ระบำสายลม
รักแรก...ที่หยั่งลึก สิบปี...แห่งการพลัดพรากและรอคอยอย่างมั่นคง
เป็นความรักความผูกพัน อันท่วมท้นเท่าที่คนๆหนึ่งจะรักได้
เป็นการรอคอยอย่างรวดร้าวและยาวนาน เท่าที่หัวใจดวงหนึ่งจะพึงรับไหว

แม้วันนี้ "กีตาร์" จะกลายเป็นศิลปินนักร้องระดับซูเปอร์สตาร์
และ "พี่คิม" ได้กลายเป็นนายแพทย์คิมหันต์
แม้ว่า...ทุกการกระทำและทุกการตัดสินใจของคนเราจะมีผลกระทบต่อผู้คนแวดล้อม
และถูกบีบให้เลือกระหว่างตัวเองกับคนรอบข้างอยู่ร่ำไปก็ตาม
แม้ว่าจะมีตัวแปรและอุปสรรคมากมายขวางกั้น แต่ไม่ได้หมายความว่าเป็นไปไม่ได้

เกลียวคลื่นยังม้วนตัวมาจากทะเลจีนใต้อันไกลโพ้น เพื่อเข้ากระทบชายหาดได้
แสงตะวันยังเดินทางตั้ง 93 ล้านไมล์ ผ่านห้วงอวกาศ มาสาดแสงแห่งรุ่งอรุณ
กระแสลมแห่งเวลาสิบปีที่ล่วงผ่าน ก็ยังพัดหวนพาเธอกับเขากลับมาพบกันอีกครั้ง ในค่ำคืนที่ต่างมีความทรงจำร่วมกัน
คู่รักที่เกิดวันเดียวกัน นั่นคือ โชคชะตา
การได้กลับมาพบกัน นั่นคือของขวัญจากพระเจ้า
สิ่งที่เหลือคือ...พรหมลิขิต

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 6.

6


ตะวันโรยแสงอ่อนอาบหุบเขา บอกเวลาเย็นย่ำ เมื่อชมปองรามือจากการ
วาดภาพ เขาถอยห่างออกมาเอียงคอมองภาพป่าในเงาตะวัน ที่เขาบันทึกมันไว้บนกระดาษชุ่มน้ำ
สีเขียวอ่อนแก่ น้ำเงินและเหลือง ของใบไม้ต่างพันธุ์เบียดซ้อน มีเงาทึบทาบทับบางส่วนมองดูขรึมเข้มขลัง ตัดกับส่วนที่รับแสงสว่างฉ่ำใส ประดุจชีวิตของคนสองวัย...ซึ่งโดยสารกาลเวลามาด้วยระยะทางอันต่างกัน
ร่างสูงหนาทิ้งกายลงนั่งบนพื้น ควักใบยาออกมาถุงย่ามเพื่อมวนบุหรี่ ระหว่างรอให้สีแห้ง สายตายังทอดจับภาพเขียนอย่างพึงใจ
งานแบบนี้ต่างหากที่เขาปรารถนา ได้ถ่ายทอดแนวคิด จิตวิญญาณ และปรัชญาในการดำรงชีวิตลงไปในเนื้องาน ไม่ใช่งานช่างศิลป์ฉาบฉวยหลายอย่าง ที่จำต้องทำเพื่อให้มีรายได้เลี้ยงตัวเลี้ยงลูกสาวอย่างก่อนนั้น...
กีตาร์คือศิลปกรรมชิ้นเอก ซึ่งชมปองแอบตั้งความหวังไว้ลึกเร้น...ลูกสาวผู้มีเลือดศิลปินเต็มเปี่ยม
เขาเลี้ยงดูเธอ ให้เติบโตขึ้นมากับเสียงดนตรี บทกวี ภาพเขียนและธรรมชาติแห่งโลกกว้าง ที่แรมทางไปด้วยกันทุกหนแห่ง...พบมิตรภาพ เรียนรู้การพบเจอและจากลา เผชิญหน้ากับความยากลำบาก ขาดแคลน ขณะที่บางช่วงมั่งมีจนเหลือเฟือ...เพื่อให้รู้ซึ้งว่า...
มนุษย์มิอาจครอบครองได้ในทุกสิ่ง อีกทั้งมิได้เป็นเจ้าของสิ่งใดในโลกนี้...
ชมปองอยากให้ลูกมีอิสระเหมือนสายลม อ่อนโยนแต่ไม่อ่อนแอ และกล้าหาญต่อความเดียวดาย ไม่ใช่พร้อมจะทำอะไรก็ได้ หากกระแสเสียงส่วนใหญ่อื้ออึงขึ้น โดยไม่ทันแม้จะไตร่ตรองก็เลือกจะละเมอเดินตาม เพราะไม่กล้าอยู่กับความโดดเดี่ยว แล้วทับถมคนที่ต่างกับตนว่าแปลกแยก...
กีตาร์ไม่เคยทำให้เขาผิดหวัง...ในแต่ละครั้งที่เธอเลือกตัดสินใจ มีครั้งเดียวเท่านั้นที่เขามองเห็นความหวั่นไหวลังเล

คราวนั้น...เป็นช่วงปิดเทอมใหญ่ กีตาร์กำลังจะเลื่อนชั้นขึ้นม.ปลาย ชมปองรับลูกมาตระเวนท่องไปทั่วภาคเหนือ เมื่อคุณอรเดินทางไปเยี่ยมลูกชายที่ใช้ชีวิตอยู่ในต่างแดน โดยมีหลาน-ชายติดตามไปด้วย
“มีอะไรหรือเปล่าคะ” เธอถามทันทีเมื่อเห็นสีหน้าเคร่งเครียดของป๊าหลังจากแวะไปเยี่ยมเพื่อนเก่า
“ม่ามี๊ส่งข่าวมาทางลุงศักดิ์เมื่อหลายเดือนก่อน ฝากบอกว่าเขาจะต้องผ่าตัดมะเร็ง หากจะเป็นอะไรไปเขาอยากเห็นต้าเป็นครั้งสุดท้าย”
กีตาร์นิ่งอึ้งไปเป็นครู่
“เรื่องเดินทางเขาจะจัดการให้ทุกอย่าง...หมายถึงว่าถ้า...จะไป”
“ต้องไปเมื่อไหร่คะ” เสียงเธอแผ่วลง
“ก็คงต้องด่วนที่สุด เพราะเขาส่งข่าวมาหลายเดือนแล้ว ไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นไงบ้าง ลุงศักดิ์ให้เบอร์กับที่อยู่มา ป๊ารอถามต้าก่อน...ยังไม่ได้โทร”
“พี่คิมกับคุณย่ายังไม่กลับมา ตีต้าอยากรอบอกทางนี้ให้รู้ก่อน”
“ม่ามี๊อาจรอไม่ได้...”
“ตีต้าควรไปใช่มั๊ยคะ”
“ป๊าอยากให้หนูตัดสินใจเอง”
“ถ้าตีต้าไปแล้วม่ามี๊จะมีความสุขขึ้นในเวลาที่เหลืออยู่ ตีต้าก็จะไปค่ะป๊า ถ้ากลับมาทันเปิดเทอมคงไม่เป็นไร”

ผ่านล่วงเกือบสิบปี นับจากวันที่กีตาร์ตกลงใจไปหาแม่ที่ต่างประเทศ นาทีนั้น...ชมปองมองเห็นแววกังวลและลังเล แต่เธอก็ตัดสินใจอย่างกล้าหาญ และหยัดยืนอย่างเข้มแข็งเคียงข้างมาเรียยาวนานจนถึงวาระสุดท้าย
ชีวิตช่วงนั้นของเธอเหมือนถูกตัดขาดจากทุกสิ่งที่คุ้นเคย ในเมื่อชมปองไม่เคยมีที่อยู่แน่นอนให้ลูกสาวได้ส่งข่าวคราวถึง และเธอไม่เคยรู้กำหนดเวลาว่า...เมื่อไรจะได้กลับมา
ทุกอย่างขึ้นอยู่กับโรคร้ายของมาเรีย ว่ามันจะจบสิ้นลงเมื่อใด?
ครั้งนั้นเขาไม่รู้ว่า ความรู้สึกที่ลูกสาวมีต่อพี่คิมของเธอล้ำลึกเพียงไร คิดเพียงว่าแค่ความรู้สึกแบบเด็กๆที่สักวันจะลางเลือนเหมือนภาพฝันอันบุบเบลอ...หากไหวคิดสักนิด เขาคงไม่ละเลยจนขาดการติดต่อกับทางบ้านคุณอรเช่นนี้ ...หนุ่มใหญ่ทอดถอนใจ...

สีแห้งสนิทแล้ว ถึงเวลากลับกระโจมพัก เพื่อต้มน้ำดื่มกาแฟสักถ้วย ส่วนอาหารมื้อค่ำตั้งใจแล้วว่าคืนนี้จะเดินไปกินที่ร้านอาหารของรีสอร์ต หวังว่าป่านนี้พวกกองถ่ายหนังคงยกโขยงกันกลับไปแล้ว...ชมปองนึกอย่างเบื่อๆ
เพราะพวกกองถ่ายนี่แหละ ที่นั่งดื่มกินเฮฮาโต้รุ่งทำลายบรรยากาศอันสุนทรีของเขาจนหมดสิ้น
“คนกรุง...ยิ่งพวกดาราจะรู้อะไร มาเที่ยวเขาเที่ยวป่าไม่รู้จักเสพบรรยากาศ ทำเป็นโหยหาธรรมชาติ พออยู่กับธรรมชาติเข้าจริงๆก็ทำตัวเหมือนอยู่ R.C.A.”
เขาปรามาส ไว้แต่วันแรกที่พวกนั้นมาถึง และก็เป็นจริง
ร่างสูงหนาที่ยังไม่มีไขมันพอกพูนตามวัย ในชุดเสื้อเชิ้ต กางเกงบลูยีนส์ลุกขึ้นไปเก็บสีลงกล่อง ล้างพู่กันสะอาดหมดจด แล้วกวาดสายตาเคลื่อนผ่านไปตามสุมทุมพุ่มไม้เบื้องหน้า
มีอีกหลายมุมใบบริเวณนี้ที่เขาอยากวาดเก็บไว้ เถาไม้บางชนิด พุ่มใบโปร่งฝอยละเอียดราวปอยผมหญิงสาว ยามลมพัดก็กระเพื่อมล้อพรายแสงอาทิตย์อร่ามเรือง
ชมปองหมายมั่น...ภาพวาดประกอบบทกวีที่มีชื่อแสนโรแมนติกว่า...“ในหุบห้อมแห่งพงไพร” ชุดนี้จะสวยสมกับที่เขาทุ่มเทกายใจ อีกไม่เกินหนึ่งสัปดาห์ก็คงเก็บข้าวของเดินทางเข้ากรุงเทพฯไปหาลูกสาวได้ หากพวกจอมป่วนกองถ่ายนั่นไปพ้นๆเสียแล้ว
คิดพลางลงมือเก็บภาพเขียนและขาตั้ง คว้ากระเป๋าย่ามบรรจุอุปกรณ์วาดรูปขึ้นพาดไหล่ ดุ่มเดินลัดเลาะไปยังกระโจมพักซึ่งอยู่บนยอดเนินเตี้ยๆด้านหลังรีสอร์ต



พาไลย์ชะงักเท้าเมื่อมองเห็นแค้มป์ปิ้งสีเหลืองสดขนาดนอนได้สองคน ตั้งโดดเด่นอยู่บนเนินข้างหน้า รอบบริเวณนั้นมีไม้ป่ายืนต้นที่หล่อนไม่รู้จักชื่อ กำลังแข่งกันออกดอกสลอน
สีเหลืองลออ กลมกลืนเหมาะเจาะ ใจนึกว่า...ใครนะช่างสรรหาบรรยากาศกางแค้มป์พักแรม...หรือว่าจะเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ
ความตื่นตาต้องใจทำให้เท้าก้าวตรงเข้าไปใกล้ จนมาหยุดอยู่หน้ากระโจม มีร่องรอยกองไฟอยู่บริเวณนั้น พร้อมกับกิ่งไม้แห้งที่ยังไม่ได้ใช้อีกจำนวนหนึ่ง กาต้มน้ำสีขมุกขมัวบอกถึงอายุการใช้งาน วางอยู่แถวโคนไม้ ข้างๆกันมีขวดน้ำพลาสติกที่ยังไม่ได้เปิดใช้ราวครึ่งโหล บอกให้รู้ว่าเจ้าของคงเตรียมพร้อมสำหรับการพักแรมหลายวัน
เดาว่า...ในแค้มป์ปิ้งคงมีอาหารแห้งประเภทมาม่า หรือผงกาแฟเอาไว้ด้วยแน่นอน...คนที่ทำเรื่องแบบนี้คงเป็นคนโรแมนติกพอควรเชียวแหละ หล่อนคาดเดาแล้วคลี่ยิ้ม
ลมหนาวพัดกรู ปลิดกลีบดอกไม้สีเหลืองกราวลงมา
พาไลย์กระชับเสื้อแจ็กเก็ตเข้ากับตัว ป้องกันสายลมเย็นเฉียบ พอหันกลับ สายตาก็ปะทะกับร่างสูงหนายืนพิงโคนไม้ใกล้ๆกันนั้น หล่อนยกมือขึ้นปิดปากก่อนที่จะหลุดเสียงอุทานเพราะตกใจ
แววตาของอีกฝ่ายจึงคล้ายมีรอยยิ้ม
“แขกที่รีสอร์ตสินะ” เขาทักและหล่อนเพิ่งสังเกตเห็นขาตั้งวาดรูป กับม้วนกระดาษในมือเขา
“ค่ะ...ฉันมาถ่ายหนัง เสร็จแล้วก็เลยอยากอยู่ชื่นชมธรรมชาติอีกหน่อย”
เขาทำเสียงรับรู้ในลำคอ หย่อนสัมภาระพิงโคนไม้แล้วเดินไปรูดซิปเปิดกระโจม
“จะต้มน้ำดื่มกาแฟ ดื่มด้วยกันมั้ย” เขาชวนราวกับคุ้นเคยมาแรมปี หล่อนพยักหน้าเอาเถิดก็แค่นั่งเล่นสักเดี๋ยว
“นั่งสิ” เขาชี้มือไปที่ขอนไม้ แล้วลงมือก่อกองไฟ
“อีกเดี๋ยวมืดแล้วจะหนาวมาก แต่พักห้องแอร์คงไม่แตกต่าง...ใช่ไหม” หางเสียงคล้ายจะเยาะอยู่กลายๆ แต่ใบหน้าคร้ามมีรอยยิ้ม มือทำงานไปอย่างคล่องแคล่ว เขาวางหินสามก้อนรอบกองไฟแล้ววางกาน้ำลงบนนั้น
“คุณมาวาดรูปเหรอ”
“ก็งานอีกแบบหนึ่ง...แต่ทำแล้วมีความสุข”
“ท่าทางคุณเป็นศิลปินจัง วาดรูปแบบไหนคะ”
“ทุกแบบ...เท่าที่ความรู้สึกบอกให้ทำ ส่วนมากผมชอบสีน้ำ...คุณก็คงเป็นดารางั้นสิ”
พาไลย์อึ้งและหน้าตึงไปนิด...มีกี่คนกันที่ไม่รู้จักหล่อน หมอนี่คงหมกตัวอยู่ตามป่ามาตลอดชีวิตเสียก็ไม่รู้
“ฉันคือพาไลย์”
“ข่าวบอกว่าคุณเพิ่งหย่า...”
หล่อนทั้งฉิวทั้งขัน ฟันธงได้อีกเรื่องหนึ่ง...นอกจากอยู่แต่ในป่าแล้วยังไม่เคยเรียนรู้มารยาทในการเข้าสังคมอีกด้วย...เรื่องดีๆเกี่ยวกับหล่อนมีอยู่มากมายแต่นายคนนี้กลับเลือกพูดเรื่องที่ไม่ควรพูดอย่างที่สุด
เขาฉีกซองกาแฟแบบทรีอินวันที่รื้อออกมาจากกระโจมใส่ถ้วยสองใบ แล้วเดินมานั่งอีกมุมของขอนไม้ กลิ่นควันไฟแทรกซอนอยู่ในบรรยากาศ สลับกับเสียงแตกปะทุในบางครั้ง
“ผมชื่อปอง”
“สมปองสินะ” หล่อนทำเสียงเยาะแก้แค้น เขาหันมาสบตาตรงๆ
“ชมปอง” ริมฝีปากค่อนข้างหนาแย้มออก
“ถ้าเป็นพวกดาราก็เรียกแบบนี้ไม่ได้หรอกมันธรรมดาเกินไป ต้องเป็นชะ-มะ-ปอง
จริงไหม...ผมไม่ได้อยู่ในแต่ป่าหรอกคุณพาไลย์ เพียงแต่ชอบป่ามากกว่าเมือง”
หล่อนหน้าแดง...เกิดมาไม่เคยเจอคนแบบนี้
“ฉันกลับดีกว่า เดี๋ยวจะมืด” ร่างสมส่วนขยับจะลุกขึ้น
“น้ำจะเดือดอยู่แล้ว ดื่มกาแฟก่อนสิ ถ้ากลัวตอนเดินกลับจะไปส่ง เพราะจะไปกินข้าวที่นั่นเหมือนกัน”
กาน้ำส่งเสียงครางหวีดหวิวขึ้นมาทันที ไอน้ำพวยพุ่งออกมาให้รู้ว่ากำลังเดือด เขาลุกขึ้น ใช้ไม้เกี่ยวมันขึ้นมาแล้วคว้าผ้าเปื้อนสีหุ้มที่จับไว้กันความร้อน พอรินน้ำเดือดลงถ้วยกาแฟก็ส่งกลิ่นหอมกรุ่น เขาส่งถ้วยใบหนึ่งให้หล่อน
“งั้นฉันจะเลี้ยงข้าวคุณตอบแทน” หล่อนไม่อยากเป็นหนี้บุญคุณ
เขาพยักหน้าอย่างไม่มีพิธีรีตอง
“เคยนอนฟังเสียงน้ำค้างตกเผาะแกล้มแสงดาวไหม”
“ยังไงนะคะ”
“ผมเรียกมันว่ากระโจมดาว” เขาชี้ไปที่แค้มป์ปิ้ง
“บางครั้งน้ำค้างตกหนักนั่งอย่างนี้ไม่ไหวต้องเข้าไปนอนดูอยู่ในนั้น บางคืนเหงานักผมก็เป่าเม้าท์ออร์แกน ร่ายกวีไปตามเรื่อง ผมชอบดูดาวแต่ชอบวาดรูปพระอาทิตย์ขึ้น...” เขาหัวเราะคำพูดของตัวเอง หรืออาจขันหล่อนที่นั่งงันเกือบจะอ้าปากหวอ
“สวยนะ...นึกดูสิ ฟ้าเทาๆทึมๆกับพระอาทิตย์สีแสด ฟ้าจะมีทุกสีเลยละตอนนั้น เคยดูภาพของเรอนัวร์มั้ย”
พาไลย์ส่ายหน้า
“งานสไตล์อิมเพรสชั่นนิสท์ของเขา ทำให้ผมคลั่งเลยละ”
สิ่งที่เขาพูดถึง ช่างห่างไกลกับการรับรู้ในชีวิตของพาไลย์ ราวกับโลกของเขากับหล่อนเป็นโลกคนละใบ
“บางครั้งผมก็รู้สึกว่า สีที่มีอยู่ในโลกนี้ไม่พอที่จะใช้วาดรูปธรรมชาติรอบตัว ก็เลยต้องเขียนบทกวีเพิ่มเข้าไปด้วย พอเขียนบทกวีแล้ว...มันก็ยังถ่ายทอดความรู้สึกที่เพริดไหลได้ไม่ครบถ้วนอีก ผมก็เลยต้องเขียนเรื่องสั้น เล่นดนตรี...จนถึงวันนี้สิ่งที่ทำๆไปก็ยังไม่ได้ครึ่งของสิ่งที่อยู่ในใจ”
เขาเลิกพูดเรื่องเรอนัวร์เอาดื้อๆ เปลี่ยนมาบอกเล่าอย่างแยบคายถึงสิ่งที่เขาเป็น พอถึงนาทีนี้ความรู้สึกขวาง หมั่นไส้ของพาไลย์ กลับกลายเป็นทึ่ง...
“คุณเป็นอะไรกันแน่คะ...จิตรกร นักเขียน กวีหรือว่านักดนตรี”
“ผมเป็นอะไรก็ได้...อย่างที่ผมเป็นและผมไปในทุกที่ที่อยากไป”
“แบบนี้หรือคะ...กางเต๊นท์นอนที่ไหนก็ได้”
“ก็...แบบนี้”
หล่อนห่อปากลืมมาดดารา
“ฉันไม่อยากเชื่อเลยว่าคนเราจะมีชีวิตแบบนี้ได้ยังไง แล้วครอบครัว...”
“เพราะแบบนี้ไง เลยไม่มีใครทนอยู่กับผมได้นาน” เขายิ้มพลางถูมือแรงๆเมื่ออากาศเริ่มเย็นลงทุกที ฟ้ามืดไปนานแล้วโดยที่พาไลย์ไม่ทันได้สังเกต
“ไปเถอะ...คุณจะเป็นหวัด ผมหิวแล้วด้วย”
ร่างสูงลุกขึ้น ควานหยิบไฟฉายในกระโจม หมวกไหมพรมและเสื้อแจ็กเก็ตออกมา
เขาครอบหมวกลงบนศีรษะหล่อน
“สวมไว้ น้ำค้างแรง” กิริยานั้นไม่ได้ส่อไปทางชู้สาวแม้แต่น้อย
แม้เลยวัยฝันมานานนัก แต่...เกือบห้าสิบปีของชีวิตนี่เป็นครั้งแรก ที่หล่อนเจอผู้ชายแบบชมปอง
...การนั่งคุยกับเขาทำให้หัวใจและอารมณ์ดิ้นผาง แต่บางทีก็สงบราบ สลับกันไปมาตามแรงจินตนาการที่ลุกโพลงแล้วมอดดับ พอเขายิ้มหัว...โลกก็พลันสว่างไสวด้วยรัศมีซ่อนเร้นของเขา ซึ่งพาไลย์แน่ใจว่าตนต้องมนตร์จนปั่นป่วนเข้าแล้ว
หลังอาหารค่ำหล่อนมิอาจหลับลง ด้วยจินตนาการเพริดไปถึงกระโจมดาวของเขาอยู่เรื่อย อยากเร่งเวลาให้ค่ำคืนนี้ผ่านไปโดยไว เพราะถ้อยคำที่เขาทิ้งเอาไว้ก่อนอำลา
“พรุ่งนี้สายๆจะแวะมา เจอกันที่ร้านอาหาร”


พาไลย์แต่งชุดแบบสบายๆ แต่พิถีพิถันทุกขั้นตอน ของการประทินทั่วเรือนร่าง ก็เพราะผลพวงจากศัลยกรรมนั่นเอง ทำให้มากขั้นตอนการดูแล มิอาจละเลยได้ มิฉะนั้นผลข้างเคียงต่างๆจะตามมา
หล่อนมาที่ร้านอาหารของรีสอร์ตแต่เช้าตรู่ สั่งเครื่องดื่มแล้วนั่งหยัดแขน อ่านหนังสือพิมพ์รอเวลานัดหมาย รีสอร์ตห่างไกลไม่มีหนังสือพิมพ์ใหม่ประเภทข่าวล่ามาเร็วเหมือนเมืองกรุง หล่อนจึงเลือกเล่มที่ใหม่สุดในที่นั้น
ความเคยชินในการเป็นคนในหน้าข่าวเสมอมา ทำให้เปิดหน้าบันเทิงก่อนอื่น ภาพของลูกชายกับน้องร้องสาว กอดกันกลม แผ่หราอยู่ในหน้านั้น หลังจากอ่านรายละเอียด อารมณ์แจ่มใสก็หายวับไปกับตา ขุ่นเคืองแม่กีตาร์คนนี้ขึ้นมาปุบปับ
ถึงตนเองจะไม่ใช่แม่ที่ดีนัก และไม่ได้เลี้ยงดูลูกมากเท่าคุณอร แต่พาไลย์ก็มั่นใจว่าคนอย่างคิมหันต์ไม่มีทางจะไปมีสัมพันธ์สวาทกับดารา นักร้อง จนท้องไส้แบบนี้แน่นอน
“สร้างข่าวหรือเปล่าเนี่ยแม่คนนี้...ท่าทางคงยังดังไม่พอ”
“ใครยังดังไม่พอ คงไม่ใช่คุณหรอกนะ” ชมปองเดินเข้ามาหย่อนตัวลงนั่งร่วมโต๊ะดวงหน้าคร้ามดูดีขึ้นเมื่อประดับด้วยรอยยิ้ม
“ก็แม่นี่น่ะสิ...อยู่ดีๆก็หาเรื่องไปกอดคนนั้นคนนี้ให้เป็นข่าว”
พาไลย์เคาะเล็บเคลือบสีแดงสดลงบนภาพข่าว ชมปองเหลือบมองอย่างเสียไม่ได้มากกว่าจะใส่ใจจริงจัง กำลังจะเลื่อนสายตากลับ ก็พลันต้องคว้าหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นขึ้นมาอ่านรายละเอียด
“ฉันอยู่ในวงการนี้มาร่วมยี่สิบปี มีแต่กลัวจะเป็นข่าวคาวๆแบบนี้ แต่แม่นี่ออกเทปชุดเดียวก็เหม็นหึ่งเสียแล้ว อะไรก็ไม่ร้ายเท่าเอาคนดีๆอย่างหมอคิมมาเป็นเครื่องมือ”
หน้าของชมปองเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมทันที สายตาที่เงยขึ้นมองหน้าหล่อนมีแววไม่พอใจฉายชัด
“คุณอ่านข่าวแค่นี้...ก็เหมาเลยหรือว่าเขาเป็นอย่างนั้น ไม่เกินไปหน่อยหรือคุณ
พาไลย์ ถึงจะยังไงก็ลูกผู้หญิงเหมือนกัน”
คนถูกตำหนิหน้าตึง...ไม่เข้าใจว่าเขาจะมาออกรับปกป้องแม่นั่นเพื่ออะไร
“ก็เพราะฉันรู้จักหมอคิมเป็นอย่างดีน่ะสิ ถึงกล้าพูดแบบนี้”
“ผมก็รู้จักกีตาร์เป็นอย่างดีเหมือนกัน คุณไม่คิดบ้างหรือว่าหมอคิมคนนั้นอาจเป็นฝ่ายอยากดังขึ้นมาเสียเองก็ได้”
“เฮอะ...” หล่อนทำเสียงดูถูกแล้วหันหน้าหนี มิตรภาพที่เพิ่งเริ่มต้นดูท่าว่าจะไปไม่ถึงไหนเสียแล้ว
“คุณน่าจะไปหานักข่าวแล้วก็ยอมรับเป็นพ่อของลูกในท้องแม่นั่นไปเสียเลย มันน่าจะเวิร์คกว่าเราจะมาเถียงกัน”
ชมปองขบฟันลงบนริมฝีปาก มองหน้าหล่อนนิ่งอยู่เป็นครู่ และพาไลย์ไม่ชอบกิริยานั้นเลย หล่อนทอดถอนใจก่อนเอ่ยปากเพื่อยุติ
“คิมหันต์เป็นลูกชายฉันเอง”
แววตาของเขาเปลี่ยนไปชั่วขณะ ส่ายหัวแล้วยิ้มเนือยๆออกมา
“ผมเป็นพ่อของกีตาร์”


คุณอรสบตากับป้าเดือน เมื่อเห็นรถของหลานชายแล่นผ่านรั้วบ้านเข้ามาแต่วัน ทั้งที่ยังไม่ถึงเวลาเลิกงาน ไม่ต้องถามก็เดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะเพิ่งเปรยกับแม่เดือนอยู่เมื่อครู่นี้เองว่า...วันนี้คิมหันต์ไม่เป็นอันทำงานได้แน่ เพราะต้องคอยหลบเลี่ยงคำถามของนักข่าว
ร่างสูงโปร่งก้าวตรงเข้ามาหา เมื่อมองเห็นคุณย่ากำลังนั่งรับประทานของว่างอยู่ที่ศาลาข้างสระว่ายน้ำ
“เอาชาหรือกาแฟดีล่ะ...ย่าเพิ่งอบคุ้กกี้เสร็จ” คุณอรทักราวกับไม่มีสิ่งใดผิดปกติ
“ขออะไรเย็นๆดีกว่าครับป้าเดือน วันนี้ร้อนมาทั้งวันแล้ว”
“มีน้ำส้มคั้นค่ะคุณคิม”
ชายหนุ่มพยักหน้า ทิ้งตัวลงนั่งพาดศีรษะไว้กับขอบพนักเก้าอี้ แขนเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนถูกรูดมากองไว้ที่ข้อศอกอย่างลวกๆ ยับยุ่งพอๆกับหน้าเจ้าของ...ในที่สุดก็หันมาบอกคุณย่า
“ผมลาพักร้อน”
“ก็ดี...แล้วที่คลินิกล่ะ”
“ก็คงต้องปิดเหมือนกัน ขนาดที่โรงพยาบาล นักข่าวยังแห่กันมาขนาดนั้น ไม่เป็นอันทำการทำงาน” คำตอบบอกถึงความหงุดหงิด รำคาญใจ
“คิมติดต่อกีตาร์ได้หรือยังล่ะ”
“ยังครับ”
“ยังไม่ได้ติดต่อหรือว่าติดต่อยังไม่ได้” คุณอรดักคอ
“ผมว่าจะโทรไปวันนี้ก็มัวแต่ยุ่งๆ” คนพูดตอบไม่เต็มปากนัก และอดไม่ได้ที่จะหาวิธีหลีกเลี่ยง “แต่ทางบริษัทเขาคงไม่ให้เบอร์ศิลปินในค่ายเขากับใครง่ายๆหรอกครับ”
“ย่าว่าเขาจะรีบให้ด้วยซ้ำ ถ้าบอกเขาว่าเราคือคนในข่าว ทางโน้นเขาก็ต้องแก้ปัญหาของเขาเหมือนกัน...และวิธีแก้ก็คือต้องมีคิม” คุณอรบอกอย่างมั่นใจ
ร่างที่ทอดพิงพนักเก้าอี้ขยับนั่งตัวตรงทันที
“นี่ผมคงไม่ต้องออกไปตากหน้าแถลงข่าวหรอกนะครับคุณย่า”
คุณอรไม่ตอบ เหลือบมองดอกลั่นทมที่ถูกลมพรากออกจากต้น ปลิวคว้างลงสู่สระว่ายน้ำ แม้แรงกระทบจะบางเบาแต่ก็ก่อเกิดรอยกระเพื่อม คนที่ผ่านโลกมายาวนาน ย่อมมองเห็น...ความเป็นไปและสัจธรรม
เมื่อมีเหตุ...ผลย่อมตามมาเสมอ
QQQQQ

แด่เสรีภาพ
ปัญจนารถ



ปัญจนารถ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 17 ก.ย. 2557, 21:22:47 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 17 ก.ย. 2557, 21:22:47 น.

จำนวนการเข้าชม : 844





<< ตอนที่ 5.   
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account