอกถึงความลวก ตามนิสัยของคนที่มีผู้แวดล้อมดูแลจนเคยชิน
เมื่อแยกตัวมาอยู่คอนโดมิเนียมแต่ตามลำพัง โดยฝากความสะอาดเอาไว้กับเมท ไหนเลยจะให้สะอาดเรี่ยมเหมือนกับคฤหาสน์ของนายแพทย์ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเอกชน ที่ชายทะเลได้เล่า
แต่การยอมสูญเสียความสะดวกสบาย เพื่อแลกกับอิสระในการดำรงชีวิต ในแบบที่อยากเป็น น่านน้ำคิดว่ามันคุ้ม!
พ่อไม่ค้านสักคำ เมื่อเขาบอกว่าจะขอแยกมาอยู่คอนโดฯ
พ่อคงเบื่อ ที่จะเคี่ยวเข็ญหรือคาดหวังอะไร จากลูกคนโตที่ไม่เคยได้อย่างใจแบบเขาอีกแล้ว หลังจากผิดหวังซ้ำๆซากๆ นับจากน่านน้ำเลือกเรียนสถาปัตย์ แทนคณะแพทย์ศาสตร์ พอเรียนจบแทนที่จะเป็นสถาปนิก เขาก็กลับเอาแต่เขียนแปลนบ้านแบบพิลึกพิลั่น ซึ่งไม่มีใครกล้าเสี่ยงเอาไปสร้าง
เมื่อเอาดีทางเป็นสถาปนิกไม่ได้ น่านน้ำก็หันมาเป็นนักจัดรายการวิทยุ นี่กระมัง...เป็นเหตุให้พ่อหมดสิ้นความคาดหวังต่อลูกชายคนโตที่ไม่เอาไหน หันไปส่งเสริม ‘นัตนัย’ ลูกชายคนรองซึ่งสอบเข้าคณะแพทย์ศาสตร์ได้สมดั่งใจพ่อ
“จะจัดรายการวิทยุอย่างนี้ตลอดไปหรือน่าน” นัตนัยเคยออกปากถามอย่างอดรนทนไม่ได้
“ไม่รู้สิ จนกว่าจะได้สร้างบ้านแบบที่เราอยากสร้างละมั้ง”
“แล้วทำไมไม่เขียนแปลนแบบที่ลูกค้าต้องการจริงๆ บ้านหินแบบนั้นใครจะ...”
“สักวัน...ฉันจะทำให้นายเห็นว่าบ้านหินของฉันมันไม่ใช่ความเพ้อเจ้อ” น่านน้ำสวนกลับไปทันทีโดยไม่รอให้น้องชายได้พูดจบ
“นายกับพ่อนี่คิดเหมือนกันเลยว่ะนัต ให้ตายสิ” น่านน้ำมองหน้าน้องชายอย่างเบื่อหน่าย
ดวงตาหลังกรอบแว่นเบือนหลบสายตาของผู้เป็นพี่ แต่ยังไม่วายพึมพำออกมา
“ทำไมน่านไม่คิดบ้างว่าเรากับพ่อเป็นห่วง”
“อย่าห่วงเราเลย ยายนาถเพิ่งเอ็นติดเภสัช นายเองอีกหน่อยก็จะกลายเป็นนายแพทย์ ลูกสามคนได้อย่างใจเสียสองในสามแล้ว ถ้าเราจะไม่เอาไหนเสียคน พ่อกับแม่ก็ยังมีนายกับยายนาถ”
น่านน้ำตบไหล่น้องชาย แล้วเปิดยิ้มกระจ่าง ให้รู้ว่าเขามีความสุขดีกับสิ่งที่เลือกจะเป็น
แท้จริงแล้ว...น่านน้ำรู้สึกเสมอว่าเขาไม่เหมือนคนอื่นในครอบครัว
ชายหนุ่มเหวี่ยงร่างลงบนเตียง ใช้สองมือรองท้ายทอยทับบนหมอนอีกชั้น ทอดสายตาผ่านบานกระจกใสของชั้นที่สิบห้า ออกไปยังแสงไฟยามราตรีที่ไม่เคยหลับใหลของเมืองหลวง
จะให้เขาบอกคนอื่นได้อย่างไรว่า แบบแปลนบ้านแปลกประหลาดเหล่านั้น เขาจดจำมาจากความฝัน!!
เขาหลับฝันซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถึงนครในหุบเขาซึ่งมีแม่น้ำกว้างใหญ่ไหลผ่าน
มันไม่ใช่ความฝันธรรมดาๆ เพราะว่า...ทุกคราวเมื่อฝัน มันต่อเนื่องเป็นเรื่องราว ดั่งละครทีวีที่ตัดขาดตอน ทิ้งความอยากรู้ค้างไว้ ให้ผู้ชมเฝ้ารอลุ้นว่า เหตุการณ์ข้างหน้าจะเป็นอย่างไรต่อไป
มันเริ่มขึ้นเมื่อน่านน้ำเรียนอยู่มหาวิทยาลัยปีสอง จนถึงบัดนี้ ความฝันเกิดขึ้นอย่างไร้เหตุ ไม่มีที่มา และเขาไม่รู้ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร
อีกทั้งมันไม่ได้เกิดขึ้นทุกวัน เขาสั่งให้มันเกิดขึ้นไม่ได้ เช่นเดียวกับที่บังคับให้มันหยุดก็ไม่ได้ น่านน้ำเคยปฏิเสธที่จะเชื่อ แรกๆเขาหัวเราะเยาะมัน มองเป็นเรื่องเหลวไหล ต่อมา...เริ่มหงุดหงิดแล้วพาลก่นด่าตัวเอง ตลอดจนเริ่มสงสัยว่าตัวเองกำลังเป็นบ้าหรือเปล่า
จนกระทั่งวันนี้...เมื่อพบสตรีที่ชื่อวีมาร์
เป็นครั้งแรก ที่เกิดเหตุการณ์แปลกประหลาดโดยไม่ได้หลับฝัน ทว่า...สิ่งประจวบเหมาะยิ่งไปกว่านั้นคือ เขาได้ยินเสียงผู้หญิงเรียกชื่อคนที่อยู่ในภาพฝัน
‘มารุสก์’
เด็กชายผู้เป็นเจ้าน้อยแห่งคีรีรัตนปุระ นครในหุบเขาสายหมอก ซึ่งมีบึงกว้างใหญ่ สีม่วงคราม แลละลิ่วสุดสายตา ด้วยดอกกิระณาที่คลี่คลุมผิวน้ำเอาไว้
ดินแดนอัน สงบสุขและงดงามเกินกว่าจะพรรณาได้
QQQQQQQ
ขอบคุณจากใจ
ปัญจนารถ
ปัญจนารถ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 10 ส.ค. 2557, 21:24:03 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 10 ส.ค. 2557, 21:24:03 น.
จำนวนการเข้าชม : 820
<< ตอนที่ 2. |