เมฆ ซ่อน ตะวัน
ธนู ชายหนุ่มที่ไม่รู้ประวัติความเป็นมาของตนเอง ใช้ชีวิตกับอดีตสายลับญี่ปุ่นที่เก่งกาจในวิชาการต่อสู้ และการอำพรางตน เขาอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ ในจังหวัดกาญจนบุรี โชคชะตาทำให้เขาต้องกลายเป็นเมฆ ที่ปิดบัง และทำภารกิจที่อันตราย และในภารกิจนั้นมีอุปสรรคสำคัญคือ ครอบครัวของ นรี ที่พยายามทำลายเขาทุกวิถีทาง แล้วความรักของชายหนุ่ม ที่คงมั่นต่อหญิงสาวจะเป็นเช่นใด....เพราะ ไม่มีทางที่ เมฆ จะซ่อนดวงตะวันได้เสมอไป...ดั่งเช่นความรักของเขาและเธอ ที่ต้องซ่อนไว้...ภายในหน้าที่...ที่ต้องเป็น...ศัตรู...
Tags: นิยายรัก หักเหลี่ยมเฉือนคม

ตอน: เงาสุดท้าย

บทที่ 42 จอมพลเงาตุลย์ อริพ่าย (เงาสุดท้าย)

สิ่งของที่ทางเรือนจำเก็บรักษาไว้ ภาคีได้คืนทั้งหมด นาฬิกาข้อมือ
ไฟเช็ค รวมทั้ง เหรียญรูปธนูง้างคันศร กระเป๋าสตางค์ ที่มีเงินอยู่ในนั้น
จำนวนเท่าเดิม เขาเก็บทุกอย่างลงในกระเป๋าเสื้อแจ็คเก็ต ส่วนของใช้
ส่วนตัว มีเสื้อผ้า ผ้าขนหนูผืนใหม่ สบู่ ยาสีฟัน ภาคีเก็บเข้าถุงทะเล
ที่ทางผู้คุมในเรือนจำ เตรียมไว้ และผู้คุมก็เอ่ยออกมาอย่างเป็นมิตรว่า

"ออกไปแล้วอย่ากลับมาอีก ผมไม่อยาก
ต้องพาพวกนักโทษตัวใหญ่ๆ ไปรักษา
ไอ้พวกนั้นตัวหนักอย่างกะควาย...หึๆ...โชคดี...คุณภาคี..."

ภาคีหันมายิ้ม กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงปกติ

"ครับ...ผมจะไม่กลับมาที่นี่อีก แต่ถ้ากลับมา...
ผมคงทำอะไรใครไม่ได้แล้ว...ผมไปก่อนนะครับ"

ผู้คุมพยักหน้าให้ภาคี เมื่อเขาเดินผ่านไป ผู้คุมคนนั้น
ลุกขึ้นยืนทำท่าโค้งให้ชายหนุ่ม ก่อนจะโทรศัพท์ไปภายนอก

"ท่านครับ...ตอนนี้ เมฆาเคลื่อนออกไปแล้วครับท่าน..."

ผู้คุมมองด้านหลังชองภาคีด้วยแววตา เต็มไปด้วยความเคารพ
และนับถือ เพราะผู้คุมเป็นคนขององค์กรเงาเช่นเดียวกับภาคี
เขาเป็นผู้คอยส่งข่าว และดูแลความปลอดภัยให้ภาคีอย่างลับๆ
แต่เขาไม่ค่อยได้ช่วยอะไร เพราะภาคีสามารถรับมือ
กับเหตุร้ายต่างๆได้ เป็นอย่างดี มันทำให้ผู้คุมผู้นี้
ยิ่งนับถือในตัวภาคี มากยิ่งขึ้น

หน้าเรือนจำ มีคนที่รอเลี้ยงกาแฟภาคี มันเป็นกาแฟ
ที่มีกลิ่นหอมเป็นอย่างยิ่ง เพราะเขาไม่ได้ดื่มมาเป็น
เวลานาน แน่นอนว่ากลิ่นของมัน ไม่หอมหวนเท่ากลิ่นหอม
ของอิสระภาพที่เขาได้รับ ภาคีรับกาแฟมาถือในมือ เขาค่อยๆ
จิบ ทีละน้อย สิงห์ที่ยืนดื่มกาแฟเป็นเพื่อน อดสงสัยไม่ได้ว่า
ทำไม ภาคีถึงคาดการณ์แม่นเช่นนี้

"ทำไมถึงกล้าพนันแบบนี้ มีสายไปบอกเอ็งหรือไง?...."

ภาคียิ้มบางๆ ก่อนจะเฉลยออกมา ให้ทราบว่า เขาทราบได้อย่างไร

"ตอนที่มีผู้คุมมาเรียก ก็พอที่จะคาดเดาได้ว่า...อีกไม่นาน
ข้าจะถูกปล่อยตัว..."

สิงห์ไม่เอ่ยอะไรออกมา ก่อนจะกล่าวออกมาเมื่อ ดื่มกาแฟหมดแล้ว

"แล้ว....เอ็ง...จะไปไหน ให้ข้าไปส่งไหม!...ไอ้ฮก..."

ภาคีส่ายศีรษะ พร้อมเอ่ยออกมา

"ไม่ต้องหรอก เพราะอีกประเดี๊ยว ก็คงมีคน มารับข้า....ไป..."

สิงห์เงียบไปพัก ก่อนเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

"ถ้ามีโอกาส เอ็งน่าจะขึ้นเชียงใหม่นะ!
ตอนนี้เธออยู่ที่นั่น .....เอ่อ!!...แต่...."

เหมือนจะมีอะไรจะกล่าวต่อ แต่สิงห์ ก็ไม่กล่าวออกมา
ภาคีก็ไม่ซักอะไร เพราะสิ่งที่นายตำรวจอยากทราบ
เขายังไม่บอก แล้วเรื่องอะไรที่สิงห์จะบอกเรื่องที่นี้ให้เขารู้
ไม่นาน ก็มีชายใส่ชุดสีขาวแขนสั้น มากันสองคน มาเพื่อพา
ไปพบใครคนหนึ่ง....ที่จะเฉลย ให้เขาทราบเรื่องราวทั้งหมด

"ขอบใจ สำหรับกาแฟถ้วยนี้นะ!....ไอ้แกละ"

นายตำรวจยิ้มกว้าง เดินเข้าไปตบบ่าภาคีอย่างสนิทสนม
ภาคียกมือขึ้นระดับอก สิงห์จึงยกมือขึ้นจับกระชับ

"โชคดี...ไอ้ฮก...ไอ้เพื่อนหนังเหนียว...แล้วข้าขอแกอีกครั้ง
ข้าเลิกใช้ชื่อนี้มานานแล้ว
อย่าเรียกข้าแบบนี้อีก...เข้าใจนะ....คุณธนู..."

"เช่นกันเพื่อน...ขอให้เอ็งประสบความสำเร็จในทุกๆ ด้าน
และขอบใจมาก ที่เอ็งพยายามช่วยข้ามาตลอด
เอ็งคือเพื่อนตายของข้า...อย่างแท้จริง
ไอ้สิงห์....ไอ้เพื่อนยาก...แต่ที่เอ็งขอไม่ให้ข้าเรียกเอ็งว่า 'แกละ'
ข้าคง....ทำไม่ได้ว่ะ...แต่ถ้าอยู่ต่อหน้าลูกน้องเอ็ง
ข้าจะเรียกตำแหน่งของเอ็งก็แล้วกันงั้นข้าไปก่อน...คุณแกละ..."

ใช่แล้ว!...เขาเป็นเพื่อนนักเรียนที่เคยเรียนห้องเดียวกัน
และภาคีเคยช่วยเขาไว้ครั้งหนึ่ง ตอนนี้เขา จึงช่วย
ภาคีไว้เช่นกัน.....แล้วเขา ก็เดินขึ้นรถตรวจการ
ที่มาจอดข้างประตูเรือนจำ รถเคลื่อนออกอย่างรวดเร็ว

ภาคีนั่งรถยนต์คันใหญ่ ซึ่งพาไปสถานที่แห่งหนึ่ง
ซึ่งเขาไม่ทราบว่าเป็นที่ไหน เขาเดินตาม ชายทั้ง 2 คน
จน ถึงบ้าน หลังหนึ่ง ที่ไม่ใหญ่นัก มีทหารยืนคุ้มกัน
อย่างแน่นหนา เมื่อเดินเข้าไป ภาคีพบนายทหารคนหนึ่ง
เขาทำความเคารพ แบบทหาร พร้อมเอ่ยอย่างเข้มแข็ง

"ท่านจอมพลรออยู่...ครับท่าน"

เขาทำท่าเคารพนายทหาร ใช่แล้วถึงตอนนี้ตำแหน่งของภาคี
ได้เลื่อนเป็น พลเอก ในองค์กรเงาแล้วอย่างไม่เป็นทางการแล้ว
เขาทำท่าเคารพตอบ ตามแบบฉบับทหาร เข้าไปรอในห้องรับรอง
ซึ่งมีรูปพระบรมฉายาลักษณ์ของสองพระองค์ แล้วนั่งรอที่โซฟา
สไตล์หลุยส์ ... แล้วบุคคลที่เขารอ เพื่อเข้าพบ....ภาคี รู้สึกตกใจ
เมื่อพบชายผู้นั้น.... เพราะเป็นคนที่เขา คิดไม่ถึง คิดไม่ถึงจริงๆ....
ว่าเขาคือ........จอมพลเงาที่เหลือ......คนสุดท้าย
...............................

ภาคีตกตะลึงเมื่อพบว่า หัวหน้าองค์กรเงาสูงสุดคือ
พล.เอกตุลย์ อริพ่าย บิดาของอดุลย์นั่นเอง

"ตกใจมากเลยหรือ คุณภาคี ไม่ใช่สิ ความจริงชื่อของคุณคือ
ธนู คุณอยากให้ผมเรียกคุณว่าไงดี..."

ภาคียิ้ม ก่อนจะตอบกลับมา

"ผมว่าท่านเรียกผมว่า ธนูดีกว่าครับ.."

ที่เขาสงสัยที่สุดก็คือ ตอนที่อดุลย์ซึ่งเป็นฝ่ายตรงข้าม
คอยกวาดล้างคนขององค์กรเงา แล้วอดุลย์ไม่รู้เรื่องนี้
เลยหรือ เหมือนท่านตุลย์ จะอ่านใจออก

"การที่จะอยู่ตรงนี้ให้ได้นั้น ที่ต้องใช้มากที่สุดก็คือ 'ความเชื่อ'
คุณต้องเชื่อว่าไม่มีอะไรในโลกที่เรา ทำไม่ได้ เพราะความเชื่อนี่เอง
ที่คุณจะต้องสะกดจิตตัวเอง ให้เชื่อว่าคุณเป็นใคร
ฉะนั้นจะไม่มีใครรู้เรื่องที่เราซ่อนอยู่ ผมจะจำมันไม่ได้
ดังนั้นคนในครอบครัว จะไม่รู้เลยว่าผมคือใคร ในช่วงที่ผมทำงาน
ผมจะเป็นผู้สั่งการ และตอนอยู่ที่บ้าน ผมก็เชื่อว่า
ผมเป็นแค่คนธรรมดา ผมใช้ชีวิตแบบนี้ทุกวัน คุณรู้ไหมเพื่ออะไร.."

"น่าจะเพื่ออุดมการณ์"
ท่านตุลย์ยิ้ม ก่อนเฉลยออกมา

"มันก็อาจใช่ แต่ไม่ถูกทั้งหมด.. ผมทำงานตรงนี้แทนเกลอ
ที่ตายไป เราคุยเรืองพวกนี้มาเป็นพันครั้ง
จนเราทั้งสามเห็นต้องกันว่า จะต้องมีการปฏิรูปการปกครองใหม่
ในเร็ววัน แต่บ้านเมืองเรายังไม่พร้อมกับการนี้ เพื่อมิให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
มีอำนาจมากเกิน เราต้องแทรกแซงอำนาจเหล่านั้น"

แล้วท่านตุลย์ ก็เล่าให้ฟังถึงองค์กรเงา กำเนิดขึ้นจาก
สามนายทหารด้วยกัน ก่อนก่อการเปลี่ยนการ ปกครองเป็น
ประชาธิปไตย คือตุลย์ เคี้ยง และหาญ เต็งเคี้ยงนั้นอายุมากที่สุด
เคยเป็นทหารมาระยะหนึ่งในสมัยก่อน ต่อมาก็มาเป็นใหญ่
ในเยาวราช ด้วยการสนับสนุน ของครอบครัวของท่านตุลย์
ทั้งสามเป็นสหายสนิทกันมาก หาญเป็นคนคิดวางระบบองค์กรเงา
ตั้งแต่เป็นนักเรียนนายเรือที่ประเทศญี่ปุ่น เมื่อกลับมาถึงประเทศไทย
เขาจึงนำโครงร่างนี้ไปคุยกับเพื่อนสนิททั้งสองฟัง
ทั้งหมด เห็นพ้องต้องกัน ในขณะนั้นเต็งเคี้ยงเริ่มเติบโตในทางลับ
จึงเป็นเหมือนแหล่งเงินทุนให้องค์กรเงาในยุคเริ่มต้น
ที่ให้หาญเป็นหัวหน้ากลุ่มเพราะองค์กรเงาแห่งนี้
เป็นความคิดของ หาญเป็นคนแรก

ที่ทั้งสามมองเห็นอีกอย่างก็คือ ในอนาคตอันใกล้
ต้องมีการใช้ระบอบ รัฐสภาอย่างแน่นอน จุดประสงค์ที่แท้
จริง คือสร้างสมดุลย์ให้เกิดในระบอบ
ไม่ให้ส่วนใดมีอำนาจมากเกิน จึงเป็นองค์กรขนาดเล็ก
แต่ดำเนินอย่างมีประสิทธิภาพ แนวคิดนี้ได้รั่วไปยังฝ่ายตรงข้าม
ซึ่งต้องการหาหลักฐาน ในการทำลายล้าง องค์กรนี้ หาญ
ซึ่งเป็นเหมือนหัวหน้ากลุ่ม ความจริงมีธุระต้องไปเชียงใหม่
พร้อมทั้งครอบครัว แต่บังเอิญธิดาคนเล็ก
เกิดป่วยอย่างกระทันหัน จึงมิได้ไปด้วย ทำให้หาญจึงไปกับ
ชาญเพียงสองคน

หาญถูกฝ่ายตรงข้ามจับได้ที่นครสวรรค์ หาญถูกพาตัวเพื่อ
จะนำไปล้วงความลับที่กองกำลังพิเศษ ทองผาภูมิ ท่านตุลย์
และเต็งเคี้ยงไม่มีทางเลือก จึงต้องเข้าชิงตัวก่อนถึง
กองกำลังฝ่ายตรงข้าม ที่กาญจนบุรี เป็นเหตุให้ เกิดการปะทะกัน
จนทำให้รถที่มี หาญกับลูกชาย ตกข้างทาง เมื่อเข้าไปตรวจสอบ
ก็พบเพียงหาญ ที่กำลัง สิ้นใจ และทหารคุ้มกัน
ส่วนเด็กหายไปจากที่นั่น เมื่อหาญสั่งเสียเสร็จสิ้นก็สิ้นใจ
ตุลย์จึงนำร่าง ของหาญไปไว้ที่ ก่อนทางเข้าเชียงใหม่
จัดฉากว่าเขาประสบอุบัติเหตุ และเสียชีวิตพร้อมกับลูก
ซึ่งเต็งเคี้ยงก็หาศพเด็ก ที่อายุใกล้เคียงกับชาญ จากระแวกนั้น
มาจัดฉากการตาย แล้วทั้งสองก็ดำเนินการตามแผนเดิม จนเป็น
องค์กรเงาในปัจจุบัน ธนูเมื่อได้ยินเรื่องเล่านี้ เขาทราบทันที
ว่าที่ท่านตุลย์กล่าวถึง เด็กชายคนนั้นคือ.......ธนูนั่นเอง...

"ใช่แล้ว คุณธนูคือเด็กคนนั้น ที่หายไปจากที่เกิดเหตุ
อาจจะเป็นไปได้ ที่ตอนรถตกจากเขา
ตัวของคุณกระเด็น ไปตกลำธารหรือน้ำตก แล้วก็พัดคุณไป
จนเจอกับนายซา แล้วก็เห็นสัญลักษณ์ที่ติดกับคุณมา
จึงตั้งชื่อของคุณ ตามรูปในเหรียญ นั่นคือชื่อ ธนู"

เขาหยิบเอาเหรียญนั้นออกมา มันเป็นรูปคันธนูง้างลูกศร
มีภาษาญี่ปุ่นที่แปลว่า ตลอดกาล หรือไม่สิ้นสุด
ในบางครั้ง ธนูเห็นมันเป็นรูปหัวใจ ท่านตุลย์กล่าวต่อ

"ที่ผมประติดประต่อเรื่องได้ ก็เพราะผมเคยเห็นเหรียญอันนั้น
ตอนที่มิชิโกะ มาถือตอนใช้ความคิด หรืออธิฐานเพื่อขอพร
ในตอนที่ คุณต้องการให้มิชิโกะ ไปเชียงใหม่ด้วย แต่เธอไปไม่ได้
มิชิโกะจึงมอบเหรียญให้คุณ แต่หาญกลัวคุณทำหาย
จึงรักษาไว้ให้ เพราะในตอนนั้นผมก็อยู่ในตอนนั้น...ผมจำได้แม่น
มันเป็นเหรียญสีทองสุกใส รูปธนูง้างคันศรขึ้นสู่เบื้องบน..."

ท่านตุลย์ เว้นช่วง ดวงตาที่จับจ้องธนูนั้น
เต็มไปด้วยความมั่นใจ ในความคิดของตน

"ตอนแรกผมก็ไม่แน่ใจ แต่เมื่อสืบประวัติของคุณ
จนแน่ใจว่า คุณนี่แหละคือชาญ สุริยแสง คุณมีแม่ที่รักคุณมาก
คุณมีพ่อที่กล้าหาญ ยอมสละตัวเพื่ออุดมการณ์
ตอนนี้คุณรู้หรือยัง ว่าทำไมเต็งเคี้ยง
ถึงได้ตั้งใจสอนคุณเป็นกรณีพิเศษ.."

ธนูตัวชาไม่นึกฝันว่า อายุสี่สิบเศษ จะมารู้ความจริง
เรื่องความเป็นมาของตนเอง

"แม่ของผมคือ.....คุณนาย...มิชิโกะ
งั้นน้องสาวผมก็คือ เนตรนภา"

ท่านตุลย์จึงกล่าวต่อ

"หาญฝากให้ผมดูแล มิชิโกะกับเนตรนภาก่อนสิ้นลม
ผมจึงจำเป็นต้องเข้ามาดูแลอย่างใกล้ชิด
ถ้ามิให้ฝ่ายตรงข้ามสงสัย ผมจึงต้องแสดงให้ฝ่ายนั้น
เชื่อว่าผมรักมิชิโกะ แต่ความจริงผมขอบอกคุณตามตรง
ผมนั้น ก็แอบรักมิชิโกะมาระยะหนึ่ง จนเมื่อใกล้ชิด
ผมก็ยิ่งรักเธอมากยิ่งขึ้น เพราะเธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็ง
มีความรักมั่นคง ถึงเธอยอมเป็นภรรยาของผม
ก็เพราะความปลอดภัยของเนตรนภา
เพราะเธอรู้ว่า ถ้าไม่มีคนที่มีอำนาจพอ เธอและลูกจะไม่ปลอดภัย"

ท่านตุลย์ถอนหายใจออกมา ก่อนจะกล่าวต่อ

"ตลอดเวลาที่ผมอยู่กับคุณมิชิโกะ ผมรู้ว่าเธอไม่เคยลืมหาญ
และลูกชายของเธอเลย นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้ เธออยู่ที่เมืองไทย
ก็เพราะเธอไม่เชื่อว่าลูกชายตายแล้ว อีกอย่าง ที่เธอคิดเสมอ
คือสืบเรื่องการเสียชีวิตของหาญ ว่ามันเกี่ยวข้องกับผมหรือไม่
ทั้งนี้อาจจะเป็น ศพเด็กคนนั้น ไม่เหมือนชาญ
จึงทำให้เธอสงสัย จนถึงตอนนี้"

ท่านตุลย์เว้นช่วง กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาลง

"ต่อไปก็แล้วแต่คุณ จะตัดสินใจว่า จะบอกเรื่องนี้กับมิชิโกะหรือไม่"

ธนูถอนหายใจ ก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบาเช่นเดียวกัน

"ผมบอกกับท่านแน่ แต่ต้องเป็นตอน ที่เหมาะสม...ไม่ใช่ตอนนี้"

ธนู อดนับถือในความรัก ของมิชิโกะที่มีต่อหาญไม่ได้
แม้ท่านจะตายจากไป แต่มิชิโกะยังคงอยู่ที่นี่ เพื่อสืบหาความจริง
และพยานรัก ของทั้งสอง ทั้ังที่เวลาล่วงเลย นี่กระมัง ที่เป็นความรัก....
ท่านตุลย์ยิ้ม แล้วจึงกล่าวขึ้น

"อีกอย่างที่คุณควรจะทราบเกี่ยวกับคนชื่อภาคี อิสระชน
ที่คุณใช้ประวัติอยู่ในขณะนี้..."

ธนูขมวดคิ้ว ก่อนจะเอ่ยถาม

"มีอะไรหรือครับ เกี่ยวกับคนชื่อภาคี...."

ท่านตุลย์จึงอธิบาย

"เขาคือศพเด็กที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุที่เชียงใหม่
ซึ่งพวกเขาเสียชีวิตในที่เกิดเหตุทั้งหมดทั้ง พ่อ แม่ ลูก
เต็งเคี้ยงจึงไปเอาศพเด็กออกมา แล้วให้ทางโน้นทำเรื่องเป็นว่า
เด็กหายสาบสูญ ชื่อของเขาจึงยังไม่จำหน่ายออก
ส่วนร่างของภาคีตัวจริง ก็ไปแทนตัวคุณ แล้วต่อมา
คุณก็ยังมาใช้ชื่อของเขาอีกครั้ง
มันเหมือนทุกอย่าง กำหนดให้เป็นแบบนั้น..."

ธนูคิดตามเรื่องที่ท่านตุลย์บอกเล่า มันช่างเป็นเรื่องที่บังเอิญ
อย่างเหลือเชื่อ ว่าตัวธนูกับคนชื่อภาคีนั้นต้องมา
เกี่ยวข้องกัน ถึงสองช่วง ช่วงแรกร่างของภาคี
ต้องมาแทนร่างของเขาที่หายสาบสูญ ช่วงที่สอง ก็คือตอน
ที่ธนูใช้ชื่อของภาคี เพื่อสวมสิทธิต่างๆ
ในการมีตัวตนในที่แห่งนี้..... ท่านตุลย์เอ่ยขึ้น

"คุณเข้าใจในภารกิจ เมฆซ่อนตะวัน ที่คุณได้รับอย่างแท้จริงหรือยัง?..."

ธนูใช้ความคิดครู่หนึ่ง ก่อนที่ตอบกลับไป

"ผมยังไม่เข้าใจในภารกิจนี้ อย่างถ่องแท้ ได้แต่ตีความตามความเข้าใจ"

ท่านตุลย์จึงอธิบายให้ธนูทราบ

"ความหมายของ ภารกิจเมฆซ่อนตะวัน ก็คือ การลดทอนอำนาจ
ในรูปแบบต่างๆให้อยู่ในทิศทางที่ควรจะเป็น แต่คนที่จะทำอย่างนั้นได้
ต้องเป็นเหมือนเมฆ คือไม่มีตัวตน....ถึงจะมองเห็นได้ด้วยตา...แต่
ไม่สามารถที่จะยึดครองได้ด้วยตัวเอง ผู้ที่จะได้รับภารกิจนี้
จะต้องพร้อมที่จะสละตำแหน่งเมื่อถึงเวลา
คุณแสดงให้เห็นว่าคุณคือผู้เหมาะสม ที่จะเป็นผู้นำรุ่นต่อไป
ขององค์กรเงา...ภารกิจ เมฆซ่อนตะวัน คือหาผู้ที่จะมาทำหน้าที่
จอมพลเงา...แทนพวกเรานั่นเอง..."

ท่านตุลย์เว้นช่วง เพื่อจะเข้าเรื่อง

"ผมอยากให้คุณมารับช่วงต่อ เพื่อดำเนินการ
บริหาร ควบคุม องค์กรเงา ให้อยู่ในทิศทาง ที่วางแนวทางตั้งแต่ต้น
มิใช่เพื่อผลกำไรขององค์กร ซึ่งในปัจจุบันมีทรัพย์สินในทางลับ
เท่ากับปีงบประมาณ หลายปีรวมกัน เราจะใช้เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด
กับประเทศของเรา สานต่องานของพ่อคุณ รวมทั้งเต็งเคี้ยง ...
คุณธนู คุณเหมาะที่สุด"


"เพราะคนที่จะอยู่ในตำแหน่งนี้ได้นั้น ต้องมีปัญญาหลักแหลม
แก้ไขสถานะการณ์ได้เป็นอย่างดีมีความหนักแน่น
ต่ออุปสรรคทั้งมวล ที่สำคัญ ต้องเป็นผู้ไม่ฝักไฝ่ในอำนาจ
แม้แต่ผม หรือเต็งเคี้ยง ก็ยังไม่สามารถทนความเย้ายวน
ของมัน ในบางครั้ง ก็ยังอดคิดที่จะครอบครองไว้ แต่เพียงผู้เดียว
ดีที่ว่าพวกเรายังพอที่จะตัดมันออกไปได้....... คุณเท่านั้น
ที่จะดำเนินภารกิจขององค์กรเงาสืบต่อไป...
อีกอย่างที่คุณจะต้องทราบ องค์กรเงาสะสมอาวุธได้พอประมาณแล้ว...
ถึงเวลาที่ต้องใช้ให้เกิดประโยชน์เสียที....."

ท่านตุลย์หมายถึง ในขณะนี้ไม่จำเป็นต้อง
เก็บทรัพย์สมบัติอะไรอีกแล้ว ในเวลานี้ผู้ที่ควบคุมหรือจอมพลเงา
ได้อำนาจสิทธิขาด ในการใช้จ่าย อาวุธเหล่านี้
เพื่อก่อการตามที่ต้องการ ธนูนิ่งงันก่อนกล่าวขึ้น.......

"ท่านไม่คิดบ้างหรือครับ ว่าผมก็เป็นแค่คนธรรมดา
เมื่อผมได้ครอบครองอำนาจเหล่านั้น ผมอาจจะเปลี่ยนตัวเอง
เป็นคนที่ผมไม่เคยเป็นก็ได้"

ท่านตุลย์หัวเราะ

"ความจริงคุณก็เคยครองอำนาจนั้นมาแล้ว ถึงสองครั้ง
เพียงแต่คุณไม่ทันคิดเท่านั้น ครั้งที่หนึ่งคือกิจการที่คุณบริหารที่
สิงคโปร์จนได้กำไรมหาศาล เมื่อถึงเวลาคุณก็ละ ทิ้งมันเพื่อกลับมาที่นี่
ครั้งที่สองก็เป็นซันไลท์กรุ๊ปที่คุณบริหาร ความจริงแล้ว
ไม่ว่าคิดในมุมไหน มันก็เป็นของคุณ แม้ทางเต็งเคี้ยงและผม
จะมอบเงินทุนจากองค์กรให้ เพื่อซื้อกิจการนี้
เพื่อให้ใช้เป็นฐาน แล้วภายในไม่กี่ปี คุณคืนทุน กับกำไรมหาศาลให้องค์กร
และแม้จะมีคำสั่งบังคับให้คุณทำหลายสิ่งที่
คุณไม่อยากทำ คุณก็ยังทำ แม้ไม่เต็มใจ แถมเมื่อคุณขายกิจการเหล่านั้น
คุณเองก็จะมีทรัพย์สินมากมาย มันน่าจะเทียบเท่ากับ
เต็งเคี้ยงที่สะสมมาทั้งชีวิต แต่คุณกลับคืนให้องค์กร
ถึงคุณจะมีโอกาสที่จะครอบครองมัน คุณก็ไม่ทำ....
มันคือบททดสอบ ที่ผมกับเต็งเคี้ยงคิดขึ้นมา มีหลายคนที่คุณสมบัติ
เหนือคุณ แต่สุดท้ายก็ทนความเย้ายวน ของอำนาจเงินไม่ได้....
คุณไม่ถูกอำนาจครอบจน เหนือมโนธรรม การจัดการศัตรูของคุณ
ก็ทำได้ใกล้เคียงเต็งเคี้ยง ความเสียสละของคุณ ก็ใกล้เคียงผม
อย่าปฏิเสธเรื่องนี้เลย ถ้าพูดให้ตรง คุณคือผู้ถูกเลือก
ตั้งแต่ที่คุณกลับถึงกรุงเทพ ไม่เคยมีผู้ใดรอด บททดสอบของ
เต็งเคี้ยงและผมไปได้ คุณเป็นคนเดียวที่เหลือรอดจาก
อำนาจมืดทั้งมวล มิใช่เพราะคุณเป็นลูกของหาญ
แต่เพราะคุณคือ นายภาคีคนนั้น..."

ธนูใช้เวลาไม่นาน แล้วกล่าวขึ้น ด้วยสีหน้าจริงจัง

"ผมขอปฏิเสธ ผมเองคิดเสมอว่า ตนนั้นไม่เหมาะ
ที่จะเป็นหัวหน้ากลุ่มใดๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อคนส่วนใหญ่
เพราะ แท้จริง ที่ผมไม่คิดว่าเงินเหล่านั้น เป็นของผม
เพราะคิดเพียงไม่อยากให้ตน ต้องเดือดร้อน มิใช่มโนธรรมแต่อย่างใด
และอีกอย่างผม ก็มิได้คืนเงินทั้งหมด มีบางส่วนที่ผมคิดว่ามันเป็นของผม
ผมเชื่อว่ายังมีคนที่เหมาะสมกว่ามารับช่วง
...ตอนนี้ผมคิดเพียงอย่างเดียว คือไปหาภรรยา เพื่อเริ่มชีวิตใหม่
อย่างอื่นนั้น ผมไม่ต้องการ..."

สีหน้าของท่านตุลย์นั้น บ่งบอกถึงความผิดหวัง แล้วก็ถอนหายใจ

"เอาล่ะ ในเมื่อคุณไม่ต้องการ ผมก็ไม่สามารถบังคับใจใครได้
คุณธนู คุณต้องเชื่อไว้อย่าง ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน
สงครามมันก็ตามไปหาคุณวันยังค่ำ... ถ้าสงครามมาถึงคุณ
คุณจะไม่ต่อสู้หรือแล้วเมื่อคุณเปลี่ยนใจ....ก็กลับมาที่นี่...
ผมยังรอคุณมาสานต่อ...ในภารกิจนี้..."

ธนูยังสงสัยอีกข้อ ก่อนเอ่ยถามออกมา...

"ท่านทราบมาก่อนหรือเปล่าว่าอดุลย์เป็นสายของทางฝ่าย
ตรงข้าม เพื่อสืบหาจอมพลเงา"

ท่านตุลย์ยิ้มอย่างเป็นปกติก่อนจะตอบกลับมา

"ไม่มีใครรู้ว่าใครเป็นยังไงหรอก
การที่เราใช้งานคนใดคนหนึ่งที่เราเลือกมาสู่องค์กร
เราจะรู้ว่าเขาเป็นยังไงก็ต่อเมื่อ เขาเปิดเผยตัวออกมา
หรือมีหลักฐานชัดเจนว่าเขาอยู่ฝ่ายตรงข้าม
หรือคิดทรยศต่อองค์กรเงา...เรื่องของอดุลย์นั้น อยู่เหนือกว่า
ที่คาดไว้นิดหน่อย...ความจริงเต็งเคี้ยงรู้เรื่องนี้ก่อนผมเสียอีก...
แต่เขายอมสละตัวเอง เพื่อจะรับว่าตนเป็นจอมพลเงาเพียงผู้เดียว
เพราะในขณะนั้นศัตรูของเรากล้าแข็งมากและสมาพันธ์ห้ามังกร
เองก็ต้องการกำจัดเขา เพราะต้องการหนุนผู้สืบทอดคนใหม่
ที่ควบคุมได้ง่ายกว่าเต็งเคี้ยง..."

ท่านตุลย์เว้นช่วงดื่มน้ำในแก้ว สายตาเหมือนรำลึกความหลัง

.....เต็งเคี้ยงนั่งตกปลาที่ริมแม่น้ำ ในมือมีซิการ์ตัวใหญ่สูบอย่าง
เป็นจังหวะเขารอเพื่อนเก่า ที่ไม่ได้พบ
กันมานาน แล้วเสียงที่คุ้นเคยก็ดังขึ้น

"ยังสูบซิการ์อีกหรือ ไหนว่าเลิกแล้วไง!!..."

ตุลย์ยืนอยู่ข้างเก้าอี้หินอ่อนที่ เต็งเคี้ยงนั่งตกปลา
เขายิ้มก่อนจะกล่าวขึ้น

"ไม่ได้สูบมานาน เลยอยากรู้รสชาติ ของมันสักหน่อย....
แกเอาสักตัวไหม?..."

เขายื่นซิการ์ให้ ตุลย์รับไว้พร้อมกับก้มลงเมื่อเต็งเคี้ยงจุดไฟเช็คให้

ทั้งสองนั่งเคียงคู่ ตุลย์เอ่ยถามขึ้นก่อน

"มีเรื่องอะไรที่ทำให้เต็งเคี้ยงต้องมานั่งตรงนี้"

เต็งเคี้ยงถอนหายใจยาว ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

"คนเราเมื่อใกล้ตาย ก็อยากพบเพื่อนเก่าๆ ที่ยังเหลืออยู่...
แล้วแกก็เป็นเพื่อนเพียงคนเดียว ที่ยังเหลืออยู่..."

ตุลย์แปลกใจกับคำตอบนั้น แต่เรื่องนี้เขาไม่อาจออกความเห็นได้
เต็งเคี้ยงแย้มยิ้มแล้วกล่าวต่อ

"ตอนนี้ศัตรูของพวกเรา รู้เรื่องของข้า...
เลยร่วมมือกับ สมาพันธ์ห้ามังกร
จะจัดการข้าในอีกไม่กี่วันนี้
แล้วคนที่จะเป็นคนลงมือ ก็คือลูกของแก..."

ตุลย์นั้นสงสัย ในตัวอดุลย์มาแต่ต้น
เพราะเขารู้จักลูกชายเขาพอสมควร แต่ไม่คิดว่าอดุลย์
จะเป็นคนที่อยู่
ในหน่วยพิฆาตเงาด้วย

"แล้วมาบอกข้าทำไม ถึงแกจะจัดการกับมัน ข้าก็เข้าใจแก....
อย่าบอกว่าแกคิดจะเป็น 'ฝน'..."

คำว่า เป็นฝน คือยอมสละตนเพื่อให้องค์กรเงาคงอยู่
เต็งเคี้ยงยิ้มอย่างจริงใจ กล่าวอย่างเรียบเฉยต่อ

"ก็คงต้องเป็นแบบนั้น...มันไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้
ถ้าขืนข้าสู้ต่อ มีหวังมันรู้ถึงตัวแกแน่อีกอย่างหนึ่ง...
ข้าก็อยู่ได้อีกไม่นาน จะไปเร็วหน่อย ก็ไม่เห็นเป็นไร!..."

ตุลย์พยักหน้ารับทราบ เขายกซิการ์สูบอย่างหนักหน่วง
เมื่อพ่นควันออกมา

"อยากให้ข้าทำอะไรให้ไหม...บอกมาอย่าได้เกรงใจ"

เต็งเคี้ยง มองไปทางแม่น้ำ พร้อมกล่าวน้ำเสียงราบเรียบเช่นเดิม

"นายภาคีนั้น เหมาะจะเป็นคนสืบทอดต่อจากเรา
ขอให้แกช่วยดูแลมันต่อไปให้ด้วยเพราะข้ายังไม่เคยเห็นใคร
เหมือนมัน ถึงจะเสี่ยงต่อฝ่ายศัตรูจะรู้ แต่ข้าดูแล้วมันน่าจะรับมือได้
อีกอย่าง...มันคือลูกของหาญ มันควรได้รับอำนาจนี้ไป..."

ตุลย์ยิ้ม เพราะเขาก็คิดเช่นเดียวกัน

"ถึงแกไม่บอกข้าก็คิดอย่างนั้น ...มันเป็นคนเดียวที่ได้รับภารกิจ
เมฆซ่อนตะวัน แล้วยังคงอยู่ไม่เคยมีใครทำตัวเป็นเมฆ
ได้นานขนาดนั้น ไม่รวมกับที่ต้องรับมือศัตรูหลายๆทางในคราวเดียว
ข้ารู้ว่าแกไม่เคยออมมือให้ใคร มันรับมือแกได้
นั่นก็แสดงว่าสติปัญญาของมันนั้น
ไม่ธรรมดาจริงๆ ความซื่อสัตย์ต่อองค์กร
ก็มากเกินกว่าทุกคนที่เคยรับภารกิจนี้แถมมันยังไม่ถูกอำนาจครอบงำ
จนกลายเป็นอีกผู้หนึ่ง...
ปัญหาอยู่ที่ มันจะยอมรับหน้าที่นี้....หรือไม่.."

เต็งเคี้ยงถอนหายใจ อีกครั้งก่อนจะเอ่ยออกมา ดั่งตาเห็น

"มันยังไม่ยอมรับตำแหน่งในตอนนี้แน่ๆ มันต้องหล่อหลอมอีกมาก
ถึงจะมาแทนเราทั้งสองต่อจากนี้...ข้าว่ามันต้องเจออีกหลายอุปสรรค
กว่าที่มันจะรับ หรือเราทั้งสองต้องจากไปก่อน
...นั่นแหละ!...ฉะนั้นแกต้องคอยช่วย...อย่าให้มันต้องตายไปก่อน..."

เต็งเคี้ยงลุกขึ้น แล้วนำเบ็ดตกปลาให้ตุลย์ พร้อมตบบ่าเขา
ขณะที่เขานั่งคิดถึงคำพูดที่เต็งเคี้ยงกล่าวเมื่อสักครู่

"แกไม่ต้องไปงานของข้านะ...เพราะทุกอย่างคือหน้าที่
ข้ามีชีวิตได้ถึงขนาดนี้ ก็นับว่าคุ้มแล้ว..."

นี่เป็นคำพูดสุดท้ายที่ได้ยินจากปาก....จอมพลเงาสมชาย สกุลเต็ง....


คำพูดของธนูที่ดังขึ้น ทำให้ท่านตุลย์ตื่นจากภวังค์ความคิด

"ในช่วงนั้น อดุลย์เป็นอันตรายต่อองค์กรเงา
ท่านเคยคิดจะกำจัดเขาไหม?.."

ท่านตุลย์ตอบโดยไม่คิด

"ไม่เคย เพราะถึงแม้อดุลย์หรือใคร ที่อยู่ในตำแหน่งนี้จะตายไป
ก็ต้องมีคนขึ้นมารับช่วงแทน ดังนั้นที่เราทำได้ คือรอจังหวะ
เพื่อพลิกสถานะการณ์ แล้วตีโต้กลับ.. โดยมากเราจะให้
โอกาสสองทาง คือหนีไปต่่างประเทศ ไม่ให้หวนคืนกลับ หนทางที่สอง
หายไปอย่างไร้ร่องรอย... แต่ผมไม่ค่อยใช้วิธีหลัง.."

ท่านตุลย์ลุกขึ้น ธนูก็ลุกขึ้นยืน เพื่อทำความเคารพแบบทหาร...

"ลาก่อนครับ ท่านจอมพลเงาตุลย์ อริพ่าย"

ธนูกล่าวขึ้นก่อนจาก

"เช่นกัน นายพลเงาภาคี อิสระชน ผมหวังว่า
เราจะกลับมาร่วมงานกันอีก..."

ธนูได้รับทราบถึงบุคคลที่ยิ่งใหญ่ถึงสามคน
คนหนึ่งคือพ่อที่ให้กำเนิดเรือเอกหาญ สุริยแสง
ธนูคิดว่าที่เขายังยืนอยู่ตรงนี้ได้ เพราะพ่อหาญปกป้อง
จากคมกระสุนที่ยิงเข้ามา ในตอนเด็ก
และเป็นหนึ่งในคณะผู้ก่อตั้ง องค์กรเงา
ถึงแม้จะไม่ได้เป็นผู้ดำเนินงาน ในขณะที่องค์กรเงา
เริ่มเติบโต แต่เปรียบเสมือนปุ๋ยในครั้งแรก ของต้นกล้าต้นนี้
คนหนึ่งคือท่านตุลย์ อริพ่าย ผู้อยู่เบื้องหลัง
เป็นเสมือนมันสมอง คอยประสานงานภายใน
ประคับ ประครอง ให้องค์การเงา คงอยู่ แม้เจอวิกฤติ
มากมายรุมเร้า ด้วยสติปัญญาแลความอดทนเกินคน
ทั่วไป คนสุดท้าย จอมพลเงาสมชาย แซ่เต็ง เป็นคนที่ธนู
นับถือที่สุดในขณะนี้ เพราะเป็นผู้ที่เคยปะมือหลาย
ครั้ง พร้อมได้โอกาสที่ใครก็คงไม่มีโอกาสได้รับเหมือนเขา
ธนูนับถืออีกอย่างคือ แม้ความตาย จะอยู่ใกล้แค่
เอื้อม เขากลับยืนเผชิญกับมันอย่างไม่หวั่นเกรง


มันทำให้เขานึกถึงนิทานจีน เคยได้ยิน เรื่องนี้มีอยู่ว่า


..............มีรถม้าพานายพลจีนท่านหนึ่งจะไปงานสำคัญ
เมื่อถึงตลาดผู้คนต่างหลบเพราะกลัวรถม้านั้นชน
ได้รับบาดเจ็บ จนมาถึงเด็กน้อยคนหนึ่งกำลังเล่นกองทราย
กลับไม่ยอมหลบรถม้านั้น จนสุดท้ายรถม้านั้น
ต้องหยุดให้เด็กน้อยผู้นั้นนายพลจีนลงจากรถ
ด้วยความฉุนเฉียว ตวาดด้วยเสียงอันดัง

"เจ้าเด็กน้อย..ทำไมถึงไม่หลบรถม้า เจ้าไม่กลัวตายหรือไง.."

เด็กน้อยนั้นลุกขึ้นยืน อย่างองอาจกล่าวขึ้นว่า

"นี่คือกำแพงเมืองที่เราสร้างขึ้น ถ้ากำแพงยังหลบรถม้า...
จะนับเป็นกำแพงเมือง...ได้อย่างไร..."

นายพลผู้นั้นตกตะลึงที่เด็กชายมีความคิดที่กล้าหาญ
ยิ่งกว่าผู้ใดที่เคยพบเห็น......

เต็งเคี้ยง ยอมทำตัวเป็นกำแพงเมืองอย่างกล้าหาญ
เพราะต้องการป้องกันคนในรั้วกำแพง...นั่นก็คือ...
คนในองค์กรเงาทั้งหมด รวมทั้งตัวเขาด้วย....ตอนนี้ธนูรู้แล้วว่า
เขามีพ่อถึง สี่คน แน่นอนพ่ออีกคนนั้นคือ
อาซา ผู้เลี้ยงดูและถ่ายทอดทุกสิ่งอย่างให้
พร้อมทั้งสอนคุณธรรม ด้วยนิทานต่างๆ จนปลูกฝังในตัวตน
ไม่สามารถแยกออกได้....มันเป็นความโชคดีอย่างเหลือเชื่อ
ที่ธนูมีพ่อที่ยิ่งใหญ่ถึงสี่ท่าน....ในคราวเดียวกัน....

ธนูออกมายืนนอกศูนย์บัญชาการ สูดกลิ่นอิสรภาพอย่างแท้จริง
ในตอนนี้ ที่ๆจะไปมีเพียงแห่งเดียว คือจังหวัดเชียงใหม่
ซึ่งมีใครคนหนึ่งที่เขา รอที่จะได้พบ มาตลอด.....ชีวิต
.............................

ธนูซื้อตั๋วรถไฟ เพื่อขึ้นเชียงใหม่ ระหว่างที่เขาไปนั่งรอที่ชานชลา
ถึงแม้ธนูจะมีเงินมากพอที่จะพักโรงแรมหรูๆ ราคาแพงๆ
แต่เขากลับนั่งรอ ที่สถานีรถไฟ ราวกับคนอนาถา
ธนูนั้นนำเอาเหรียญออกมาดูเพราะตอนนี้เขารู้สึกตื่นเต้นที่จะได้พบ
หญิงสาวที่เขาเฝ้ารอมาตลอดชีวิต และเกรงกลัวว่า จะมาขึ้นรถไฟ
ไม่ทัน เลยจากเก้าอี้ที่ธนูนั่งไปอีกประมาณ 20 เมตร ชายหนุ่มอายุ
ประมาณ 24 ถึง 25 ปี ใส่เสื้อยีนส์เก่าๆ กางเกงยีนส์
รองเท้าบู๊ตแบบคาวบอย ใบหน้ามีรอยยิ้มเป็นระยะ
ลักษณะการพูดจาออกทางกวนประสาทมากกว่าจะคุยแบบปกติ
เขากำลังนั่งคุยกับชายวัย เกือบห้าสิบ สวมหมวกปิดบังใบหน้า
เมื่อเงยหน้าขึ้นมาเขาคือ กล้า ท่าพระจันทร์ นั่นเอง
ในขณะนี้กล้าแต่งกายภูมิฐานเป็นอย่างยิ่ง
เรียกว่าผิดกว่าแต่ก่อน อย่างหน้ามือกับหลังเท้า
ชายผู้นั้นเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงกวนประสาทคนรับฟัง

"เฮียกล้า....เฮียจะให้ผมรับงานของพี่คนเดียว
มันคงเป็นไปไม่ได้หรอกครับ เพราะลูกค้าผม
ต่างก็คาดหวังในฝีมือของผมทั้งนั้น แล้วอีกอย่าง ผมเอง
ก็ใช่ว่าจะรับงานเพื่อปากท้องอย่างเดียว
งานของผม....มันคืองานของความบันเทิง
เหมือนหนังคาวบอยที่เฮียชอบดู....ยิ่งฆ่ามาก...
ก็ยิ่งสนุก...ยิ่งเป้าหมายยาก ก็ยิ่งมันส์...หึๆๆ"

กล้า หยิบบุหรี่ขึ้นสูบ แล้วระบายลมออกมารอยยิ้มของกล้า
เยือกเย็นยิ่งนัก บุคลิกของกล้าก็เปลี่ยนไปจากเดิม
มากกว่าเแต่ก่อนอย่างเห็นได้ชัด เขาเอ่ยออกมาอย่าง
นักเลงรุ่นใหญ่ที่มีอำนาจต่อรอง

"มันจะสนุกได้ยังไงวะ... ฆ่าคนระดับปลายแถว
ต่อให้เอ็งฆ่าคนเป็นร้อย ชื่อของเอ็งก็ไม่ดังเพิ่มขึ้นมาหรอก
แต่ถ้าเอ็งจะคอยช่วยงานให้ข้า ไอ้กล้า แห่งท่าพระจันทร์คนนี้
แกจะได้มันส์กับการฆ่า กับคนมีระดับ ชื่อแกจะได้ดังกระฉ่อนทั่ว
ทั้งวงการอย่างแน่นอนแกคิดว่ายังไง....ไอ้จอม ไอ้แมวเหมียว"

ชายหนุ่มผู้นั้นเกาศีรษะอย่างใช้ความคิดครู่หนึ่ง
ก่อนตอบปฏิเสธด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

"หึๆๆ...ไม่ล่ะเฮีย ผมรับงานแบบนี้ดีกว่า
แต่เฮียกล้าก็พูดถูก ถ้ามัวแต่ฆ่าพวกกระจอกๆ
แล้วเมื่อไหร่ ชื่อของ 'ไอ้จอม แมวเก้าชีวิต'
มันจะโด่งดังจนเป็นที่ยำเกรง ในวงการนักเลง เป็นวงกว้าง
แต่คนอย่างไอ้จอม มันเป็นคนไม่ชอบให้ใครมาควบคุม
ถ้ามันอยากฆ่า มันก็ฆ่าตอนนี้ก็รู้สึกคันไม้ คันมือขึ้นมาแล้ว
อย่างไอ้คนที่นั่งม้านั่งห่างจากผมไป ยี่สิบเมตรเป็นไงครับ
เฮียกล้า...ถ้ามีคนใจดีบริจาคเงินสักเล็กน้อย
มันได้ไปเยี่ยมยมโลกแน่ๆ... เหอๆๆ..."

กล้า ท่าพระจันทร์ยิ้มเหยียดมุมปาก
ก่อนเอ่ยถามออกมาอย่างราบเรียบ

"แกรู้ได้ยังไง ว่าข้า อยากให้เอ็ง...ฆ่ามันคนนั้น..."

จอมยื่นมือไปหยิบซองบุหรี่จากกระเป๋าเสื้อของ
กล้าอย่างเพื่อนสนิท เขาเคาะเอาบุหรี่ออกมา
สามตัว สองตัวเหน็บที่หู มวนละข้าง ตัวที่สามคาบไว้ที่ปาก
ว่าขณะที่มือของนายจอมจะมาคว้าบุหรี่จากปากของกล้ามาต่อบุหรี
กล้า จึงยื่นมือพร้อมไฟเช็คที่จุดขึ้น ต่อบุหรี่ให้จอมสูบ
อย่างผ่อนคลาย พร้อมระบายควันออกมา สายตาของ
จอมนั้นเป็นประกาย เฉลยออกมา

"ผมสังเกตเห็น เฮียมองไปทางข้างหลังผม
แล้วผมก็จับสัญญาณได้ว่ามีคนที่ร้ายกาจเป็นอย่างยิ่งอยู่คนหนึ่ง
ไม่ใช่ไอ้หนุ่มที่พกปืน เพราะมันเป็นลูกน้องเฮีย นอกนั้นเป็นชาวบ้าน
แล้วมีอยู่คน ที่น่าสนใจ มันน่าจะมีฝีมือที่ร้ายกาจ
แล้วมันอาจเป็นคนทำมือขวาของเฮียเสียไป....ใช่ไหมครับ...เฮียกล้า..."

กล้าพอใจ ที่นายจอมกล่าวออกมาอย่างรู้แจ้งเห็นจริง
นั่นแสดงว่า นายจอมผู้นี้ เป็นนักฆ่าที่ร้ายกาจอย่างแท้จริง
กล้าสูบบุหรี่อย่างเคร่งขรึม แล้วกล้าก็เอ่ยออกมา

"ไอ้จอม...ในเมื่อแกยังไม่ตกลงเงื่อนไขกับข้าในตอนนี้ ก็ไม่เป็นไร
เรื่องงานที่ข้าจะส่งให้เอ็งจัดการ ไว้ข้าจะส่งข่าวให้
ส่วนไอ้ผู้ชายคนนั้น...ข้าจะไปจัดการมันเอง เพราะถ้ามันต้องตาย
มันต้องตายด้วยมือข้า...เท่านั้น เอ็งอยู่ตรงนี้ คอยดูว่า...
ข้า จะจัดการมันยังไง"

จอมแย้มยิ้ม อย่างยียวนเหมือนเดิม
กล่าวออกมาอย่างไม่ถนอมความรู้สึกของกล้าเลยแม้แต่น้อย

"เฮียแน่ใจนะ ว่าจะไม่ให้ผมช่วยจัดการมัน
ผมว่าเดี๋ยวเฮียก็เสียมืออีกข้างหรอก
นี่ผมไม่ได้ดูถูกเฮีย...แต่พูดด้วยความจริงที่ผมรู้สึก
และอีกอย่างนะครับเฮีย ถ้าเฮียไม่จ่ายเงินให้ผม
ต่อให้ผมอยากฆ่ามัน ผมก็ไม่ฆ่า เพราะผมถือคติ
เงินมา....งานจึงเดิน..."

กล้าจ้องหน้าจอมด้วยสายตาเช่นเดิม คือไม่โกรธ
ไม่มีอารมณ์ใดๆ เขาเพียงแย้มยิ้มอย่างปกติ เอ่ยตอบด้วย
น้ำเสียงราบเรียบ

"เอ็งคอยดูก็แล้วกัน...ว่าข้ายังพอทำอะไรได้บ้าง..."

แล้วกล้าก็ลุกขึ้น เดินตรงไปยัง เป้าหมายที่เขาคิดว่า
มันสมควรถึงเวลาสะสางสักที ในมือข้างซ้ายล้วงเข้าไป
ในเสื้อแจ็คเก็ต จอมยืนที่เดิม ใช้เพียงหางตาชำเลืองมอง
กล้าจากด้านหลัง มือของจอม จับไปที่ด้าม ปืนโคล์ท .45
อย่างหลวมๆ โดยมีเสื้อยีนส์บังสายตา พร้อมนั่งลงบนเก้าอี้
มุมปากเหยียดยิ้ม ส่ายศีรษะไปมา.... ธนูรับรู้ถึง
อันตราย ที่กำลังมาเยือน เขาลุกขึ้นยืน วางถุงทะเลลงบนพื้น
พร้อมหันไปจ้องมองกล้าด้วย....สายที่กล้าแกร่ง
ส่วนกล้าเดินไปหยุดที่เบื้องหน้าของธนู
พร้อมลูกน้องที่เดินมาประกบข้างอีก สี่คนที่ยืนอยู่บริเวณนั้น

"คุณภาคี ไม่เจอกันนานเลยนะครับ"

ธนูแย้มยิ้ม ก่อนยื่นมือซ้ายออกมาเพื่อจับมือทักทายตามมารยาท
เพราะเขาทราบดีว่า มือขวาของกล้านั้นใช้การไม่สะดวกนัก
พร้อมเอ่ยออกมา

"ยินดีที่ได้พบ พี่กล้าอีกครั้ง"

กล้ามองมือซ้าย ก่อนเหยียดยิ้มออกมา

"ผมไม่ได้เป็นลูกเสือ จับมือด้วยมือซ้ายคงไม่ถูกต้องนัก
หึๆๆ..มันต้องมือขวาสิ ถึงจะถูกธรรมเนียม...คุณภาคีคงไม่รู้ล่ะสิ"

"จะมือไหนก็คงไม่สำคัญ แต่ถ้าพี่กล้าอยากจับด้วยมือขวา
ผมก็ไม่ขัดข้อง"

ธนูเปลี่ยนเป็นมือขวาแทน เมื่อกล้าจับมือก็บีบกระชับแน่น
ดวงตาแฝงความโกรธเกรี้ยว แต่ใบหน้ายังเปื้อน
รอยยิ้ม เอ่ยออกมาด้วยสำเนียงเย้ยหยัน

"ผมรู้สึกว่า สารรูปของคุณ......มัน...ช่าง...น่า......สมเพช....จริงๆ
คุณภาคีคิดเหมือนผมหรือเปล่า หึๆๆ..."


"ผมก็คิดเหมือนพี่กล้า ว่าตอนนี้สารรูปของผม มันช่างน่าสมเพชจริงๆ
แล้วพี่กล้า มีอะไรกับคนน่าสมเพชคนนี้ หรือครับ"

กล้าดวงตาเป็นประกาย รอยยิ้มบนใบหน้าหาย....
ก่อนตวาดด้วยเสียงอันดัง....ที่เต็มไปด้วยความแค้น

"ข้าก็จะมาทวงมือขวาของข้าคืนไง ไอ้ภาคี
วันนี้เอ็งต้องตายด้วยมือข้า..."

กล้าชักปืนออกมาจากกระเป๋าเสื้อ เพื่อยิงคู่แค้นให้ดับดิ้น
โดยลูกน้องทั้งสี่เข้าล้อมธนู เพื่อมิให้ใครเห็นว่ากล้า
กำลังจะทำอะไร......

>>>>>> จบตอน<<<<<<




ภูวีร์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 17 ก.ย. 2557, 01:49:33 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 17 ก.ย. 2557, 08:33:02 น.

จำนวนการเข้าชม : 1045





<< ดับแสง...ตะวัน   ลูกศร...แห่งรัก >>
หนอนหนังสือ 17 ก.ย. 2557, 17:53:54 น.
ตัวร้ายจอมกวนออกมาแล้ว บทนี้ขอคาราวะให้ท่านเต็งเคี้ยงผู้เสียสละจริงๆ


ภูวีร์ 17 ก.ย. 2557, 18:37:32 น.
ตัวร้ายจอมกวน เขาจะมาก่อกวนใคร แล้วหมอนี้จะร้ายถึงขนาดไหน คงจะต้องรอลุ้นต่อไปในตอนหน้า หรือภาคหน้า รอติดตามตอนต่อไปนะครับ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account