เหลี่ยมกุหลาบ
เพราะทนคำครหาของใครต่อใครไม่ไหวอีกต่อไป และต้องการแก้ไขความผิดพลาดในอดีต วรรษชลจึงตัดสินใจชวนเพื่อนรักปลอมตัวเข้าไปอยู่ในบ้านของมาเฟียหนุ่ม ที่ความจำเสื่อมในฐานะ เพื่อนและคู่หมั้นสาวแสนสวย เพื่อสืบหาความเป็นจริงของคดี

แต่ใช่ว่ามันจะง่ายอย่างที่คิด เมื่อเธอต้องเจอกับ มหาสมุทร ชายหนุ่มผู้ทำท่าเหมือนจะรู้ทันเล่ห์เหลี่ยมของพวกเธอ
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 1 ลบคำสบประมาท

ตอนที่ 1

กรอบเล็กๆ ทว่าเห็นได้ชัดเจนใต้ชื่อหัวหนังสือพิมพ์ ทำให้หญิงสาวยกมือขึ้นกุมขมับอย่างปวดหัว เนื้อหาในกรอบนั้นเป็นคำชี้แจง ขอโทษที่หนังสือพิมพ์ลงข่าวผิดพลาด พาดพิงทำให้บุคคลอื่นต้องเสียหายและเสียชื่อเสียง ส่วนตัวต้นเรื่องที่ทำให้หนังสือพิมพ์ต้องทำเช่นนี้คงเป็นใครไปไม่ได้อีกแล้ว นอกจากวรรษชล เหยี่ยวข่าวสาวมือใหม่ ที่ตั้งแต่เข้าทำงานมา ก็มีแต่ผิดพลาดมาตลอดคนนี้นี่เอง

วรรษชลโยนหนังสือพิมพ์กลับลงบนโต๊ะ ซุกหน้าลงบนฝ่ามือของตนเองอย่างหมดหวัง ตอนนี้ตัวเธอถูกพักงานยาวจากทางหนังสือพิมพ์ เพื่อรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น จากกรณีที่เธอไปลงข่าวหาว่าดาราหนุ่มขวัญใจมหาชนคนหนึ่ง หวังปอกลอกเศรษฐินีสาวแก่คราวแม่พาไปกินข้าวดูหนังอย่างไม่อายฟ้าดิน ลงท้ายด้วยการดอดไปกกกอดกับผู้ชายคู่ขาในวันเดียวกัน เธอมีทั้งรูปภาพที่ถ่ายได้เองกับมือ ไหนจะลงข้อมูลของเศรษฐินีคนนั้นที่หามาได้อย่างยากเย็น แต่ที่ไหนได้ ไปๆมาๆ ผู้หญิงคนนั้นกลับกลายเป็นแม่แท้ๆของชายหนุ่ม ที่แยกทางกับบิดาของเขาไปตั้งแต่เมื่อสิบปีที่แล้วไปเสียได้ !! ซ้ำร้าย คนที่เธอหาว่าเป็นคู่เกย์กับเขา ยังกลายมาเป็นลูกพี่ลูกน้องที่เติบโตด้วยกันมาตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอย เพราะเหตุฉะนั้น จึงมีเรื่องให้เธอต้องเดินขึ้นโรงพัก ขอโทษขอโพยผู้ที่เธอพาดพิงจนแทบจะกราบกรานขอร้องไม่ให้เอาผิดด้วยการฟ้องเธอถึงร้อยห้าสิบล้าน

วรรษชลคิดว่าเป็นบุญที่ทำไว้ตั้งแต่ชาติปางก่อนแท้ ๆ ที่ทำให้เธอรอดพ้นจากการจ่ายเงินร้อยห้าสิบล้านนั้นมาได้ แต่ใช่ว่าจะรอดมาฟรีๆเสียเมื่อไหร่ ทางหนังสือพิมพ์ต้องชดใช้ด้วยการยอมลงขอโทษในหนังสือพิมพ์เป็นเวลาสิบวัน จัดแถลงข่าวและยอมให้บริษัทของเศรษฐินีคนนั้นลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์ที่เธอสังกัดแบบไม่คิดมูลค่าเป็นเวลาครึ่งปี แถมท้ายด้วยการหาทั้งงานละคร งานโฆษณางานถ่ายแบบให้ดาราหนุ่มคนนั้นอีกสิบกว่าชิ้น

นี่ถ้าไม่ใช่ว่าบิดาของเธอเป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์หัวนี้ล่ะก็ ผลคงไม่ออกมาแบบนี้แน่ !!!

เธอคงจะโดนฟ้องร้องจนต้องฆ่าตัวตายหนีหนี้ก็เป็นได้

“ฝน....พ่อว่าเราน่าจะไปลาออกกับทางหนังสือพิมพ์นะ พ่ออายคนเขา” นายพิรุณผู้เป็นบิดาเดินออกมาจากห้องครัวพร้อมทั้งจานคุ๊กกี้ในมือ เสนอขึ้น

“ไปทำนิตยสารแฟชั่นไหม พ่อฝากให้ได้”

วรรษชลส่ายหน้า นี่พ่อคงจะเห็นว่าเธอชอบแฟชั่นมาก เพราะตัวเธอทั้งตัวเรียกได้ว่าไม่มีของชิ้นไหนที่จะไม่แบรนด์เนม อัพเดทแฟชั่นได้ตลอดเวลาไม่มีเอ้าท์

“พ่อ...ฝนชอบแต่งตัวก็จริง แต่ฝนไม่ชอบนิตยสารแฟชั่น มันไม่สนุก อีกอย่างนะคะพ่อ ฝนอยากจะทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับแม่ให้สำเร็จ ฝนจะต้องเป็นนักข่าวที่ดีให้ได้”

หญิงสาวกำมืออย่างมุ่งมั่น สายตาแน่วแน่มั่นคง อย่างไรเสียเธอก็จะไม่มีทางยอมเลิกล้มความตั้งใจนี้อย่างแน่นอน เพื่อรักษาสัญญาเมื่อสิบปีก่อนที่ให้ไว้กับมารดาผู้ล่วงลับ ต่อให้เธอต้องตาย เธอก็ไม่มีทางยอมแพ้ !!

แต่ในใจกลับค้านกันว่า ถ้าความมุ่งมั่นของเธอทำร้ายคนอื่นล่ะ จะทำยังไง

หญิงสาวสะบัดหน้า พยายามปฎิเสธเสียงค้านในใจนั้น

“แม่คงเห็นความพยายามของฝนแล้วล่ะ แต่พ่อว่างานนี้ไม่เหมาะกับลูกหรอก นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ลูกพลาด พ่อให้โอกาสลูกมาหลายครั้ง นี่ถ้ามีครั้งต่อไปอีก พ่อว่าผู้ถือหุ้นในบริษัทรวมถึงพวกพนักงานทุกคนคงไม่ยอมพ่อแน่ๆ ตอนนี้ในเว็บพวงชมพูกำลังด่าเราเละ พ่อเริ่มจะไม่ไหวแล้ว”

หญิงสาวมองบิดาอย่างหนักใจ เขาพูดถูก นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอทำให้บริษัทเสียหาย มันเป็นครั้งที่สี่ได้แล้วกระมัง และครั้งนี้ก็ดูหนักหนาสาหัสมากอีกด้วย ในอินเตอร์เน็ตวิจารณ์การทำงานอย่างไม่มีประสิทธิภาพกันจนแตกกระทู้ทั้งหลายครั้ง เรื่องผิดพลาดเล็กน้อยก็ขุดกันมาด่าอย่างไม่ปราณีราวกับเคยไปทำร้ายพวกเขามาก่อนอย่างนั้น ถ้าปล่อยให้คนพวกนี้พูดกันต่อไป เครดิตของหนังสือพิมพ์ก็จะพลอยเสียไปด้วย คราวนี้คงมีคนลำบากเพราะเธออีกมาก

“ฝนจะลองพิจารณาดูนะคะ ฝนก็ไม่อยากทำร้ายใครเหมือนกัน”

นายพิรุณพยักหน้ารับคำอย่างปลื้มปิติ ก่อนจะออกไปทำงานตามปกติ หญิงสาวถอนใจอย่างเหนื่อยล้า ล้มตัวลงนอนเหยียดยาวบนโซฟา ก่อนจะคว้าคุกกี้ที่บิดานำมาให้เข้าปาก

“ฝนหนอฝน จะทำยังไงดี”

วรรษชลบ่นกับตัวเอง ก่อนจะหยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมาพิจารณา พลันสายตาก็ไปสะดุดกับพาดหัวข่าวใหญ่ที่เมื่อครู่เธอไม่ได้ใส่ใจจะมองตาวาว ภาพของใครคนหนึ่งที่นอนหลับอยู่ภายในห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลทำให้เธอใจเต้นแรง กรอบรูปเล็กๆเจ้าของร่างที่อาการโคม่าด้านมุมซ้ายนั้นทำให้เธอคลี่ยิ้มยินดี ยิ่งพอได้อ่านข้อความบรรยายใต้ภาพยิ่งทำให้เลือดนักข่าวในกายมันพลุ่งพล่าน หญิงสาวดีดตัวลุกขึ้นอย่างกระฉับกระเฉง ก่อนจะวิ่งตึงๆขึ้นห้องส่วนตัวอย่างรวดเร็ว



เสียงบีบแตรเป็นจังหวะสนุกสนานที่ดังมาจากประตูรั้วหน้าบ้านแสดงให้เห็นว่าผู้มาเยือนกำลังอารมณ์ดีเป็นพิเศษนั้น ทำให้หญิงสาวที่นั่งพับเพียบอยู่แคร่ไม้ละสายตาจากผลไม้แกะสลักในมือขึ้นชะเง้อมอง รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าเมื่อเห็นว่าเป็นใคร เธอจึงหันไปบอกเด็กรับใช้ที่นั่งอยู่ข้างๆ ให้ไปเปิดประตูรับผู้มาเยือน

ครู่เดียว เด็กรับใช้ก็เดินนำใครคนหนึ่งมา วรรษชลนั่นเอง คราวนี้เพื่อนสนิทมาในชุดเดรสแขนกุดลายขวางยาวคลุมเข่าสีเหลืองส้มขาวสลับกัน คลุมทับด้วยเสื้อตัวโคร่งสีเขาแขนสั้น คอย้วยโขว์ไล่ขาวเนียนและรองเท้าส้นสูงตามสไตล์ของหญิงสาวผู้ไล่ตามแฟชั่น

“ลมอะไรหอบเธอมาล่ะจ้ะฝน” หญิงสาวที่มีรสนิยมต่างกันสุดขั้วกับวรรษชล หากแต่เป็นเพื่อนสนิทกันตั้งแต่เด็กเอ่ยทักขึ้นอย่างอารมณ์ดี ถ้าจะเรียกวรรษชลว่าเป็น ‘แฟชั่นนิสต้า’ ก็คงจะเรียกเธอว่า ‘แม่พลอย’ ได้เหมือนกัน เพราะเธอนั้นไม่ชอบแต่งตัว ชอบอยู่กับบ้านทำงานบ้านงานเรือน และไม่ค่อยได้แต่งหน้าแต่งตากับเขาสักเท่าไหร่ แม้มันจะผิดวิสัยผู้หญิงวัยสาวไปสักหน่อย แต่มันก็ตรงตามความต้องการของผู้เป็นยายที่เลี้ยงดูเธอมา

หญิงสาวยิ้มทักทายเพื่อนที่ทรุดกายลงนั่งบนแคร่ตัวเดียวกัน ก่อนจะจัดการเก็บผักผลไม้ที่แกะค้างไว้ส่งให้เด็กรับใช้เอาไปเก็บ แล้วหันไปพยักเพยิดเพื่อให้เพื่อนสาวตอบคำถามที่เธอถามค้างไว้

“ก็จะมีอะไรเสียอีกล่ะ นี่เธอไม่รู้เลยหรือจีจี้” วรรษชลทำหน้าตาประหลาดใจ

“แล้วจะให้รู้อะไรล่ะจ้ะ”เธอตอบอย่างใจเย็น เพื่อนรักจึงส่งหนังสือพิมพ์มาให้ “ได้อ่านข่าวหรือยังจี้ เธอเห็นแล้วต้องตกใจจนเป็นลมแน่ๆ”

ขจีเนตร หรือจีจี้ รับหนังสือพิมพ์ที่เพื่อนเอามาให้เปิดอ่านอย่างงงๆ ไม่เข้าใจว่าเพื่อนต้องการจะสื่ออะไรกันแน่ แต่เมื่อลองกวาดสายตาอ่านดูคร่าว หญิงสาวต้องตกใจจนหัวใจจะหล่นไปที่ตาตุ่ม

“คุณคนเล็ก” หญิงสาวอุทานออกมาแผ่วเบา ก่อนมองหน้าเพื่อนเลิกลั่ก “นี่มันอะไรกันฝน เรางงไปหมดแล้วนะ”

หญิงสาวเอื้อมมือสั่นเทาของตัวเธอไปจับข้อมือของเพื่อนและเขย่าเบาๆ
“ก็คุณคนเล็กของเธอน่ะสิ ประสบอุบัติเหตุเมื่อวานนี้ตอนจะกลับบ้านพร้อมครอบครัว จากที่อ่านข่าวมานะ ครอบครัวเขาเสียชีวิตทั้งหมด ตัวเขารอดอยู่คนเดียว แต่อาการโคม่ามาก”

“คุณพระ!!”

ขจีเนตรอุทานพลางยกมือขึ้นทาบอกด้วยความตกใจ เธอกับวรรษชลรู้จักกับผนินทร คนในข่าวเมื่อตอนที่อยู่ต่างประเทศ ผนินทรเป็นผู้ชายเจ้าชู้ ร่าเริง มีมิตรไมตรีกับทุกคน คนดีแบบเขาไม่นึกว่าต้องจะเจอกับเรื่องแบบนี้

“ทำไมคุณคนเล็กต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ด้วย คงจะเสียใจน่าดูเชียวล่ะ” น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาของขจีเนตรนั้นเต็มไปด้วยความห่วงใยจนคนฟังรู้ทัน

“เธอห่วงเขาใช่ไหมจีจี้” วรรษชลผลักไหล่บอบบางของหญิงสาวเบาๆ

“ห่วงสิ.....ห่วงตามประสาคนรู้จักกันเท่านั้นแหละฝน” เธอบอก ก่อนหลบตาเพื่อน “เธอต่างหากล่ะที่ควรจะห่วงเขา ก็เขาชอบเธอไม่ใช่หรือ ตอนอยู่ที่โน่นเขาก็ตามจีบเธอแทบตลอดเวลา เขาเคยให้แหวนเธอด้วยนี่ เธอไม่มีใจห่วงเขาบ้างเลยเหรอ”

น้ำเสียงระคนน้อยใจของหญิงสาว ทำให้วรรษชลขยับเข้ามาใกล้ ลูบเรือนผมสีน้ำตาลเข้มของเพื่อนอย่างปลอบโยน

“ก็ฉันไม่ได้รับแหวนนั่นมาเสียหน่อยจี้” เธอบอกอย่างพยายามเอาใจ “แล้วที่ฉันมาเนี่ย เพราะอยากจะมีชวนจี้ไปเยี่ยมนาย..เอ่อ...คุณคนเล็กด้วยกัน ก่อนมาที่นี่ฉันโทรไปถามที่โรงพยาบาลมา คุณคนเล็กพ้นขีดอันตรายแล้ว ตอนนี้พักห้องปกติแม้จะยังห้ามเยี่ยม แต่เราก็ไปด้อมๆมองๆแถวนั้นได้ ฉันจะเนียนๆไปถามข่าวคราวของเขาให้ ฉันเอาบัตรนักข่าวมาด้วย”

วรรษชลตบกระเป๋าสะพายราคาหลายหมื่นของตนเบาๆ

“แต่ฝนโดนพักงานตั้งแต่เมื่อสี่วันก่อนไม่ใช่เหรอ หรือคุณพ่อท่านยอมยกโทษอีกแล้ว”

“เปล๊า” เพื่อนรักตอบเสียงสูง ทำหน้าเมื่อยๆ “แต่เอาเถอะน่า เราก็เนียนๆไปไง”

“แล้วทำไมฝนต้องสนใจมากขนาดนี้ด้วย ว่าอาการของคุณคนเล็กจะเป็นยังไง”ขจีเนตรหรี่ตามองด้วยความสงสัย “อย่าบอกนะว่าฝนเริ่มใจอ่อนให้คุณคนเล็กแล้ว”

ขจีเนตรจ้องลึกลงไปในดวงตาคู่สวยเหมือนตาของลูกกวางตัวน้อยของเพื่อนอย่าต้องการเค้นความจริง

“โธ่....จับได้อีกแล้วอ่ะ” หญิงสาวบ่นอุบ ทำหน้าเหม็นเบื่อเต็มทน “ไม่ใช่ว่าฉันเกิดพิศวาสนายนั่นขึ้นมาหรอก แต่จี้ไม่สงสัยบ้างเหรอว่าเรื่องแบบนี้มันน่าจะมีเงื่อนงำบางอย่างนะ”

ขจีเนตรเอียงคอมองเพื่อนอย่างพยายามทำความเข้าใจ

“ก็ จี้ก็น่าจะรู้นี่ว่าพ่อแม่และพี่สาวของนายคนเล็กนั่นน่ะ เป็นมาเฟียคนดังของภาคตะวันตกเลยนะ เขาร่ำรวย มีอิทธิพลมากว่านักการเมืองท้องถิ่นเสียอีก แล้วคิดดู อยู่ๆจะมารถค่ำตายยกครัวง่ายๆอย่างนั้นเหรอ”

“อุบัติเหตุมันไม่เลือกหรอกนะ ว่าจะต้องเกิดกับเฉพาะคนธรรมดา ไม่เกิดกับผู้มีอิทธิพล”

วรรษมลส่ายหน้าช้าๆ ไม่เห็นด้วยกับคำพูดของขจีเนตร

“อันนั้นมันก็จริง แต่ไม่น่าจะบังเอิญขนาดนี้”วรรษชลกอดอก วางมาดเหมือนนักสืบ “ได้ข่าวมาว่าพ่อแม่และพี่สาวของนายคนเล็กกำลังมีปัญหากับหลายฝ่าย บางสายก็ว่ากำลังจะล้างมือในอ่างทองเลิกเป็นมาเฟีย ถ่ายทอดทุกสิ่งทุกอย่างให้ทายาทอย่างนายคนเล็กนั่น”

ขจีเนตรพยักหน้าอย่างคล้อยตาม แต่ก็อดสงสัยไม่ได้

“ว่าแต่ทำไมฝนรู้ดีจังล่ะ”

“ก็ฉันเป็นนักข่าว ฉันก็ย่อมต้องรู้สิ” เธอยักไหล่ กอดอกอย่างมีมาด

“แหม...แต่ทำท่าเหมือนเป็นนักสืบหรือไม่ก็ตำรวจเลยนะ” ขจีเนตรหัวเราะคิกคัก ส่วนคนที่โดนแซวก็ฟาดเบาๆที่ต้นแขนเล็กของเพื่อนอย่างหมั่นไส้


โรงพยาบาลในยามนี้คลาคล่ำไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา หลายต่อหลายคนวรรษชลก็จำได้ว่าเขาเป็นพวกนักข่าว บางคนก็เป็นตำรวจนอกเครื่องแบบ และมีอีกหลายคนที่หน้าตาบ่งบอกเลยว่าไม่น่าจะใช่พวกเดียวกับฝ่ายตำรวจแน่ๆ

หลังจากให้ผู้หญิงหน้าตาใสซื่ออย่างขจีเนตร เพื่อนรักที่ชื่อไทยเสียจนนึกว่าเป็นคนอายุสามสิบห้าขึ้นไปสอบถามจากเจ้าหน้าที่โต๊ะประชาสัมพันธ์ถึงห้องพักของผนินทรก็ได้ความมาว่า ชายหนุ่มพักอยู่บริเวณชั้นบนสุด ที่ทั้งชั้นเป็นห้องระดับวีไอพี เขาอยู่ห้องริมสุดปีกซ้าย ได้ความดังนั้น วรรษชลก็เดินนำขจีเนตรเข้าไปในลิฟท์โดยสารพร้อมแม่บ้าน และขึ้นไปชั้นบนได้สำเร็จ แต่การเข้าไปใกล้เพื่อดูความเคลื่อนไหวรอบตัวผนินทรนั้นไม่ง่ายเลย เพราะเมื่อขึ้นไปถึงชั้นบนสุด สองสาวก็เห็นชายชุดดำร่างใหญ่นับสิบเดินกันให้ว่อนไปหมด จนญาติของแขกวีไอพีคนอื่นทำหน้าตระหนกขวัญหนีดีฝ่อ ไม่เว้นแม่แต่เพื่อนรักของเธอ หน้าซีดเซียวที่ไร้สีสันจากเครื่องสำอางอยู่แล้วของขจีเนตร

ยังเผือดลงอย่างเห็นได้ชัด

“นี่ฝน เราบุกมาขนาดนี้ถ้าพ่อฝนจับได้ มีหวังนะ....ไม่ใช่แค่ฝนที่จะโดนพ่อตี เราว่าเราต้องโดนตีไปด้วยแน่ๆ”

วรรษชลเหลือบมองเพื่อนด้วยความขบขัน

“พ่อไม่ตีหรอกน่า เราอายุยี่สิบห้ายี่สิบหกกันแล้วนะจี้ ไม่โดนตีหรอก แต่ถ้าเป็นยายของจี้ก็ไม่แน่”

วรรษชลล้อเลียน เพราะรู้ดีว่ายายของขจีเนตรเพื่อนรักนั้นเจ้าระเบียบขนาดไหน นอกจากนั้นยังดุกว่าครูฝ่ายปกครองเสียอีก เพราะเหตุนี้เพื่อนของเธอจึงได้เรียบร้อยเหมือนผู้หญิงเมื่อร้อยกว่าปีก่อนอย่างในปัจจุบัน

“คนพวกนี้น่ากลัวมาก เราจะเข้าไปถามเขาตรงๆได้ยังไง”ขจีเนตรกัดเล็บตัวเองอย่างหวั่นวิตก แววตาเครียดอย่างเห็นได้ชัด “ลองถามอาการจากประชาสัมพันธ์ก็ไม่ยอมตอบ ถ้าจะรอดูข่าวก็กลัวว่าเขาจะบิดเบือน”

วรรษชลเห็นด้วยกับที่ขจีเนตรคิด หญิงสาวมองตรงไปยังกลุ่มของชายชุดดำสองสามคนที่เฝ้าอยู่ตรงโซฟาอ่านหนังสือพิมพ์อย่างใช้ความคิด แต่คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออกเสียทีว่าเธอจะทำเช่นไรที่จะได้ความคืบหน้าจากคดีนี้

และไม่ว่าจะต้องใช้วิธีใดเธอก็ต้องทำให้ได้ ข่าวนี้ข่าวเดียวเท่านั้นที่จะทำให้ทุกคนลืมความผิดพลาดของตัวเธอที่ผ่านมาในอดีตได้ทั้งหมด และหันมาชื่นชมยินดีกับเธอแทน

“ฝน ดูสิ นั่นใครน่ะ”

เสียงเรียกของเพื่อนทำให้วรรษชลรู้สึกตัว ดึงความคิดเข้ามาอยู่ในโลกปัจจุบัน เธอมองตามที่ขจีเนตรชี้ หญิงสาวเห็นชายคนหนึ่งในชุดเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อน กางเกงสีเทาเดินขึ้นมาจากบันไดหนีไฟ เยื้องกับห้องพักของผนินทร แม้จะมองหน้าผู้ชายคนนั้นไม่ถนัดตานักเพราะผู้ชายชุดดำที่ล้อมหน้าล้อมหลังเขาอยู่เกือบห้าคน อีกทั้งชายชุดดำเหล่านั้นยังร่างใหญ่โต สูงกว่าผู้ชายคนนั้นเกือบทั้งหมดจึงยิ่งยากต่อการมอง แต่วรรษชลก็พอเดาได้ว่าผู้ชายคนนั้นคงจะเป็นคน ‘สำคัญ’ คนหนึ่งของผนินทรเลยทีเดียว

และเพียงเสี้ยววินาที เสี้ยววินาทีสั้นๆ จังหวะที่ชายชุดดำหลีกทางให้ผู้ชายคนนั้นเพื่อให้เขาเข้าไปในห้อง และเขาหันมาพูดอะไรบางอย่างกับผู้ชายร่างยักษ์ที่อยู่ข้างหลัง ทำให้หญิงสาวได้เห็นเขาถนัดตา

สิ่งที่เด่นชัดที่สุดในตัวเขา คือดวงตากลมโตมีประกายความเศร้าโศกและหนาวเหน็บอยู่ในที มองผ่านมาทางเธอแวบหนึ่งโดยไม่หยุดมอง และคิดว่าเขาคงไม่ได้เห็น แต่แปลกที่ดวงตาเศร้าโศกคู่นั้นกลับทำให้หัวของเธอพลอยโศกตามเขาไปด้วยวูบหนึ่งไม่ได้ ใบหน้าขาวเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์นั้นน่าจะหมายความว่าเขาคงจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับคนป่วยในห้องไม่มากก็น้อย แต่การที่ใส่ชุดเสื้อสีฟ้าสดใสมาคงเพราะไม่อยากให้เป็นอัปมงคลแก่คนป่วย ท่าทางมีมาดและมีสง่าราศีในตัวเขาบ่งบอกว่านอกจากจะเกี่ยวข้องกับคนในห้องนอนแล้ว เขายังไม่ใช่แค่พวกลิ่วล้อระดับสูงเป็นแน่

“จี้รู้ไหมว่าเขาเป็นใคร” หญิงสาวถามเพื่อนรักเสียงกระซิบ

“ไม่รู้สิ แต่คุณคนเล็กเขาไม่มีพี่ชายหรือน้องชายเลยนะ พ่อของเขามีลูกสองคนคือคุณใหญ่กับคุณคนเล็ก”

วรรษชลพยักหน้าเข้าใจ

“แต่จี้เห็นไหม ว่าผู้ชายคนนั้นดูมีอำนาจ ดูไม่เหมือนลูกน้อง น่าจะเป็นเจ้านายระดับเดียวกับนายคนเล็กนั่น”

ขจีเนตรกัดเล็บอย่างลืมตัว พยายามครุ่นคิด แต่ไม่นานก็โคลงศีรษะอีก
“ไม่ล่ะ เราไม่รู้แล้ว” หญิงสาวบอกเสียงอ่อย “ยังไงวันนี้ก็ท่าทางว่าจะไม่ได้ถามอาการของคุณคนเล็กแน่แล้ว”

“งั้นเรากลับไปตั้งหลักกันก่อนดีกว่านะ....” วรรษชลออกปากชวน เพราะคิดว่าคงหมดหวังจริงๆ “แต่ไม่ต้องกังวลไปนะจี้ ยังไงซะไม่พรุ่งนี้ก็มะรืนนี้ เธอต้องได้รู้ข่าวนายคนเล็กนั่นแน่”

หญิงสาวบอกอย่างมั่นใจ แม้ว่าในใจจะไม่คิดอย่างนั้นก็ตาม


วรรษชลพาขจีเนตรมาส่งที่บ้านในเวลาเกือบตะวันตกดินพอดิบพอดี บ้านของเพื่อนรักเธอคนนี้เป็นตระกูลผู้รากมากดี ได้ยินว่าเจ้าคุณตาทวดเป็นคุณพระหรือเจ้าพระยาอะไรสักอย่างตั้งแต่สมัยรัชกาลที่สี่ที่ห้า ทำให้คุณยายของเธอที่เป็นลูกสาวยังรักษาเกียรติยศวงศ์ตระกูลไว้อย่างเหนียวแน่น ขจีเนตรจึงเป็นหญิงสาวเรียบร้อย ความจริงวรรษชลคิดว่าหากขจีเนตรใส่ใจในความสวยของตัวเองสักนิด ก็จะไม่ดูซีดเหลืองเป็นไก่เซ่นขนาดนี้

ขจีเนตรเป็นคนเรียบร้อย กิริยามารยาทดีงาม รูปร่างแม้จะผอมแห้งไปสักหน่อยแต่ก็ดูดี ใบหน้าเรียวได้รูป เสียดายที่เธอไว้ผมหน้าม้าตรงกับผมทื่อๆเยียดยาวถึงกลางหลังเหมือนซาดาโกะ ในเดอะริงส์ ตาสองชั้นหลบใน ขนตาสั้นๆที่แก้ไขได้ไม่ยาก แต่ไม่ยอมแก้เสียมากกว่า

“ขอบใจมากนะฝน ที่เอาข่าวของคุณคนเล็กมาบอก แถมยังพาไปหาเขาอีก” ขจีเนตรเคาะกระจกรถ และชะโงกหน้ามาบอกเสียงใส

วรรษชลกระดากใจอย่างไรไม่รู้ เพราะความจริงเธอทำไปเพื่อตัวเองมากกว่า

“ไม่หรอกจี้ ไม่ต้องมาขอบใจหรอก” เธอโบกมือลาเพื่อนรัก

“เถอะน่า” เธอบอกยิ้มๆ รอยยิ้มใสซื่อนั้นยิ่งทำให้วรรษชลรู้สึกผิด “จริงสิฝน ไม่เข้ามาบ้านเราก่อนเหรอ เราทำน้ำมะตูมไว้เมื่อเช้า มาดื่มหน่อยไหม”

วรรษชลทำหน้าเจื่อน มองเข้าไปในบ้านทรงปั้นหยาแบบสมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่สองของขจีเนตรอย่างเข็ดขยาด ต้นไม้หนาบทึบที่คนสวนบ้านนี้ขยันปลูก ขยันให้น้ำจนมันขึ้นรกครึ้มทำให้วรรษชลขนลุกอย่างบอกไม่ถูก บวกกับบรรยากาศยามพลบค่ำด้วยแล้ว เห็นทีจะขอตัวดีกว่า

“ไม่ล่ะ ฉันรีบกลับบ้าน จะไปเตรียมแผนสำหรับพรุ่งนี้ เอ้อ...ว่าแต่พรุ่งนี้จี้มีสอนหรือเปล่า”

ขจีเนตรเป็นครูสอนรำไทยและดนตรีไทย มีเด็กๆมาเรียนกับเพื่อนเธอถึงบ้านหลายคน หรือไม่ขจีเนตรก็ไปสอนที่โรงเรียนนาฎศิลป์หน้าปากซอยบ้าน
แต่เธอส่ายหน้าปฏิเสธ

“ไม่มีหรอกจ้ะ ทำไมเหรอ”

“งั้นเดี๋ยวฉันคิดแผนเจ๋งๆก่อนนะ แล้วไปหานายคนเล็กนั่นกัน”

ขจีเนตรเบิกตาอย่างแปลกใจ ก่อนจะนิ่งคิดสักพัก ผลที่สุดก็พยักหน้าตอบช้าๆ เหมือนจะไม่เต็มใจ แต่จริงๆแล้ว ก็คงจะดีใจไม่น้อยที่จะได้แอบไปเยี่ยมนายคนเล็กนั่น


วรรษชลเปิด Laptop ตัวเก่งเก่าเก็บของเธอขึ้นมาอย่างเบื่อหน่าย นาฬิกาบอกเวลาเกือบเที่ยงคืนแล้วแต่บิดาของเธอก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะกลับจากที่ทำงาน คนทำงานในแวดวงนักข่าวก็เป็นอย่างนี้เสมอ แม้จะมีการทำงานเป็นกะเวลาอยู่บ้าง แต่บิดาของเธอซึ่งเป็นผู้บริหารตัวอย่างสุดขยันก็ไม่ยอมกลับบ้าน ทำงานควบสองกะในบางทีที่มีงานเร่งด่วน

หญิงสาวเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตเข้าเว็บไซต์ยอดฮิตของประชาชนชาวไทยอย่างเว็บ ‘พวกชมพู’ เว็บที่ใช้พื้นหลังเป็นสีชมพูหวานแหววแต่เนื้อหาในแต่ละห้องที่แยกตามความสนใจของผู้คนนั้นเผ็ดร้อนกว่าสีของมันหลายร้อยเท่า ดวงตาคู่สวยกวาดมองหากระทู้ที่เกี่ยวกับหนังสือพิมพ์ “Hot Issue Today” ที่ตนสังกัดด้วยใจระทึก และต้องระทึกยิ่งกว่าเมื่อเห็นจำนวนกระทู้ที่ทั้งปักหมุด ทั้งแตกประเด็นซ้ำแล้วซ้ำเล่าโยงกันไปโยงกันมาเสียยิ่งกว่าใยแมงมุม มีกระทู้หนึ่งที่ขึ้นหัวข้อกระทู้ได้ทรมานใจเธออย่างมากว่า

เห็นด้วยหรือไม่ คนแบบนี้ ไม่สมควรเป็นนักข่าวอีกต่อไปแล้ว

หญิงสาวอ่านแล้วจิ๊ดขึ้นสมอง นี่เธอผิดพลาดและก็ขอโทษไปแล้ว ทำไมต้องมาตั้งกระทู้ลิดรอนสิทธิมนุษยชนกันด้วย แล้วคนที่มาคอมเมนท์แต่ละคนก็เอาแต่ด่าเธอเสียๆหายๆ บางคนก็หัวเราะเยาะซ้ำ พอจะมีคนมาเถียงแทนเธอบ้างก็โดนด่าเปิดยาวเป็นหางว่าว

หญิงสาวฟุบหน้าลงบนโต๊ะอย่างหนักใจ

เรื่องนี้มันบ้าอะไรกันหนักหนาก็ไม่รู้ จะทำให้เธออยู่บนโลกนี้ต่อไปไม่ได้เลยใช่ไหม

“คอยดูเถอะ พวกคุณทั้งหลายจะต้องมาตั้งกระทู้ขอโทษที่เคยว่าฉันว่าไม่สมควรเป็นนักข่าวอีกต่อไป และต้องมีกระทู้สรรเสริญอีกกระทู้ที่ฉันกล้าบุกรังมาเฟียหาข่าวการตายยกครอบครัวพรรังสรรค์นั่นให้ดู”

หญิงสาวบอกอย่างมุ่งมั่น ก่อนจะควานหาสมุดไดอารี่ที่ขจีเนตรซื้อมาเป็นของขวัญให้จากเกาหลีที่เธอพกติดตัวมาเกือบปี กับปากกา Montblanc สลักชื่อของเธอที่บิดาซื้อให้เป็นของขวัญมาจดรายชื่อล็อคอินของคนตั้งกระทู้และคนที่ด่าเธอแบบแทบไม่เหลือความเป็นคนลงไว้

“ฉันไม่ได้แค้นพวกคุณ แต่ฉันจะให้พวกคุณเป็นแรงบันดาลใจให้ฉันสู้ต่อ”
ขจีเนตรมองร่างของเพื่อนรักในชุดเสื้อผ้าทันสมัยโทนสีเขียวจัดจ้าดที่เดินก้าวฉับๆใบหน้าเคร่งเครียดมายังเธออย่างแปลกใจ นาฬิกาข้อมือของเธอบอกเวลาแปดโมงเช้า มันเป็นเวลาที่เช้าเกินไป ผิดวิสัยของวรรษชลเพื่อนรักเป็นอย่างมาก ซึ่งปกติแล้วถ้าไม่มีหน้าที่การงานต้องรับผิดชอบ เพื่อนรักของเธอจะตื่นตอนเก้าโมงเป็นอย่างต่ำ แต่นี่แปดโมงเธอก็มาโผล่ที่บ้านแล้ว

“ว่าไงจ้ะเหยี่ยวข่าวสาว ได้แผนอะไรมาบ้าง” ขจีเนตรวางถ้วยสังกะสีใส่แป้งบัวลอยสีชมพูน่ารักลงข้างตัว หันมาให้ความสนใจกับวรรษชลเต็มที่

“จี้.....ถ้าฉันจะขอร้องให้เธอช่วย เธอจะช่วยฉันไหม”

ขจีเนตรเอียงคออย่างไม่เข้าใจ วรรษชลจึงควานหาสมุดในกระเป๋าสะพาย ก่อนจะเปิดกางให้หญิงสาวดูชัดๆ

“เห็นชื่อแปลกๆพวกนี้ไหม”

ขจีเนตรพยักหน้าแทนคำตอบรับ พลางสายตาก็ยังอ่านชื่อที่วรรษชลให้ดูซึ่งมีเกือบสามร้อยชื่ออย่างงงๆ

“ชื่อล็อคอินทางอินเตอร์เน็ตเหรอ”ขจีเนตรลองเดา เพราะชื่อพวกนั้นแปลกเกินกว่าจะเป็นชื่อคนจริงๆได้

“ใช่ ชื่อพวกนี้เป็นยูสเซอร์เนมที่ใช้ในเว็บพวงชมพู คนพวกนี้คือคนที่เป็นแรงผลักดันให้ฉันมาหาเธอที่นี่ วันนี้”

“เธอจะทำอะไรกันแน่ฝน”

ขจีเนตรถามเพื่อนอย่างไม่มั่นใจ ตลอดเวลาที่ผ่านมา แม้วรรษชลจะเป็นผู้หญิงเรียบๆที่ออกจะเพ้อฝัน และบ้าเสื้อผ้าของใช้แบรนด์เนมไปสักนิด แต่เวลาที่ผู้หญิงคนนี้เอาจริงล่ะก็ ลูกบ้าของเธอก็ไม่แพ้ใครเหมือนกัน

“ฉันจะตามข่าวครอบครัวของคุณคนเล็กให้ถึงที่สุด” แววตาคู่นั้นมีประกายมุ่งมั่น แน่วแน่ จนน่ากลัว

“แล้วเธอจะทำยังไง เธอจะเดินเข้าไปขอสัมภาษณ์เขาโทงๆน่ะหรือ เราไม่เห็นด้วยสักนิดนะฝน ฝนก็เห็นนี่ว่าพวก

บอร์ดิการ์ดของคุณคนเล็กเยอะซะขนาดนั้น จะทำยังไง ปลอมตัวเป็นแม่บ้านหรือนางพยาบาลเข้าไปแบบในละครเหรอ”

แต่ไม่นึกว่าตำพูดประชดประชันของขจีเนตร จะทำให้คนฟังคล้อยตามจนถึงขั้นดีดนิ้วอย่างถูกใจ และตอบรับอย่างหน้าชื่นตาบานว่า

“เอาอย่างนั้นแหละ เดี๋ยวเราไปซื้อชุดพยาบาลกันเดี๋ยวนี้เลย”





ศิลป์ศรุตา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 ก.ค. 2554, 13:51:40 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 ก.ค. 2554, 13:52:12 น.

จำนวนการเข้าชม : 1512





   ตอนที่ 2 แผนการอันแยบยล >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account