เชลยรักแห่งเม็ดทราย ชุดเพลิงสวาททาสทราย (ทำมือ เปิดจอง)

Tags: ทะเลทราย,ชีค,นิยายรัก,โรมานซ์

ตอน: ตอนที่ 4

ตอนที่ 4
นีราพรรณเดินโซซัดโซเซราวกับนกปีกหักไปยังรถเก๋งบีเอ็มฯ ของตนเอง ทันทีที่กระเสือกกระสนพาเรือนกายจิตใจอันบอบช้ำที่ก่อเกิดจากการกระทำของมารดาเข้าไปนั่งในรถเก๋งได้ หยาดน้ำตากับเสียงสะอื้นแห่งความเสียใจก็ถูกปลดปล่อยออกมาราวกับทำนบแตก ใบหน้างามที่นองไปด้วยน้ำตาซบลงกับพวงมาลัยรถปล่อยเสียงสะอื้นร่ำไห้ออกมาโดยไม่ต้องหวาดกลัวว่าใครจะได้ยิน คำพูดประโยคสุดท้ายของมารดายังกึกก้องอยู่ในหัวสมอง
‘ฉันไม่ได้ขายแค่เดอะธาราแกรนด์โฮเทลเท่านั้น แต่ฉันขายบ้านหลังงามที่คุ้มกะลาหัวแกให้กับเจ้าชายฮารีฟร์ อัล ริฟาอีลส์ด้วย’
“วันนี้เป็นวันวิปโยคของฉันหรือไง”
มือบางทุบลงไปหนักๆ ติดกันหลายสิบครั้งบนพวงมาลัยรถยนต์ ริมฝีปากอวบอิ่มสีหวานสั่นระริกตะโกนตัดพ้อต่อว่าโชคชะตาของตนเองที่พลิกผันแค่เพียงไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา แม่หลงผู้ชายคนใหม่เอามากๆ ถึงขนาดขายสมบัติทุกอย่างของพ่อเพื่อเอาไปปนเปรอแมงดาที่เกาะชายกระโปรงผู้หญิง แม่ไม่รู้หรอกว่าเวลาที่แม่เผลอ นายอติรุธก็ควงผู้หญิงวัยละอ่อนออกท่องราตรีซึ่งเรื่องนี้เธอเคยเห็นมากับตาแล้ว
น้ำหนาวกับน้ำค้าง น้องสาวฝาแฝดที่น่ารักทั้งสองคงเสียใจมากถ้าหากรู้ว่าแม่มีชายชู้ และคงทนไม่ได้ถ้าหากรู้ว่าแม่ขายสมบัติของพ่อเพื่อเอาเงินไปเลี้ยงผู้ชายคนนั้นและถ้าหากพ่อรู้เรื่องนี้คงทนไม่ได้เช่นเดียวกันอาการของโรคหัวใจต้องกำเริบขึ้นมาแน่นอน เธอจะปิดเรื่องนี้ไว้ จะไม่ให้พ่อและน้องทั้งสองได้รับรู้
นีราพรรณร่ำไห้ให้กับโชคชะตาชีวิตที่ตกต่ำอยู่เป็นเวลานานนับชั่วโมง หัวสมองมึนงงหมุนคว้างไม่รับรู้ถึงสิ่งที่อยู่รอบกายแม้กระทั่งเสียงโทรศัพท์ของตนเองที่ดังขึ้นเป็นเวลานานเกือบสิบครั้งได้
การที่นีราพรรณจมดิ่งอยู่ในความทุกข์โศกเศร้าโดยไม่สนใจเสียงโทรศัพท์ที่เรียกเข้าทำให้คนที่โทรหาเธอรู้สึกหงุดหงิดอารมณ์เสียจวนเจียนคลั่ง
“บ้าชะมัด!...เธอทำอะไรอยู่ทำไมถึงไม่รับสาย”
เจ้าชายฮารีฟร์สบถต่อว่านีราพรรณเสียงดังพร้อมกับเดินไปเดินมาหัวฟัดหัวเหวี่ยงอยู่ภายในห้องทำงานใหญ่ของนีราพรรณราวกับเสือติดจั่น หลังจากการประชุมเสร็จสิ้นกรรมการอาวุโสคือธนภูมิรวมทั้งคณะกรรมการคนอื่นๆ ได้เข้ามาแสดงความยินดีกับการได้เข้ามาเป็นท่านประธานคนใหม่ การที่คนเหล่านี้เข้ามาล้อมหน้าล้อมหลังทำให้เขาไม่สามารถปลีกตัวออกไปตามนีราพรรณที่หลบออกจากห้องประชุมเป็นคนแรกได้ พอปลีกตัวออกมาได้แล้วเขาก็รีบตรงดิ่งมายังห้องทำงานของหญิงสาว ห้องทำงานใหญ่หรูหราสมฐานะของท่านประธานโรงแรมดูอ้างว้างปราศจากเรือนร่างของเจ้าของห้อง เขาสั่งให้อานีสต์ไปหาเบอร์มือถือของนีราพรรณเป็นการด่วน หลังจากได้เบอร์โทรของหญิงสาวมาแล้วเขาก็กระหน่ำโทรนานนับสิบนาทีแต่ปลายทางก็ไม่ยอมรับสาย
“อานีสต์...เจ้าได้เบอร์โทรของน้ำเหนือมาแค่เบอร์เดียวหรือ”
เจ้าชายฮารีฟร์เอ่ยถามองครักษ์เอกที่ยืนอยู่ใกล้ๆ เพื่อรอรับคำสั่ง ขณะที่เอ่ยถามก็ไม่ได้เหลือบสายตามองอานีสต์แต่เพียงนิดเดียว เขายังจดจ่ออยู่กับการโทรศัพท์ไปหานีราพรรณหญิงสาวที่ใจของเจ้าแห่งทะเลทรายกำลังกระหวัดคิดถึง
“กระหม่อมถามคนที่ชื่อธนภูมิแล้วเขาบอกว่าคุณน้ำเหนือใช้เบอร์นี้เบอร์เดียวพะยะค่ะ”
อานีสต์รายงานเสียงราบเรียบพร้อมกับลอบถอนหายใจด้วยความสงสารหญิงสาวที่ชื่อนีราพรรณ เขาภาวนาให้เธออย่าได้รับโทรศัพท์ของเจ้าเหนือหัวของตน มิเช่นนั้นคงถูกพายุอารมณ์ของเจ้าชายฮารีฟร์เล่นงานจนตั้งตัวไม่ทันแน่ แต่เมื่อมาลองคิดอีกทีการที่นีราพรรณจะรับโทรศัพท์หรือไม่รับ ผลก็คงออกมาเหมือนกัน เพราะพรุ่งนี้หญิงสาวคงได้ต้อนรับอารมณ์โกรธราวกับพายุทอร์นาโดของเจ้าชายฮารีฟร์ทันทีที่เดินเข้ามาในโรงแรม
“น้ำเหนือยังอยู่ในโรงแรมหรือเปล่าอานีสต์”
“กระหม่อมถามประชาสัมพันธ์มาเรียบร้อยแล้ว เขาบอกว่าคุณน้ำเหนือขับรถออกไปข้างนอก คงออกไปทันทีหลังจากที่ออกจากห้องประชุมแล้ว”
อานีสต์เอ่ยรายงาน เขาไม่ได้ออกไปหาแค่เบอร์โทรของหญิงสาวที่เจ้าเหนือหัวต้องตาต้องใจเท่านั้น แต่เขาสืบเสาะหาข้อมูลด้วยว่าหญิงสาวยังอยู่ที่โรงแรมหรือเปล่า
เจ้าชายฮารีฟร์พยักหน้ารับรู้พลางบ่นงึมงำไม่ยอมหยุดเดิน นิ้วเรียวยาวแข็งแกร่งก็ไม่ละความพยายามในการกดโทรหานีราพรรณ
“ทำไมไม่รับสายน่ะ” แล้วจู่ๆ ใบหน้าคมเข้มหล่อเหลาของบุรุษชาติอาหรับเจ้าแห่งทะเลทรายก็มีอันต้องซีดเผือดหน้าถอดสีเมื่อเจ้าตัวนึกคิดไปในแง่ร้าย
“หรือว่านีราพรรณ ขับรถไปชนใครอีก”
“คงไม่หรอกพะยะค่ะ พระองค์อย่าได้ทรงคิดในแง่ร้ายเลย กระหม่อมคิดว่า...เอ่อ...คุณนีราพรรณคงเสียใจเรื่องที่เดอะธาราแกรนด์โฮเทลถูกเปลี่ยนมือมาเป็นของพระองค์จึงหลบไปอยู่คนเดียวสักพัก”
อานีสต์เอ่ยตอบพยายามนึกคิดในแง่ดีเอาไว้ก่อน เขาคิดว่านอกจากนีราพรรณจะเสียใจเรื่องโรงแรมที่ต้องตกมาเป็นของคนอื่นแล้วคงเสียใจที่ถูกเจ้าเหนือหัวของตนหักหาญน้ำใจด้วย
เจ้าชายฮารีฟร์ไม่ละความพยายามในการโทรหานีราพรรณ คราวนี้สัญญาณมือถือของปลายทางที่โทรติดแต่ไม่มีใครรับสายกลับแปรเปลี่ยนเป็นสัญญาณการปิดเครื่องแทน
“บ้าชะมัด! น้ำเหนือปิดเครื่องไปแล้ว เจ้าไปตามวาอีน์มาพบเราเดี๋ยวนี้”
เจ้าแห่งทะเลทรายผู้ยิ่งใหญ่เอ่ยสั่งองครักษ์ด้วยน้ำเสียงติดหงุดหงิดที่ทุกอย่างไม่เป็นไปดังใจนึกคิด ทำไมนีราพรรณไม่รับสายทั้งๆ ที่เขาโทรไปนับสิบๆ ครั้งและทำไมเธอต้องปิดเครื่องหนีการติดต่อสื่อสารจากเขาด้วย
“กระหม่อมจะไปตามวาอีน์มาพบพระองค์เดี๋ยวนี้พะยะค่ะ”
อานีสต์โค้งคำนับรับคำสั่งจากนั้นก็สาวเท้าออกไปจากห้องทำงานใหญ่โดยไม่รอช้า เขานึกไม่ออกว่าเจ้าชายฮารีฟร์ให้ตามวาอีน์หนึ่งในองครักษ์อารักขาความปลอดภัยมาพบด้วยเรื่องใด
ไม่เกินสามนาทีต่อมาวาอีน์องครักษ์ผู้ซื่อสัตย์ก็เข้ามายืนสงบนิ่งหน้าเจ้าแห่งทะเลทรายที่กำลังนั่งหมิ่นๆ อยู่บนโต๊ะทำงานของนีราพรรณ
“พระองค์มีเรื่องใดให้กระหม่อมรับใช้พะยะค่ะ”
น้ำเสียงขององครักษ์ผู้ซื่อสัตย์ที่เอื้อนเอ่ยขอรับคำสั่งนั้นเต็มไปด้วยความจงรักภักดีพร้อมทำตามคำสั่งทุกประการของเจ้าเหนือหัวผู้ที่ชุบเลี้ยงตนเองมาโดยไม่หวาดหวั่นว่าเรื่องเหล่านั้นจะอันตรายมากเพียงใด
“เจ้าไปที่บ้านของนีราพรรณดูว่าเธอกลับไปถึงบ้านหรือยัง”
ซุ่มเสียงที่เอ่ยสั่งองครักษ์อาจฟังดูราบเรียบไร้ความรู้สึกสำหรับคนทั่วๆ ไป แต่สำหรับอานีสต์และวาอีน์ไม่คิดเช่นนั้น การรับใช้เจ้าชายฮารีฟร์และราชวงศ์ อัล ริฟาอีลส์มานานตั้งแต่เริ่มเข้าสู่วัยหนุ่มทำให้องครักษ์ทั้งสองรับรู้ว่าเจ้าเหนือหัวของตนนั้นเป็นห่วงหญิงสาวชาวสยามเป็นอย่างมาก
วาอีน์หันไปมอบสบตาพลางลอบอมยิ้มอย่างรู้กันให้กับหัวหน้าองครักษ์คนที่เป็นเจ้านายและเพื่อนทุกข์เพื่อนยาก
“กระหม่อมจะไปเดี๋ยวนี้พะยะค่ะ และก็จะรายงานให้พระองค์ทราบทันทีที่ไปถึงบ้านของคุณนีราพรรณ”
“ดีมาก ไปได้แล้ว”
เจ้าชายฮารีฟร์โบกมือไล่พร้อมกับเดินไปทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวใหญ่หลังโต๊ะทำงานของนีราพรรณ ภาพถ่ายในกรอบรูปใบเล็ก 3-4 ภาพที่วางไว้บนโต๊ะทำงานเป็นที่สะดุดตาถูกใจเขาอย่างมาก นิ้วเรียวยาวแข็งแกร่งหยิบภาพถ่ายแต่ละใบขึ้นมาดูเริ่มด้วยภาพถ่ายของครอบครัว ส่วนภาพที่สองเป็นภาพของสามสาวสามพี่น้องซึ่งสวยงดงามชวนพิศคนละแบบ ส่วนภาพสุดท้ายเป็นภาพเดี่ยวของนีราพรรณซึ่งถ่ายที่น้ำตก ภาพนี้นีราพรรณเปิดยิ้มกว้างอย่างเป็นธรรมชาติได้สวยงามสะกดใจเขายิ่งนัก เจ้าชายหนุ่มแย้มยิ้มตรงมุมปากด้วยความพึงพอใจ นิ้วยาวแกะภาพถ่ายของนีราพรรณออกมาจากกรอบรูปจากนั้นก็เอาไปสอดไว้ด้านในกระเป๋าเสื้อสูทหน้าตาเฉย
อานีสต์กลั้นหัวเราะไว้สุดความสามารถจนบ่ากว้างสั่นสะท้าน ใบหน้าหล่อเข้มแดงก่ำไปหมด ถ้าหากเจ้าชายซารีฟร์และองครักษ์คนอื่นๆ มาเห็นเจ้าแห่งอัลนูรีนขโมยภาพของหญิงสาวมาเก็บไว้แนบกายคงได้พากันอ้าปากค้างด้วยความคาดไม่
ถึงเป็นแน่
“หยุดหัวเราะได้แล้วอานีสต์ ขำอะไรกันนักกันหนา“
เจ้าชายฮารีฟร์ต่อว่าองครักษ์เอกทั้งๆ ที่ยังก้มหน้าอ่านเอกสารกองมหึมาที่วางอยู่เบื้องหน้า เขารู้ว่าอานีสต์แปลกใจขบขำกับการกระทำของเขาเมื่อสักครู่ ใช่ว่ามีแต่อานีสต์ที่แปลกใจ ตัวเขาเองก็แปลกใจในการกระทำของตนเช่นเดียวกัน เจ้าชายฮารีฟร์ อัล ริฟาอีลส์ เจ้าแห่งทะเลทรายผู้ยิ่งใหญ่ทระนงไม่จำเป็นต้องขโมยภาพของผู้หญิง มีหญิงสาวมากหน้าหลายตาหลายชาติหลายภาษาที่ต้องการปรนนิบัติคอยอยู่ใกล้ๆ ไม่เคยมีหญิงใดที่คอยหลบหลีกวิ่งหนีเขาเป็นโยชน์เหมือนนีราพรรณและไม่เคยมีใครเป็นที่ต้องตาต้องใจจนทำให้เขาต้องขโมยภาพของเธอมาเก็บไว้แนบกายใจเช่นดังนีราพรรณมาก่อน
อานีสต์ขยับกายเข้าไปใกล้เรือนร่างใหญ่โตกำยำของเจ้าเหนือหัวนิดหนึ่งจากนั้นก็เอ่ยแซวเจ้าแห่งทะเลทรายด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ
“กระหม่อมแปลกใจการกระทำของพระองค์พะยะค่ะ พระองค์ชอบคุณนีราพรรณใช่ไหมพะยะค่ะ”
เจ้าชายฮารีฟร์เอนกายพิงพนักเก้าอี้ตัวใหญ่พลางถอนหายใจยืดยาวก่อนเอ่ยตอบองครักษ์เอกโดยไม่รู้สึกขัดเคืองกับคำเอ่ยแซวของอีกฝ่าย
“อย่าว่าแต่เจ้าเลยอานีสต์ เราเองก็แปลกใจการกระทำและจิตใจของเราเหมือนกัน เรายังจำคำบอกเล่าเรื่องราวความรักของท่านพ่อกับท่านแม่ได้ดี ท่านพ่อบอกว่าครั้งแรกที่ท่านเดินทางมาเมืองไทยและพบกับท่านแม่ ท่านก็รู้ได้ทันทีว่าหญิงสาวผู้นี้คือคู่ชีวิต คู่ครองของท่าน บอกตามตรงว่าเราไม่ค่อยเชื่อคำพูดของท่านพ่อสักเท่าไหร่ จนกระทั้งเรามาพบกับนีราพรรณเราถึงได้เข้าใจท่านพ่อ แต่เรารู้สึกได้ว่าความรักของเราคงไม่ราบรื่นเหมือนความรักของท่านพ่อกับท่านแม่ ยังมีเรื่องของชารีฟร์และราษฎรชนเผ่าคาลีส์ที่อยู่ชายแดนประเทศอัลนูรีนที่เป็นภาระยิ่งใหญ่หนักอึ้งที่เราต้องสะสางให้เรียบร้อยก่อนที่จะเสาะแสวงหาความสุขใส่ตัว”
เรือนร่างล่ำสันบึกบึนของเจ้าแห่งทะเลทรายอันกว้างใหญ่ไพศาลลุกขึ้นจากเก้าอี้หนานุ่มพลางสืบเท้าช้าๆ ไปหยุดยืนแน่นิ่งทอดสายตาจ้องมองออกไปนอกตัวอาคารของโรงแรม อยากให้ชารีฟร์ได้รับรู้ว่าเชษฐาทั้งสองเป็นห่วงน้องมากเพียงใด เขาไม่เคยคิดทำร้ายสายเลือดเดียวกัน แต่ในทางกลับกันเขาต้องการให้อนุชาทั้งสองได้นั่งร่วมบนราชบัลลังก์อัลนูรีน ทำไมอนุชาชารีฟร์ไม่เข้าใจและไม่ยอมเปิดโอกาสให้เขาได้เข้าพบบ้าง
อานีสต์เดินมาหยุดยืนใกล้ๆ กับเจ้าเหนือหัวพลางเอ่ยถามย้ำความตั้งใจเดิมของเจ้าชายฮารีฟร์อีกครั้ง
“เรื่องที่พระองค์บอกกระหม่อมเมื่อเช้าว่าจะไปพบเจ้าชายชารีฟร์ พระองค์ยังคงต้องการเดินทางไปที่เผ่าคาลีส์อยู่หรือเปล่าพะยะค่ะ”
“อืม...ใช่เราจะไปพบชารีฟร์ให้ได้ แม้ต้องถูกจับเหมือนคราวที่แล้วเราก็ยอม”
“ถ้างั้นให้กระหม่อมกับวาอีน์เดินทางไปด้วย กระหม่อมขอร้องพระองค์”
อานีสต์ร้องขอพร้อมกับทรุดตัวคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าเจ้าเหนือหัว ใบหน้าหล่อเหลาเงยขึ้น ดวงตาคมจ้องมองเจ้าเหนือหัวด้วยแววตาเด็ดเดี่ยว ถ้าหากเจ้าชายฮารีฟร์กับเจ้าชายซารีฟร์ห้ามเขากับวาอีน์ไม่ให้ร่วมเดินทางไปด้วยเหมือนครั้งที่แล้วเขาก็จะแอบตามไปให้จนได้ สองปีที่แล้วเจ้าชายฮารีฟร์ได้เดินทางไปที่ชายแดนประเทศไปยังเผ่าคาลีส์ถิ่นของเจ้าชายชารีฟร์แต่เพียงลำพังผู้เดียวกว่าเจ้าชายซารีฟร์และองครักษ์จะทราบว่าเจ้าชายถูกคนในเผ่าคาลีส์จับตัวไปก็กินเวลา 2 วัน ถ้าหากทุกคนไปช่วยเจ้าชายฮารีฟร์ช้ากว่านี้แค่เพียงวันเดียว พวกเขาก็คงไม่มีเจ้าเหนือหัวที่ยิ่งใหญ่ให้เคารพอารักขาต่อไป
เจ้าชายฮารีฟร์วางมือใหญ่บนบ่ากว้างขององครักษ์เอกผู้ซื่อสัตย์จงรักภักดีที่สละชีวิตของตนเองได้เพื่อราชวงศ์อัล ริฟาอีลส์
“เราขอบใจเจ้ามากอานีสต์ แต่เรายืนยันคำเดิมว่าเราจะไปแค่ 2 คนกับซารีฟร์เท่านั้น เราต้องการไปคุยกับชารีฟร์ในฐานะพี่กับน้องโดยไม่มีคนอื่นหรือบัลลังก์อัลนูรีนไปเกี่ยวข้อง...ไม่ต้องพูดแล้วอานีสต์” มือใหญ่ยกขึ้นห้ามทัพเมื่อองครักษ์เอกอ้าปากกำลังจะเอ่ยคัดค้าน
“ทำตามที่เราพูดห้ามขัดคำสั่งและห้ามส่งใครตามเรากับซารีฟร์ไป”
เจ้าชายฮารีฟร์สั่งห้ามอย่างรู้เท่าทันนิสัยขององครักษ์เอกดี ตัวถูกสั่งห้ามไม่ให้ตามไปแต่เขาเชื่อว่าอานีสต์ต้องแอบส่งวาอีน์หรือองครักษ์นายอื่นตามไปแน่นอน
“กระหม่อมขอสักครั้งเถอะพะยะค่ะ ขอให้กระหม่อมไปด้วย ถ้าหากให้พระองค์ไปกับเจ้าชายซารีฟร์โดยไม่มีองครักษ์ติดตามไปด้วยแม้แต่คนเดียวคงทำให้กระหม่อนนิ่งอยู่เฉยไม่ได้”
อานีสต์ยังคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าเจ้าเหนือหัว แววตาและน้ำเสียงที่เอ่ยร้องขอเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่นจนเจ้าชายฮารีฟร์ต้องส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ
“เอาเถอะ ถ้าหากเจ้ายืนยันที่จะตามเราไปให้ได้เราก็ไม่อยากขัดความต้องการของเจ้า ขอบใจเจ้ามากอานีสต์ ขอบใจที่เจ้าจงรักภักดีต่อราชวงศ์ของเรา”
“กระหม่อมถวายชีวิตนี้เพื่อพระองค์และราชวงศ์อัล ริฟาอีลส์ทุกพระองค์”
เจ้าชายฮารีฟร์ยิ้มบางๆ ให้กับองครักษ์ผู้ซื่อสัตย์จากนั้นก็สาวเท้ายาวๆ กลับไปทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้หนานุ่มพยายามปรับความคิดบังคับจิตใจของตนให้มุ่งอยู่ที่งานกองใหญ่ซึ่งวางอยู่เบื้องหน้า แต่ผ่านไปได้ครู่เดียวเขาก็ต้องผลักเอกสารทุกอย่างออก ตอนนี้เขาไม่มีกะจิตกะใจทำอะไรทั้งนั้นถ้าหากยังไม่ได้รับข่าวของนีราพรรณจากวาอีน์
ผ่านไปร่วมสามชั่วโมงจิตใจที่ร้อนรุ่มเป็นกังวลของเจ้าชายฮารีฟร์ผู้อาจหาญจึงได้สงบลงเมื่อได้รับแจ้งจากองครักษ์ว่านีราพรรณได้กลับถึงบ้านของเธอโดยปลอดภัยแล้ว

บ้านกมลเนตร...
นีราพรรณกระซิบอ่านป้ายบ้านของตนเองด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาขณะที่ขับรถมาจอดหน้าประตูรั้วทางเข้าบ้าน ชื่อบ้านที่สลักไว้อย่างสวยงามด้วยตัวอักษรสีทองทำให้เธอสะเทือนใจ ต่อไปนี้จะไม่มีบ้านกมลเนตรอีกแล้วแต่จะแปรเปลี่ยนไปเป็นบ้านของเจ้าชายฮารีฟร์แทน
หญิงสาวบีบแตรรถให้เด็กรับใช้มาเปิดประตู ขณะที่รอก็ซบหน้าลงกับพวงมาลัยด้วยความท้อแท้ เธอตัดสินใจขับรถกลับบ้านแทนการกลับไปที่โรงแรม อยากหลบมาอยู่คนเดียวเงียบๆ สักพัก เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงเช้าจนถึงบัดนี้ทำให้จิตใจเธอทานรับแทบไม่ไหว ถ้าหากต้องกลับไปเผชิญหน้ากับใบหน้าถมึงทึง นัยน์ตาคมกริบและถ้อยคำวาจาที่เฉือดเชือนให้เจ็บปวดทุกคราจากเจ้าชายฮารีฟร์เธอคงได้ลมทั้งยืนเป็นแน่ ขอกลับมาพักกายใจสักครึ่งวัน หลังจากวันนี้ไปเธอจะทำจิตใจให้เข้มแข็งพร้อมรับกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
เมื่อเด็กรับใช้วิ่งออกมาเปิดประตูรั้วออกกว้างรถบีเอ็มดับบลิวก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้าไปจอดในโรงรถ นีราพรรณก้าวลงมาจากรถได้อย่างเชื่องช้าพอเดินผ่านสนามหญ้าหน้าบ้านก็ต้องสะดุ้งตกใจรีบยกมือขึ้นปาดน้ำตาออกจากพวงแก้มเมื่อได้ยินเสียงเรียกของบิดา
“น้ำเหนือลูก ทำไมวันนี้กลับบ้านเร็วนักละ”
คุณกมลร้องทักลูกสาวด้วยความแปลกใจที่เห็นลูกกลับบ้านตั้งแต่หัววัน ท่านสั่งให้พยาบาลเข็นรถเข็นไปใกล้ๆ ลูกสาวพลางจับมือลูกมากุมไว้
เนื่องจากนีราพรรณยืนหันหลังให้บิดาอยู่จึงทำให้คนที่เป็นพ่อไม่อาจเห็นน้ำตาของลูกสาวที่เจ้าตัวพยายามกล้ำกลืนให้ไหลย้อนกลับไป นีราพรรณหันหน้ากลับช้าๆ พลางฝืนยิ้มกว้างให้บิดา ทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าใกล้รถเข็นแล้วจับมือเหี่ยวย่นของพ่อมากุมไว้แน่น บังคับน้ำเสียงที่เอ่ยตอบให้เป็นปกติที่สุด
“พอดีน้ำเหนือปวดหัวนิดหน่อยก็เลยขอกลับบ้านก่อน คุณพยาบาลพาคุณพ่อออกมาเดินเล่นรับลมนานหรือยังคะ”
“สักพักแล้วลูก พ่อเบื่อที่จะนั่งๆ นอนๆ อยู่แต่ในบ้าน”
คุณกลมถอนหายใจยาวท้อแท้กับอาการเจ็บป่วยของตนเอง โรคหัวใจกับคนแก่เป็นสิ่งที่หลีกหนีกันไม่ได้จริงๆ เมื่อแปดเก้าปีก่อนตอนที่รู้ว่าตนเองเป็นโรคหัวใจเขาก็ไม่คิดรักษาจริงจัง มัวแต่มุมานะมุ่งมั่นในการทำงานแบบหามรุ่งหามค่ำ คิดว่าการเจ็บป่วยเพียงแค่นี้ไม่ใช่อุปสรรคขัดขวางการทำงานของตน การเข้าไปพบแพทย์ก็ไปบ้างไม่ไปบ้างแล้วแต่โอกาสจะเอื้ออำนวย ไม่เคยใส่ใจอาการเจ็บป่วยของตนเองจนกระทั่งเมื่อสองปีที่แล้วอาการของโรคหัวใจกำเริบหนักจนต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลนานนับเดือนพอออกมาจากโรงพยาบาลแล้วก็ทำให้เดินเหินไม่ได้เหมือนแต่ก่อนจนต้องอาศัยรถเข็นเป็นพาหนะ งานในโรงแรมทุกอย่างก็ต้องปล่อยให้น้ำเหนือเป็นคนบริหารแต่เพียงผู้เดียว
“งานหนักหรือเปล่าน้ำเหนือ พ่อว่าหน้าตาหนูซีดๆ เหมือนกำลังไม่สบาย”
ใบหน้าที่ซีดเซียวท่าทางอ่อนแรงทำให้ท่านต้องเอื้อมมือไปลูบพวงแก้มขาวซีดของลูกสาวไว้ด้วยความสงสาร
“น้ำเหนือสบายดีค่ะคุณพ่อ เอ่อ...คงเป็นเพราะวันนี้ประชุมเครียดด้วยเลยทำให้น้ำเหนือเหนื่อยนิดหน่อย”
ขณะที่เอ่ยตอบนีราพรรณก็หลบเลี่ยงสายตาที่กำลังจ้องมองมาของบิดดาโดยการลุกขึ้นยืนเดินไปจับรถเข็นแล้วทำหน้าที่เข็นรถให้บิดาแทนพยาบาลสาวที่จ้างมาคอยดูแลท่าน
คุณกมลแย้มยิ้มให้กำลังใจลูกสาวโตเอื้อมมือซีดเซียวไปจับมือนุ่มนิ่มของลูกสาวไว้พลางบีบเบาๆ พร้อมกับเอ่ยปลอบเสียงติดอ่อนแรง
“ทนหน่อยนะลูก อีกไม่นานน้ำหนาวกับน้ำค้างก็เรียนจบแล้ว ต่อไปน้องๆ จะได้มาช่วยแบ่งเบาภาระของน้ำเหนือ เดอะธาราแกรนด์โฮเทลจะยิ่งใหญ่กว่าเดิมเมื่อมีลูกๆ ทั้ง 3 คนมาช่วยกันบริหารงาน”
นีราพรรณเม้มริมฝีปากแน่น หยาดน้ำตาอุ่นเอ่อคลอเบ้าด้วยความสะเทือนใจเมื่อได้ยินคำพูดที่เต็มไปด้วยความคาดหวังของบิดา เดอะธาราแกรนด์โฮเทลไม่ได้เป็นของพ่ออีกต่อไปแล้ว ไม่มีตำแหน่งผู้บริหารสำหรับเธอ สำหรับน้ำหนาวและน้ำค้างจะมีก็แค่ตำแหน่งของลูกจ้างเท่านั้น
“เอ่อ...คุณพ่อคะ บางทีทุกอย่างอาจไม่เป็นแบบนั้นก็ได้” หญิงสาวอ้อมแอ้มตอบบิดาไม่เต็มเสียงนัก
“ทำไมล่ะน้ำเหนือ เมื่อลูกๆ ทั้ง 3 คนมาช่วยกันบริหารงานเดอะธาราแกรนด์โฮเทลของเราต้องเจริญรุ่งเรืองมากกว่าเดิม อ้อ...อีก 2 เดือนก็ถึงวันครบรอบ 10 ปี การก่อตั้งโรงแรม พ่อตั้งใจว่าปีนี้จะจัดงานให้ยิ่งใหญ่กว่าทุกๆ ปี พ่ออยากให้น้ำเหนือโทรไปถามน้องๆ ด้วยว่าพอจะเดินทางมาร่วมงานได้หรือเปล่า”
นีราพรรณหน้าเสียเศร้าใจกับสิ่งที่บิดาได้วาดวางแผนไว้ล่วงหน้า งานเลี้ยงครบรอบสิบปีของเดอะธาราแกรนด์โฮเทลจะไม่มีการจัดขึ้นหรือถึงแม้จัดขึ้นพ่อของเธอก็ไม่ใช่คนเปิดม่าน คนที่จะทำหน้าที่นี้มีเพียงผู้เดียวคือเจ้าชายฮารีฟร์ อัล ริฟาอีลส์ หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ เพื่อเรียกความมั่นใจให้ตนเองก่อนจะตัดสินใจเลียบเคียงเอ่ยถามบิดา
“คุณพ่อคะ ถ้าหากในวันหนึ่งสิ่งที่เคยเป็นของเราไม่ได้เป็นของเราอีกต่อไป เอ่อ...คุณพ่อจะทำใจยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นได้มั้ยคะ”
คุณกมลเอี้ยวตัวหันไปมองลูกสาวที่กำลังทำหน้าที่เข็นรถให้พลางเอ่ยถามออกมาด้วยความแปลกใจ
“น้ำเหนือพูดแปลกๆ น่ะลูก ที่โรงแรมมีปัญหาหรือเปล่า”
“เอ่อ...เปล่าค่ะที่โรงแรมไม่มีปัญหาอะไร พอดีเพื่อนของน้ำเหนือกำลังเจอปัญหาคล้ายๆ กับที่หนูถามคุณพ่อไป หนูก็เลยอยากขอคำปรึกษาความคิดเห็นจากคุณพ่อ”
น้ำตาแห่งความสำนึกผิดจำเป็นต้องเอ่ยโกหกผู้ที่เป็นพ่อได้หยดแหมะลงมากระทบเกลือกกลิ้งอยู่บนหลังมือที่จับบีบรถเข็นไว้แน่นจนขาวซีดมือชาไร้ความรู้สึก หญิงสาวไม่อาจบอกความจริงกับพ่อได้ว่าสิ่งที่เธอเอ่ยถามไปเมื่อสักครู่นั้นเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในเดอะธาราแกรนด์โฮเทลและในบ้านหลังงามแห่งนี้
“ถ้าหากน้ำเหนือถามความคิดเห็นของพ่อๆ ก็ตอบว่าพ่อคงทำใจยอมรับการสูญเสียไม่ได้ถ้าหากสิ่งที่เราสร้างมากับมือด้วยความยากลำบากต้องหลุดลอยสูญหายไปต่อหน้าต่อตา แต่กับเพื่อนของน้ำเหนือพ่อไม่รู้ว่าเธอจะทำใจได้หรือเปล่า”
คุณกมลแย้มยิ้มออกมาอย่างโล่งอกกับคำตอบของลูกสาวคนโต ดวงตาที่เริ่มฝ้าฟางทอดมองบ้านหลังงามใหญ่โตด้วยน้ำพักน้ำแรงของตนเองอย่างภาคภูมิใจน้ำเสียงถ้อยคำที่เอ่ยตอบออกมาทำให้นีราพรรณต้องน้ำตาร่วงเผาะไหลลงเป็นทางยาวโดยปราศจากเสียงร่ำไห้และเมื่อรู้ว่าตนเองไม่อาจกลั้นเสียงสะอื้นร้องไห้ได้อีกต่อไปจึงได้เอ่ยโกหกบิดาอีกครั้ง
“คุณพ่อคะ น้ำเหนือขอตัวไปหายาทานก่อนนะคะ”
“ยังปวดหัวอยู่หรือลูก”
คุณกมลเอ่ยถามเสียงเป็นกังวลเอี้ยวตัวหันมามองลูกสาวอย่างรวดเร็วทำให้นีราพรรณยกมือเช็ดน้ำตาแทบไม่ทัน
“หนูหน้าซีดมากเลยลูกรีบไปกินยาแล้วก็นอนพักน่ะ”
“ค่ะ...คุณพ่อ...”
นีราพรรณรับคำเสียงแผ่วเบาฝืนยิ้มหวานให้บิดาเพื่อไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกต เท้าเล็กในรองเท้าส้นสูงประคับประคองบังคับเรือนกายของผู้ที่เป็นเจ้าของให้เดินอย่างมั่นคงไม่ล้มลงต่อหน้าบิดาขณะที่ก้าวเดินช้าๆ เข้าไปในตัวบ้านและเมื่อเข้ามาอยู่ในห้องนอนอาณาเขตส่วนตัวได้เป็นที่เรียบร้อยแล้วหญิงสาวก็ทุ่มตัวคว่ำหน้าปล่อยเสียงสะอื้นร้องไห้จนสั่นสะท้านไปทั้งตัว ได้ยินคำพูดของพ่อแล้วทำให้เธอไม่กล้าบอกว่าขณะนี้ตระกูลกมลเนตรไม่ได้เป็นเจ้าของเดอะธาราแกรนด์โฮเทลและคฤหาสน์กมลเนตรอีกต่อไปแล้ว...
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
“เชลยรักแห่งเม็ดทราย” เป็นนิยายลำดับที่ 1 ในชุดเพลิงสวาททาสทราย ซึ่งเคยตีพิมพ์กับสำนักพิมพ์มายเลิฟ แต่ตอนนี้ได้หมดสัญญาแล้ว ผู้เขียนจึงได้นำมันกลับมาทำใหม่ในฉบับทำมือ

และฉบับทำมือนี้มีความ พิเศษ กว่าฉบับตีพิมพ์กับทางสำนักพิมพ์คือ ผู้เขียนจะเอาฉากเลิฟซีนร้อนแรงที่ทางสำนักพิมพ์ตัดทิ้งเพื่อให้สามารถผ่านการพิจารณาวางขายจากซีเอ็ด ชนิดที่เรียกได้ว่า “จัดหนักจัดเต็ม”

นอกจากนี้ผู้เขียนยังได้ตอบแทนเหล่าแฟนคลับที่น่ารักทุกคนด้วยการ “แจกจี้ทองไอริสมูลค่าครึ่งสลึง 1 รางวัล“ กติกาง่ายๆ เพียงมี นิยายชุดเพลิงสวาททาสทราย ฉบับทำมือครบทั้ง 3 เล่ม ซึ่งได้แก่

1.เชลยรักแห่งเม็ดทราย (กำลังเปิดจอง)
2.พายุรักแห่งเม็ดทราย (เปิดจองประมาณเดือนตุลาคม)
3.ไฟรักแห่งเม็ดทราย (เปิดจองประมาณเดือนธันวาคม)

ให้สิทธิ์ทั้งคนที่มีรูปเล่มและ ebook นะคะ (อย่าลืมสั่งจองกันเยอะๆ นะคะ ^^)

หนังสือมีความหนา 356 หน้า ราคาปก 300 บาทขายเพียง 269 บาทเท่านั้น (ฟรีค่า+ปกพลาสติก)

สนใจสั่งซื้อหรือสอบถามรายละเอียดที่ sornwarunya@gmail.com

เปิดจองตั้งแต่วันนี้ – วันที่ 03/09/57 (พิมพ์ตามยอดจอง) หนังสือสามารถจัดส่งได้ประมาณปลายเดือนกันยายนนะคะ

เรื่องนี้จะลงไม่จบนะคะ ลงให้อ่านเป็นตัวอย่างเพื่อช่วยในการตัดสินใจสั่งจองเท่านั้นจ้า และลงครบ 50% เมื่อไหร่จะทยอยลบตอนต้นๆ ออกนะคะ

ขอบคุณค่ะ

ไอริส



ไอริสโชกุนา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 21 ส.ค. 2557, 18:57:24 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 21 ส.ค. 2557, 18:57:24 น.

จำนวนการเข้าชม : 1337





<< ตอนที่ 3   
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account