วิมายา
ความรัก ความผูกพันที่เกาะเกี่ยว โยงยึดแน่นหนาของคนสามคน ซึ่งถูกกลบฝังไว้ในอดีตร่วม 2 พันปี ได้นำพาคนสามคนกลับมาพบกันอีกครั้ง ณ กาลปัจจุบัน
ประตูแห่งอดีตกาลค่อยๆเผยความลับผ่าน...กำไลทอง...ของหญิงสาวที่ชื่อวิมายา
เหรียญตราโบราณ...ของชายหนุ่มที่ชื่อพยับหมอก
รอยกระรูปไฟไหม้...ที่หลังมือของชายหนุ่มที่ชื่อน่านน้ำ และความฝันซ้ำๆของเขา ถึงเรือนแปดเหลี่ยมกลางน้ำ แห่งนครในสายหมอก ซึ่งไม่เคยปรากฏอยู่ในแผนที่ใดๆ
เรื่องราวที่ต่างคนต่างสืบค้น ได้กลายเป็นเรื่องเดียวกัน ทว่า...แต่ละคนสามารถรู้เรื่องราวได้เพียงส่วนหนึ่ง หากจะรู้ทั้งหมดต้องนำแต่ละส่วนเหล่านั้นมาปะติดปะต่อ จึงจะได้ภาพรวมของเรื่องราว
ปมปริศนาและคำตอบทั้งหมดอยู่ที่เรื่องราวในอดีตชาติ ปริศนาชิ้นสุดท้าย...
รอยกระรูปไฟไหม้บนหลังมือน่านน้ำ มีความเป็นมาอย่างไร
วิมายาเคยอธิษฐานอะไรไว้ในอดีต
พยับหมอกเคยลั่นสัจจาต่อฟ้าแลดินไว้อย่างไร
หากค้นพบ และทำได้ดั่งลั่นสัจจาไว้ ทุกอย่างจึงจะยุติและคลี่คลาย พันธะซึ่งเคยมีต่อกันจะสิ้นสุดลง

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 2.

2



ละอองฝนยังปลิวล้อลมมาแผ่วๆ เมื่อวิมายาชะลอฝีเท้าลงหน้าร้านอาหารริมแม่น้ำเจ้าพระยา เธอกดสปริงจี้ที่คล้องอยู่กับสายสร้อยเงิน เมื่อฝาแกะลายดุนนูนเป็นรูปเรือสำเภาดีดเปิดออก ภายในกลับกลายเป็นนาฬิกาแบบไขลานอย่างเก๋ไก๋

ยังไม่หกโมงเย็น...คิ้วเข้มได้รูปสวยเลิกขึ้นสูงด้วยอาการครุ่นคิด...

แวะกินข้าวก่อนกลับบ้าน ดีกว่านั่งแขวนท้องรออยู่บนแท็กซี่ เวลาหลังเลิกงานแถมฝนตกอย่างนี้ รถคงติดมหาโลกาวินาศ

ร้านเล็กๆตกแต่งน่ารัก เหมือนบ้านไม้ริมแม่น้ำหลังกะทัดรัด มีระเบียงกว้างตั้งโต๊ะไม้สีขาวเรียงเป็นระเบียบ สลับกับไม้ประดับพองาม ตามแนวระเบียงเปิดไฟสว่างทั้งที่ยังไม่พลบค่ำ คงเพราะอากาศหลังฝนตก ดูขมุกขมัว ครึ้มค่ำเร็วกว่าความเป็นจริง

ส่วนด้านในไฟสลัวกว่า เพราะเจ้าของร้านใช้แสงเทียนแทนหลอดไฟ วิมายาพึงใจทันทีที่เห็น ‘บรรยากาศดี’ เธอสรุปในใจแล้วก้าวตรงไปยังโต๊ะซึ่งตั้งชิดฝาผนัง

“ขอโทษค่ะ ตรงนี้มีคนนั่งแล้ว เชิญโต๊ะนั้นดีมั้ยคะ” พนักงานบอกอย่างสุภาพ พลางเลื่อนเก้าอี้ไม้สีขาวที่โต๊ะถัดไปให้เธอ

“นั่งฝั่งโน้นดีกว่า จะได้มองออกไปเห็นแม่น้ำ” เธอค้าน แล้วเดินอ้อมมาทิ้งร่างลงนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามโดยไม่รอให้บริการ มือคว้าเมนูบนโต๊ะ มาพลิกดูชั่วครู่

“สลัดทูน่า กับชามะนาว” การเลือกที่นั่ง สั่งอาหารและเครื่องดื่มเสร็จสรรพในชั่วเวลาเพียงแค่อึดใจ

พนักงานสาวมีทีท่าเป็นมิตรมากกว่าเดิม เมื่อเห็นลูกค้าง่ายๆไม่เรื่องมาก เครื่องดื่มถูกนำมาเสิร์ฟรวดเร็วทันใจเมื่อรู้สึกต้องชะตา

“อาหารคอยสักครู่นะคะ ลัดคิวให้แล้ว”

“หือ” คนฟังเลิกคิ้วประหลาดใจ

“อาหารที่พี่สั่งกับของคนโต๊ะข้างหน้านี่เป็นอย่างเดียวกัน ทำพร้อมกันได้เลย”

“อ้อ” เธอทำเสียงรับรู้ “แล้วเจ้าของโต๊ะนี้เขาไปไหนเสียล่ะ” ประโยคนั้นนั้นหลุดปากออกไปมากกว่าจะอยากรู้จริงจัง

“เห็นบอกว่าไปร้านอะไรก็ไม่รู้แถวๆนี้เดี๋ยวกลับมา”

วิมายาพยักหน้า หมดเรื่องคุย อีกฝ่ายจึงหันกลับไปดูแลลูกค้ารายอื่น พออยู่ลำพังความคิดก็ย้อนทวนกลับไปถึงเหตุการณ์แปลกๆเมื่อครู่ที่ร้านแอนทีคอย่างอดไม่ได้

มันเกิดอะไรขึ้น และมันเกิดขึ้นได้อย่างไร?

อิทธิ ปาฏิหาริย์

สัญญาเก่าข้ามชาติภพ

สัมผัสที่ 6

หรือว่า...ใจปรุงแต่งสร้างเรื่องราวขึ้นมาเอง เพียงเพราะเห็นกำไลโบราณ ประจวบเหมาะกับรอยกระจางๆบนหลังมือซ้ายของผู้ชายชื่อน่าน ซึ่งบังเอิญคลับคล้ายรอยไฟไหม้ แล้ว...ที่เธอได้กลิ่นควันไฟนั่นล่ะหมายถึงอะไรกันแน่

ปรุงแต่งแบบไหนกัน ได้กลิ่นด้วย...!! ยิ่งคิดยิ่งอับจนและไร้เหตุผลสิ้นดี

หญิงสาวเผลอระบายลมหายใจเหยียดยาว เพื่อบรรเทาอาการขัดข้องให้ผ่อนคลายลง

วิมายารู้สึกเสมอว่าเธอไม่เหมือนคนอื่น ความคิดบางอย่างคอยจะผ่านล่วงเข้ามาให้ค้นหาคำตอบตั้งแต่เยาว์วัยตราบจนบัดนี้

เธอสงสัยเสมอเกี่ยวกับการเกิดและตาย ชาติก่อนชาติหน้ามีจริงหรือไม่? และแท้จริงแล้วคนเราเกิดมาเพื่ออะไร?

เมื่อจำความได้ เธอมากมายไปด้วยคำถามพิลึกพิลั่น ซึ่งทั้งพ่อและแม่ล้วนส่ายหน้า จนปัญญาจะตอบปัญหาโลกแตกของลูกสาววัยห้าขวบ



“ทำไมคนเราต้องเกิดมาคะ”

“ไม่เกิดก็สูญพันธุ์สิลูก” ผู้เป็นพ่อตอบแบบกำปั้นทุบดิน

“แล้วก่อนจะเกิดเราอยู่ที่ไหนคะ”

“อยู่ในท้องแม่สิจ๊ะ” แม่ตบพุงปุๆยืนยันว่าในนี้

“แล้วก่อนที่จะมาอยู่ในท้องแม่ล่ะวีมาร์อยู่ที่ไหน”

คราวนี้คุณเวียนนาพยักหน้า ผลักคำตอบไปให้สามีที่ตอบคำถามยากแสนยากได้ทุกข้อเวลาอยู่ในห้องบรรยาย สอนนักศึกษา แต่ทำท่าจะจนแต้มเสมอกับคำถามของลูกสาวตัวน้อย

พอโตขึ้น...เธอค้นคว้าจากหนังสือ ตำรา ต่างๆนานา ทุกแขนงวิชาที่คิดว่าจะได้คำตอบ จนแม่ค่อนเอาว่า “ต่อไป...จะได้เป็นเกจิ”

หลายคำถามที่ไม่เคยมีใครให้คำตอบวิมายาได้กระจ่างชัด แต่ทว่า...ครั้งนี้หาได้มีเพียงแค่คำถาม แต่ยังมีปรากฏการณ์ที่ยากจะพิสูจน์และอธิบายอีกด้วย

“คิดไม่ออกก็ไม่ต้องคิด”

หญิงสาวปัดมันทิ้งเอาดื้อๆด้วยนิสัยที่ไม่พิรี้พิไรของเธอ สมกับฉายาที่บิดาเคยตั้งให้ว่า

‘วีมาร์ นาทีเดียว’

“ทำไมต้องนาทีเดียว” คุณเวียนนาเคยย้อนถามสามี

“ก็ปรู๊ดปร๊าดไปหมดทุกเรื่อง คิดเร็ว ทำเร็ว เลิกเร็ว พูดเร็ว ใจเร็ว…ไม่เคยยั้งคิด”

“พ่อก็...ไม่ต้องมีข้อสุดท้ายไม่ได้เหรอ วีมาร์ว่ามันฟังขัดๆชอบกล พอแถมว่าไม่เคยยั้งคิดปุ๊บ จากคำว่าเร็วมันก็จะกลายเป็นเลวปั๊บเลยนะจ๊ะ” คนถูกตั้งฉายายกมือคัดค้านแต่หน้าระรื่น

“นอกจากนาทีเดียวแล้ว แม่ขอเพิ่มคำต่อท้ายอีกหน่อยว่า...ร้อยคำถามเป็นเกียรติให้ด้วย” ผู้เป็นแม่ตอกย้ำซ้ำเติม

“โนๆ” ลูกสาวส่ายหัวดิก โบกไม้โบกมือ “ยาวเกินไปเขาไม่เรียกฉายาค่ะแม่”

เมื่อรู้ตัวว่าชักจะเพลี่ยงพล้ำ ประเด็นถูกเปลี่ยนอย่างปุบปับ เพราะเจ้าตัวรู้ว่าจะทำให้วงสนทนาสลายได้ในฉับพลัน “แม่ว่าชาติก่อนมีจริงมั้ยคะ”

“ลองหาในอินเตอร์เนตดูสิ” ผู้เป็นแม่โต้กลับอย่างทันกัน

พอลูกสาวหันมาหา ดอกเตอร์รักชาติก็รีบออกตัว “พ่อไปเตรียมการสอนพรุ่งนี้ดีกว่า”

หลังจากนั้นเสียงหัวเราะก็ประสานกันอย่างสดใส อบอุ่น

ท่ามกลางครอบครัวอันแสนจะสมบูรณ์พร้อม วิมายารู้สึกเสมอว่า...มีบางส่วนของชีวิตขาดหายไป เช่นเดียวกับคำถามที่ร้างไร้คำตอบ!

และยิ่งไปกว่านั้น บางครั้ง...เธอรู้สึกเสียด้วยซ้ำว่า การเกิดมาและมีชีวิตอยู่นั้นช่างเหนื่อยยากและทุกข์เหลือเกิน แม้ว่าในความเป็นจริง ตลอดชีวิตซึ่งผ่านมา ไม่เคยมีความเหนื่อยยากมาแผ้วพานแม้แต่เพียงน้อย

วิมายาใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศร่วมสิบปี กระทั่งจบมหาวิทยาลัย เนื่องจากพ่อได้ทุนไปศึกษาต่อปริญญาเอก และแม่ทำธุรกิจส่งออกเซรามิค ต้องเดินทางไปมาอยู่แล้ว การโยกย้ายครอบครัวมาพำนักอยู่ต่างประเทศจึงสะดวกกว่า

ครอบครัวของเธอเพิ่งย้ายกลับมาประเทศไทยได้เพียงปีเศษ ดอกเตอร์รักชาติกลับมารับหน้าที่อาจารย์มหาวิทยาลัย ส่วนคุณเวียนนาหันมาลงทุนเกี่ยวกับธุรกิจบ้านจัดสรร ควบคู่ไปกับการส่งออกเซรามิค

“วีมาร์เลือกเอาซักอย่างสิลูก ว่าจะช่วยแม่ดูบริษัทส่งออกหรือว่าบ้านจัดสรร”

คุณเวียนนาไม่เห็นด้วยกับการปล่อยให้ลูกสาวคนเดียว ออกไปทำงานที่อื่น ไม่ว่าจะเป็นบริษัทหรือหน่วยงานราชการอย่างบิดาก็ตาม

“เรื่องอะไรจะไปเป็นลูกจ้างเขา ธุรกิจของเราก็มี เป็นเจ้าของไม่ดีกว่าหรือ”

“ถ้าไม่ต้องทำอะไรเลย อยู่เฉยๆก็ยิ่งดีนะจ๊ะแม่” ลูกสาวยื่นหน้าเข้ามาออกความเห็น แล้วก็ต้องผลุบกลับไปแทบไม่ทันเมื่อผู้เป็นแม่เงื้อง่า

ที่จริงวิมายาช่วยแบ่งเบาเรื่องบริหารจัดการบริษัทส่งออก มาตั้งแต่เรียนจบใหม่ๆ ความที่เป็นคนคล่อง คิดเร็วทำเร็ว ทำให้เบื่อเร็วด้วยเช่นกัน ยิ่งกับงานที่ถูกวางระบบเอาไว้จนอยู่ตัวแล้ว ย่อมไม่เหลือความท้าทายให้ได้ใช้ความสามารถ

เมื่อมารดายื่นทางเลือก เธอก็ตอบได้เลยโดยไม่ต้องหยุดคิดด้วยซ้ำ

“งั้นวีมาร์ทำโครงการบ้านจัดสรร”

และนี่เองเป็นเหตุให้ต้องมาร่วมประชุมด้วยในวันนี้

ดวงตาซึ่งทอดมองเหม่อไปยังแม่น้ำ กะพริบตื่นจากภวังค์ เมื่อจู่ๆฝนซาสายลงไปแล้วก็กลับซัดซ่าลงมาอีก พร้อมกับเงาของใครบางคน ทอดยาวมายังโต๊ะด้านหน้าที่ถูกจับจองไว้แล้ว

เมื่อเธอเหลียวไปมอง ก็ต้องสะดุดลมหายใจ...แม้แสงเทียนจะสลัวราง แต่เสี้ยวหน้าบุรุษผู้ก้าวตรงมากลับสว่างเรื่อเรืองด้วยรัศมีบางอย่าง

ตาสบตาแน่วนิ่ง ก่อนวิมายาจะเบือนหน้าหนี ปากบางขยับ หลุดคำอุทานติดปากอย่างลืมตัว “บ้าเอ๊ย !”

อีตาคน ที่ ‘ชนแล้วหนี’ นั่นเอง!!



ปฏิกิริยาที่หันหนีอย่างปุบปับของหญิงสาวช่างดูน่าขัน ในความรู้สึกของพยับหมอก เส้นเรียวปากหยักโค้งจึงขยับนิด ซ่อนยิ้มในแสงสลัว

ชายหนุ่มรำลึกได้ในทันทีเมื่อสบตา สาวน้อยที่เตะกระป๋องโค้กใส่เขา พร้อมกับด่าไล่หลังนั่นเอง ไม่แปลก...หากจะเห็นทีท่ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกของเธอ แม้แต่เขาก็ยังไม่คาดคิดว่า เวลาเพียงชั่วโมงกว่าๆ ความบังเอิญจะเกิดขึ้นได้ถึงสองครั้ง

แทนจะเดินไปยังที่นั่งของตัวเอง ร่างสูงโปร่งกลับตรงเข้าไปหาเธอ

“ขอโทษด้วยที่เสียมารยาท ตอนนั้นกำลังรีบก็เลยไม่ทันได้ขอโทษ”

แม้จะไม่ทันได้ตั้งตัว แต่ดวงตาดำจัดก็สบนิ่ง ไม่เบือนหลบ บอกถึงความเป็น ‘คนจริง’ เช่นกัน

“ไม่เป็นไร” น้ำเสียงของคนที่ไม่เคยลงให้ใคร ยามนี้ดูไม่หนักแน่นนัก มันแผ่วๆชอบกลด้วยละอายแก่ใจ หากจะว่าไป คนที่ ‘เสียมารยาท’ มากกว่า น่าจะเป็นเธอ

“ฉันก็ต้องขอโทษด้วยเหมือนกัน…กำลังโกรธ” คำพูดตอนท้ายอุบอิบอยู่ในลำคอ เหมือนจะกลืนหายไปกับเสียงฝน แต่อีกฝ่ายก็ยังสู้อุตส่าห์ได้ยิน

ดวงตาภายใต้แพขนตายาวงอน อ่อนช้อยราวสตรีเป็นประกายพราวดั่งขบขัน แต่เพียงวูบเดียวก็จางหาย ร่างสูงขยับจะถอยกลับไปยังที่ของตน จังหวะเดียวกับพนักงานประคองถาดอาหารเข้ามา

“ย้ายโต๊ะมั้ยคะ ละอองฝนสาดเข้ามา” พนักงานสาวเอ่ยเป็นเชิงหารือ

เขาโคลงศีรษะแทนคำตอบ

ชายหนุ่มเลือกนั่งหันหลังให้ ไม่อยากให้ต้องอึดอัด เดี๋ยวจะพาลกินข้าวไม่ลง...รอยยิ้มจางๆปรากฏขึ้นอีกครั้งเมื่อคิดเช่นนั้น

ลมแรงหอบเม็ดฝนสาดซ่าเข้ามา เทียนดับวูบ และเชิ้ตสีครีมที่สอดชาย เรียบร้อยไว้ในกางเกงสแล็คสีดำเปลี่ยนเป็นชื้นในฉับพลัน หากร่างสูงหาได้เบี่ยงหนี ทำเพียงแค่เลื่อนจานอาหารหลบสายฝน แล้วตักคำแรกใส่ปากอย่างไม่แยแสว่าจะเปียกปอน ป่วยไข้

อึดใจต่อมา คนนั่งจ้องแผ่นหลังกว้างอยู่คงอดรนทนไม่ได้ เสียงใสๆจึงเชื้อเชิญ

“นั่งด้วยกันก็ได้...จะเปียก”

ฝ่ายที่ถูกเชิญไม่ได้ด่วนรับคำหรือผลุนผลันรีบร้อน เพียงเอี้ยวตัวมาสบตา ค้อมศีรษะเป็นเชิงขอบคุณ แล้วส่งจานอาหารมาก่อน ตามด้วยแก้วน้ำ

เมื่อร่างสูงนั่งลงร่วมโต๊ะวิมายาจึงเห็นละอองน้ำเกาะพราวที่แพขนตางอน อ่อนช้อย

ฮึ...ถ้าไม่เรียกคงไม่ย้ายมา เธอค่อนอยู่ในใจ

ต่างฝ่ายต่างก้มหน้าตักอาหารในจานตนรับประทานไปอย่างเงียบๆ ความแปลกหน้าทำให้ไม่มีใครคิดหัวข้อสนทนาออก ว่าควรเริ่มต้นตรงจุดไหน และพยับหมอกเพิ่งสังเกตว่าอาหารตรงหน้าเธอเป็นชนิดเดียวกับเขา

บังเอิญอีกงั้นหรือ? เขาคิดอย่างขันๆ

สายฝนยังคงพร่างพรูลงมาอย่างต่อเนื่อง เหมือนจะไม่มีที่สิ้นสุด

“ตกแรงจริง” เธอบ่น เมื่อรู้สึกเงียบจนได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้น พอโพล่งประโยคแรกออกมาได้ ความอึดอัดก็ดูจะลดลง

“ตกแรงมักจะซาเร็ว” อีกฝ่ายมีมารยาทพอ จึงสนองรับ ไม่ให้คนเริ่มต้นต้องเก้อเขิน

“หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น ไม่งั้นคงต้องยอมเปียกกลับบ้านกันละ”

มีความกังวลเจืออยู่ในน้ำเสียง จนคนฟังอดถามไม่ได้

“บ้านอยู่ไกลหรือ”

“ก็ไม่ถือว่าไกล เลยดอนเมืองไปนิด กลัวแต่แท็กซี่จะไม่อยากรับคนตัวเปียกๆขึ้นรถน่ะสิ”

มีเสียงถอนใจเบาๆตามมาหลังคำพูด กึ่งๆปรับทุกข์ของเธอ และปราการแห่งความแปลกหน้าต่อกันก็ดูจะเลือนๆลง

วิมายาไม่รู้เหมือนกันว่า...ทำไมเธอถึงพูดเรื่อยเจื้อยนักกับคนแปลกหน้า ความรู้สึกเป็นกันเองและวางใจก่อตัวอย่างเงียบเชียบแม้ว่าอีกฝ่ายดูจะไม่ค่อยช่างพูดนัก อาจเพราะความสงบสุภาพของคนตรงหน้าก็ได้ ไม่เหมือน...อีกคนที่ร้านแอนทีค นั่น...คอยแต่จะตีรวน

“ทางเดียวกัน ผมต้องผ่านดอนเมือง...ยังไงจะไปด้วยกันก็ได้” เขาบอกเรียบๆ พอเห็นดวงตาดำขลับมีรอยลังเล ก็เสริมขึ้น

“ผมกำลังจะกลับบ้านที่นครนายก”

รอยลังเลจางหายไป แต่เจ้าตัวหาได้ตกปากรับคำ ยังแบ่งรับแบ่งสู้

“ถ้าฝนหยุด...คงไม่ต้องรบกวน”

พยับหมอกเกลื่อนรอยยิ้มบนใบหน้าอย่างพึงใจ ในความง่ายๆไม่เรื่องมาก และปราศจากจริตมารยาของเธอ เสียงเทียนทำให้ใบหน้าบางส่วนของเธอตกอยู่ในเงาสลัว เจ้าตัวทอดสายตาต่ำลง ตักอาหารใส่ปากคำเล็กราวกับละเลียด

คิ้วของชายหนุ่มขมวดนิดคล้ายลืมตัว รู้สึกคุ้นเคยกับอากัปกิริยาเช่นนี้อย่างประหลาด

ผู้หญิง...คงมีลักษณะการกินคล้ายๆกันกระมัง เขาหาเหตุผลให้ตัวเอง แต่อีกใจก็แย้งว่ารายนี้...ไม่น่าจะเหมือนใคร ผู้หญิงคนไหนกันจะเตะกระป๋องใส่ก้นคนอื่น แถมตะโกนด่าไล่หลังอย่างเธอคนนี้

ชายหนุ่มกลั้นยิ้มอย่างยากเย็น เมื่อนึกถึงอีกภาพหนึ่งของหญิงสาวตรงหน้า ที่ทำท่าราวกับนักเลงก็ไม่ปาน แม้ในยามนี้ความ ‘แน่จริง’ ของเธอก็ยังเหลือรอยไว้ให้เห็น กล้าที่จะเอ่ยปากขอโทษ กล้าแสดงน้ำใจ เชื้อเชิญให้ร่วมโต๊ะ

เขารอกระทั่งเธอรวบช้อนจึงโบกมือเรียกพนักงาน

“หลังอาหาร ผลไม้น่าจะดีกว่าของหวาน” เขาปรารภกับเธอก่อนสั่งผลไม้รวม

คางเรียวขยับพยักนิด ทำนองว่าเห็นด้วย

“ก็ดี อาจต้องนั่งอีกพักใหญ่กว่าฝนจะซา แล้วก็มื้อนี้ฉันขออนุญาตเป็นเจ้ามือ”

คราวนี้คนที่สงบ สุภาพตลอดมาเผลอหลุดเสียงหัวเราะแผ่วๆ สีหน้าจึงดูผ่อนคลาย อ่อนโยนลงทันที

“แลกกับการติดรถผมไปหรือ” เขาย้อนถามอย่างขันๆ โดยที่เธอไม่รู้หรอกว่านานทีปีหนคนตรงหน้าเธอถึงจะพูดเล่นหัวอย่างนี้กับใคร

เธอสั่นหน้า ตายังสบแน่วไม่เลี่ยงหลบ

“เปล่าซักหน่อย...” วิมายานิ่งไปนิด ก่อนจะขยายความ

“ฉันรู้สึกว่าเมื่อเราบังเอิญพบใครก็ตามถึงสองครั้งในวันเดียวกัน มันต้องมีเหตุผลมากกว่าความบังเอิญ และเหตุผลที่ฉันคิดได้ในตอนนี้ก็คือ ครั้งแรก...ฉันทำนิสัยแย่ๆใส่คุณ เมื่อมีครั้งที่สองนั่นน่าจะหมายความว่า ฉันได้รับโอกาส จะลบล้างความผิดของตัวเอง ฉันจึงไม่ควรละเลยที่จะทำมัน”

“ดังนั้น...ผมจึงไม่ควรขัดขวางจริงไหม”

“ช่าย” เธอลากเสียง

เมื่อปากบางเปิดยิ้มกว้างขวาง ภาพเด็กหญิงซุกซนก็ปรากฏ เหตุผลอันเหยียดยาวที่เจ้าตัวอรรถาธิบายมาเมื่อครู่ ทำให้คนฟังสัมผัสถึงเนื้อใจอันใสสะอ้าน

พยับหมอกเลื่อนสายตาปราด สำรวจคนตรงหน้า...

เสื้อยืดตราห่านราคาถูก กับกางเกงทหาร ลำคอเรียวระหงปราศจากเครื่องประดับที่มีราคาค่างวด นอกจากสร้อยเงินเส้นบางๆกับจี้แกะลวดลาย แววตาจึงฉายรอยกังวลชั่วแวบ

ไม่อยากขัดศรัทธา...แต่ถ้ายอมให้จ่าย ในกระเป๋าเธอจะยังเหลือเงินพอค่าแท็กซี่ไปถึงดอนเมืองหรือเปล่านะ

แต่การคะยั้นคะยอจะไปส่ง คงไม่เหมาะสำหรับคนซึ่งเพิ่งจะบังเอิญได้พูดคุยกัน ทำได้แค่หวังว่าความบังเอิญจะเกิดขึ้นเป็นครั้งที่สาม

บางทีฝนอาจตกหนักและยาวนาน คนใจใหญ่ตรงหน้าจะได้ไม่ต้องลำบากห้อยโหนรถเมล์ไปถึงดอนเมือง

“เก็บเธอไว้ ข้างในจนลึก...สุดใจ

ได้คิดถึงเธออีกคราว เมื่อวันที่เหงาสุดใจ

ไม่มีใครฉันยังมีเธอ………”



ดนตรียังดำเนินต่อไปในช่วงท้ายของบทเพลง เมื่อเสียงดีเจ เอ่ยแทรกทับขึ้นมา

“ลึกสุดใจ เพลงเก่าๆที่ยังไพเราะ ของนายโจกับนายก้องอดีตสมาชิกวงนูโว ที่ฟังทีไรก็ยังเหงาจับใจได้ทุกที... ผมดีเจน่านน้ำ กับดรีมเรดิโอ อยู่เป็นเพื่อนคุณตรงนี้เอฟ.เอ็ม.ร้อยหกจุดห้า ช่วงเก็บเพลงเก่า จันทร์ถึงศุกร์ สองทุ่มตรงถึงสามทุ่ม...เก็บเธอไว้ ข้างในจนลึกสุดใจ ประโยคนี้คงโดนใจใครสักคนในคืนฝนตกอย่างนี้”

เสียงเพลงจากวิทยุ ในรถแท็กซื่ ช่วยทำให้วิมายาไม่ถึงกับเบื่อหน่าย กับสภาพการจราจรที่ติดขัด เธอเลือกจะไม่มองแพรถยนต์บนท้องถนน หากทอดสายตาผ่านกระจกออกไปยังละอองฝนบางๆซึ่งยังพริ้วสายพิรี้พิไร แสงไฟทำให้แพรสายฝน ดูแพรวพรายเพลินตาอยู่ไม่น้อย

“นายโจกับนายก้องเขาเก็บใครไว้ในใจก็ไม่รู้ ผมก็เก็บกับเขาเหมือนกัน แต่ไม่ใช่เธอ กลายเป็นมือถือของเธอซะงั้น” เสียงใสๆของดีเจหนุ่มหัวเราะระรื่น

“ใครลืมโทรศัพท์มือถือเอาไว้ที่ร้านแอนทีคแถวท่าพระจันทร์ กรุณาติดต่อขอรับคืนได้ที่

ดีเจน่านน้ำครับผม”

ร่างที่นั่งเอนตามสบายอยู่ที่เบาะหลัง ดีดพรวดขึ้นพร้อมกับคำอุทาน

“บ้าเอ๊ย...” มือเรียว ล้วงวุ่นวายไปตามกระเป๋ากางเกงทหาร ก่อนจะหวดตุ้บลงบนเบาะรถอย่างลืมตัว

“มีอะไรหรือเปล่าคุณ” คนขับแท็กซี่สบตากับเธอทางกระจกส่องหลัง

“นายดีเจนั่น” วิมายาระบายลมหายใจพรวด เรียบเรียงคำพูดใหม่ “มือถือฉันหาย นายนั่นเก็บไป”

“แล้วเอาไงครับ จะกลับไปเอาคืนหรือเปล่า”

เธอสั่นหน้า ทิ้งร่างเอนพิงเบาะอย่างเดิม “ว่าแล้วเชียว..ชื่อคุ้นๆ” เธอจ้องเขม็งไปที่หน้าปัดวิทยุราวกับตัวต้นเหตุจะโผล่หน้าออกมากระนั้น

‘เฮอะ! เก็บได้งั้นเหรอ พูดออกมาได้ ถ้าไม่มีเจตนาอื่นทำไมไม่ทิ้งเอาไว้ที่ร้านแอนทีค รอให้ถึงบ้านก่อนเถอะ ดึกแค่ไหนก็จะโทรจิก’ เธอคาดโทษอยู่ในใจ

วันนี้มันวันอะไรกันหนอ ความบังเอิญสาม-สี่ครั้งเกิดขึ้นได้ในชั่วไม่ทันข้ามวัน เพลงรื่นหูเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นระคายหูขึ้นมาทันที ที่รู้ว่าใครเป็นคนจัดรายการ

คนขับแท็กซี่ชำเลืองมองผู้โดยสารทางกระจกอีกครั้ง เมื่อเสียงขุ่นๆพาลๆเอ่ยขึ้นว่า

“เปลี่ยนสถานีเถอะ”





วิมายาซอยเท้าผ่านกอหมากแดงหนาทึบ ซึ่งปลูกไว้กรองแสงแดดไม่ให้สาดเข้ามาบริเวณเทอเรซได้เต็มที่ แล้วมุ่งตรงไปยังประตูกระจกใส

เจ้าตัวไม่เสียเวลาก้มปลดเชือกรองเท้า แต่ใช้วิธียกเท้าขึ้นมา กระตุกเชือกสอง-สามทีพอให้คลาย แล้วใช้เท้าอีกข้างเหยียบส้น ตรงรอยตะเข็บ เท่านั้นก็ดึงเท้าพรวดออกมาได้ ในเวลาไม่เกินนาที

ห้องรับแขกกว้างตกแต่งสไตล์ยุโรป ไฟกลางห้องเป็นช่อชั้น เปิดไว้สว่างแพรวพราว โซฟาบุผ้าลายดอกไม้เข้ากับม่าน เครื่องเรือนทุกชิ้นบ่งบอกถึงรสนิยมเจ้าของ ว่าชมชอบหรือคุ้นเคยกับบ้านแบบฝรั่ง มากกว่าบรรยากาศแบบไทยๆ

หญิงสาวก้าวยาๆไปสุดอาณาเขตห้องรับแขก มีบันไดสามขั้นให้ก้าวลงไปยังอีกห้อง ที่ใช้นั่งเล่น ดูโทรทัศน์หรือกระทั่งอ่านหนังสือ

กลางห้องจัดสวนไว้สวยงาม หลังคามุงด้วยกระเบื้องใสบางส่วน เพื่อให้แสงลอดเข้ามายังสวนดอกไม้ ผนังด้านหนึ่งเป็นที่เก็บหนังสือ ด้านถัดมาเป็นโฮมเธียร์เตอร์ มีเสียงโทรทัศน์ดังแว่วออกมาเป็นภาษาต่างประเทศ ให้เดาได้ว่า คนในนั้นกำลังดูภาพยนตร์

เจ้าตัวโผล่หน้าเข้าไปก่อน พอเห็นอยู่ครบทั้งพ่อและแม่ ก็ส่งเสียงแจ้วๆ

“กลับมาแล้วจ้า”

“ไม่ต้องบอกก็รู้จ้ะ เสียงเดินยังกะแผ่นดินไหว” ผู้เป็นบิดาหันมาแสร้งว่า

“ก็วีมาร์อารมณ์เสีย” คำอธิบายสั้น ไม่ยักต่อปากต่อคำเล่นเหมือนเคย ว่าแล้วก็ทำท่าจะผลุบกลับไป คล้ายกับมารายงานตัว...แค่นั้น

สตรีวัยกลางคน แต่เรือนร่างยังโปร่งระหงในชุดยาวหลวมลายดอก ที่กึ่งนั่งกึ่งเอนอยู่บนโซฟา ผิดสังเกตจึงอดทักไม่ได้ “อารมณ์เสียเรื่องอะไร แม่คิดว่าแอบไปเที่ยวมาเสียอีก”

“วีมาร์ติดฝนสองรอบ แล้วก็มีคนจิ๊กมือถือไป” เจ้าตัวหน้าง้ำขึ้นมาทันที เมื่อเอ่ยถึง

“อ้าว !” คราวนี้ทั้งพ่อและแม่อุทานพร้อมกัน

“ถูกล้วงกระเป๋าหรือจ๊ะ”

“เปล่าค่ะแม่” เสียงอ่อยลงนิด เพราะรู้แก่ใจถึงเหตุที่มือถือหาย หาใช่ถูกขโมย “วีมาร์ลืมไว้ที่ร้านแอนทีค แล้วมีคนหยิบไปอีกที”

ตอบเสร็จก็รีบหาทางเลี่ยงเพราะขี้เกียจนั่งอธิบายรายละเอียด

“ขอไปอาบน้ำเปลี่ยนผ้าก่อนนะคะ เดี๋ยวเป็นหวัด”

“วันเสาร์หน้าประชุมอีกครั้งนะลูก วันนี้แบบบ้านยังไม่ได้อย่างใจ แม่เลยให้เขาเสนอแบบอื่น” คุณเวียนนารีบบอกก่อนที่ลูกสาวจะแวบหนีไปเสียก่อน

“เสาร์หน้าเหรอ ผมว่าจะชวนไปนครนายก”

พอเห็นเครื่องหมายคำถามบนสีหน้าภรรยา คนพูดก็ขยายความ

“ไปบ้านอาจารย์พิชฌาน” แม้คนที่เอ่ยถึงจะดำรงตำแหน่งเป็นศาสตราจารย์มานานแล้ว แต่เจ้าตัวก็ยังเรียกขาน เหมือนเมื่อครั้งยังเป็นศิษย์กับอาจารย์

“ว่าจะไปเยี่ยมก็ยังหาโอกาสไม่ได้ซักที ไม่เคยเจอกันสิบกว่าปีแล้วมั้ง...สวนกันไปสวนกันมา ตอนเราอยู่เมืองไทยอาจารย์ก็ไปทำงานเมืองนอก พอต่างคนต่างกลับมา เราก็มัวแต่ยุ่งผลัดวันนั้นวันนี้”

ฝ่ายที่บอกว่าจะไปอาบน้ำ เลยเกาะขอบประตูอยู่ตรงนั้น รอฟังความเสียก่อน

“ใครนะคะพ่อ”

“ศาสตราจารย์พิชฌานที่เป็นคนตั้งชื่อให้วีมาร์ไง จำได้หรือเปล่า”

เจ้าตัวทำท่าคิดอยู่อึดใจ แววตามีร่องรอยระลึกได้ “คุณตาบ้านเวียงไม้งาม ที่วีมาร์เคยไปตอนเด็กๆใช่มั้ยคะพ่อ ถ้าจำไม่ผิด...รู้สึกว่าคุณตาจะมีลูกชายชื่อ...” คำพูดสะดุดนิด เพราะเวลาผ่านล่วงไปนานนักหนา เกินกว่าจะนึกออกในทันที

“พี่หมอกหรือเมฆอะไรนี่แหละ”

แม้วิมายาจะเคยติดสอยห้อยตามบิดา ไปบ้านศาสตราจารย์พิชฌานมาสอง-สามครั้งเมื่อตอนเด็กๆ แต่ก็ไม่มีครั้งใดได้พบ ‘พี่หมอก’ เพราะฝ่ายโน้นไปเรียนพิเศษบ้างหรือติดซ้อมกีฬาบ้าง ทำให้คลาดกันอยู่ร่ำไป

“นั่นละ...ได้ข่าวว่าตอนนี้พยับหมอก กลายเป็นอาจารย์ที่ศิลปากรไปแล้ว”

“แหม...ถ้างั้นหนนี้ห้ามเลื่อนโปรแกรมอีกเป็นอันขาด เดี๋ยวพี่หมอกของพ่อจะหง่อมไปเสียก่อน” เจ้าตัวรีบสนับสนุน

“วีมาร์รู้สึกว่าตัวเองเพิ่งไปวิ่งเล่นที่นั่นมาเมื่อไม่นานนี้เอง เผลอแป๊บเดียว...ปาเข้าไปเกือบยี่สิบปีแล้วมั้ง” ปากพูดกับพ่อแต่ตาชำเลืองมองแม่ เพราะมีเจตนาแอบแฝง จะหาเรื่องหลีกเลี่ยงการประชุมอันน่าเบื่อหน่ายนั่นเอง

ผู้เป็นแม่ใช่ว่าจะไม่รู้เจตนาของลูกสาว แต่ก็ยอมโอนอ่อนให้ “เอางี้ วีมาร์ไปเยี่ยมอาจารย์กับพ่อ ส่วนแม่ไปประชุม” บอกอย่างนั้นแต่ไม่วายกำชับ “แล้วคราวหน้าห้ามเบี้ยวห้ามขาดจะได้ช่วยแม่เลือกแปลน โอ.เค้.”

“โอ.เค.ค่ะแม่ งั้นวีมาร์ไปอาบน้ำแล้วนะคะ กู๊ดไนท์ค่ะ” เสียงใสระรื่นตอบรับทันควัน ไม่เปิดโอกาสให้มารดาได้เปลี่ยนใจ

ดวงหน้าเล็กเรียวผลุบหายไปจากช่องประตู อึดใจต่อมาก็มีเสียงวิ่งตึ้กๆขึ้นบันไดไปชั้นบน

QQQQQQQQQQQQQQ

ขอบคุณจากใจ



ปัญจนารถ



ปัญจนารถ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 5 ส.ค. 2557, 15:27:47 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 5 ส.ค. 2557, 15:27:47 น.

จำนวนการเข้าชม : 884





<< ตอนที่ 1.   ตอนที่ 3. >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account