แก้วขวัญวันรัก
เรื่องราวของสี่สาวพี่น้องที่ต้องตามล่าหาแฟนให้ได้ภายในสามเดือน ก่อนที่จะถูกจับคลุมถุงชนกับเจ้าบ่าวที่ไม่เคยเห็นหน้า ดังนั้นภารกิจ และปฏิบัติการลับของการตามหาแฟนจึงเริ่มข้น
แต่ติดปัญหาที่แก้ไม่ตกนั่นคือ

คนหนึ่ง ขี้เหวี่ยงขี้วีน คบกับผู้ชายได้ไม่เกินหนึ่งวัน ผู้ชายคนนั้นต้องหนีเปิง เจ้าของฉายา
“สวยเหวี่ยงวีน”

คนหนึ่ง ซุ่มซ่ามจอมโก๊ะ เจ้าของฉายา “สาวโก๊ะมหาวิบัติ”

คนหนึ่ง ด้านชาต่อความรัก ไร้ความรู้สึกกลับความรัก เจ้าของฉายา “ดอกไม้น้ำแข็งไร้อารมณ์”

และอีกคนหนึ่ง สาวสวยหมดเท่ แต่ใจเธอคือหญิงแท้ แต่กลัวการมีความรัก เจ้าของฉายา
“เจ้าสาวกลัวฝน”

Tags: สี่สาว รักแท้ ความรัก การตามหา

ตอน: 23 ต้นกำเนิดของดอกไม้น้ำแข็ง



23
ต้นกำเนิดของดอกไม้น้ำแข็ง



รักจิราก้าวเข้ามาในห้องของอัสนี ซึ่งเป็นห้องในคอนโดหรูหรากลางกรุง เธอรู้มาจากนิรุธว่าเขาซื้อที่นี่ด้วยเงินของเขาเอง ห้องนี้ราคาไม่ต่ำกว่าเลขเจ็ดหลักอย่างแน่นอน เผลอ ๆ จะแปดหลักด้วยซ้ำ รักจิราไม่คิดว่าเขาจะเก่งขนาดนี้ ใช้เงินตัวเองไม่มีเงินพ่อแม่สักบาท เขายังคงเป็นอัสนี ผู้ชายที่เก่ง จนไม่คิดว่าในอดีตเขากับเธอเคยคบกัน ผู้ชายอย่างเขาไม่น่าจะเคยคบกับผู้หญิงที่เคยอยู่แก๊งค์นักเลง เธอกับเขาช่างเป็นความต่างอย่างไม่น่าเชื่อ รักจิราไล่ความคิดและก้าวเดินเข้าไปในห้องมองสำรวจห้องที่ใหญ่มากของเขา เขายังคงเป็นผู้ชายเจ้าระเบียบจัดวางทุกอย่าง ๆ เรียบร้อย แม้ภาพลักษณ์ของเขาจะดูไม่ใช่หนุ่มหล่อมาดเนี๊ยบ แต่เขาก็ยังทำอะไรเป็นระเบียบ เนี๊ยบไร้ที่ติ รักจิราถือกระเป๋ามาวางลงที่ข้างโซฟาและมองอัสนีที่เดินไปหยิบกุญแจห้องที่แขวนอยู่ส่งให้รักจิรา

“ห้องของเธออยู่ห้องขวา”

“แล้วคุณพอลเขาจะไม่ว่าหรอ”

“ไม่หรอก ช่วงนี้พอลไม่ค่อยแวะมาค้าง ถ้ามาก็ให้อยู่ห้องฉัน ตามสบาย” เขาทำท่าจะเดินเข้าห้องไป แต่รกจิราก็เรียกเขาไว้ด้วยคำถามที่ทำให้เขาต้องหันกลับมา

“ทำไมนายต้องมารับหน้าที่รับภาระที่มันไม่ใช่เรื่องของนาย”

“ใครบอกว่าภาระล่ะ สำหรับฉันเธอไม่เคยเป็นภาระหรอกนะรัก ที่สำคัญเธอเป็นลูกน้องของฉัน และยังมีคนในปกครองต้องเสียชีวิตไปหลายคน ยังไงฉันก็ต้องหาความจริงให้ได้ และเพื่อกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่ว่าฉันถึงต้องดูแลเธอเอง คุณแก้วคงไม่มีเวลาอยู่กับเธอตลอด เธอทำงานกับฉันมันง่ายที่จะดูแลเธอ”

“แค่นั้นเองหรอ...” รักจิราเอ่ยออกมาเสียงแผ่ว

“ว่าไงนะ”

“เปล่า...จริงสิ นายเอารูปฉันไปทำไม” รักจิราเอ่ยขึ้น

“รูป”

“ก็รูปที่ฉันฝากพี่ติไปล้าง แล้วนายบอกว่าจะเอามาให้ฉันเองไงล่ะ เอามันคืนมาให้ฉันได้แล้ว” อัสนีมองรักจิรานิ่ง ๆ และเดินเข้าไปในห้องหยิบอัลบั้มรูปออกมา รักจิราเอื้อมมือคว้าไปหยิบ แต่เขากลับขยับมือหนี

“เธอไปถ่ายรูปนี่ได้ที่ไหน” รักจิรารู้ทันทีว่าเขาเปิดดูแล้ว

“เอามันคืนมา”

“ตอบมา ไม่อย่างนั้นฉันจะไม่ให้คืน ฉันคิดว่าผู้กองติคงยังไม่ได้เปิดดูเลยไม่รู้ว่าเธอไปแอบถ่ายรูปพวกนี้มา แต่เสียใจฉันกับผู้กองความมีมารยาทมันต่างกัน ตอบมา”

“นายจะมายุ่งเรื่องของฉันทำไมเอามันคืนมา”

“ตอนนี้คุณแก้วยกเธอให้อยู่ในการปกครองของฉัน ฉันมีสิทธิ์รู้ในฐานะ...ผู้ปกครองเธอ”

“มากไปไหม ฉันไม่ใช่เด็กอนุบาลต้องมามีผู้ปกครอง ฉันดูแลตัวเองได้ เอามา” รักจิราเริ่มวิ่งเข้าแย่งแต่อัสนีก็เบี่ยงตัวหลบ รักจิรายังคงตามแย่งรูปอย่างไม่ลดลาวาซอก อัสนีเอามือไพล่หลังเขาไว้ไม่ยอมให้ รักจิราโอบกอดเขาไว้และแย่งอัลบั้มรูป

“เอามานะไอ้สายฟ้า” รักจิราตะโกนเสียงดัง

“เธอก็บอกมาสิ ว่าเธอไปถ่ายรูปพวกนี้มาจากที่ไหน รู้ไหมรูปพวกนี้มันอันตรายต่อตัวเธอ ต่อชีวิตเธอ ถ้าเธอไม่บอกฉันจะเผาทิ้ง” รักจิราตาโตรีบตะกรุยตะกรายแย่งรูปออกมา กว่าเธอจะถ่ายรูปพวกนี้มาได้ และเธอก็เกือบตาย เธอไม่ยอมเด็ดขาด

“เอามานะ”

“ไม่ให้ บอกมาสิ เฮ้ย”

“ว้าย!!!” สองเสียงร้องผสานกันเมื่อรักจิราโถมตัวเข้าใส่เขา อัสนีที่ตั้งตัวไม่ทันก็หงายทองล้มลงพร้อมกับร่างของรักจิราที่ล้มทับเขาเสียงดังอั๊ก ความรู้สึกแรกคือจุก ไม่มีมองตาและสปาร์กอย่างที่เห็นในละครหรือนิยาย

“ไอ้บ้าสายฟ้า” รักจิราเอ่ย ทำท่าจะแย่งอัลบั้มรูปที่หล่นอยู่ไม่ไกล แต่อัสนีก็ไวกว่ารัดร่างรักจิราไว้และพลิกให้เธอไปนอนอยู่ใต้ร่าง รักจิราพยายามขืนตัวหนี แต่คงไม่เป็นผลเมื่อโดนกักร่างไว้ในอ้อมกอด

“ไอ้สายฟ้าปล่อยฉัน”

“ปากยังคงเพาะฟาร์มสุนัขไว้ไม่เคยเปลี่ยน เรียกฉันให้มันเพราะ ๆ หน่อยสิ คำก็ไอ้สายฟ้า สองคำก็ไอ้สายฟ้า บ้านเธอไม่สอนให้เคารพคนอายุมากกว่าหรือไง”

“ก็ปล่อยก่อนสิ”

“ไม่ปล่อย ตอบมาก่อนสิว่าเธอไปถ่ายรูปนี้มาจากนี้ไหน”

“ฉัน...ไม่...บอก”

“ดูท่าเธออยากจะลองดีกับฉันสินะ ถ้าไม่ตอบฉันจะจูบเธอให้ปากเปื่อยเลย ว่าไงรัก รักจิรา” รักจิราจ้องอัสนีจนตาแทบจะถลนแต่เหมือนเขาจะไม่กลัว แขนก็โดนล็อค ขาก็โดนทับ ขยับไม่ได้ รักจิราตาโตขึ้นทันทีเมื่ออัสนีก้มหน้าต่ำลงมาเรื่อย ๆ ใจของเธอกำลังเต้นอย่างรุนแรง

“อย่านะไอ้สายฟ้า...ฟ้า...ฉันไม่เล่นนะ” สรรพนามเรียกเริ่มเปลี่ยนไป

“ว่าไงจะบอกไหม”

“ถะ...ถ้าฉัน...ฉันบอกนายสัญญาจะไม่ว่าฉัน...แล้วก็จะไม่...บอกเรื่องนี้กับใคร...จะไม่ห้ามฉัน”

“นี่เธอคิดว่าเธอมีสิทธิ์ต่อลองหรอ”

“ว่าไงล่ะ ถ้าไม่ฉันก็ไม่บอก” อัสนีพยักหน้าไปส่ง ๆ แต่ถ้าเรื่องนี้มันไม่ปลอดภัยจริง ๆ เขาก็ไม่ถือว่าไอ้การพยักหน้าส่ง ๆ เป็นคำสัญญาหรอก เขาไม่ใช่คนดีขนาดต้องรักษาคำพูดเสียหน่อย

“เกาะดารา ฉันไปถ่ายได้ที่เกาะดารา ตอนวันที่เกิดเรื่องนั่นแหละ ฉันบังเอิญเห็นแล้วก็ถ่ายไว้ แต่ไม่กล้าเอารูปพวกนี้มาล้าง ฉันกลัวถ้าเกิดพวกนั้นมันสืบหาตัวคนถ่ายรูปมันเกิดรู้ว่าเป็นฉัน มันอาจจะตามมาฆ่า ฉันเลยฝากพี่ติไปล้างแทน อย่างน้อยพี่เขาเป็นตำรวจก็น่าจะปลอดภัยกว่า”

“อย่าบอกนะว่าพวกมันรู้ว่าเธอแอบถ่ายพวกมัน” รักจิราพยักหน้ารับ

“แต่ฉันหนีมาได้”

“เธอนี่มันบ้ามากรู้ไหม พวกมันฆ่าเธอได้นะ ทำไมชอบเอาตัวไปเสี่ยงกับเรื่องพวกนี้”

“เดี๋ยวสิ ไหนบอกจะไม่ว่าฉันไง” เขาอยากจะด่า อยากจะว่าผู้หญิงคนนี้ แถมด้วยจับตีก้นสักสองทีกับการกระทำที่บ้าระห่ำไม่เคยเปลี่ยนแปลง จะรู้ไหมถ้าวันนั้นเกิดพวกมันจับเธอได้จะเกิดอะไรขึ้น เอจะมีโอกาสมายืนลอยหน้าลอยแบบนี้หรอ

“เธอนี่มันน่าตีนัก แล้วเรื่องนี้หรือเปล่าที่ทำให้รุจ ให้ทุกคนต้องตาย” รักจิราส่ายหน้า

“ฉันไม่แน่ใจ”

“นี่ไงเป็นเรื่องแล้วไง เอาล่ะ เธอมีอะไรที่ยังไม่ได้บอกฉันอีก บอกมาให้หมด อย่าปิดบัง เพราะฉันกำลังจะช่วยเธอ ถ้าฉันรู้ทีหลังว่าเธอมีเรื่องที่ไม่บอกฉัน ฉันจะจัดการเธอแน่” รักจิรามองอัสนีแม้จะทำทีเป็นขู่เธอ แต่สิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกอุ่นใจก็เป็นเรื่องที่เขากำลังจะช่วยเธอ เขายังคงเป็นอัสนีคนเดิมในอดีต แม้จะเกลียดแค่ไหน เขาก็ยังคงทำตัวเป็นที่พึ่งให้กับเธอเสมอ กี่ครั้งแล้วที่ก่อเรื่อง กี่ครั้งแล้วที่ทำให้เขาเดือดร้อน แต่เขาก็ยังไม่เคยทิ้งเธอไปไหน แม้วันนี้ความสัมพันธ์จะขาดกันไปแล้ว แต่เขาก็ยังช่วยเธอ

“รูปพวกนี้อย่างที่บอกฉันถ่ายได้ที่เกาะดารา ฉันไม่รู้หรอกว่าคนในภาพเป็นใครแต่ฉันคิดว่าพวกเขาคือคนที่ขโมยของ ๆ คุณวาทินไป ของชิ้นนั้นมันสำคัญกับคุณวาทินมาก และฉันกำลังหาทางช่วยเจ๊ขวัญ ด้วยการตามหาของชิ้นที่ว่า นายว่าไม่แปลกหรอที่เขาโทรมาบอกนายว่าฉันไปทำลายงานเขาขนาดนั้นแต่กลับไม่เอาเรื่องไปมากกว่าให้นายจัดการลงโทษฉันเบา ๆ” เขาพยักหน้าอย่างเห็นด้วยที่รักจิราทำเรื่องเสียขนาดนั้น แต่กลับไม่เอาเรื่องใด ๆ

“ก็เพราะฉันไปสัญญากับเขา ว่าจะหาเงินไปใช้ให้ครบคำจำนวนค่าความเสียหาย แลกกับเจ๊ขวัญต้องอยู่ที่นั่นจนกว่าฉันจะใช้เงินหมด แต่ฉันคิดว่าถ้าฉันหาตัวคนร้ายที่ขโมยของคุณวาทินในวันงานเจอ เจ๊ขวัญก็จะได้กลับบ้านเร็วขึ้น ฉันถึงต้องตามหาของที่พวกนั้นขโมย รวมถึงตามหาคนร้ายในภาพ”

“แล้วอะไรที่หายไป”

“ฉันไม่รู้ แต่เดาว่ามันสำคัญมาก เจ๊ขวัญกำลังตามสืบให้”

“มีอะไรที่ยังไม่บอกอีกหรือเปล่า” รักจิราส่ายหน้า แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจบอกเขาอีกเรื่อง

“เรื่องคนร้ายที่ฆ่ารุจ อันนี้ฉันยังไม่ได้บอกพี่ติ หรือบอกตำรวจ ก่อนรุจตาย รุจบอกกับฉันว่าคนร้ายต้องการเมมโมรี่ ฉันเลยไม่มั่นใจว่าคนร้ายต้องการเมมที่ว่า คือเมมกล้องของฉันหรืออะไร”

“อะไรที่ทำให้เธอคิดว่าไม่ใช่เรื่องเดียวกัน”

“ฉันเปิดโทรศัพท์ของพี่อุมา ที่พี่อุมาทิ้งไว้ให้ฉันก่อนตาย แล้วเจอรูปที่น่าสงสัย แต่ก่อนอื่นนายจะลุกไปได้หรือยัง นายจะนอนทับฉันแล้วคุยแบบนี้อีกนานแค่ไหน ลุกเถอะขอร้องล่ะ”

“พูดให้จบ เดี๋ยวเธอตุกติก เธอมันร้ายเหลือ ปล่อยเดี๋ยวก็ไม่พูด”

“ฉันเจอรูปที่พี่อุมาถ่ายไว้ในโทรศัพท์พี่อุมาฝากไว้ให้ฉันก่อนเขาจะตาย มันเป็นรูปบ้าน แล้วก็รูปคน รูปกลุ่มคนที่ถ่ายมันไม่ชัดทำใก้ฉันไม่ร็ว่าเป็นรูปอะไร ฉันสันนิษฐานว่าที่พี่อุมาไปพักร้อนบางทีอาจจะไปเกี่ยวกับเรื่องอันตรายอะไรมาสักอย่าง ทำให้คนร้ายตามพี่อุมามาด้วย มีโอกาสเป็นไปได้ว่าเมมที่คนร้ายที่ฆ่านักข่าวต้องการอาจจะไม่ใช่เมมรูปภาพของฉัน แต่เป็นเมมข้อมูลของพี่อุมาเอง รวมถึงสังเกตจากที่คนร้ายตามฆ่าก็ฆ่าคนที่อยู่ใกล้ตัวพี่อุมา ฉันเลยคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องเดียวกัน แต่ก็เป็นแค่ข้อสันนิษฐานของฉัน ถ้าตอนนั้นฉันไปช่วยรุจทันเราอาจจะรู้ไปแล้วก็ได้”

“เลิกคิดมากได้แล้วน่า มันไม่ใช่ความผิดเธอหรอกนะรัก บางทีถ้าเธอไปเร็วเธออาจจะตายไปพร้อมกับรุจ แล้วทีนี้เธอก็จะไม่มีวันได้รู้อีก” รักจิราไม่ยอมสบตากับอัสนี แต่หลุบตาต่ำลง

“ฉันขอดูรูปในโทรศัพท์ของคุณอุมาได้ไหม”

“ได้ นายลุกสิ”

“อย่าตุกติกนะ ฉันไม่ชอบขู่เธอก็รู้ดี” รักจิราพยักหน้า แต่ยังไม่ทันลุกประตูห้องก็เปิดออกพร้อมกับเสียงของใครคนหนึ่งที่ดังมาจากหน้าประตู

“ฟ้า ฉันมีเรื่อง... เอ่อ...” รักจิรามองพอลที่ยืนนิ่งมองรักจิรากับอัสนีเหมือนเจอเรื่องประหลาดใจก่อนจะเดินออกจากห้องไป รักจิราพลักร่างของอัสนีออก

“รีบตามออกไปสิ คุณพอลเขาเข้าใจผิดใหญ่แล้ว” แม้จะงง ๆ แต่เขาก็ลุกตามออกไป รักจิรามองตามออกไปด้วยสายตาเศร้านิด ๆ เจ้าของเขามาแล้ว





วันวิวาห์มองผู้ชายที่มาได้เพียงแค่ไม่กี่วันก็ทำสนิทสนมกับมารดาเธอ รวมถึงป้าจิตไปเรียบร้อย เสียงหัวเราะของมารดาคือสิ่งที่เธอไม่ได้เห็นมานานมาก วันวิวาห์เดินถือลอดช่องเข้ามาในห้องนั่งเล่นที่ตอนนี้คีตภัทรกำลังนั่งอ่านหนังสือให้กับวันวิภา เขาหันมาเห็นเธอก็วางหนังสือลงและมาช่วยถือ เธอเองก็ไม่ได้ปฏิเสธยอมให้เขาถือไปวางที่โต๊ะ

“ป้าแมวร้านขนมเอาขนมมาฝากค่ะ” วันวิภายิ้ม

“คุณคีย์ลองชิมสิคะ ลอดช่องต้นตำหรับชาววังเชียวนะ” ป้าจิตเอ่ยและหยิบถ้วยมาตักให้กับวันวิภาก่อนจะตักให้กับคีตภัทรที่ก็รับมาอย่างไม่เกี่ยงงอน

“ขอบคุณครับ”

“จะไปไหนล่ะวัน” วันวิภาถามลูกสาวที่ทำท่าจะเดินขึ้นกลับไปบนห้อง “อยู่แต่บนห้องไม่เบื่อหรือไง ว่าง ๆ ก็พาคุณคีย์ออกไปเปิดหูเปิดตาบ้างสิ อยากไปเที่ยวข้างนอกไหมคุณคีย์”

“ถ้าคุณวันไม่ว่างก็ไม่เป็นไรครับ ผมไม่อยากกวนใจคุณวัน” วันวิวาห์มองเขา รู้สึกเหมือนโดนเขาประชดอยู่ แต่สีหน้าของเขาบ่งบอกว่าพูดตามที่คิด ไม่มีวี่แววของการประชดประชันอย่างที่ว่า สีหน้าที่ไม่รู้เรื่องของเขาทำให้วันวิวาห์รู้สึกว่ามันขัดใจเธอเหลือเกิน

“วันขอตัวนะคะ” แล้ววันวิวาห์ก็เดินกลับขึ้นไป

“คุณวันเธอ...”

“ทำใจให้ชินนะคะคุณคีย์ คุณวันเธอเกลียดนักร้องค่ะ” ป้าจิตเอ่ย เขาหันไปมองวันวิภาและป้าจิตอย่างไม่เข้าใจ รักจิราเคยพูดกับเขาในทำนองนี้แล้ว แต่เขาก็ไม่กล้าถามต่อเห็นว่าเป็นเรื่องในครอบครัว วันวิภายิ้มและจับมือคีตภัทรขึ้นมา และมองหนุ่มหล่อตรงหน้า แม้เพียงสองวัน แต่เธอก็รู้สึกได้ว่าคีตภัทรจะเข้ามาเปลี่ยนอะไรบางอย่าง รู้สึกถูกชะตา หนุ่มหล่อตรงหน้าให้ความรู้สึกสบายใจ สองวันมานี้เธอรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาก คีตภัทรไม่ได้มาพักเฉย ๆ คอยมาชวนเธอคุย ทำโน่นทำนี่ มานั่งปั้นบัวลอยแจกคนงานในสวนกับเธอ อ่านหนังสือให้ฟัง บางทีก็ร้องเพลง และเพลงที่ร้องไม่ใช่เพียงวัยรุ่นของเขา แต่เป็นเพลงลูกทุ่ง ลูกกรุงที่มันทำให้เธอนึกถึงผู้ชายคนหนึ่ง

“อยากฟังเรื่องของวันไหม” เขามองอย่างไม่แน่ใจ

“ป้าอยากให้คีย์ช่วยวัน วันไม่ควรจะเป็นแบบนี้ ไม่ควรเป็นดอกไม้น้ำแข็ง เรื่องมันเกิดขึ้นเพราะป้า ป้าทำให้วันต้องเป็นดอกไม้น้ำแข็ง ทำให้วันต้องด้านชาต่อทุกสิ่ง มันเป็นเพราะป้า” เขามองมือวันวิภาที่เริ่มสั่นเทา

“เกิดอะไรขึ้นครับป้าวัน”

“คุณทำอะไรของคุณ” วันวิวาห์เดินเข้ามาในห้องนั่งเล่นมองคีตภัทรอย่างไม่ชอบใจ เมื่อได้ยินบทสนาที่กำลังจะขุดคุ้ยความหลัง และแม่เธอจะยิ่งร้องไห้มากขึ้น เธอเองก็จะยิ่งเจ็บมากขึ้น

“ไม่เอาน่าวัน แม่”

“ได้เวลานอนกลางวันแล้วนะคะ ไปค่ะ วันพาแม่เข้านอน แม่ต้องพักผ่อนมาก ๆ นะคะ”

“แต่แม่คงอยู่ได้อีกไม่นาน”

“ไม่พูดแล้วค่ะ แม่ห้ามพูดแบบนี้อีก วันมีแค่แม่นะคะ” วันวิภามองลูกสาวอย่างไม่สบายใจ และวันวิวาห์ก็เข็นรถวีลแชร์กลับไปที่ห้องของวันวิภาที่อยู่ชั้นล่าง ซึ่งง่ายต่อไปไปไหนมาไหน คีตภัทรมองไปที่ป้าจิต

“พ่อของคุณหนูวันเธอเป็นนักร้อง มาพบรักกับคุณวัน ทั้งสองมีพยานรักตัวน้อยกัน คุณพ่อของคุณหนูวันสัญญาว่าจะกลับมาขอคุณวันแต่งงาน แต่แล้วก็หายตัวไป คุณวันโดนตราหน้าว่าท้องไม่มีพ่อสร้างความอับอายให้กับครอบครัว คุณท่านขอให้คุณวันแต่งงานกับคนที่ท่านเลือกให้เพื่อคุณหนูวันจะได้ไม่ต้องอับอายไปมากกว่านี้ แต่คุณวันเธอไม่ยอม เธอเลือกจะรอคุณพ่อของคุณหนูวัน และหนีมาอยู่ที่นี่ ที่ ๆ สัญญาว่าจะรอ คุณวันรอมาตลอด รอจนล้มป่วย รอเท่าชีวิตของคุณหนูวัน แต่คุณพ่อของคุณหนูวันก็ไม่เคยกลับมา คุณวันเริ่มล้มป่วย เธอเป็นโรคหัวใจ คุณหนูวันเพียรพยายามขอร้องให้คุณวันไปหาหมอ แต่คุณวันเธอบอกว่าเธอกลัวว่าคุณพ่อคุณหนูวันจะกลับมา ถ้าเธอไม่อยู่อาจจะคลาดกัน คุณหนูวันทั้งโกรธ ทั้งเกลียดคุณพ่อของเธอ จนสุดท้ายคุณวันก็ป่วยจนถึงขั้นไม่รักษาได้อีก ได้แต่อยู่อย่างรอวันตาย เรื่องนี้พาลให้คุณวันเกลียดพวกศิลปินคิดว่าพวกคุณจะมีนิสัยเหมือนกันหมด เกลียดความรัก หล่อหลอมตัวเองให้กลายเป็นคนเย็นชา คุณหนูวันบอกตัวเองเสมอว่ามีชีวิตอยู่เพื่อรักแม่ และครอบครัวของเธอเท่านั้น เธอจะไม่มีวันรักใครให้ต้องเจ็บปวด เธอจะไม่ขอมีชีวิตอยู่อย่างทรมาน นับจากวันที่คุณหนูวันเธอพบว่าแม่ของเธอป่วยจนไม่รักษา เธอก็เปลี่ยนไป ครั้งหนึ่งคุณหนูวันเคยสดใส เคยร่าเริง เป็นผู้หญิงที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม แต่หลังจากวันนั้นมันก็ไม่มีอีก”

“พ่อของคุณวันวิวาห์เธอทิ้งป้าวันไปหรอครับ”

“ไม่รู้สิคะ แต่ทุกคนเข้าใจว่าเป็นอย่างนั้น เข้าใจว่าคุณพ่อของคุณหนูวันทิ้งคุณวันไป ไม่มีใครรู้อะไรไปมากกว่านั้น ดิฉันสงสารคุณวันนะคะ สุดท้ายกาลเวลาก็ค่อย ๆ ทำให้คนลืมเรื่องพวกนี้ไป ทุกคนมองปัจจุบันของคุณวันมากกว่า แต่คุณวันไม่เคยลืมคุณพ่อของคุณหนูวันเลย”

“แล้วคุณตาของคุณวันวิวาห์ละครับ”

“ท่านหายโกรธคุณวันแล้วล่ะค่ะ พ่อลูกตัดกันไม่ขาดหรอกค่ะ”

“แล้วป้าพอจะรู้ไหมครับว่าคุณพ่อของคุณวันวิวาห์เธอเป็นใคร บางทีถ้าเป็นนักร้องผมอาจจะช่วยตามหาได้ อย่างน้อยคุณป้าเธอจะได้สบายใจได้รู้ข่าวคราวของคนที่ตัวเองรอบ้างก็ดี ไม่ใช่รออย่างไร้ความหวังแบบนี้ ผมสงสารท่าน ดูจากอาการแล้ว ผมไม่ได้แช่งนะครับ แต่ผมผมรู้สึกได้ว่าท่านจะอยู่ได้อีกไม่นาน”

“ป้าก็ไม่รู้ คุณวันเธอไม่เคยบอก บางทีคุณน่าจะลองไปถามคุณวัน คุณวันดูจะชอบคุณ เธอเองก็เกือบจะเล่าให้คุณฟังแล้ว บางทีไปถามอาจจะรู้ก็ได้นะคะ” คีตภัทรพยักหน้ารับ บางทีเขาอาจจะช่วยคลายความทุกข์ในใจของแม่และลูกคู่นี้ได้





คีตภัทรเห็นวันวิวาห์เดินถือถาดข้าวเดินออกจากห้องวันวิภาไป เขาก็รีบเดินเข้าไปในห้องนอนของวันวิภา วันวิภานั่งอยู่บนวีลแชร์เหมือนเช่นทุกวัน ในมือกำลังถักโคเชด้วยท่าทีนิ่งเฉย เขาก็ยังคงสงสัยว่าสาเหตุอะไรทำให้วันวิภาต้องมานั่งวีลแชร์แบบนี้ ใบหน้าสวยสง่าสมวัยดูนิ่งสงบมาก แต่เขากลับมองเห็นแววตาเศร้าสลด วันวิภารู้สึกได้ว่ามีคนมองอยู่ก็เงยหน้าขึ้นจากงานในมือและหันไปมองคีตภัทรที่เดินเข้ามา

“ว่าไงจ๊ะ มีอะไรคุยกับป้าหรือเปล่า”

“คือ...ผมรู้เรื่องแล้วนะครับ” วันวิภายิ้ม

“คุณป้าอยากให้ผมช่วยไหมครับ ผมช่วยตามหาคุณพ่อคุณวันวิวาห์ได้นะครับ” เขามองเห็นประกายดวงตาที่เต็มไปด้วยความหวังของสาวสูงอายุ เขาเดินมานั่งคุกเข่าลงตรงหน้าวีลแชร์

“ผมอยากช่วยคุณป้า อยากช่วยคุณวันวิวาห์”

“ขอบคุณ” น้ำตาที่คลออยู่ทำให้คีตภัทรรู้ว่าเธอรอคำนี้จากใครสักคน ใครสักคนที่จะตามหาคนรักของเธอได้

“ผมจะตามหาสามีของคุณป้าให้แค่คุณป้าบอกว่า สามีคุณป้าเขาเป็นใครครับ บางทีการได้เจอคุณพ่อคุณวันวิวาห์ อาจทำให้คุณวันเลิกอคติต่อหลาย ๆ เรื่อง และที่ผมทำไม่ใช่เพื่อตัวผม แต่ผมอยากให้คุณป้ากับคุณวันใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ผมไม่หวังอะไรหรอกนะครับ ถือเป็นคำขอบคุณสำหรับที่พักพิงในยามผมลำบาก”

“เก็บความหวังดีของคุณไว้เถอะ ฉันไม่ต้องการมันสักนิด อย่าเอาเรื่องบ้า ๆ พวกนั้นมาพูดกับแม่ฉันอีก ถ้าคุณยังอยากอยู่ที่นี่ก็อย่ามายุ่งเรื่องของครอบครัวฉัน อย่ามาให้ความหวังลม ๆ แล้ง ๆ แบบนี้กับแม่ของฉัน”

“แต่ผมอยากให้คุณป้าได้พบคุณพ่อคุณสักครั้ง...”

“ฉันจะไม่มีวันให้เขาพบแม่ และฉันจะไม่มีวันไปพบเขา คุณรู้ไหมผู้ชายคนนั้นใจร้ายแค่ไหน เขาเป็นต้นเหตุให้ฉันเกือบไม่ได้ลืมตามาดูโลกใบนี้ แม่ฉันหอบท้องแปดเดือนของตัวเองเข้ากรุงเทพเพื่อไปตามหาเขา จนตัวเองโดนรถชน ฉันต้องคลอดก่อนกำหนด เกือบไม่รอด และแม่ของฉันต้องกลายเป็นอัมพาตเดินไม่ได้มันก็เพราะเขา นอกจากเขาจะไม่กลับมายังปล่อยให้แม่ฉันต้องมีความหวังแบบลม ๆ แล้ง ๆ รอคอยแบบไม่มีวันสิ้นสุด เขามันใจดำ”

“วัน!!!” วันวิวาห์ไม่ได้ฟังเสียงวันวิภา แต่กำลังพูดในสิ่งที่เก็บกดมาตลอดระยะเวลายี่สิบกว่าปีออกมา

“เขาทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งต้องรอ ฉันเองก็เคยนั่งรอเขา แต่วันที่ทำให้ฉันเข้าใจว่าเขาทิ้งเราไปแล้ว และการกระทำของฉันกับแม่มันดูโง่งมเหลือเกิน ก็คือวันที่แม่ป่วยจนอาการแทบจะรักษาไม่ได้และไม่ยอมรักษา ฉันปฏิญาณกับตัวเองต่อให้วันหนึ่งเขากลับมาฉันก็จะไม่มีวันมองหน้าเขา ชีวิตฉันมีให้แค่แม่ แค่ครอบครัวที่อยู่เคียงข้างฉันกับแม่มาตลอด ไม่มีใครอื่น แม้แต่เขา ฉันเกลียดเขา เกลียดผู้ชายเห็นแก่ตัวคนนั้น ฉันจะไม่มีวันให้อภัยในสิ่งที่เขาทำ”

“คุณ...”

“ถ้าไม่อยากให้ฉันเกลียดหน้าคุณไปมากกว่านี้ก็อย่ามายุ่งเรื่องของครอบครัวฉันอีก”

“แต่ผมหวังดี”

“ไม่มีใครหวังดีกับคนที่พึ่งรู้จักกันหรอก”

“ผมไม่อยากให้คุณมองโลกในแง่ร้าย” คีตภัทรเอ่ย

“ฉันแค่มองไปตามความเป็นไปของโลก ฉันไม่ใช่ผู้หญิงโลกสวย ไม่ได้โลกสวยแบบคุณจะมองทุกอย่างดีและสดใสไปหมด คุณไม่มีวันเข้าใจหรอกคุณคีย์”

“คุณป้า!!!” คีตภัทรที่เหลือบไปเห็นวันวิภาเอามือกุมหน้าอกใบหน้ากำลังแสดงความเจ็บปวดออกมา

“แม่!!!” วันวิวาห์เข้าไปตรวจอาการของวันวิภา

“คุณวันคุณไปเอารถออก เดี๋ยวผมจะอุ้มคุณป้าขึ้นรถ รีบพาคุณป้าไปโรงพยาบาลเถอะครับ” วันวิวาห์พยักหน้าและหยิบกุญแจไปสตาร์ชรถรอ ส่วนคีตภัทรรีบอุ้มร่างที่กำลังจะหมดสติของวันวิภาขึ้นรถไป




วันวิวาห์ยืนมองร่างของวันวิภาถูกเข็นเข้าไปในห้องฉุกเฉินใบหน้าสวยที่เคยเยือกเย็นกำลังสั่นไหวอย่างรุนแรง ความกลัวแทรกเข้ามาในจิตใจ เธอกลัวเหลือเกิน กลัวว่าแม่จะทิ้งเธอไป วันวิวาห์เกือบจะล้มทั้งยืน แต่คีตภัทรเข้ามาประคองไว้ วันวิวาห์ไม่ได้ผลักเข้าออก ในเวลานี้คนที่เธอห่วงและสนใจมีเพียงผู้หญิงที่อยู่ในห้อง เธออยากจะเข้าไปข้างใน เข้าไปดูอาการของวันวิภาด้วยตัวเอง เธอเรียนหมอก็เพื่อแม่ เธอท่องตำรา อุตสาหะ สอบเป็นนักเรียนทุนจนสำเร็จ เธออยากจะใช้วิชาที่เรียนมาเพื่อรักษาแม่ แต่แม่กลับไม่เคยให้เธอได้รักษา เธออยากเห็นแม่กลับมาแข็งแรง อยากเห็นรอยยิ้มของแม่อีกครั้ง ในที่สุดเวลาแห่งความลุ้นระทึกที่ยาวนานก็สิ้นสุดลงเมื่อไฟหน้าห้องฉุกเฉินปิดลงพร้อมกับหมอที่เดินออกมา

“ลุงหมอ” วันวิวาห์วิ่งออกจากอ้อมแขนของคีตภัทรเข้าไปหาหมอเดชา คุณหมอที่มีศักดิ์เป็นเพื่อนของแม่

“แม่เป็นยังไงบ้างคะ ทำไมอยู่ ๆ แม่ก็เจ็บอีก แม่...”

“ใจเย็น ๆ สิวัน มีสติหน่อยสิ ตอนนี้วันวิภาปลอดภัยแล้ว แต่ลุงอยากให้หนูเตรียมใจไว้บ้าง หนูเองก็รู้ใช่ไหม อาการแม่หนูตอนนี้มันหนักมาก มองจากภายนอกดูไม่มีอะไร แต่ภายในหนักมากแล้วนะ ลุงบอกไม่ได้ว่าวันจะอยู่กับเราได้อีกนานแค่ไหน อาจจะนาน หรือไม่นาน”

“หมายความว่ายังไงคะ” วันวิวาห์ถามออกไปด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาจนแทบจะไม่ได้ยิน

“ลุงรู้ว่าหนูเข้าใจที่ลุงพูด”

“ผ่าตัดล่ะคะ ถ้าผ่าตัดแม่...”

“อาการของวันวิภาไม่ได้รักษาได้ด้วยการผ่าตัดอีกแล้วนะหนูวัน ถ้าตอนนั้นวันวิภาเชื่อลุงมาผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจมันอาจจะประคองตัวได้ดีกว่านี้ อาการแม่หนูผ่าตัดตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์อีกแล้วล่ะ เยียวยาทางกายแต่ไม่เยียวยาทางใจมันก็เหมือนเดิมนั่นแหละน่ะหนูวัน ลุงกลัวถ้าผ่าตัดอีกจะเกิดการแทรกซ้อนได้ หนูวันเป็นหมอเหมือนกันหนูน่าจะเข้าใจที่ลุงพูด เราได้แต่ประคองอาการไม่ให้หนักไปมากกว่านี้ วันวิภาน่ะดื้อเกินไป”

“แม่จะอยู่กันวันได้อีกนานแค่ไหนคะ”

“ลุงบอกไม่ได้หรอก มันอยู่ที่ตัวของแม่หนู ลุงอยากให้หนูอยู่กับแม่มาก ๆ ใช้เวลาที่มีให้คุ้มค่า ให้ดีที่สุด คนเราจะเป็นจะตายไม่มีอะไรแน่นอนหรอกนะหนูวัน บางทีแม่อาจจะอยู่กับหนูได้อีกปีสองปี ถ้าแม่หนูดูแลตัวเองด้วย แต่บางทีอาจจะไม่ถึงปี เดี๋ยวลุงต้องไปดูคนไข้ต่อ ลุงขอตัวนะ” หมอเดชาเดินเลี่ยงไป วันวิวาห์ล้มตัวนั่งลง ไม่มีน้ำตาไหลออกมา ความรู้สึกวันวิวาห์ตอนนี้เหมือนโลกทั้งใบมืดลง แม่คือที่ยึดเหนี่ยวในจิตใจของวันวิวาห์ ถ้าไม่มีแม่ เธอจะอยู่ยังไง

“คุณวัน” คีตภัทรวางมือลงที่ไหล่บางที่ตอนนี้แลดูไร้เรี่ยวแรงเหลือเกิน

“ฉันเป็นหมอ...แต่ฉันกับช่วยอะไรแม่ไม่ได้ ...สิ่งที่ฉันเพียรเรียน เพียรพยายามมา...มันช่วยอะไรไมได้เลย ทั้งที่ฉันพยายามแล้ว ทำไมล่ะ” วันวิวาห์มองไปที่คีตภัทรที่ตอนนี้กำลังมองเธออยู่

“ผมไม่อยากพูดตัดกำลังใจ แต่ตอนนี้ท่านยังมีชีวิตอยู่แต่จะอยู่ได้นานไหม ไม่มีใครตอบได้ คุณอาจจะบอกว่าคุณพยายามทำทุกอย่างเพื่อท่านแล้ว แต่ผมอยากจะบอกคุณวันนะครับว่าคุณยังมีอีกสิ่งที่คุณยังไม่เคยพยายามเพื่อท่านเลย คุณไปคิดดูนะว่าคุณจะทำมันเพื่อท่านได้ไหม” และคีตภัทรก็เดินออกไป เพื่อให้วันวิวาห์ได้อยู่กับตัวเอง ทบทวนทุกสิ่งทุกอย่างดู และเธอจะเข้าใจมันด้วยตัวเอง




.....ติดตามตอนต่อไป......



สุขสันต์วันแม่ค่ะ ไปกราบแม่กันงาม ๆ หรือยังค่ะ วันนี้งวันแม่
แต่ไรเตอร์อยากให้รีดเดอร์ทุกคนทำทุกวันให้เป็นวันแม่
รักแม่ทุก ๆ วันนะคะ


คริ ๆ จบไปแล้วอีกหนึ่งตอน ไฃไขปริศนาข้องใจของหนูวันแล้วนะคะ
แล้วมาพบกันในครั้งหน้า ช่วยลุ้นว่าหนูวันจะตัดสินใจยังไง

ขอบคุณที่ติดตาม ฝากคอมเม้นส์ด้วยนะคะ



พัชรีพร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 12 ส.ค. 2557, 11:56:37 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 12 ส.ค. 2557, 11:56:37 น.

จำนวนการเข้าชม : 1213





<< 22 ร่องรอยและเบาะแส   24 เอวา นางฟ้าของคาเว่น ...ลบแล้วค่ะ... >>
yimyum 12 ส.ค. 2557, 18:19:25 น.
รอร๊อรอค่ะ


แก้วจินดา 12 ส.ค. 2557, 18:38:06 น.
ดอกไม้น้ำแข็งของเราจะละลายเมื่อไหร่นะ


แว่นใส 12 ส.ค. 2557, 19:47:42 น.
น่าจะมีเรื่องมากกว่าที่คิดนะ


นักอ่านเหนียวหนึบ 13 ส.ค. 2557, 23:45:44 น.
ใจแข็งทั้งแม่ทั้งลูกเล้ยย


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account