สุดปลายฝัน
สุดปลายฝัน เรื่องราวของ ‘ณัฐญาณ์’ หญิงสาวที่ประสบเหตุไม่คาดฝัน เมื่ออุบัติเหตุเฮลิคอปเตอร์ตกลงไปใจกลางพายุงวงช้าง ในช่วงเวลาเดียวกับประตูมิติที่เปิดออกนำพาเธอย้อนเวลามาสู่อดีตกาล

ณ สถานที่แห่งนี้ โชคชะตานำพาให้เธอได้มาพบรักกับ ‘กัปตันวิลเลียม แคมพ์เบลล์’ ชายหนุ่มที่เข้ามาดูแลในวันที่เธอตัวคนเดียวในโลกอดีตแห่งนั้น

เมื่อความรักเกิดขึ้นท่ามกลางความแตกต่างของวัฒนธรรมและกาลเวลา เช่นนี้แล้วเรื่องราวความรักของทั้งคู่จะสุขสมหวัง หรือจะกลายเป็นโศกนาฏกรรมของความรักที่ไม่อาจลืมเลือน !!!

โปรดติดตามได้ในนิยายรักโรแมนติก ‘สุดปลายฝัน’ นิยายที่จะทำให้คุณรู้สึกราวกับยังอยู่ในความฝันไปอีกแสนนาน แม้เรื่องราวจะจบลงไปแล้วก็ตาม
Tags: ย้อนอดีต, พีเรียดฝรั่ง, ออสเตรเลีย

ตอน: บทที่ ๓

เขาเรียกเธอว่า แนท นาทาย่าห์ อย่างนั้นหรือ หญิงสาวคิดอย่างตระหนก ในใจกระหวัดไปถึงรูปภาพของ นาทาย่าห์ แคมพ์เบลล์ ภรรยาของเจ้าของสถานีล่าวาฬที่ยืนเคียงสามี ใบหน้าฉายรอยยิ้มเปี่ยมสุข จำได้ว่าครั้งแรกที่เห็นรูปภาพ หญิงสาวประหลาดใจที่นาทาย่าห์ แคมพ์เบลล์ มีใบหน้ากระเดียดมาทางคนเอเชีย และมีใบหน้าคล้ายกับตน หากแต่ตอนนี้ความคิดบางอย่างทำให้หญิงสาวถึงกับตัวชา

เธอคือนาทาย่าห์ แคมพ์เบลล์อย่างนั้นหรือ เธอจะถูกขังอยู่ในอดีต ไม่ได้กลับไปหามารดาอีกตลอดชีวิตอย่างนั้นใช่ไหม ผู้ชายคนนี้หรือที่จะกลายมาเป็นสามีที่รักเธอเหนือสิ่งอื่นใดอย่างที่หนังสือว่าไว้ ทำไมเธอรู้สึกว่ามันเป็นความคิดที่ฟังดูประหลาดและบ้าบออย่างที่สุด เธอจะไปมีความรักจนกระทั่งแต่งงานกับคนโบราณที่มีอายุมากกว่าเธอเป็นร้อย ๆ ปีได้อย่างไร เป็นไปไม่ได้ เธอจะต้องหาทางกลับบ้านให้ได้ เมื่อมีทางมาก็ต้องมีทางกลับ เธอจะต้องกลับไปหามารดา จะปล่อยให้มารดาใจสลายเพราะลูกสาวคนเดียวหายตัวไป ไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีได้อย่างไร ไม่เด็ดขาด เธอจะยอมให้มารดาเสียใจเช่นนั้นไม่ได้ หลังจากบิดาเสียชีวิต เธอกับมารดาก็มีกันอยู่สองคน แล้วเธอจะมาทิ้งมารดาไปอีกคนอย่างนั้นหรือ ไม่... เธอจะไม่ยอมให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นเป็นอันขาด

“คุณรู้สึกอย่างไรบ้าง” ผู้เป็นเจ้าของบ้านถามหลังจากที่ปล่อยให้ห้องตกอยู่ในความเงียบพักใหญ่

“ฉัน... ไม่เป็นอะไรค่ะ ฉันอยากกลับบ้าน” หญิงสาวพึมพำในสิ่งที่วนอยู่ในหัว ชายหนุ่มยิ้มให้อย่างอ่อนโยน พูดเสียงนุ่ม

“คุณจะได้กลับบ้านแน่ ผมจะจัดการและอำนวยความสะดวกให้คุณเดินทางถึงบ้านอย่างปลอดภัย”

“ถ้าคุณรู้ว่าฉันมาจากไหน คุณจะไม่พูดแบบนี้แน่ ๆ ค่ะกัปตัน” หญิงสาวขึ้นเสียงอย่างฉุนเฉียวในความสงบเยือกเย็นของเขา ถ้าเพียงแต่เขารู้ว่าเธอมาจากอนาคต อยากจะรู้นักว่าเขาจะยังยืนยันว่าเธอจะได้กลับบ้านอยู่แบบนี้ไหม

“เรื่องนี้ล่ะที่เราต้องคุยกัน เพราะหากไม่ทราบว่าคุณมาจากไหน ผมคงส่งคุณกลับบ้านไม่ถูก” ชายหนุ่มพูดอย่างใจเย็น ผู้หญิงที่ขึ้นเสียงโวยวายเป็นกริยาที่ไม่น่าดูเอาเสียเลย แต่กัปตันหนุ่มพยายามจะเข้าใจว่า หญิงสาวแปลกหน้าเพิ่งประสบอุบัติเหตุ ตื่นมาในสถานที่แปลกตา พบกับคนแปลกหน้า จึงอาจจะทำให้ลืมรักษากริยาไปบ้าง และอีกอย่าง ดูเหมือนว่าเธอจะมาจากต่างถิ่น ที่อาจจะไม่ได้มีมารยาททางสังคมอย่างเดียวกับเขา จึงพอที่จะให้อภัยการแสดงออกที่ดูเหมือนไร้มารยาทของเธอได้

“ฉันมาจากประเทศไทยค่ะ” หญิงสาวตอบ น้ำเสียงอ่อนลง มันคงไม่ยุติธรรมกับเขานักที่เธอจะระบายความอัดอั้นตันใจด้วยการใส่อารมณ์กับเขา เขาไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรด้วย คงเป็นเวรกรรมของเธอเองที่โผล่มาในอดีตเป็นร้อยกว่าปีแบบนี้

“ประเทศไทย... ผมไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย” ชายหนุ่มทวนชื่อประเทศตามที่หญิงสาวบอก ทำท่านึก ก่อนจะส่ายหน้ายอมแพ้

“ไม่แปลกหรอกค่ะ เพราะในเวลาที่คุณมีชีวิตอยู่ ยังไม่มีประเทศไทยในโลกเลย” หญิงสาวพูดน้ำเสียงขมขื่น เศร้าใจกับชะตาชีวิตของตน หากแต่คำพูดของหญิงสาวกลับทำให้คนฟังรู้สึกสะดุด

“เท่าที่ทราบ ผมยังคงมีชีวิตอยู่” ชายหนุ่มพูดยิ้ม ๆ ท่าทางหญิงสาวจะยังตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจนพูดอะไรที่ฟังดูแปลก ๆ ออกมา เขาคงต้องขอให้เออร์เนสท์เช็คอย่างละเอียดอีกครั้งว่าสมองของเธอไม่ได้รับการกระทบกระเทือนจนทำงานผิดปกติ

“เอาล่ะ รอให้คุณรู้สึกดีกว่านี้แล้วเราค่อยคุยเรื่องนี้กันอีกที ผมจะปล่อยให้คุณพักผ่อน แล้วจะให้คนเอาเสื้อผ้ามาให้ เอลิซาเบธ ภรรยาของคุณหมอเออร์เนสท์กรุณาให้ยืมเสื้อผ้าของเธอก่อนชั่วคราว แล้วผมจะพาไปตลาดเมื่อคุณแข็งแรงดีแล้ว”

สิ้นเสียงชายหนุ่ม ณัฐญาณ์ก้มลงมองเสื้อผ้าที่ตนใส่อยู่ ก่อนจะพบว่าเป็นชุดผ้าฝ้ายยาวสีขาวคอปิด มีระบายลูกไม้รอบคอและสาบเสื้อด้านหน้า แขนยาวจั๊มตรงข้อมือ ปลายแขนที่ปักลูกไม้บานออก นัยน์ตาโตเบิกกว้างเมื่อมองไม่เห็นว่ามีใครอยู่บริเวณนี้อีกนอกจากเขา ใบหน้าซีดเงยขึ้น ปากอ้าทำท่าจะคาดคั้น หากชายหนุ่มที่ยืนสังเกตคนบนเตียงอยู่ไม่ไกลตอบก่อนที่จะถูกถาม

“เอลานอร์เป็นคนเปลี่ยนเสื้อผ้าให้คุณ” ใบหน้าหล่อเหลาของกัปตันหนุ่มระบายยิ้มอย่างขบขันเมื่อเห็นท่าทางโล่งอกของคนบนเตียง

“เอลานอร์เป็นแม่บ้านของผม เธอจะนำเสื้อผ้ามาให้และอยู่เป็นเพื่อนคุณ และจะจัดอาหารกลางวันให้คุณด้วยเมื่อถึงเวลา หากคุณต้องการอะไรให้บอกกับเอลานอร์ได้ ผมขอตัวก่อน ขอให้คุณพักผ่อนให้สบาย” กล่าวจบก็โค้งให้ด้วยท่าทางสุภาพ ก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากห้องไป

เมื่อชายหนุ่มลับตัวไป ณัฐญาณ์นอนตะแคงใบหน้าซุกหมอน คิดถึงสถานการณ์ที่ประสบอยู่ และเมื่อมองไม่เห็นทางออกว่าจะกลับออกไปจากอดีตนี่ได้อย่างไร หญิงสาวก็ปล่อยโฮ

“แม่ ณัฐจะทำยังไง ณัฐไม่อยากอยู่ที่นี่ ณัฐอยากกลับบ้าน ช่วยณัฐด้วย” พึมพำเจือเสียงสะอื้น

ในตอนที่อ่านหนังสือประวัติของสถานีล่าวาฬแห่งนี้พร้อมทั้งเรื่องราวความรักของเจ้าของสถานีและภรรยา มันก็อ่อนหวานโรแมนติกดีอยู่หรอก แต่พอต้องมามีชีวิตอยู่ร่วมสมัยเดียวกับเจ้าของเรื่องราวในหนังสือ มันคนละเรื่องกันเลย เธอจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร ทุกสิ่งทุกอย่างช่างแตกต่างกับที่ที่เธอจากมาเหลือเกิน แล้วยิ่งคิดว่าเธออยู่ห่างจากบ้านแค่ไหนก็ยิ่งใจหาย เพราะไม่ใช่เพียงอยู่กันคนละประเทศ หากแต่อยู่กันคนละชาติภพเลยทีเดียว แล้วเธอจะหาทางกลับบ้านได้อย่างไร

“คุณ... คุณคะ” เสียงของผู้หญิงที่ส่งมาจากด้านหลัง ทำให้ณัฐญาณ์ที่นอนหันหลังให้ประตูนิ่งค้างอยู่ในท่านั้น พยายามกลั้นเสียงสะอื้น เช็ดน้ำตา แล้วจึงหันกลับมา

เจ้าของเสียงเป็นผู้หญิงผิวดำ อายุรุ่นราวคราวเดียวกับเธอ ผมหยิกถูกมัดรวบไว้ข้างหลัง ใบหน้ากลม ริมฝีปากหนา ตาโปน อยู่ในชุดกระโปรงยาวสีน้ำตาล เอวคอด แขนเสื้อพองตรงต้นแขนแล้วค่อย ๆ แคบเข้าตรงข้อมือ รอบคอและหน้าอกเป็นระบายระย้า กำลังมองเธออยู่ด้วยสายตาแสดงความสนอกสนใจ

“นายท่านให้ฉันเอาเสื้อผ้ามาให้คุณ จะเปลี่ยนเลยไหมคะ”

“เอลานอร์... ใช่ไหม” หญิงสาวไม่ตอบคำถาม หากถามกลับคนที่ยืนประสานมืออยู่ตรงหน้าด้วยท่าทางนอบน้อม

“ใช่ค่ะ นายท่านให้ฉันมาอยู่เป็นเพื่อนคุณ ลุกขึ้นแต่งตัวเถอะค่ะ จะได้รับประทานอาหารกลางวัน” หญิงรับใช้บอก

“ขอบใจมากเอลานอร์ แต่ฉันไม่หิว ไม่มีอารมณ์จะแต่งตัว ฉันจะนอนอยู่นี่ เธอจะไปไหนก็ไปเถอะ” หญิงสาวบอกหญิงรับใช้อย่างไม่ใส่ใจ เธอไม่มีอารมณ์จะแต่งตัวหรือรับประทานอาหาร หรือรับการปรนนิบัติจากหญิงรับใช้ เธอไม่ได้กำลังพักร้อนในรีอสร์ทที่ต่างประเทศ แต่เธอเป็นคนหลงยุคมาจากอนาคตต่างหาก ใครจะไปมีกะจิตกะใจทำอะไร เธออยากนอนร้องไห้ ร้องจนกว่าจะหมดแรงหลับไป พอตื่นมาก็พบว่าทั้งหมดนี้เป็นเพียงฝันร้าย หญิงสาวหวังเหลือเกินว่ามันจะเป็นเพียงความฝันเท่านั้น

“ฉันไปไหนไม่ได้หรอกค่ะ นายท่านสั่งให้ฉันมาเฝ้าคุณ”

“เฝ้าฉันทำไม เขากลัวฉันหนีหรืออย่างไร ฉันจะมีปัญญาหนีไปไหนได้” พูดอย่างขมขื่น ถึงเธอจะอยากหนีไปจากที่นี่เพียงใด ก็มองไม่เห็นทางเลยว่าจะหนีไปได้อย่างไร ทำไมชะตากรรมอันเลวร้ายนี้ถึงได้เกิดขึ้นกับเธอ เธอจะหนีไปจากที่แห่งนี้ได้อย่างไร... เธอจะกลับบ้านได้อย่างไร... แม่ขา ณัฐคิดถึงแม่เหลือเกิน... ณัฐจะทำอย่างไรดี

“ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจ ฉันจะนอนล่ะ ไม่ต้องเอาอาหารกลางวันมา ฉันไม่หิว” หญิงสาวบอกพลางหันกลับไปนอนซุกหมอนอีกครั้ง เงี่ยหูฟังเสียงคนที่ยังคงยืนอยู่ในห้อง หากแต่ไม่มีเสียงอะไรที่พอจะบอกได้เลยว่าอีกคนกำลังทำอะไรอยู่ อาจจะยืนนิ่ง ๆ อยู่ในห้อง ทำตามคำสั่งนายอย่างเคร่งครัดกระมัง

แม้ตั้งใจเพียงจะนอนพิลาปรำพันถึงชะตาชีวิตอันเลวร้ายของตนอยู่บนเตียง แต่ด้วยความอ่อนเพลียจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และความรู้สึกที่ถาโถมอยู่ในใจ ทำให้ณัฐญาณ์ผลอยหลับไป ก่อนจะถูกปลุกให้ตื่นด้วยเสียงทุ้มที่ไม่ทราบว่าเข้ามาในห้องตั้งแต่เมื่อใด

“ได้เวลาอาหารกลางวันแล้ว ดูเหมือนคุณจะชอบถูกบังคับ”

สิ้นเสียงชายหนุ่ม คนที่นอนอยู่บนเตียงหันขวับมาอย่างรวดเร็ว นัยน์ตาวาวโรจน์ด้วยความโกรธ

“ฉันไม่ชอบถูกบังคับ ฉันไม่อยากกินอะไร ไปให้พ้น” ทำไมเขาไม่เข้าใจว่าตอนนี้สถานการณ์ในชีวิตของเธอมันย่ำแย่หาทางออกไม่เจอ เขาคิดว่าเธอจะอยู่ในบ้านเขาอย่างมีความสุข สบายอกสบายใจในฐานะแขกอย่างที่เขาว่าได้อย่างไร ในเมื่อความจริงคือเธอหลงยุคมาและยังหาทางกลับไม่เจอ!

“นาทาย่าห์ คุณอ่อนเพลียมาก และต้องได้รับอาหาร ลุกขึ้นมารับประทานเดี๋ยวนี้” ชายหนุ่มออกคำสั่ง และนั่นก็เหมือนกับฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ลาอย่างณัฐญาณ์หลังหัก หญิงสาวสูญสิ้นการควบคุมตนเอง ความรู้สึกอัดอั้นตันใจในชะตากรรมของตนทั้งหมดถูกระบายออกด้วยการขว้างหมอนเข้าใส่คนที่บังอาจมาออกคำสั่งกับเธอ

“ไปให้พ้น ออกไป๊!” แล้วก็ร้องไห้โฮ ฟุบหน้าลงไปบนเตียง สะอึกสะอื้นอย่างควบคุมตนเองไม่ได้

วิลเลียมตกใจกับปฏิกริยาของหญิงสาว ขาก้าวเข้าไปหาหาคนที่ฟุบหน้าอยู่บนเตียงโดยไม่รู้ตัว รวบร่างบางที่ตัวสั่นด้วยแรงสะอื้นเข้ามากอดแนบอกอย่างปลอบประโลม

“นาทาย่าห์ สงบสติอารมณ์ก่อน” ชายหนุ่มบอกเสียงนุ่ม ยกมือลูบศีรษะที่ซุกอยู่บนหน้าอกของตนอย่างอ่อนโยน

หญิงสาวปล่อยให้อ้อมแขนแกร่งโอบกอดอยู่อย่างนั้น อย่างน้อยก็ทำให้รู้สึกว่าเธอไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวในยุคโบราณแห่งนี้ อย่างน้อยก็คงจะพอมีคนที่จะร่วมรับรู้ถึงปัญหาอันใหญ่หลวงของเธอ... หวังว่าเขาจะรับฟังและไม่หาว่าเธอเสียสติไปเสียก่อน

“กัปตันคะ ฉันไม่ใช่คนสมัยนี้ ฉันหลงเข้ามา เข้ามาได้อย่างไรฉันก็ไม่รู้ แต่ฉันมาจากอนาคต ที่ที่ฉันจากมา คุณเป็นเพียงอดีตที่ผ่านไปแล้วร้อยกว่าปี แต่ตอนนี้ฉันมาอยู่ตรงนี้ พูดคุยอยู่กับคุณ ลองคิดดูสิคะว่าถ้าคุณเป็นฉัน คุณจะรู้สึกอย่างไร ฉันกลัวค่ะ ฉันรู้สึกโดดเดี่ยวอยู่ท่ามกลางผู้คนที่อยู่คนละยุคสมัยกับฉัน ฉันไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่ฉันมาอยู่ตรงนี้ ต่อหน้าคุณ ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริง คุณตายไปแล้วเป็นร้อยปี ฉันจะทำอย่างไรคะ ฉันไม่อยากอยู่ที่นี่ ที่นี่ไม่ใช่ที่ของฉัน ฉันอยากกลับบ้าน แต่ฉันก็ไม่รู้ว่าจะกลับได้อย่างไร เพราะฉันมาได้อย่างไรก็ยังไม่รู้เลย” หญิงสาวพรั่งพรูสิ่งที่อยู่ในใจออกมายืดยาว หากเขาจะว่าเธอเสียสติก็คงต้องยอมรับ เพราะสิ่งที่เธอบอกเขา มันฟังดูบ้าบอและเป็นไปไม่ได้ ซึ่งหากไม่ได้ประสบด้วยตนเอง หญิงสาวก็คงจะไม่เชื่อเช่นกัน หากคำตอบของชายหนุ่มทำให้คนที่กำลังสะอื้นหนักถึงกับชะงักค้าง

“ผมจะช่วยคุณหาทางกลับให้ได้” ชายหนุ่มตอบ เพราะเมื่อฟังที่หญิงสาวบอก เขาก็ได้ยินเสียงของโมรานดังก้องขึ้นมาในหูอีกครั้ง

“...จะมีพายุงวงช้างเกิดขึ้นทุก ๆ สิบปี และไม่ใช่พายุธรรมดา แต่เป็นพายุที่หมุนเปิดประตูมิติให้สองมิติเชื่อมถึงกัน...”

“คะ?” ถามอย่างคาดไม่ถึงว่าเขาจะเชื่อเธอง่าย ๆ เช่นนี้

“บางทีปัญหาของคุณอาจจะมีทางออก” ชายหนุ่มตอบ อุ้งมือเรียวยาวยังคงลูบผมนุ่มอย่างอ่อนโยน

“คะ... คุณเชื่อฉันหรือคะ”

“ไม่มีเหตุผลที่คุณต้องโกหกไม่ใช่หรือ” ชายหนุ่มถาม ใบหน้ายิ้มละไม

“ค่ะ ฉันไม่ได้โกหก แต่เรื่องมันเหลือเชื่อ จนแม้แต่ฉันเอง หากไม่ได้ประสบด้วยตนเองฉันก็อาจจะไม่เชื่อ” หญิงสาวพึมพำ

“เอาเป็นว่าผมเชื่อคุณ และคิดว่าอาจจะมีคนที่มีคำตอบสำหรับปัญหาของคุณ ผมจะพาคุณไปพบเขาหลังจากที่คุณแข็งแรงดีแล้ว ตอนนี้มารับประทานอาหารกลางวันก่อนนะครับ” ชายหนุ่มว่าก่อนจะคลายอ้อมแขน และตอนนั้นเองที่เขาเพิ่งสังเกตว่าหญิงสาวอยู่ในชุดนอนบางเบา ทำให้ใบหน้าคมสันเรื่อสีขึ้นและขยับออกห่างในทันที จังหวะเดียวกับที่ณัฐญาณ์ก็รู้ตัวว่าตนอยู่ในชุดที่ไม่เรียบร้อยเพียงใด จึงบอกชายหนุ่มตะกุกตะกัก

“ฉัน... เอ่อ... ขอเปลี่ยนเสื้อผ้าสักครู่นะคะ”

“ผมจะให้เอลานอร์เข้ามาช่วย” ชายหนุ่มตอบ ใบหน้าเมินมองไปทางอื่น หญิงสาวเกือบจะตอบปฏิเสธข้อเสนอของเขา เพราะแค่แต่งตัวเธอทำเองได้ แต่เมื่อนึกได้ว่าตอนนี้เธออยู่ในยุคสมัยใด และเสื้อผ้ากรุยกรายที่คนรับใช้นำมาให้นั้น เธอไม่รู้จริง ๆ ว่าจะใส่เป็นหรือเปล่า จึงพยักหน้ารับอย่างว่าง่ายและถอนหายใจยาวเมื่อชายหนุ่มลับตัวไป




หลังรับประทานอาหารกลางวันเสร็จ เจ้าของสถานีล่าวาฬหนุ่มเรียกโมราน หัวหน้าคนงานของเขาให้เข้ามายังห้องที่หญิงสาวผู้มาใหม่ยังพักผ่อนอยู่ เขาไม่แน่ใจว่าเธอแข็งแรงพอที่จะเดินไปไหนมาไหนได้หรือยัง ชายหนุ่มไม่อยากเสี่ยงจนกว่าหมอเออร์เนสท์จะอนุญาต อีกทั้งเรื่องราวที่จะพูดคุยกันนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ควรแพร่งพรายออกไป จึงเรียกให้โมรานเข้ามาพบเขาและหญิงสาวที่ห้องของเธอจะดีกว่า

โมรานเป็นชายสูงวัยชาวพื้นเมือง ผิวดำสนิทราวกับท้องฟ้าในคืนเดือนมืด เขามีใบหน้าละม้ายคล้ายกับเอลานอร์ ซึ่งชายหนุ่มแนะนำทีหลังว่าชายสูงวัยหัวหน้าคนงานผู้นี้เป็นบิดาของเอลานอร์นั่นเอง

“เล่าเรื่องประตูมิติให้คุณผู้หญิงฟังหน่อยสิโมราน” ชายหนุ่มบอกด้วยน้ำเสียงสุภาพ

โมรานเบิกตานิด ๆ เมื่อได้ยินเช่นนั้น แสดงว่านายท่านเชื่อเขาเรื่องประตูมิติที่เปิดพร้อมพายุงวงช้างแล้วใช่ไหม ท่าทางคุณผู้หญิงที่นั่งอยู่ตรงหน้านี้จะเป็นหลักฐานชั้นดีที่ทำให้นายท่านเชื่อเรื่องที่เคยเห็นว่าเป็นนิทานของพวกกูรีมาตลอดกระมัง

“บรรพบุรุษของเราชาวกูรีเล่าต่อกันมาว่า ทุก ๆ สิบปีจะมีพายุงวงช้างเกิดขึ้นบริเวณไม่ห่างจากชายหาดหน้าสถานีแปรรูปวาฬของนายท่านมากนัก พายุงวงช้างที่ว่านี้ จะหมุนประตูมิติที่ปิดสนิทอยู่ให้อ้าออก ทำให้สองมิติที่แตกต่างเชื่อมเป็นมิติเดียวกันชั่วขณะหนึ่ง หากมีใครหรืออะไรหลุดเข้าไปในช่องว่างระหว่างมิตินั้น เมื่อประตูมิติปิดก็จะทำให้คนหรือสิ่งของนั้นปรากฏขึ้นยังอีกมิติหนึ่งได้ อย่างที่เคยมีเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้นบริเวณนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรือลำใหญ่หายไปทั้งลำ หรือมีเรือหรือมนุษย์ปรากฏขึ้นบนชายหาดอย่างไม่ทราบที่มามาก่อน” โมรานจบคำพร้อมจ้องหน้าหญิงสาวด้วยสายตาพิจารณา

“ผมเดาว่า คุณผู้หญิงคงจะหลุดเข้ามาขณะที่ประตูมิติกำลังเปิดอยู่ ใช่หรือไม่ครับ”

“คงจะเป็นอย่างนั้นค่ะ ฉันประสบอุบัติเหตุเฮลิคอปเตอร์ตกแล้วตกลงไปในใจกลางพายุงวงช้าง” หญิงสาวตอบ สองหนุ่มต่างวัยมองหน้ากัน คิ้วขมวดมุ่น

“เฮลิคอปเตอร์ ?” ชายหนุ่มทวนคำ สีหน้าแสดงคำถาม

“ในสมัยของคุณคงจะยังไม่มีเฮลิคอปเตอร์ มันเป็นยานพาหนะ รูปร่างคล้ายแมลงปอ มีใบพัดอยู่ด้านบน เมื่อใบพัดหมุนจะทำให้ตัวเฮลิคอปเตอร์บินได้” หญิงสาวพยายามอธิบายเพื่อให้สองคนที่ไม่เคยรู้จักเฮลิคอปเตอร์เห็นภาพ และเพิ่งจะรู้ตอนนี้เองว่า การอธิบายถึงลักษณะของสิ่งของที่ไม่มีอยู่ในขณะนั้นให้คนที่ไม่เคยรู้จักฟัง เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย เพราะสองคนที่ฟังเธออธิบาย ยังมีสีหน้างงงวยอย่างไม่เข้าใจอยู่นั่นเอง

“ฉันนั่งอยู่ในเฮลิคอปเตอร์เครื่องนั้น พอเครื่องตกฉันก็หลุดออกจากตัวเครื่อง แล้วตกลงไปในพายุงวงช้างที่หมุนเกลียวอยู่บนผืนน้ำ ฉันนึกว่าจะตายเสียแล้วค่ะ แต่พอตื่นมาอีกทีก็อยู่บนเตียงในห้องนอนบ้านคุณ คุณซึ่งเป็นเจ้าของสถานีล่าวาฬในอดีตเมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว ซึ่งในปัจจุบันได้กลายเป็นโรงแรมและพิพิธภัณฑ์ซึ่งฉันพักอยู่”

“เพราะอย่างนั้นหรือคุณถึงรู้จักผม” ชายหนุ่มถาม เมื่อจำได้ว่าหญิงสาวเรียกเขาว่ากัปตัน ทั้ง ๆ ที่เขายังไม่ได้บอกเธอ

“ใช่ค่ะ ฉันอ่านประวัติของคุณจากหนังสือประวัติที่ทางโรงแรมมีให้” หญิงสาวตอบ หลบสายตาคมที่มองมาด้วยความสนใจ เมื่อใจกระหวัดไปถึงเรื่องราวความรักโรแมนติกระหว่างเขากับภรรยา เพราะยังรู้สึกกระอักกระอ่วนกับความคิดที่ว่า ตัวเธอเองอาจจะเป็น นาทาย่าห์ แคมพ์เบลล์ ที่หนังสือกล่าวถึง

“ถ้าอย่างนั้น ในหนังสืออาจจะมีกล่าวถึงคุณซึ่งมาจากอนาคตบ้างกระมัง” เจ้าของสถานีล่าวาฬถามน้ำเสียงมีความหวัง หากมีเรื่องราวบันทึกไว้ในหนังสือ บางทีอาจจะพอมีทางส่งหญิงสาวกลับมิติของตนได้กระมัง

“เอ่อ... ไม่มีเลยค่ะ” มีแต่หญิงสาวผู้มาจากแดนไกล ภรรยาของคุณเท่านั้นค่ะกัปตัน

“โมราน ท่านมีความเห็นอย่างไรบ้าง” ชายหนุ่มหันไปถามคนสนิท ท่าทางให้เกียรติราวกับคนระดับเดียวกัน ไม่ใช่เพียงหัวหน้าคนงานกับนายจ้างอย่างที่แนะนำกับหญิงสาว

“ถ้าตามคำเล่าขานของบรรพบุรุษของเรา ประตูมิติจะเปิดอีกครั้ง พร้อม ๆ กับพายุงวงช้าง ในอีกสิบปีข้างหน้า” ชายสูงวัยพูด สีหน้าครุ่นคิด

ณัฐญาณ์เบิกตากว้างเมื่อคิดตามคำพูดนั้น ความเข้าใจบางอย่างวาบขึ้นมา

“แสดงว่าถ้าฉันเข้าไปอยู่ในใจกลางพายุอีกครั้ง ก็มีโอกาสที่จะเข้าไปในประตูมิติที่เปิดออก และกลับไปยังที่ที่จากมาใช่ไหมคะ” ถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นและมีความหวัง

“อาจจะเป็นไปได้ แต่ผมคงไม่สามารถยืนยันได้ว่าจะเป็นเช่นนั้นจริง ๆ” หัวหน้าคนงานวัยชราตอบอย่างระมัดระวัง ในขณะที่หญิงสาวไม่ได้ใส่ใจท่าทางไม่แน่ใจนั้นนัก เพราะในใจมัวแต่ลิงโลดที่ทราบว่ามีทางที่จะได้กลับบ้าน ไม่ใช่ติดอยู่ในอดีตไปตลอดชีวิตอย่างที่กลัวตั้งแต่แรก

“ถ้าอย่างนั้นฉันจะรอวันนั้นค่ะ สิบปีไม่นานเลย ฉันรอได้” หญิงสาวพูดอย่างกระตือรือร้น ใบหน้าที่เศร้าหมองและเคร่งเครียดนับตั้งแต่ตื่นมาบนเตียงนอนในบ้านของเจ้าของสถานีล่าวาฬหนุ่ม บัดนี้ประดับรอยยิ้มกว้าง นัยน์ตาเป็นประกาย ทำให้ชายหนุ่มที่จ้องมองอยู่ถึงกับหัวใจเต้นผิดจังหวะไปนิดทีเดียว

“ระหว่างนี้ ผมอยากให้คุณอยู่ที่นี่อย่างสบายใจในฐานะแขกของผม คุณจะมีฐานะเป็นเจ้านายคนหนึ่งของบ้าน และในฐานะเจ้าของบ้าน ผมจะดูแลคุณอย่างดีที่สุด จนกว่าจะถึงเวลาเดินทางกลับของคุณ” ผู้เป็นเจ้าของบ้านบอก ณัฐญาณ์คว้ามือใหญ่ขึ้นมากุมพร้อมกล่าวขอบคุณอย่างซาบซึ้งใจ

“ขอบคุณมากนะคะกัปตัน ฉันจะไม่มีวันลืมคุณเลย”

“เรียกผมว่าวิลเลียมเถอะ”

“ค่ะ วิลเลียม” รับคำอย่างว่าง่ายและแถมรอยยิ้มกว้างให้อีก ก็การที่รู้ว่ามีความหวังที่จะได้กลับไปยังที่ที่จากมา แทนที่จะติดอยู่กับคนโบราณที่เธอไม่คุ้นเคย มันทำให้ความเศร้าหมองที่กัดกินเธอนับตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้นมาที่นี่มลายไป และรู้สึกว่าชีวิตนี้มีเป้าหมายให้เดินและความหวังที่รอคอยจนทำให้เธอกลับมารู้สึกมีชีวิตชีวาอีกครั้งหนึ่ง

“ขอให้เรื่องนี้เป็นความลับระหว่างเราสามคน อย่าให้ใครรู้เรื่องนี้อีกเป็นอันขาด” ชายหนุ่มพูดกับทั้งสองด้วยน้ำเสียงหนักแน่น คงจะดีกว่าที่จะปิดเรื่องนี้เป็นความลับ ให้คนอื่น ๆ รู้จักหญิงสาวผู้มาจากอนาคตในฐานะแขกต่างถิ่นของเขาเท่านั้นพอ



รุ่งธิวา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 2 ก.ย. 2557, 15:28:08 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 2 ก.ย. 2557, 15:28:08 น.

จำนวนการเข้าชม : 832





<< บทที่ ๒   บทที่ ๔ >>
แว่นใส 2 ก.ย. 2557, 16:51:21 น.
คิดถึงจัง


รุ่งธิวา 2 ก.ย. 2557, 17:46:36 น.
@แว่นใส คิดถึงวิลกับแนทหรือคะ สำนักพิมพ์แรกที่ส่ง ไม่ผ่านพิจารณา ตอนนี้รอผลแห่งที่สองอยู่ค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account