ระบำสายลม
รักแรก...ที่หยั่งลึก สิบปี...แห่งการพลัดพรากและรอคอยอย่างมั่นคง
เป็นความรักความผูกพัน อันท่วมท้นเท่าที่คนๆหนึ่งจะรักได้
เป็นการรอคอยอย่างรวดร้าวและยาวนาน เท่าที่หัวใจดวงหนึ่งจะพึงรับไหว

แม้วันนี้ "กีตาร์" จะกลายเป็นศิลปินนักร้องระดับซูเปอร์สตาร์
และ "พี่คิม" ได้กลายเป็นนายแพทย์คิมหันต์
แม้ว่า...ทุกการกระทำและทุกการตัดสินใจของคนเราจะมีผลกระทบต่อผู้คนแวดล้อม
และถูกบีบให้เลือกระหว่างตัวเองกับคนรอบข้างอยู่ร่ำไปก็ตาม
แม้ว่าจะมีตัวแปรและอุปสรรคมากมายขวางกั้น แต่ไม่ได้หมายความว่าเป็นไปไม่ได้

เกลียวคลื่นยังม้วนตัวมาจากทะเลจีนใต้อันไกลโพ้น เพื่อเข้ากระทบชายหาดได้
แสงตะวันยังเดินทางตั้ง 93 ล้านไมล์ ผ่านห้วงอวกาศ มาสาดแสงแห่งรุ่งอรุณ
กระแสลมแห่งเวลาสิบปีที่ล่วงผ่าน ก็ยังพัดหวนพาเธอกับเขากลับมาพบกันอีกครั้ง ในค่ำคืนที่ต่างมีความทรงจำร่วมกัน
คู่รักที่เกิดวันเดียวกัน นั่นคือ โชคชะตา
การได้กลับมาพบกัน นั่นคือของขวัญจากพระเจ้า
สิ่งที่เหลือคือ...พรหมลิขิต

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 5.

5

เบนโจ ลี ตรวจเมลก่อนเข้านอนเหมือนอย่างทุกคืน ทว่า...ยังไม่มีข่าวคราวตอบกลับมาจากเอพิล ความผิดหวังแทรกซอนในอารมณ์อยู่ชั่วครู่ ก่อนจะสลัดมันออกไปด้วยเพลงของโมสาร์ท สำเนียงก้องกังวานเริ่มไหววิญญาณของตัวมันเองใน "Midnight Serenade" บนพื้นผิวแห่งท่วงท่วงทำนองเริงร่า...

ทุกครั้งที่เบนโจ ลี ได้ฟังเพลงของโมสาร์ท ผู้เป็นแรงบันดาลใจให้หลงใหลเวทย์มนต์ของดนตรี เขาจะจมดิ่งและหลุดหายเข้าไปในนั้น ด้วยค้นพบว่า...ภายใต้ท่วงทำนองที่สะกดความรู้สึกนี้ มีริ้วเสียงแผ่วโหย คร่ำครวญเร้นแฝงอยู่ แม้การประพันธ์เพลงนี้จะเพื่อความสุขของคนอื่น แต่จิตสำนึกเขาอาจ...เศร้าท้นเหลือประมาณ เกินกว่าจะเก็บซ่อนได้หมด มันจึงซึมซ่านออกมา ภายใต้ลีลาแห่งความสุขนั้น

เบนโจ ลี เข้าใจความรู้สึกเหล่านั้นเป็นอย่างดี เพราะเขาเองก็เขียนเพลงจากความรู้สึกในมุมกลับของจิตใจ...ยามหม่นเศร้าเขาปรารถนาให้คนในโลกไร้ความเศร้าหมอง ทุกข์ตรม...

นับแต่โมสาร์ท เริ่มจรดปลายนิ้วบรรเลงเพลงครั้งแรกจนถึงบัดนี้ ผ่านมายาวนานกว่า 200 ปี การสืบทอดก็มิเคยขาดหายไป มันยังคงสถิตอยู่ในโลกนี้ ซึมซาบอยู่ในคีตจักรวาลอย่างสืบเนื่อง...

ชีวิตศิลปินที่ประสบความสำเร็จ เป็นพงศาวดารซ้ำซากอยู่ในรากฐานของทุกข์ยากสิ้นหวัง เหน็บหนาวและหิวโหย น้อยคนนักที่จะมีโอกาสได้โค้งรับความสำเร็จในขณะที่มีชีวิตอยู่...

ต่อเมื่อพวกเขาตายไปแล้วนั่นแหละ ความสำเร็จทั้งหลาย...จึงผุดขึ้นมาครองชีวิต จากกองเถ้าถ่านของตัวเอง

ตำนานจารึกเรื่องราวของโมสาร์ทที่ทอดอยาก แห้งแล้ง ไชคอฟสกี้ที่ว้าวุ่นวิปริต เบโธเฟนหูหนวกสนิทแต่ยังเวียนว่ายอยู่ในเสียงเพลง สิ่งน่าเศร้าเหล่านี้เป็นอมตะ และไม่มีวันจางหายไป

แล้วเขาเล่า? ชายหนุ่มตั้งคำถามกับตัวเอง ท่ามกลางความฟุ้งซ่านของความคิด

ภาพของท่านประธานบริษัท ที่เหลือบตามองมา ยามเดินสวนกันในที่ทำงานผ่านเข้ามาในความทรงจำ...การพูดคุยกันแต่ละครั้ง มีแต่เรื่องงาน ไม่มีแม้สักครั้งที่จะถามไถ่ในฐานะของพ่อกับลูก และเขาก็เลือกที่จะวางตนเท่าเทียม...ประดุจเช่น พนักงานคนหนึ่งในบริษัท ความรู้สึกคับข้องถูกแปรเปลี่ยนออกมาเป็นงาน ชิ้นแล้วชิ้นเล่า...

ศิลปะบริสุทธิ์มักเกิดขึ้นมาจากโศกนาฏกรรม จากหัวใจที่ปวดร้าว อาจเพราะศิลปินนั้นอยู่ได้ด้วยความหยิ่งประการหนึ่ง และความหยิ่งนี้ไม่พร้อมจะรับความสมเพชจากใคร ความสงสารนั้นศิลปินจะเป็นผู้มอบให้กับตนเอง จึงมีอะไรบางอย่างเหลื่อมซ้อนกันอยู่ ระหว่างนักบุญผู้เสียสละ กับศิลปินผู้อาภัพ เบนโจ ลี รู้สึกเช่นนั้น

‘ความรัก’ ก็เป็นอีกประการหนึ่ง ที่ทำให้เบนโจ อยากขับขานบทเพลงอ่อนหวาน เจือจานไปสู่ผู้คนไม่เลือกหน้า บทเพลงแห่งความหวังจะก้องดังขึ้นมาในใจ ในระหว่างที่เฝ้ารอข่าวคราวเช่นยามนี้ และท่วงทำนองแห่งความเศร้าจะแผ่วครวญทุกครั้งที่อำลา

แรงบันดาลใจเกิดขึ้น และล่องไหลบ่าไปไม่เคยสิ้นสุด เพื่อให้โดยไม่คาดหวังแม้สิ่งตอบแทน ไม่คิดครอบครองเป็นเจ้าของเพราะนั่นคือความคับแคบที่ถึงจุดตีบตัน

เขาจึงเลือกที่จะกัดแทะความรู้สึกเจ็บปวด ด้วยน้ำมือของตัวเอง

ท่วงทำนองแห่งความเดียวดาย ขยับไหวอยู่ในความคิด ชายหนุ่มลงมือบันทึกโน้ตอย่างรวดเร็ว ก่อนที่เสียงกึกก้องในวิญญาณจะสูญหายไร้ตัวตน



bd21427_





จวนจะสองนาฬิกาของวันใหม่แล้ว ทว่าคิมหันต์ยังมิอาจข่มตาให้หลับลงได้ พรายฟ่องแห่งความนึกคิดผุดขึ้นระลอกแล้วเล่า...รบกวนให้ใจพลุ่งพล่านร้อนรน

ปิดตาลงครั้งใดก็เห็นภาพข่าว เริงล้ออยู่ใต้เปลือกตา ปลุกความทรงจำแต่หนหลังให้โถมถั่งดั่งเกลียวคลื่นอันมิรู้จบ รานรุกไล่อยู่ในอาณาจักรจิตใต้สำนึก

ร่างสูงโปร่งยันกายลุกจากเตียง เปิดประตูออกก้าวออกไปรับอากาศบริสุทธิ์ที่สนามหน้าบ้าน กลิ่นดอกกุหลาบเถาโชยชายอยู่ในสายลม เมื่อคิมหันต์ทิ้งกายลงนั่งที่ใต้ซุ้ม ลมเย็นชื้นพัดโบกมา...กวนตะกอนอดีตอันหวานรื่นให้หวนคืน...



“พี่คิมจ๋า...พี่คิมคนดี๊คนดีอยู่ไหน...”

เสียงใสๆใกล้เข้ามาเรื่อยๆ หากคนที่กำลังนอนพังพาบท่องหนังสืออยู่บนเสื่อใต้โคนก้ามปูปิดปากเงียบไม่ยอมขานรับ เพราะรู้ว่า...ขืนให้เจอตัวหนังสือหนังหาเป็นอันไม่ต้องอ่านกัน

“พี่คิมอยู่ไหนจ๊ะ พี่คิม...พี่คิมโว้ยตายหรือยัง”

สูตรเคมีที่กำลังท่องอยู่คล่องๆเมื่อครู่พลันได้หน้าลืมหลัง เพราะกลั้นหัวเราะไม่ไหว เสียงฝีเท้าซอยย่ำตึ้กๆใกล้จะถึงเต็มที

“หลบอยู่ที่ไหนเนี่ย เค้าหาจนเหนื่อยแล้วนะ หาเจอเมื่อไหร่ละน่าดู”

น้ำเสียงกระเง้ากระงอดปนคาดโทษอยู่ห่างไม่ถึงสิบก้าว เพียงโผล่หน้าให้พ้นกอพลับพลึงก็จะเห็นกัน...จะซ่อนต่อไปให้หาเจอเองก็รำคาญจะฟังคำตัดพ้อต่อว่า จึงตัดใจปิดหนังสือแล้วขานรับ

“อยู่นี่...เสียงดังเป็นเจ๊กตื่นไฟไปได้”

ร่างเพรียวบางในชุดกางเกงขาสั้น แหวกกอพลับพลึงโผล่พรวด ตรงเข้ามานั่งแปะบนเสื่อ

“อยากไม่ยอมขานเองนี่”

“ก็พี่จะท่องหนังสือ”

“ตีต้าไม่ได้กวนเสียหน่อย ก็ท่องไปสิ”

ว่าแล้วก็ล้มตัวลงนอนเคียงข้าง สองมือประสานรองท้ายทอยต่างหมอน พอเห็นอีกฝ่ายเปิดหนังสืออ่านต่อจริงๆ ก็สะกดอาการอยากชวนคุย สายตาสอดส่ายมองไปตามกิ่งก้านก้ามปู เป็นอย่างนั้นอยู่ได้ไม่กี่อึดใจ ศอกแหลมๆก็เลื่อนมากระทุ้งสีข้างคนท่องตำรา

“ทำไมต้นก้ามปูถึงมีดอกชื่อจามจุรีหือพี่คิม”

“เรียกให้เพราะขึ้นมั้ง” ตอบส่งๆไปเพื่อตัดรำคาญ

“ตีต้าว่าไม่ใช่หรอก เพราะเวลาเลื่อยต้นมาเป็นไม้ก็ยังมีอีกชื่อ ทายซิชื่ออะไร”

พออีกฝ่ายไม่ตอบก็เริ่มแหย่ “ไม่รู้ละสิ...เค้าจะนับหนึ่งถึงสามถ้าตอบไม่ได้ต้องให้ขี่หลัง”

ศอกแหลมๆกระทุ้งมาอีก “เค้าจะนับละนะ...หนึ่ง...สอง...”

“ไม้ฉำฉา”

ปากบางแดงจัดคลี่ยิ้มอย่างมีชัย เมื่ออีกฝ่ายยอมตอบ

“แล้วพลับพลึงล่ะชื่อฝรั่งเรียกอะไรรู้มั้ย”

“ไหนบอกจะไม่กวน” เสียงเริ่มเข้มขึ้น

“เปล่ากวนซักหน่อย ตีต้าแค่พูดคนเดียวอยากมาฟังเองนี่”

“ถ้าพี่ตกเคมี ปีนี้จะไม่ให้ของขวัญวันเกิด”

“ไม่ตกหรอก...พี่คิมเรียนเก่งจะตาย รับรองว่าต้องสอบเข้าวิศวะได้แน่นอน” คนช่างพูดรีบหยอดลูกยอเพราะกลัวอดของขวัญ

“แล้วเราล่ะ...หน้าอย่างนี้จะสอบเข้าศิลปากรได้หรือเปล่า”

“ถึงไม่ได้ก็ไม่เป็นไร...ตีต้าจะเกาะพี่คิมกินไปตลอดชีวิตเลย”

“ใครเขาจะให้เกาะ เป็นอะไรกันเสียเมื่อไหร่”

“งั้นเค้าหาคนอื่นก็ได้…เพื่อนพี่คิมแอบปิ๊งตีต้าอยู่ก็มี พี่กอล์ฟคนที่ขาวๆสูงๆน่ะล้อหล่อ…ว่ามะ”

คนฟังขัดหูขึ้นมาทันที หันหน้าหนีทำทีเป็นอ่านตำราแต่ว่าไม่มีสมาธิแม้แต่น้อย อดไม่ได้ที่จะปรายตามองหน้าขาวๆ พอเห็นดวงตากลมโตคู่นั้นเป็นประกายราวเคลิ้มฝันความรู้สึกบางอย่างที่เจ้าตัวก็ไม่แน่ใจ พลันพลุ่งพล่านอยู่ในอก ขับดันให้โพล่งออกมา

“พูดอะไรไม่รู้จักคิด หาคนโน้นคนนี้เกาะ ยังไม่ทันเป็นสาวเต็มตัวก็เห็นใครๆหล่อแล้ว...น่าเกลียด”

“ก็พี่คิมไม่อยากให้ตีต้าอยู่ด้วยเองนี่ พูดเล่นแค่นี้ก็ต้องดุด้วย” ยังไม่วายเถียงแต่เสียงอ่อยลงถนัด

“อย่าพูดอย่างนี้อีกพี่ไม่ชอบ”

“ไม่ชอบให้ตีต้าสนใจคนอื่นใช่ม๊า...” ศอกแหลมๆเลื่อนมากระทุ้งอย่างจะหยอกล้อ

“โกรธเหรอ” เธอเอียงหน้าเข้ามาชิด แววตาง้องอน

“ตีต้ารักคุณย่า รักพี่คิม ถ้าพี่คิมบอกว่าไม่...เค้าจะไม่ทำ” พอเห็นอีกฝ่ายยังไม่พูดไม่จาก็ยื่นนิ้วก้อยมาให้ “สัญญาว่าชาตินี้จะไม่มองผู้ชายคนไหนอีกเลย จะอยู่กับพี่คิมให้พี่คิมดูแลตลอดไปจนตาย...รักพี่คิมคนเดียวด้วยเอ้า...”

ตาดุๆเมื่อครู่เปลี่ยนแสง ก่อนเบือนหน้าหนีซ่อนยิ้ม ความขุ่นมัวสูญสลายไปสิ้น ความรู้สึกประหลาดก่อเกิดขึ้นในใจ...เป็นความรู้สึกอยากปกป้องดูแล ห่วง...หวงแหนและอ่อนหวานราวปีกผีเสื้อ

พอนิ้วเล็กๆยื่นมาคะยั้นคะยอ คิมหันต์ก็ยื่นนิ้วก้อยมาแตะก่อนเกี่ยวคล้องกันไว้ เหมือนกระแสไฟแล่นผ่านวาบพุ่งถึงใจ น้ำเสียงที่เอ่ยออกไปจึงหนักแน่นจริงจังนัก

“พี่สัญญาว่าจะดูแลตีต้า ไม่ให้ตีต้าต้องเสียใจเลยไปจนตาย”

“อย่าขี้โกงสิ...หายไปท่อนนึง ต้องบอกด้วยว่า พี่จะรักตีต้าคนเดียว” เธอท้วง ประโยคสุดท้ายเลียนเสียงคนที่นอนคว่ำอยู่ข้างๆได้อย่างไม่ผิดเพี้ยน และคำพูดนั้นทำให้ผิวหน้าของพี่คิมแดงระเรื่อขึ้นมาทันที

ตาสบตา ประกายบางอย่างในดวงตาคมลึกดูแปลกเปลี่ยนแรงกล้า จนเธอต้องเลื่อนสายตาหลบด้วยอาการขัดเขิน

“เอาไว้พี่สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ก่อนแล้วจะบอก บางเรื่องยังไม่ถึงเวลาก็ไม่ควรพูด”



ทว่า...ไม่มีวันนั้น กีตาร์สูญหายเหมือนตายจาก ไม่เคยมีแม้ข่าวคราวส่งมา รู้จากป้าเดือนแต่เพียงว่า พ่อของเธอมารับไป

คิมหันต์สอบติดคณะแพทย์ศาสตร์ไม่ใช่วิศวะ อีกทั้งเมื่อถึงวันที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ เธอก็ไม่ได้อยู่รอฟังคำพูดนั้นอีกแล้ว และเขาก็ไม่เคยบอกเช่นนั้นกับผู้หญิงคนไหนอีกเลย...แม้แต่ม่านแก้ว

เขารอเธอเสมอมา...ปีแล้วปีเล่า มีเรื่องราวมากมายอยากบอกกล่าวให้ร่วมรู้ จากนักเรียนแพทย์กลายเป็นหมอฝึกหัด กระทั่งก้าวเข้าสู่การเป็นนายแพทย์เต็มตัว ความสำเร็จในการเรียนหรือหน้าที่การงานไม่เคยทำให้เขารู้สึกเปี่ยมเต็ม...ชีวิตบางส่วนเหมือนขาดหาย เมื่อแน่ใจว่า...เธอจะไม่กลับมา...

เรื่องบางเรื่องสำหรับคนบางคน เหมือนเพียงแค่สายลมพัดผ่าน ก็แค่รักแรกในวัยรุ่น แต่สำหรับเขา ‘ความรัก’ เมื่อมันก่อเกิดมิใช่ฉาบฉวย รักนั้นฝังรากหยั่งลึก มั่นคง จริงจัง และเมื่อผิดหวังจะมิหยั่งรอยแผลลึกทิ้งไว้ได้อย่างไร



ที่สนามหญ้าหลังกำแพงหินสูงท่วมหัว ปิดกั้นสายตา ของคนสองคนซึ่งกำลังระลึกถึงกันไว้ ราวกลเกมแห่งโชคชะตาได้ส่งอุปสรรค์มาทดสอบไม่สิ้นสุด แม้อยู่ใกล้กันเพียงกำแพงรั้วกั้นก็มิอาจพานพบ รับรู้ได้เลย

ขณะที่คิมหันต์กำลังนั่งครุ่นคิดถึงอดีตอยู่ใต้ร่มกุหลาบเถา

อีกคนก็กำลังย่ำเท้าเปล่าเปลือยลงบนพื้นหญ้าเปียกชื้นน้ำค้าง ผมหยิกสยายยามนี้ถักพันไว้เป็นเปียหลวม ร่างบางที่มีเพียงเสื้อกล้ามกับกางเกงเล เดินฝ่าสายลมเย็นเฉียบ วนไปมารอบแล้วรอบเล่า โดยไม่รู้ร้อนหนาว

ใจวนเวียนครุ่นคิดหาทางออก ทำอย่างไร...จะไม่ให้พี่คิมต้องเดือดร้อน

บางที...ถ้าเธอกับเขาออกแถลงข่าวด้วยกัน ประกาศว่าไม่เคยมีความสัมพันธ์อื่นใด นอกเหนือจากการเป็นหมอและคนไข้ อย่างที่ท่านประธานต้องการ...นั่นจะยุติปัญหาหรือความยุ่งยากวุ่นวายทั้งหลายที่จะตามมาให้พี่คิมได้

การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าให้ล่วงผ่าน ไม่ใช่เรื่องยากเย็นเกินความสามารถ แต่สิ่งที่ยากกว่าคือการบิดเบือนความจริงในใจตนเองต่างหาก

ความสัมพันธ์ฉันท์หมอกับคนไข้งั้นหรือ?

ต่างก็รู้แก่ใจว่ามันไม่จริง ถ้าเลือกได้...จะประกาศให้โลกรู้ จะสละสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าเงินทอง ชื่อเสียงหรือเวทีในวงการมายาที่เหยียบครอง เพื่อแลกกับรักแรกที่หยั่งลึก ก็รอคอยมาแสนนาน พอได้พบจะให้บอกออกไปอย่างไรว่า...ไม่เคยรัก!

ใจตนนั้น รู้แท้...แน่ประจักษ์

แต่...พี่คิมยังเหมือนเดิมหรือไม่ เธอไม่รู้...

จดหมายฉบับแล้วฉบับเล่าที่เธอส่งมาตลอดเก้าปี เขาไม่เคยตอบ ถึงจะย้ายบ้านไปในภายหลัง แต่อย่างไร...ข่าวคราวที่เธอส่งมา ในช่วงแรกๆย่อมถึงมือ

พี่คิมคนที่มีเหตุผลและเข้าใจเธอเสมอมา การโกรธเคืองเกินกว่าจะอภัยให้ได้ เพียงเพราะเธอไม่ได้รอบอกถึงเหตุผลความจำเป็นด้วยตัวเองแค่นั้นมันเป็นไปได้อย่างไร นอกเสียจาก...ที่ผ่านมา เป็นเพียงความวูบไหวไม่จริงจัง พอนึกถึงตรงนี้น้ำตาก็พาลจะไหลก็ไหนเคยบอกว่า...

‘พี่สัญญาว่าจะดูแลตีต้า ไม่ให้ตีต้าต้องเสียใจไปจนตาย’

แม้ทุกอย่างจะล่วงผ่านยาวนานนับสิบปี แต่ทุกภาพเหตุการณ์ในช่วงเวลานั้นยังแจ่มกระจ่างนัก



“ร้องไห้ทำไม...ใครทำอะไร บอกพี่มาเดี๋ยวนี้” ร่างสูงโปร่งในชุดนักเรียนม.ปลายตรงรี่เข้ามาจับตัวเธอเขย่า คาดคั้นเอาความ เมื่อเห็นน้องนั่งซบหน้าอยู่ลำพังที่มุมสนามบาส

“ส้มเค้าว่าตีต้าเป็นลูกฝรั่งขี้นก แล้วก็ล้อว่า...ว่า...” คนเล่าติดอ่างเอาดื้อๆ

“ว่าอะไร...”

“ช่างเถอะ ตีต้าไม่สนใจแล้วละ” เธอกระอักกระอ่วนเกินกว่าจะพูดออกมาได้

“ไม่ได้...บอกมาเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นพี่จะไปถามยายส้มเอง”

“อย่านะ...” มือน้อยๆรีบคว้าแขนของพี่คิมเอาไว้ทันที

“พี่คิมต้องสัญญาก่อนว่าจะไม่ไปเอาเรื่องส้ม ตีต้าอยากให้มันจบๆไป”

ดวงตาดำลึกเอาเรื่อง จ้องกลับมานิ่งไม่ยอมเอ่ยปากสัญญา

“ทำไมชอบห่วงคนอื่นมากกว่าตัวเองอยู่เรื่อย”

“ก็ส้มเค้าชอบพี่คิม ใครๆก็รู้”

“แต่พี่ไม่ชอบเขา ไม่เล่าก็ตามใจ” ร่างสูงทำท่าจะผละไป

“บอกก็ได้...” เธอหลุบตาลงมองพื้นด้วยความรู้สึกอับอาย เมื่อเริ่มต้นเล่า

“เขาไปพูดกับเพื่อนคนอื่นว่า...ตีต้าเป็นนางบำเรอ เป็นของเล่นที่พี่คิมเก็บเอาไว้ในบ้าน เขาหาว่าเรา...มีอะไรกัน”

ดวงตาดำลึกเปลี่ยนเป็นวาวโรจน์ขึ้นมาทันที

“ทีหลังใครพูดอย่างนี้อีก บอกไปเลยว่าถึงวันนี้เราจะยังไม่ได้มีอะไรกัน แต่ทันทีที่พี่เรียนจบมีงานทำ พี่จะแต่งงานกับต้า”

“พี่คิม”

ร่างสูงก้าวพรวดๆจากไป หลังจากนั้นเรื่องนี้ก็ยุติ ส้มสงบปากสงบคำและไม่กล้าสบตาเธออีกเลย กีตาร์ไม่เคยถาม...อีกทั้งพี่คิมก็ไม่เคยเล่าว่าเขาไปพูดอะไรกับส้ม

เขาเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของเธอ ทั้งพี่ เพื่อนเล่น และคนที่ปกป้องดูแล กีตาร์ไม่รู้ตัวว่าจากน้องสาวกับพี่ชาย กลับแปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกที่ลึกซึ้งกว่านั้นเมื่อใด

รู้แต่ว่าระยะหลัง พี่คิมระมัดระวังเรื่องอยู่ใกล้ชิดกันมากขึ้น

“ออกไปคอยข้างนอก เข้ามานอนเล่นในห้องพี่อย่างนี้ได้ยังไง” คนที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จดุพลางยกชายผ้าขนหนู ที่คล้องคอขึ้นซับหยดน้ำบนใบหน้า

“ทำไมจะไม่ได้ เค้าก็ทำอย่างนี้ออกบ่อยไป”

“นั่นมันก่อนนั้น”

“แล้วมันต่างกันยังไงล่ะ”

เขาลากแขนเธอมายืนหน้ากระจกเงา

“ดูเอาเอง”

ดวงตาที่สบกับเธอในกระจก คือเจ้าของร่างเพรียวบางที่เริ่มมีส่วนเว้าส่วนโค้งของสาวรุ่น งามสะพรั่งราวดอกไม้แรกผลิ พอสบตากับคนที่ยืนอยู่ข้างหลังทางกระจกเงา ความเข้าใจก็ปรากฏ ใบหน้าจึงร้อนวูบด้วยความละอาย

“งั้นเค้าออกไปรอข้างนอกนะ” ขาเรียวยาวก้าวแทบวิ่งออกไปจากห้อง

“วิ่งโครมๆมาจากไหนละนั่น...หือ...”

“พี่คิมไล่ออกมาจากห้องค่ะคุณย่า” พอเห็นคุณย่ามองลอดแว่นก็ อุบอิบอธิบาย

“ตีต้าชอบลืมว่าตัวเองโตแล้ว เข้าไปในห้อง พี่คิมเลยดุเอา”

“ดีแล้วลูก...ที่รู้จักควรไม่ควร เด็กหนุ่มสาวสมัยใหม่เขาเติบโตกันขึ้นมาด้วยความรีบเร่ง ฉาบฉวย ไม่คิดอะไรละเมียดละไมลึกซึ้งเหมือนแต่ก่อน ทุกอย่างมันก็เลยเร็วแล้วก็ลวกไปทั้งนั้น เห็นการรักนวลสงวนตัวเป็นเรื่องล้าหลัง เดี๋ยวนี้เลยนับแต้มกันเป็นว่าเล่น”

กีตาร์ยกมือปิดปากหัวเราะความรอบรู้ ร่วมสมัยของคุณย่า

ที่จริงคุณย่าไม่ใช่ผู้หญิงอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน คว้าปริญญามาจากเมืองนอกเมืองนาด้วยซ้ำ คุณย่าเป็นภริยาท่านทูต เดินทางตามสามีไปอยู่หลายประเทศจนกระทั่งสามีเสียชีวิต จึงกลับมาอยู่เมืองไทย ทำธุรกิจส่งออกผ้าไหม กระทั่งลูกชายคือพ่อของคิมหันต์ย้ายไปตั้งรกรากครอบครัวใหม่อยู่ที่ต่างประเทศ คุณย่าจึงเปลี่ยนมาปลูกตึกให้เขาเช่าเพื่อจะได้พักผ่อนอย่างจริงจังเสียที

ชีวิตที่ผ่านอะไรมามากมาย ทำให้คุณย่ามีเรื่องน่าสนใจมาเล่าให้กีตาร์ฟังอยู่เสมอ และสิ่งเหล่านั้นซึมซับ สั่งสม ลงไปในจิตใจอย่างไม่รู้ตัว

“คุณย่าขา ทำไมคนที่เขามีทุกอย่าง สวย รวย เรียนเก่ง ถึงชอบทำร้ายคนอื่นล่ะคะ ทั้งที่เขาไม่ได้มีปมด้อยอะไรสักอย่าง”

เธอวางคางลงบนเข่า ช้อนตามองคุณย่า หลังจากถูกเพื่อนแกล้งล้อเรื่องการเป็นลูกครึ่ง และไม่มีแม่ หนักขึ้นทุกวัน

“ก็นั่นแหละคน ดูคนต้องดูที่ใจไม่ใช่แค่ดูหน้า” คุณย่าบอกด้วยน้ำเสียงเมตตา

“มีปรัชญาของคาริล ยิบราลเขียนไว้ว่า...กาลครั้งหนึ่งความงามกับความอัปลักษณ์ได้ชวนกันไปว่ายน้ำ เมื่อถึงฝั่งต่างก็เปลื้องผ้ากองไว้ แล้วกระโดดลงไปเล่นน้ำ เจ้าความอัปลักษณ์นี่มีหัวใจไม่เพี้ยนจากร่าง จึงฉวยโอกาสว่ายกลับเข้าฝั่งไปก่อน เอาเสื้อผ้าของความงามสวมแทนแล้วหนีไปในโลกกว้าง...”

พอเห็นกีตาร์จ้องตาแป๋ว นั่งฟังอย่างตั้งใจ คนเล่าก็ยิ้มน้อยๆ

“เมื่อเจ้าของเสื้อผ้ากลับมาก็รู้ว่าเสียท่าเพื่อน จะเดินกลับโดยไม่มีเสื้อผ้าก็อดสูใจ จึงจำยอมสวมเสื้อผ้าของความอัปลักษณ์ นับแต่นั้นมา คนในโลกก็มองทุกอย่างสลับกันไปหมด เมื่อได้พบความงามก็หลงความงามโดยไม่รู้ว่าข้างในนั้นคือ เจ้าตัวอัปลักษณ์แปลงร่างมาล่อลวง...เข้าใจไหมลูก...ว่าหมายความว่ายังไง

“เข้าใจค่ะ...เรามองคนแต่ภายนอกไม่ได้ใช่ไหมคะ”

สายตาปราณีของคนสูงวัยมีแววพึงพอใจ

“ถูก...ของแท้กับของปลอมน่ะดูไม่ยากนักหรอก อะไรที่สร้างขึ้นมามันจะหลวมๆหมิ่นๆเหม่ๆ ก็รากฐานมันไม่มั่นคง เหมือนต้นไม้ที่โตจากเมล็ด กับไม้พันธุ์ทางที่ตอนกิ่งมาทาบไว้เฉยๆไง เดี๋ยวมันก็กะเทาะออกมาจนได้...ไม่เร็วก็ช้า ต้าจำไว้นะ...คนเราเวลามองโลกมองผู้คน ต้องรู้จักคิด รู้จักแยกแยะ ฝันเอาอย่างเดียวไม่ได้ต้องอยู่กับความเป็นจริงด้วย”

“แต่บางครั้งความจริงก็โหดร้ายจังนะคะคุณย่า จนเราอยากหลบเข้าไปอยู่ในโลกของความฝัน” ความเศร้าฉายเงาในดวงตาเธอขณะพึมพำออกมา

“หลบกับหลอกมันก็อันเดียวกันนั่นแหละ...เราหลอกคนอื่น ถูกคนอื่นหลอกมันก็มากพอแล้ว อย่าต้องมาหลอกตัวเองซ้ำเข้าไปอีกเลย ทุกข์สุข มันก็แค่ผ่านมาแล้วผ่านไป แต่ความจริงก็คือสัจจะที่ไม่แปรเปลี่ยน”

เธอเพิ่งรู้ตัวว่าคำสั่งสอน บอกเล่าต่างๆนานาเหล่านั้นถูกบันทึก ฝังลึกอยู่ในใจ และได้นำออกมาใช้เมื่อเผชิญหน้ากับทางเลือก หรือต่อสู้กับความอ้างว้างโดดเดี่ยว แม้ยามนี้ที่ผงาดอยู่แถวหน้าของวงการเพลง ก็ไม่เคยลุ่มหลง ลืมตัว ด้วยรู้ความจริงว่า...มายามิเคยเที่ยงทน

หากแต่ครั้งนี้...ช่างหนักหนา จะคลี่คลายได้อย่างไรถ้าไม่บิดเบือน

ความจริงจะทำลายทุกอย่างย่อยยับหรือไม่ จะเกิดอะไรขึ้นกับพี่คิม ถ้าเขามีใครอยู่แล้วที่ไม่ใช่เธอ

“คุณย่าขา...ตีต้าอยากพบคุณย่าเหลือเกิน อยากถามว่า...ตีต้าควรจะทำยังไงดี” เธอรำพึงแผ่วไปกับสายลม

QQQQQ



แด่ความรื่นรมย์แห่งรัก…

ด้วยความขอบคุณ

ปัญจนารถ






ปัญจนารถ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 21 ส.ค. 2557, 23:34:30 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 21 ส.ค. 2557, 23:34:30 น.

จำนวนการเข้าชม : 939





<< ตอนที่ 4.   ตอนที่ 6. >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account