สุดปลายฝัน
สุดปลายฝัน เรื่องราวของ ‘ณัฐญาณ์’ หญิงสาวที่ประสบเหตุไม่คาดฝัน เมื่ออุบัติเหตุเฮลิคอปเตอร์ตกลงไปใจกลางพายุงวงช้าง ในช่วงเวลาเดียวกับประตูมิติที่เปิดออกนำพาเธอย้อนเวลามาสู่อดีตกาล

ณ สถานที่แห่งนี้ โชคชะตานำพาให้เธอได้มาพบรักกับ ‘กัปตันวิลเลียม แคมพ์เบลล์’ ชายหนุ่มที่เข้ามาดูแลในวันที่เธอตัวคนเดียวในโลกอดีตแห่งนั้น

เมื่อความรักเกิดขึ้นท่ามกลางความแตกต่างของวัฒนธรรมและกาลเวลา เช่นนี้แล้วเรื่องราวความรักของทั้งคู่จะสุขสมหวัง หรือจะกลายเป็นโศกนาฏกรรมของความรักที่ไม่อาจลืมเลือน !!!

โปรดติดตามได้ในนิยายรักโรแมนติก ‘สุดปลายฝัน’ นิยายที่จะทำให้คุณรู้สึกราวกับยังอยู่ในความฝันไปอีกแสนนาน แม้เรื่องราวจะจบลงไปแล้วก็ตาม
Tags: ย้อนอดีต, พีเรียดฝรั่ง, ออสเตรเลีย

ตอน: บทที่ ๔

ชีวิตในสถานีแปรรูปวาฬของหญิงสาวผู้มาจากอนาคตเริ่มต้น ดำเนินไป และจบลงเหมือนกันในทุก ๆ วัน ทุก ๆ เช้าหญิงสาวจะตื่นมาพบกับน้ำอุ่นที่เตรียมไว้พร้อมแล้วจากเอลานอร์สาวใช้ประจำบ้าน เมื่อเธออาบน้ำชำระร่างกายเสร็จเรียบร้อย สาวใช้ชาวกูรีก็จะเข้ามาช่วยแต่งตัว แม้จะอยู่ที่นี่มาหลายวันแล้วณัฐญาณ์ก็ยังไม่สามารถใส่ชุดรุ่มร่ามนี้ได้ด้วยตัวเองเสียที เพราะแค่ชั้นในก่อนที่จะสวมใส่ชุดยาวกรอมเท้าที่เห็นอยู่ด้านนอก ก็มากชิ้นจนหญิงสาวงงว่าจะใส่อะไรก่อนอะไรหลัง แต่เอลานอร์กลับช่วยใส่ให้เธอได้อย่างคล่องแคล่วจนน่าทึ่ง

หญิงสาวผู้เคยชินกับการสวมใส่เพียงเสื้อยืดกับกางเกงยีนส์พยายามจดจำลำดับขั้นในการสวมใส่ชุดของสุภาพสตรีในยุคนี้เพราะไม่อยากรบกวนสาวใช้ให้ต้องมาช่วยเธอแต่งตัวทุกวัน เพราะดูเหมือนเอลานอร์ยังมีงานอย่างอื่นต้องทำที่สำคัญกว่าช่วยเธอแต่งตัว

หลังจากใส่กางเกงชั้นใน ซึ่งมีความยาวลงไปถึงครึ่งแข้ง มีกระดุมเปิดปิดแทนตะเข็บตรงกลางเลยไปด้านหลังเพื่อให้ง่ายต่อการทำธุระในห้องน้ำ ต้องใส่ถุงเท้ายาวและสายรัดก่อน ถุงเท้ายาวเป็นถุงเท้าเนื้อหนาที่ยาวเลยเข่าขึ้นไป ถูกรัดไว้ด้วยสายรัดที่ทำจากลูกไม้ หญิงรับใช้อธิบายกับเธอว่าการแต่งตัวในตอนกลางวันจะใช้ถุงเท้ายาวสีดำ ในขณะที่ใช้สีขาวสำหรับแต่งตัวในงานกลางคืน

หลังจัดการกับท่อนล่างเสร็จ เอลานอร์ก็ยื่นฌิมีส ซึ่งเป็นเสื้อหลวม ๆ ไร้ทรง คอกว้าง ความยาวเลยเข่าเล็กน้อยให้เธอสวม เพื่อเป็นเสื้อชั้นในชั้นแรก ก่อนที่จะตามมาด้วยคอร์เซ็ต ซึ่งเป็นเสื้อชั้นในเต็มตัวคลุมเลยสะเอวลงมาเล็กน้อย ขึ้นโครงแข็งด้วยกระดูกวาฬหรือแท่งเหล็ก ร้อยเชือกด้านหลังเพื่อปรับระดับความคับแน่นของคอร์เซ็ต

“ต้องดึงให้แน่นจะได้เอวคอดสวย” เอลานอร์บอก

หลังจากปรับคอร์เซ็ตจนได้เอวคอดอย่างที่เอลานอร์ต้องการแล้ว หญิงสาวต้องสวมเสื้อทับคอร์เซ็ตอีกชั้นหนึ่ง จากนั้นจึงใส่ปฏิโค้ต ซึ่งเป็นกระโปรงซับใน และเมื่อมาถึงตรงนี้ณัฐญาณ์ก็เริ่มโอดครวญ

“อีกนานไหมเอลานอร์”

“ใกล้แล้วค่ะคุณ” เอลานอร์ตอบยิ้ม ๆ ก่อนจะถามด้วยความสงสัย เพราะทุกครั้งที่แต่งตัวคุณผู้หญิงจะทำท่าราวกับกำลังทุกข์ทรมานเสมอ

“คุณไม่เคยแต่งตัวแบบนี้หรือคะ”

“ไม่หรอก ปกติฉันจะใส่เสื้อกับกางเกง” หญิงสาวตอบ ความคิดหวนกลับไปถึงชีวิตง่าย ๆ ในยุคสมัยที่เติบโตมา ก่อนที่จะรีบห้ามตนเอง เพราะเมื่อคิดถึงชีวิตที่จากมาหญิงสาวจะปวดหนึบในอกราวหัวใจถูกบีบเพราะความคิดถึงและโหยหามารดาเสมอ
เอลานอร์ตาเบิกโตเมื่อได้ยินคำตอบจากหญิงสาว

“กางเกงอย่างที่พวกผู้ชายใส่น่ะหรือคะ” ผู้หญิงกับกางเกง หญิงรับใช้นึกภาพไม่ออกเอาเสียเลย

“อย่างนั้นแหละ ใส่ง่าย สบายดีด้วย” บอกพลางถอนหายใจขณะเอลานอร์ช่วยใส่ประโปรงสุ่มซึ่งทำโครงให้กระโปรงทิ้งตัวไปด้านหลัง มากกว่าจะเป็นสุ่มกลมรอบตัว

“สุดท้ายแล้วค่ะ” หญิงรับใช้บอกเมื่อสวมชุดกระโปรงยาวทับลงไปบนกระโปรงสุ่ม เป็นอันเสร็จพิธี
ชุดที่หญิงสาวใส่ตัดจากผ้ามัสลินย้อมสีเหลืองนวลที่ได้มาจากตลาดที่เจ้าบ้านหนุ่มพาไปหาซื้อเมื่อไม่กี่วันก่อน

“ที่นี่เป็นตลาดเล็ก ๆ ของที่พอซื้อหาได้ก็จะไม่หรูหรามากแต่ก็พอแก้ขัดได้” ชายหนุ่มบอกกับเธอเมื่อช่วยหญิงสาวเลือกซื้อผ้าหลายชิ้น

“ที่พอร์ทแคมพ์เบลล์ไม่มีร้านตัดเสื้อ คุณต้องตัดเสื้อใส่เอง” เขาบอกก่อนจะทำหน้าประหลาดใจกับท่าทางตาเหลือกของเธอ

“คุณว่าอะไรนะคะ” ตัดเสื้อใส่เองอย่างนั้นหรือ ในวิชาเย็บปักถักร้อยสมัยมัธยมเธอยังต้องให้มารดาทำงานส่งแทน แล้วจะเอาปัญญาที่ไหนมาตัดชุดหรูหราแบบนี้ใส่เองได้

“คุณตัดเสื้อไม่เป็นหรือ” ชายหนุ่มถามพลางเลิกคิ้วนิด ๆ เดาเอาจากท่าทางตระหนกของเธอเมื่อเขาบอกว่าเธอต้องตัดเย็บเสื้อผ้าด้วยตนเอง

“ไม่เป็นหรอกค่ะ ฉันไม่เคยทำ ที่บ้าน... เราซื้อเสื้อผ้าที่ตัดเย็บเรียบร้อยแล้ว” หญิงสาวบอกชายหนุ่ม

“จริง ๆ แล้วก็ไม่ใช่ว่าทุกคนต้องตัดเย็บเสื้อผ้าเองหรอกนะ สุภาพสตรีที่อยู่ในครอบครัวมั่งมี จะใช้บริการร้านตัดเสื้อ แต่ร้านตัดเสื้อก็อยู่ถึงเมลเบิร์นผมคงยังพาคุณไปไม่ได้ ช่วงนี้สถานีกำลังยุ่งเพราะอยู่ในช่วงสิ้นสุดฤดูกาล เดี๋ยวพองานซาลงแล้วผมจะพาคุณไป ตอนนี้คงต้องขอให้เอลานอร์ตัดเสื้อให้คุณก่อน” ชายหนุ่มช่วยแก้ปัญหาให้กับเธอ แต่เขาไม่เพียงจัดการเรื่องคนตัดเสื้อให้เธอเท่านั้น เขายังไปขอให้เอลิซาเบธภรรยาของนายแพทย์เออร์เนสท์ สอนการเป็นกุลสตรีในยุคสมัยของเขาให้เธอด้วย อันหมายรวมไปถึงการบ้านการเรือนและกริยามารยาทอย่างที่สตรีผู้เพียบพร้อมพึงมี

“ผู้หญิงควรจะเก่งการเรือนจึงจะมีคุณค่า” ชายหนุ่มบอกกับเธอ ณัฐญาณ์อ้าปากทำท่าจะเถียงว่าสมัยนี้แล้วผู้หญิงกับผู้ชายเท่าเทียมกัน ไม่จำเป็นต้องเก่งการบ้านการเรือนอีกต่อไปเพราะออกไปทำงานนอกบ้านเคียงบ่าเคียงไหล่ผู้ชายแล้ว แต่แล้วก็เปลี่ยนใจเพราะขี้คร้านจะเถียงกับคนโบราณอย่างเขา อย่างไรความคิดความเชื่อของเขาต้องต่างกันสุดขั้วกับเธออยู่แล้วด้วยเติบโตมาในยุคสมัยที่ต่างกัน และก็เพราะเขาต้องการให้เธอมีค่านี่ล่ะวันนี้หญิงสาวจึงต้องไปพบกับเอลิซาเบธ เพื่อเรียนรู้การเป็นผู้หญิงที่มีคุณค่าจากสุภาพสตรีผู้เพียบพร้อมผู้เป็นภรรยาของนายแพทย์เออร์เนสท์

หลังจากใส่ชุดหลายชั้นเสร็จเรียบร้อย เอลานอร์จัดการทำผมให้หญิงสาว โดยการถักเปียเส้นใหญ่ทางด้านข้างศีรษะทั้งสองข้าง ก่อนจะขมวดผมด้านหลังเป็นมวยหลวม ๆ ยึดมวยไว้ไม่ให้หลุดรุ่ยด้วยปิ่นปักผมที่เจ้าบ้านเป็นคนเลือกให้เธอในวันที่เขาพาไปตลาด

“เรียบร้อยแล้วค่ะ คุณงามมาก” เอลานอร์กล่าวด้วยสีหน้าชื่นชมอย่างจริงใจ

“ขอบใจมากนะเอลานอร์ ป่านนี้นายท่านรออยู่ที่โต๊ะอาหารแล้วกระมัง” หญิงสาวกล่าวขอบคุณสาวใช้ ก่อนจะก้าวเร็ว ๆ ไปยังประตูห้องเท่าที่กระโปรงหลายชั้นจะอำนวย

“เดี๋ยวค่ะคุณผู้หญิง” ได้ยินเสียงเอลานอร์เรียกมาจากด้านหลัง ณัฐญาณ์จึงหันกลับไปมองพลางเลิกคิ้ว

“คุณลืมหมวกกับถุงมือค่ะ” สาวใช้บอกพลางถือหมวกกับถุงมือมายื่นส่งให้ หญิงสาวผู้มาจากอนาคตถึงกับกลอกตากับความร่ำไรของคนโบราณ เพราะดูเหมือนว่าเหล่าสุภาพสตรีทั้งหลายจะออกจากบ้านโดยปราศจากหมวกและถุงมือไม่ได้เลย

เมื่อเดินมาถึงห้องรับประทานอาหาร ณัฐญาณ์เห็นชายหนุ่มเจ้าบ้านนั่งรออยู่ก่อนแล้ว เขาลุกขึ้นมารับหมวกกับถุงมือในมือหญิงสาวไปวางไว้บนโต๊ะก่อนจะขยับเก้าอี้ให้

“ขอบคุณค่ะ” กล่าวเสียงเบา พยายามทำความคุ้นเคยกับความมีพิธีรีตองของเขา

ชายหนุ่มพิจารณาหญิงสาวในชุดเตรียมออกจากบ้านเต็มยศ นัยน์ตาฉายแววพอใจเปิดเผย ซึ่งไม่จำเป็นต้องมีคำพูดใด ๆ จากปากของเขาก็ทำให้ใบหน้าเกลี้ยงเกลาของคนถูกมองเรื่อสีขึ้นได้ สายตาเสไปมองเอลานอร์ที่กำลังจัดการเสิร์ฟอาหารเช้าให้กับเจ้านายหนุ่มและหญิงสาวผู้เป็นแขก

“คุณมีเรียนกับเอลิซาเบธวันนี้สินะ” ชายหนุ่มชวนคุย

“ค่ะ” ตอบรับสั้น ๆ

“เดี๋ยวผมจะเดินไปส่ง” เขาบอก ณัฐญาณ์หันหลับมามองชายหนุ่มเต็มตาพลางส่ายศีรษะ

“ฉันไม่รวบกวนคุณหรอกค่ะ ฉันไปคนเดียวได้ โรงเรียนอยู่แค่นี้เอง”

“คุณจะเดินไปคนเดียวได้อย่างไร” ชายหนุ่มกล่าวเสียงเข้มเจือแววตำหนิ

“คะ” ณัฐญาณ์ถามอย่างงงงวยกับน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปในทันทีทันใดของเขา เขาจะตำหนิเธอเรื่องอะไร ควรจะขอบคุณที่เธอไม่ทำตัวเป็นภาระของเขาสิจึงจะถูก

“สุภาพสตรีจะเดินไปไหนมาไหนคนเดียวได้อย่างไร” ชายหนุ่มว่า นั่นยิ่งทำให้หญิงสาวงงหนักเข้าไปอีก ทำไมจะเดินไม่ไหนมาไหนไม่ได้เล่า เธอไม่ได้พิการเสียหน่อย

“ทำไมคะ” ในที่สุดก็ถามอย่างอดไม่ได้

“สุภาพสตรีที่ยังไม่แต่งงาน ไปไหนมาไหนจะต้องมีคนไปด้วยเสมอ ไม่อย่างนั้นอาจจะถูกครหาว่าแอบไปทำอะไรไม่ดีลับตาคนได้ เพราะฉะนั้นถ้าคุณจะไปไหนแล้วผมไม่ว่างพาไป ต้องให้เอลานอร์ไปด้วย” ชายหนุ่มบอก ฟังดูคล้าย ๆ คำสั่ง หญิงสาวกำลังจะอ้าปากโวยวายว่าเธอไม่ใช่เด็ก ๆ ที่จะไปไหนแล้วจะต้องมีพี่เลี้ยงไปด้วย ก่อนที่จะรำลึกได้ว่าเธอกำลังอยู่ในยุคสมัยใด จึงสงบปากสงบคำและเปลี่ยนเป็นรับคำสั้น ๆ แทน

“ค่ะ”

คำตอบรับทำให้คนที่ตั้งท่ารับการโวยวายถึงกับเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ เขามั่นใจว่าเธอกำลังจะโวยวายกับเขาแน่ ๆ แต่แล้วกลับรับคำง่าย ๆ เสียอย่างนั้น แต่ก็ทำให้ชายหนุ่มยิ้มอย่างพอใจ เขาชอบที่เธอว่าง่าย ๆ มากกว่าจะดื้อดึงกับทุกเรื่องที่เขาพูด เพราะไม่ว่าอย่างไรผู้หญิงก็ไม่ควรจะเอะอะโวยวายหรือเถียงคำไม่ตกฟากอยู่นั่นเอง




เอลิซาเบธรอรับณัฐญาณ์ที่ ‘โรงเรียน’ ซึ่งเป็นอาคารไม้ชั้นเดียวหลังคาสูงที่สร้างขึ้นง่าย ๆ เพื่อเป็นสถานที่สอนอ่านเขียน มารยาท และการเรือนให้กับเด็ก ๆ ลูกคนงานในสถานีแปรรูปวาฬ โดยด้านหน้าเป็นโถงกว้าง มีโต๊ะสำหรับนักเรียนตัวน้อยวางอยู่จำนวนสามโต๊ะ เป็นโต๊ะกลมที่มีเก้าอี้วางไว้รอบ ๆ โต๊ะละห้าตัว ถัดเข้ามาด้านในเป็นห้องขนาดเล็กกว่าโถงด้านหน้าเล็กน้อย มีจักรเย็บผ้าและอุปกรณ์ตัดเย็บวางอยู่ ติดกันกับห้องตัดเย็บเป็นห้องที่เล็กที่สุด ทำหน้าที่เป็น ‘ออฟฟิศ’ ของครูเอลิซาเบธ ซึ่งภรรยาของนายแพทย์เออร์เนสท์ใช้สำหรับเตรียมและวางแผนการสอน

ในตอนที่ณัฐญาณ์ไปถึงนั้น ผู้รับหน้าที่เป็นครูกำลังนั่งอยู่ในห้องทำงานด้านหลัง เมื่อเห็นเจ้าของสถานีแปรรูปและหญิงสาวผู้มาใหม่เดินมาด้วยกันจึงออกไปต้อนรับ

“สวัสดีค่ะ” หญิงสาวทักพลางถอนสายบัว วิลเลียมแตะหมวกที่ใส่อยู่แสดงการทักทายภรรยาของเพื่อน ก่อนจะแนะนำผู้ที่เขามาพาด้วยให้ผู้ทำหน้าที่เป็นครูรู้จัก

“เอลิซาเบธ นี่คือนาทาย่าห์ ที่ผมขอให้คุณช่วยรับเป็นลูกศิษย์ ได้โปรดช่วยสอนในสิ่งที่จำเป็นสำหรับสุภาพสตรีให้เธอด้วย”

“สวัสดีค่ะนาทาย่าห์ ยินดีที่ได้พบค่ะ” ผู้เป็นครูทักทายนักเรียนคนใหม่

“เช่นกันค่ะ เอลิซาเบธ” หญิงสาวทักตอบ ระบายยิ้มอย่างสุภาพ

“เอาล่ะ ผมคงจะต้องปล่อยนักเรียนไว้กับคุณครูแล้ว แล้วพบกันใหม่ครับเอลิซาเบธ” ชายหนุ่มบอก ประโยคหลังหันไปพูดกับผู้ทำหน้าที่เป็นครูสอนแขกของเขา พลางแตะหมวกและโค้งอำลา ก่อนจะหมุนตัวเดินกลับไปยังตัวอาคารสถานี

“เข้ามาในห้องก่อนเถอะค่ะนาทาย่าห์” เอลิซาเบธกล่าวกับนักเรียนคนใหม่พลางเดินนำเข้าไปยังห้องทำงาน

“วันนี้เราจะเริ่มต้นกันที่การฝึกเย็บจักรก่อนนะคะ” ผู้เป็นครูบอกกับลูกศิษย์ขณะเดินนำไปยังจักรเย็บผ้าหน้าตาโบราณที่วางอยู่ไม่ไกลนักภายในห้อง

“เราโชคดีที่มีผู้คิดค้นจักรเย็บผ้าขึ้นมา สมัยฉันเด็ก ๆ เห็นคุณแม่เย็บผ้าด้วยมือ ลำบากลำบนกว่าเรามากนักค่ะ” เอลิซาเบธกล่าวยิ้ม ๆ ในขณะผู้ฟังทำสีหน้าปั้นยาก อย่าว่าแต่เย็บด้วยมือเลย แม้แต่จักรเธอก็ไม่เคยแตะมาก่อน หญิงสาวไม่เชื่อจริง ๆ ว่าตนจะมีความสามารถเย็บเสื้อผ้าใส่เองได้

“ผู้หญิงที่นี่ต้องเย็บเสื้อผ้าใส่เองทุกคนหรือคะ”

“ส่วนใหญ่ก็เป็นเช่นนั้นค่ะ ยิ่งที่นี่เป็นเมืองเล็ก ๆ ไม่มีร้านตัดเสื้อ เราก็ต้องเย็บกันเอง นอกจากว่าจะได้ไปร้านตัดเสื้อที่เมลเบิร์น ซึ่งนาน ๆ ทีจึงจะมีโอกาสได้ไป เพราะเดินทางกันเป็นวันทีเดียว ส่วนที่บ้าน... ฉันหมายถึงที่ซิดนีย์น่ะค่ะ เราไม่ต้องเย็บกันเองเพราะมีร้านตัดเสื้อของคนจีนหลายร้าน คุณแม่มีร้านประจำที่จะนำผ้ามาให้เลือกและวัดตัวเพื่อตัดเสื้อถึงที่บ้าน แต่ถึงอย่างนั้นผู้หญิงอย่างเราก็ต้องตัดเย็บเสื้อผ้าเป็นกันทุกคน เพราะเป็นคุณสมบัติอย่างหนึ่งที่ผู้หญิงพึงมี” ผู้เป็นครูพูดยืดยาวก่อนจะถาม

“คุณเคยตัดเย็บมาก่อนหรือไม่ค่ะ”

“ตอนเด็ก ๆ ในวิชาเย็บปักถักร้อย ฉันเคยเรียนการเย็บผ้าด้วยมือค่ะ แต่ฉันทำอะไรไม่เป็นหรอกนะคะ พอคุณครูสั่งงานฉันก็เอามาให้แม่ทำให้แล้วเอาไปส่งครู” หญิงสาวตอบพลางหัวเราะอย่างขบขันตนเอง ผู้ทำหน้าที่เป็นครูสอนวิชาตัดเย็บรวมไปถึงธรรมเนียมปฏิบัติต่าง ๆ ถึงกับมองหน้าด้วยสีหน้าเคร่ง

“นาทาย่าห์ อย่าหัวเราะเสียงดังสิคะ สุภาพสตรีพึงระวังกริยา”

“อุ๊ย ขอโทษค่ะ” ณัฐญาณ์ถึงกับหยุดหัวเราะในทันทีพลางกล่าวขอโทษเสียงเบา ใบหน้าสลดลง ตลอดเวลาที่อาศัยอยู่ที่นี่ เธอคงจะเป็นผู้หญิงที่ไร้มารยาทที่สุดกระมัง หญิงสาวคิดอย่างเศร้าใจ

“ขอโทษค่ะหากทำให้คุณระคายใจ” เอลิซาเบธกล่าวเสียงอ่อน สีหน้าแสดงความเสียใจและเป็นกังวล รู้ดีว่าไม่ควรจะทำให้ผู้อื่นเจ็บปวดจากคำพูดของตน แต่เธอกำลังทำสิ่งนั้นกับผู้หญิงตรงหน้าอยู่ แม้จะได้รับการขอร้องจากเพื่อนสนิทของสามีก็ตาม

“อย่าเป็นกังวลเลยค่ะเอลิซาเบธ ฉันเข้าใจ ฉันไม่ค่อยคุ้นเคยกับธรรมเนียมของที่นี่ วิลเลียมถึงต้องขอให้คุณช่วยสอนอย่างไรล่ะคะ ได้โปรดอย่าเกรงใจ ฉันไม่โกรธหรอกค่ะ ถือเสียว่าฉันเป็นเด็กนักเรียนคนหนึ่ง วิลเลียมคงเห็นว่าคุณจะช่วยให้ฉันเป็นสุภาพสตรีกับเขาได้ เขาคงเกรงว่าฉันจะทำให้ขายหน้าถ้าพาไปไหนมาไหน ถึงได้ขอให้ฉันมาฝึกมารยาทกับคุณ” หญิงสาวว่ายิ้ม ๆ รู้สึกผิดที่ทำให้ผู้หญิงตรงหน้ารู้สึกราวกับทำอะไรผิด ทั้ง ๆ ที่เพียงแต่แนะนำเธอตามที่ถูกขอร้องมาเท่านั้น

“ถ้าอย่างนั้นได้โปรดอภัยหากฉันจะพูดอะไรที่ทำให้ระคายใจบ้างนะคะ” เอลิซาเบธออกตัวไว้ก่อน จากนั้นนำนักเรียนคนใหม่ไปทำความรู้จักกับจักรเย็บผ้า สอนวิธีร้อยด้าย ใส่กระสวย และการเย็บเบื้องต้นโดยการเย็บง่าย ๆ เป็นเส้นตรงก่อนที่จะปล่อยให้นักเรียนฝึกหัด ส่วนคุณครูไปสอนนักเรียนตัวเล็กที่ห้องเรียนด้านหน้า และกลับเข้ามาดูการฝึกหัดของนักเรียนโข่งเป็นระยะ เมื่อพอใจต่อฝีเย็บที่สั่งงานไว้แล้วก็เปลี่ยนเป็นการเย็บอย่างอื่นที่ยากขึ้นต่อไป ซึ่งเมื่อได้ลองทำจริง ๆ แล้ว ณัฐญาณ์พบว่าการใช้จักรเย็บผ้าไม่ได้ยากอย่างที่คิด กระนั้นก็ยังรู้ตัวดีว่ายังห่างไกลจากการตัดเย็บเสื้อผ้าได้ด้วยตนเองมากนัก

เมื่อถึงเวลาที่เด็กนักเรียนผู้หญิงต้องเรียนการตัดเย็บ หญิงสาวจึงหยุดฝึกเย็บผ้าไว้แต่เพียงเท่านั้นหากยังคงนั่งคุยกับคุณครูอยู่ก่อนระหว่างที่รอชายหนุ่มมารับกลับ

“เด็กผู้หญิงมาเรียนเย็บผ้าแล้วเด็กผู้ชายไปไหนหรือคะเอลิซาเบธ” ถามอย่างสงสัย เพราะในห้องเรียนการเขียนอ่านนั้นมีเด็กทั้งผู้หญิงและผู้ชายเรียนรวมกัน หากเมื่อจบชั่วโมงอ่านเขียน เด็กผู้ชายกลับหายตัวไปเหลือแต่เด็กผู้หญิงที่เปลี่ยนห้องเรียนเป็นห้องเรียนตัดเย็บด้านหลังที่หญิงสาวฝึกเย็บผ้าอยู่ก่อนหน้านี้

“เด็กผู้ชายไปเรียนรู้ชีวิตในป่าค่ะ ชาวกูรียังสอนลูกหลานของพวกเขาให้ยังมีความสัมพันธ์กับแผ่นดินตามแบบบรรพบุรุษ ส่วนเด็กที่เริ่มโตขึ้นมาหน่อยบางคนไปฝึกงานในสถานีแปรรูป แลกกับค่าจ้างเล็กน้อยแต่ได้ฝึกอาชีพเพื่ออนาคต บางคนก็ไปช่วยงานที่โรงพยาบาล เออร์เนสท์มีผู้ช่วยมือดีหลายคนเชียวค่ะ” เมื่อพูดถึงสามี นัยน์ตาสีฟ้าสดของเอลิซาเบธเป็นประกายน่ามอง ก่อนจะหันไปทางเด็กผู้หญิงที่ฝึกตัดเย็บเสื้อผ้าอยู่อย่างขะมักเขม้น

“ฉันสอนในสิ่งที่จำเป็นสำหรับผู้หญิงให้กับเด็ก ๆ พวกนี้ เพื่อที่เมื่อเติบโตขึ้นพวกเธอจะได้มีผู้ชายดี ๆ มาขอไปเป็นแม่เรือน ผู้หญิงเราจะมีค่าหรือไม่มีก็ดูตรงที่มีความสามารถในการดูแลความเรียบร้อยในบ้านและปรนนิบัติคนอื่น ๆ ในบ้านได้ดีแค่ไหนนี่ล่ะค่ะ” เอลิซาเบธว่า นัยน์ตาฉายแววปรานีเมื่อมองไปยังเด็กผู้หญิงในห้องเรียนตัดเย็บ ก่อนจะหันมาถามหญิงสาว

“คุณบอกว่าเคยเรียนเย็บผ้าด้วยมือตอนเป็นเด็ก เล่าให้ฉันฟังบ้างสิคะ”

ณัฐญาณ์ยิ้มก่อนจะตอบ

“มันเป็นแค่วิชาหนึ่งในหลาย ๆ วิชาที่เราเรียนน่ะค่ะ แต่เราก็เรียนพอเป็นพิธีเท่านั้น ถ้าให้ซ่อมเสื้อผ้าง่าย ๆ ก็คงได้ แต่ถ้าจะตัดเสื้อผ้าใส่เองต้องเรียนในระดับสูงขึ้นไป ผู้หญิงที่บ้านเมืองของฉันไม่ได้เรียนเพื่อเตรียมตัวเป็นภรรยาที่ดี แต่เรียนเพื่อที่จะได้มีงานทำทัดเทียมกับผู้ชาย”

“โอ...” เอลิซาเบธอุทานสั้น ๆ สีหน้าดูไม่ค่อยเข้าใจกับแนวคิดที่ว่าผู้หญิงจะต้องออกมาทำงานทัดเทียมกับผู้ชายนัก และไม่คิดว่าจะมีบ้านเมืองไหนคิดแบบนั้น ผู้หญิงควรจะอยู่ที่บ้านปล่อยให้หน้าที่ทำงานเป็นของผู้ชายมิใช่หรือไร

“หากทั้งผู้หญิงและผู้ชายทำงาน อย่างนั้นใครจะดูแลบ้านล่ะคะ” เอลิซาเบธถามอย่างสงสัยจริงจัง หญิงสาวนึกไม่ออกว่าบ้านจะเป็นอย่างไรหากผู้หญิงต้องออกไปทำงานหาเงินเช่นเดียวกับผู้ชาย

“คนที่พอมีฐานะหน่อยก็จ้างแม่บ้านค่ะ แต่ถ้าทั่ว ๆ ไปก็ช่วยกันดูแล แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นผู้หญิงนั่นล่ะที่ดูแลบ้านมากกว่า ไม่ว่าผู้หญิงจะดิ้นรนที่จะเท่าเทียมกับผู้ชายเพียงใด แต่ในที่สุดก็เป็นผู้หญิงอยู่ดีที่ต้องดูแลบ้าน” ณัฐญาณ์หัวเราะในลำคอเบา ๆ เมื่อตระหนักถึงความจริงข้อนี้ สุดท้ายแล้วผู้หญิงที่ทำงานนอกบ้านก็ต้องกลับมาทำงานในบ้านอยู่ดี

“คุณก็ทำงานหรือคะ”

“ค่ะ แต่ฉันทำงานที่บ้าน แปลเอกสารจากภาษาหนึ่งไปอีกภาษาหนึ่ง ฉันหาเงินได้มากพอที่จะเลี้ยงตัวเองได้อย่างสบาย พาแม่เที่ยว และบางครั้งก็เที่ยวต่างประเทศ” เหมือนที่มาที่นี่จนหลงเข้ามาในยุคโบราณนี่ไงคะ

“โอ วิลเลียมมานู่นแล้วค่ะ” เอลิซาเบธเปลี่ยนเรื่องกะทันหันเมื่อมองเห็นเจ้าของสถานีแปรรูปหนุ่มเดินมาแต่ไกล

“ถ้าอย่างนั้นฉันต้องกลับก่อนนะคะเอลิซาเบธ ขอบคุณมากสำหรับบทเรียนวันนี้”

“ด้วยความยินดีค่ะนาทาย่าห์ ฉันยินดีที่จะสอนในสิ่งที่ฉันรู้ทุกอย่างให้กับคุณ ว่าแต่... คุณก็เป็นคนมีความรู้ อยากจะมาช่วยฉันสอนเด็ก ๆ อ่านเขียนไหมคะ” ตัดสินใจถามในที่สุดหลังจากที่คิดเรื่องนี้มาทั้งวัน ความรู้ของหญิงสาวผู้อาศัยร่วมบ้านกับเจ้าของสถานีแปรรูปวาฬจะมีคุณประโยชน์ต่อโรงเรียนเล็ก ๆ แห่งนี้และเด็ก ๆ มากทีเดียว

“ฉันจะยินดีที่สุดค่ะเอลิซาเบธ ขอบคุณที่ให้โอกาส” หญิงสาวตอบรับด้วยความยินดี เธอไม่รู้จริง ๆ ว่านอกจากมาเรียนการเรือนและมารยาทกับภรรยาของนายแพทย์เออร์เนสท์ซึ่งไม่ได้เรียนทุกวันแล้ว เวลาที่เหลือเธอจะทำอะไร สิบปี ณ ที่แห่งนี้ไม่ใช่เวลาน้อย ๆ เลย เธอคงจะเป็นบ้าด้วยความเบื่อหน่ายไปก่อนหากจะต้องอยู่เฉย ๆ โดยไม่มีอะไรทำ

ณัฐญาณ์คิดว่าผู้ที่ทาบทามเธอจะดีอกดีใจที่หญิงสาวตอบรับในทันที หากผู้หญิงตรงหน้ากลับส่ายศีรษะพลางกล่าวเสียงอ่อน
“ปรึกษากับวิลเลียมดูก่อนเถอะค่ะ หากเขาไม่ว่าอะไรฉันจะยินดีมากเลยทีเดียว”

หญิงสาวผู้มาจากอนาคตกำลังจะบอกว่าเธอสามารถตัดสินใจเองได้ ไม่จำเป็นต้องรอให้ชายหนุ่มอนุญาต แต่แล้วก็นึกได้ว่าเธอกำลังอยู่ในยุคโบราณที่ดูเหมือนผู้หญิงจะไม่สามารถตัดสินใจทำอะไรได้ด้วยตนเอง หากผู้ชายที่มีอำนาจเหนือเธอไม่อนุญาต จึงเพียงพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย

ฉันจะทนอยู่ในสังคมที่กดขี่ผู้หญิงไว้ใต้อำนาจของผู้ชายได้อีกนานแค่ไหนกันนะ หญิงสาวถามตนเองในใจ เธอไม่แน่ใจเลยว่าจะสามารถใช้ชีวิตอยู่ในสังคมที่ผู้คนมีความคิดแตกต่างกับเธออย่างสิ้นเชิงได้อีกนานนัก ในตอนที่ทราบว่ามีทางที่จะได้กลับไปหามารดา หญิงสาวตื่นเต้นยินดีจนดูเหมือนเวลาสิบปีที่ต้องรอจะไม่เป็นอุปสรรคอะไร หากแต่ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ได้ไม่ถึงสองสัปดาห์ หญิงสาวก็เริ่มรู้สึกอึดอัดและเริ่มตั้งคำถาม ว่าเธอจะสามารถอยู่ที่นี่ได้ถึงสิบปีโดยไม่เป็นบ้าไปเสียก่อนได้แน่หรือ เพราะแค่สัปดาห์กว่า ๆ เท่านั้นเธอก็รู้สึกอึดอัดมากทีเดียว

คงต้องอดทนจนถึงที่สุดล่ะยายณัฐ หญิงสาวบอกตนเองในใจ



รุ่งธิวา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 3 ก.ย. 2557, 20:33:27 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 3 ก.ย. 2557, 20:33:27 น.

จำนวนการเข้าชม : 859





<< บทที่ ๓   
แว่นใส 3 ก.ย. 2557, 21:48:43 น.
ยังไงต้องอยู่ได้นะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account