การเอาคืนของหนุ่มร้านเบเกอรี่
บ้านของผมเป็นร้านขายเบเกอรี่ บ้านฝั่งตรงข้ามก็เช่นกัน
เป็นเรื่องปกติที่ถ้ามีคนมาแย่งลูกค้าแล้วจะรู้สึกไม่ชอบหน้าคนๆนั้น ทั้งสองร้านจึงเป็นศัตรูกันไปโดยปริยาย
ไม่ใช่แค่พวกผู้ใหญ่ สุดท้ายการที่โดนเป่าหูมากๆก็ทำให้ผมรู้สึกไม่ชอบยัยลูกสาวร้านเบเกอรี่ฝั่งตรงข้ามนั่นไปด้วย จะว่าไงดีล่ะ ก็มองเธอเป็นคู่แข่งมาตลอดเลยล่ะกับยัยแยมโรลนั่น
เป็นเรื่องปกติที่ถ้ามีคนมาแย่งลูกค้าแล้วจะรู้สึกไม่ชอบหน้าคนๆนั้น ทั้งสองร้านจึงเป็นศัตรูกันไปโดยปริยาย
ไม่ใช่แค่พวกผู้ใหญ่ สุดท้ายการที่โดนเป่าหูมากๆก็ทำให้ผมรู้สึกไม่ชอบยัยลูกสาวร้านเบเกอรี่ฝั่งตรงข้ามนั่นไปด้วย จะว่าไงดีล่ะ ก็มองเธอเป็นคู่แข่งมาตลอดเลยล่ะกับยัยแยมโรลนั่น
Tags: รักวัยรุ่น
ตอน: ตอนที่ 2
“อะ...อรุณสวัสดิ์” ผมเป็นฝ่ายเริ่มทักทายก่อน อย่างน้อยนี่ก็เป็นการเริ่มต้นที่ดี เปิดประตูออกมาพร้อมกันแล้วได้ยินคำทักทายที่ไม่คาดว่าจะได้ยินจากปากของผม นั่นแหละเอาคะแนนไปเต็มๆ
“อย่าพูดอะไรชวนคลื่นไส้แต่เช้าได้ไหม?”
“เอ๋?”
“งงอะไรล่ะ มาเอากระเป๋าไปได้แล้ว”
“เหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหห?” นี่ต่อมรับความรู้สึกอันแสนโรแมนติกของแม่นี่ตายด้านรึไงกันเนี่ย
“จะมาเอาหรือไม่มาเอา” เล่นถามแบบนี้ยังไงผมก็ต้องเอาอยู่แล้ว ก็ตอนนี้หน้าที่ถือกระเป๋าให้ยัยลูกสาวร้านเบเกอรี่ฝั่งตรงข้ามเป็นหน้าที่ของผมน่ะสิ
“เอามา” ผมเดินเข้าไปคว้าเอาดื้อๆ แหงล่ะเล่นซะไฟที่คิดจะโรแมนติกกับแม่นี่มอดดับลงหมด แต่สำหรับเรื่องนี้ผมก็เตรียมใจ
เอาไว้แล้วล่ะว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะให้แม่นี่มาหลงรักได้ภายในวันสองวัน
“ต้องอย่างนี้สิ พูดง่ายๆได้รูปไวๆ”
“ไม่ต้องมาพูดเลย ฉันรู้นิสัยของเธอดีน่า ไม่มีทางที่เธอจะมาให้ง่ายๆหรอก”
“รู้ก็ดีนี่ เพราะงั้นก็ก้มหน้าทำหน้าที่เบ๊ให้ดีล่ะ” แยมโรลสะบัดผมแล้วออกเดินนำ ให้ตายสิถ้านี่เป็นโลกแฟนตาซียัยนี่ก็แม่มดชั่วร้ายชัดๆ แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นผมก็จะทำให้แม่นี่หลงหัวปักหัวปำให้ได้
“ตื่นแต่เช้าแบบนี้กินอะไรบ้างรึยังเธอน่ะ” ผมเริ่มเดินเกมต่อ
“จะอ้วกที่กินเข้าไปออกมาก็เพราะนายถามเนี่ยแหละ” คำตอบของยัยนี่เหมือนจงใจจะกวนประสาทผมยังไงไม่รู้
“เธอน่ะหัดพูดจาให้ดีกว่านี้ไม่ได้รึไง คนอื่นเค้าโยนความสัมพันธ์ไปให้ก็หัดรับเอาไว้ซะบ้างสิ”
“แล้วทำไมฉันต้องทำแบบนั้นกับนายด้วย นายน่ะเป็นแค่เบ๊นะ จะมาตีสนิทกับฉันยังเร็วไปร้อยชาติ” ได้ทีวางกล้ามใหญ่จนน่าโมโหเลยแฮะยัยแยมโรล ถ้าจำไม่ผิดเมื่อไม่กี่วันที่แล้วเรายังเป็นคู่แข่งกันอยู่เลยแต่ตอนนี้ไหงกลายเป็นผมโดนข่มอยู่ฝ่ายเดียวได้
“จ้าๆ ไม่ตีสนิทก็ไม่ตีสนิท”
“ว่าแต่เป็นอะไรรึเปล่านายน่ะ วันนี้ดูพูดมากจังทั้งที่เมื่อวานเอาแต่เงียบแท้ๆ” ก็แหงล่ะสิ เมื่อวานผมเอาแต่คิดวางแผนจะจัดการกับเธอทั้งวันนี่นา
“เมื่อวานก็แค่ช็อคนิดหน่อย”
“วันนี้ก็เลยคุยจ้อ ประหลาดคนสมกับเป็นพวกวิปริตชอบแต่งหญิงจริงๆ”
“แล้วเธอที่ชอบแบล๊คเมล์เอาคนอื่นมาเป็นเบ๊ไม่ประหลาดหรือไงเล่า”
“ไม่หนิ เรื่องปกติ”
“มันปกติที่ไหนกัน?” ที่ไม่ปกติคงเป็นสมองของยัยนี่แน่ๆ
“กล้าเถียงรึไงนายน่ะ อย่าลืมว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ในฐานะอะไร”
“ฐานะอะไรก็ช่าง แต่อะไรที่มันถูกก็ต้องเถียงสิ” ผมยังยืนยันคำเดิม ที่เป็นอย่างนั้นเพียงเพราะผมรู้สึกว่าถ้าผมไม่ได้เถียงอะไรบ้างคงอกแตกตายแน่
“กล้าเถียงงั้นหรอ? ได้” เธอมองผมด้วยสายตาอันชั่วร้ายก่อนจะควักโทรศัพท์มือถือออกมา “งั้นก็ไปแก้ตัวบนเว็บบอร์ดเอาเองก็แล้วกัน”
“เฮ้ยใจเย็น” ผมรีบห้าม “ไม่เถียงก็ได้ แต่ขอร้องอย่าเอารูปไปโพสเลยนะ”
“ไม่”
“ไม่อะไรกันเล่า อย่ามาล้อเล่นนะ?”
“ก็ฉันจะโพส นายทำให้ฉันไม่พอใจก็สมควรแล้ว” อะไรของแม่นี่กันล่ะเนี่ย ไม่รู้แหละยังไงก็ต้องแย่งมือถือมาก่อนแล้วค่อยอธิบายทีหลัง
หลังจากตัดสินใจได้ผมก็เข้าไปยื้อแย่งโทรศัพท์มือถือกับเธอ แต่ไม่รู้ว่าเราสองคนแย่งมือถือกันอีท่าไหนรู้สึกตัวอีกทีผมก็ขึ้นค่อมอยู่บนตัวของเธอที่กำลังนอนอยู่บนพื้นถนนเสียแล้ว
“ลุกไปนะเจ้าบ้า ไปตายซะ” เธอหน้าแดง แม้จะเพียงแว๊บเดียวแต่ผมรู้สึกได้ว่ายัยร้านตรงข้ามนี่กำลังอายอยู่แน่ๆ
“บอกให้ไปตายซะไง” พูดจบเธอก็ใช้นิ้วจิ้มตาผมเข้าอย่างจังก่อนจะดันตัวผมออกแล้วลุกขึ้น
“เล่นจิ้มตากันเลยรึไงนะเธอเนี่ย?”
“สมควรกับความบ้าของนายแล้วไง”
“ก็เธอเล่นจะโพสประจานฉันก่อนนี่”
“แค่แหย่เล่นเฉยๆน่ะ ถ้าฉันทำตอนนี้แล้วฉันจะเอาอะไรไว้ต่อรองให้นายมาเป็นเบ๊ให้ฉันได้อีกล่ะ”
“เอ๋?”
“ถ้าว่างๆก็หัดเชื่อใจฉันมั่งนะ เอาแต่ซื่อบื้ออยู่ได้ น่าขัดใจชะมัด”
“ซื่อบื้อ ฉันเนี่ยนะ หมายความว่ายังไง?”
“หมายความว่ายังไงก็หัดเดาเอาเองบ้างสิ” พูดจบเธอก็มาเอากระเป๋านักเรียนของเธอในมือผมแล้วเดินหนีไป
“แล้วตกลงมันหมายความว่ายังไงกันล่ะเนี่ย”
“ตูเนี่ยนะซื่อบื้อ” ตลอดคาบพักผมได้แต่เก็บเรื่องคำพูดของยัยแยมโรลเมื่อเช้าเอามาคิด ไม่มีทางที่ผมจะเป็นอย่างนั้น ก็ผมออกจะหัวดีจะตายไป สอบได้ที่1ของระดับชั้น แถมยังเก่งกีฬา คิดยังไงผมก็ไม่ใช่คนซื่อบื้อ
แต่เรื่องนั้นคิดไปก็เปล่าประโยชน์ สิ่งที่ควรทำตอนนี้คือการทำอะไรให้เป็นประโยชน์มากกว่า อย่างเช่นคิดหาวิธีเพิ่มคะแนนค่าความประทับใจกับแม่นั่นจะได้จบเรื่องบ้าๆนี่ซักที
“ต้องใช้วิธีไหนต่อดีล่ะแบบนี้?”
“นี่นายน่ะ” แน่นอนเจ้าของวิธีใช้น้ำเสียงจิกเรียกคนอื่นแบบนี้มีแค่ยัยร้านฝั่งตรงข้ามเท่านั้น
“อะไรอีกล่ะ?”
“หิวน้ำ” เธอเอามือเท้าโต๊ะเรียนของผมแล้วยื่นหน้าเข้ามาใกล้
“แล้วไง” ผมทำเป็นไม่สนใจ
“หิวน้ำ”
“แล้วมันยังไงกันเล่า?”
“หิวน้ำ”
“นี่เธอจะกวนประสาทกันเล่นรึไง?” ใช่แล้วยัยนี่ต้องจงใจจะทำแบบนั้นแน่ๆ
“ก็บอกว่าหิวน้ำไง? ยังไม่เข้าใจอีกหรอ?”
“เข้าใจ แต่จะมาบอกฉันทำไม?”
“แค่เอ่ยขึ้นลอยๆ เผื่อมีคนใจดีไปซื้อให้”
“คนแบบนั้นมันไม่มีในโลกหรอก” ผมปฏิเสธแบบส่งๆ
“งั้นก็คงต้องโพสรูปสินะ เผื่อคนแถวนี้จะใจดีขึ้นบ้าง” เธอขู่ ซึ่งมันได้ผลกับผมอยู่เสมอ
“ชิ” ผมกัดฟันแล้วลุกขึ้น “รู้แล้วน่ะ แค่ซื้อน้ำใช่ไหม?”
พูดจบผมก็เดินออกจากห้องเรียนมาโดยไม่เอาเงินจากเธอมาซักแดงเดียว ไม่รู้จะเรียกว่าใจดีหรือบ้าดี แต่รวมๆคงเป็นเพราะ
รำคาญยัยแยมโรลล่ะนะ
“ให้ตายสิ ทำไมชีวิตฉันต้องซวยแบบนี้กันนะ”
ในขณะที่ผมกำลังคิดอะไรเพลินๆพร้อมกับเดินลงบันไดอยู่นั้นจู่ๆก็มีร่างของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งพุ่งชนผมจากด้านหลังจนเราทั้งคู่กลิ้งตกบันไดไม่เป็นท่า
“นะ...นี่ระวังหน่อยสิ” ผมหันไปหวังจะตวาดใส่ แต่พอเห็นว่าเป็นต้นข้าว เบ๊หมายเลขสองผู้มีชะตากรรมเดียวกันกับผมก็ทำให้เลิกคิดที่จะว่าเธอ
“ต้นข้าว?”
“ระ...รุ่นพี่ ชีส ขะ...ขอโทษค่ะ” เธอดูร้อนรน
“ไม่เป็นไรหรอก ทีหลังลงบันไดก็ระวังหน่อยสิ” ผมปัดเสื้อผ้าของตัวเองแล้วลุกขึ้นยืน
“ค่ะ” ต้นข้าวก้มหน้ารับ
“ว่าแต่รีบไปไหนล่ะ?”
“ซื้อของค่ะ”
“ซื้อของ” ผมสงสัย แม้จะเป็นของสำคัญแค่ไหนก็ไม่มีความจำเป็นที่เธอต้องรีบขนาดนี้ และผมก็เข้าใจทุกอย่างเมื่อได้เห็นกระดาษที่มีรายชื่อของที่ต้องซื้อยาวเป็นหางว่าวใบหนึ่งตกอยู่ที่พื้น
“ซื้อให้คนอื่นสินะ”
เธอไม่ตอบได้แต่พยักหน้ารับ
“ชอบเป็นเบ๊คนอื่นนักรึไงเธอเนี่ย?”
“ปะ...เปล่าค่ะ” ต้นข้าวพยายามหลบสายตาของผม “ขอตัวก่อนนะคะ”
ไม่ทันที่เธอจะได้ลุกไปไหนเธอก็ล้มลงกองกับพื้นอีกครั้ง จากที่ดูผมคิดว่าเธอคงขาเคล็ดเข้าให้ซะแล้ว
“เป็นอะไรรึเปล่า ไปห้องพยาบาลก่อนไหม?”
“ไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ ที่สำคัญ...” เธอดูกระดาษในมือที่ถูกกำไว้แน่นจนพอจะเดาออกได้ว่าแม่นี่ต้องรั้นไปซื้อของทั้งๆที่ขาเจ็บแน่
“แค่ซื้อตามนี้ก็พอใช่ไหม?” ผมคว้ากระดาษจากมือเธอมา
“เอ๋?”
“รออยู่แถวนี้แหละเดี๋ยวจะไปซื้อมาให้”
ใช่ ผมทำอย่างนั้นจริงๆ ก็ใครจะไปยอมให้สาวน้อยที่ยืนยังจะไม่ไหวฝืนไปซื้อของได้ล่ะ อีกอย่างผมก็ต้องไปที่ร้านขายของอยู่แล้วไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรที่จะต้องซื้อของเพิ่ม
ผมใช้เวลาไม่นานนักในการซื้อของทั้งหมดก่อนจะหิ้วข้าวของพะรุงพะรังกลับมาหาต้นข้าวที่ยังคงนั่งขวางทางลงบันไดอยู่ที่เดิมไม่เปลี่ยน
“นี่เธอคิดจะนั่งขวางบันไดไปถึงเมื่อไหร่กัน?”
“กะ...ก็รุ่นพี่บอกให้รออยู่แถวนี้นี่คะ หนูก็เลย”
“ให้ตายสิ เพราะเป็นคนซื่อแบบนี้สินะคนอื่นเขาถึงได้ชอบใช้เธอกันน่ะ” ผมไม่สบอารมณ์ ก็แหงล่ะแม่นี่เล่นซื่อซะจนน่าหงุดหงิดเลยน่ะสิ
“งั้นหรอคะ?” เธอทำเสียงสลด
“เฮ้อ...” ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ว่าแต่ขาเป็นไงบ้าง ดีขึ้นรึยัง”
“ดีขึ้นแล้วค่ะ คงแค่เคล็ดเฉยๆ”
“ก็ดีนั่งพักซะ เดี๋ยวของพวกนี้ฉันเอาไปให้เอง?”
“เอ๋?”
“อะไรของเธออีก?”
“เรื่องนั้นเดี๋ยวหนูทำเองก็ได้ค่ะ” เธอพยายามลุกขึ้นยืน แต่ถึงจะลุกไหวผมก็คิดว่ายัยนี่เดินไปได้ไม่ไกลแน่
“เธอน่ะพักเถอะ แค่บอกมาก็พอว่าเอาไปให้ใครที่ไหนบ้าง”
“ไม่ได้หรอกค่ะ”
“บอกว่าฉันจะไปให้ก็คือฉันจะไปให้ไงล่ะ”
“ยังไงก็ไม่ได้อยู่ดีค่ะ” เธอตวาด “อะ...เอ่อ ขอโทษค่ะ คะ...คือว่ามันเป็นเรื่องที่ถ้าฉันไม่เอาไปส่งถึงมือเองยังไงก็ไม่ได้ค่ะ”
“งั้นหรอ?” ผมพอจะเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ถึงยังไงผมก็ยอมให้ผู้หญิงที่กำลังเจ็บขาเดินไปเองแน่ๆผมจึงตัดสินใจที่จะช้อนร่างของเธออุ้มขึ้นมา
“จะทำอะไรคะรุ่นพี่”
“ทีนี้ก็บอกมาว่าจะไปที่ไหน?”
“ปะ...ปล่อยเถอะค่ะ อายคนอื่นเค้า” ต้นข้าวหน้าแดง
“ถ้าอายก็รีบบอกมาว่าจะไปที่ไหน จะได้รีบไปกัน”
“รุ่นพี่” เธอจ้องหน้าผมพร้อมบอกด้วยเสียงอ่อย “ห้อง 433 ค่ะ”
“ก็แค่นั้น” หลังจากรู้ห้องผมก็อุ้มเธอขึ้นบันไดไปยังชั้นสามแล้วปล่อยเธอลงไม่ไกลจากหน้าห้องของเธอมากนักไม่งั้นมีหวัง
ได้มีข่าวลือแปลกๆแน่
“ส่งแค่นี้นะ”
“ขอบคุณค่ะ” เห็นได้ชัดเลยว่ายัยรุ่นน้องคนนี้พยายามหลบสายตาผม
“งั้นฉันไปแหละ” ผมกับขวดน้ำเปล่าในมือรีบออกมาจากที่นั่น นั่นเป็นเพราะว่าผมยังต้องไปจัดการกับสิ่งมีชีวิตปริศนาที่พร้อมจะอาละวาดได้ทุกเมื่อเพียงแค่เรื่องหิวน้ำเรื่องเดียวเท่านั้น แน่นอนสิ่งมีชีวิตปริศนาที่ว่าก็คือยัยเพื่อนข้างบ้านที่ตอนนี้กำลังนั่งฟังยัยฝนเพื่อนของเธอนั่งโม้อยู่น่ะสิ
“เอานี่”
ผมเดินเอาขวดน้ำไปให้ ยัยฝนมองจ้องผมตาเป็นมัน
“นี่เธอสองคนสนิทกันขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
“ไม่ได้สนิทซักหน่อย” พวกเราปฎิเสธพร้อมกัน
“แค่ยัยนี่ฝากซื้อน่ะ เพราะงั้นอย่าคิดเรื่องเสียมรรยาทอย่างเราสองคนสนิทกันดีกว่า” ผมแก้ตัว
“ใช่ เรื่องก็เป็นแบบนั้นแหละ” ยัยร้านตรงข้ามช่วยเสริม
“ก็สนิทกันจริงๆนั่นแหละ ถ้าเป็นเมื่อก่อนพวกเธอสองคนคงไม่ฝากกันซื้อของแบบนี้หรอก จะว่าไงดีล่ะเจอหน้ากันก็เขม่นกันตลอด เห็นแล้วน่าอึดอัดชะมัด”
“ก็บอกแล้วไงว่าไม่ได้สนิท” ก่อนจะมีเรื่องให้พูดมากกว่านี้ผมจึงรีบผละออกมาจากตรงนั้นแล้วกลับไปที่โต๊ะของตัวเอง
“อารมณ์เสียอะไรล่ะนายน่ะ” เจ้ากอที่นั่งฟุบอยู่กับโต๊ะเรียนดูออก
“ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่เรื่องไร้สาระน่ะ”
“เรื่อง แยมโรล ใช่ไหม?”
“เอ๋?”
“ก็เล่นคุยกันซะดังลั่นห้องแบบนั้นใครก็ได้ยินแหละ”
“ก็นั่นแหละ” ผมนั่งลงที่โต๊ะด้านขวาของหมอนั่นซึ่งเป็นโต๊ะเรียนของผม “คนอื่นเริ่มคิดว่าฉันสนิทกับแม่นั่น น่าโมโหยังไงไม่รู้”
“ถ้าเรื่องแค่นั้นน่าโมโหนายก็ต้องเตรียมใจรับเรื่องอื่นๆด้วยนะ”
“เรื่องอื่นๆ?” ผมรู้สึกว่าคำพูดของหมอนี่ดูมีเลศนัยยังไงไม่รู้
“ยังไงมันก็ไม่ใช่เรื่องที่บอกไม่ได้ล่ะนะ แต่ขอไม่บอกดีกว่า เพราะแบบนั้นมันสนุกกว่าเยอะ”
“สนุกอะไรของนายกัน”
“สนุกแบบนั้นไง” เจ้ากอมันชี้ไปที่ยัยร้านตรงข้ามที่กำลังแอบเหล่สายตามาทางนี้ทั้งๆที่ปากยังคุยกับยัยฝนอยู่ แต่พอผมหันไปมองยัยนั่นก็รีบหันกลับทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ทันที
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย? ยัยนั่นกะจะกวนประสาทฉันเล่นรึไง?”
“สนุกจริงๆด้วยแหละ”
ตอนนี้มันกำลังเกิดอะไรขึ้นที่ห้องเรียนของผม ดูเหมือนว่าทุกคนจะพยายามปิดเรื่องอะไรบางอย่างกับผมไว้ สาเหตุนั่นคงมาจากแม่นั่นแน่ คงไม่ได้เอารูปไปประจานแล้วหรอกนะ
ในขณะที่ผมกำลังนอนคิดเรื่อยเปื่อยอยู่ในห้องนอนของตัวเองนั้น จู่ๆประตูห้องก็ถูกเปิดออกพร้อมกับการวิ่งพรวดเข้ามาของ แพนเค้ก ยัยน้องสาวตัวเล็กที่เรียนอยู่ ม. 3 โรงเรียนเดียวกันกับผม
“พี่คะ ได้เข้าไปดูเว็บบอร์ดของโรงเรียนรึยังคะ?”
“เว็บบอร์ด”
“ค่ะ มีรูปพี่ลงด้วยแหละค่ะ”
“รูป?” เอาแล้วไง นังแม่มดนั่นเอารูปไปประจานแล้วจริงๆด้วย
“ค่ะ อย่างกับเจ้าชายแหนะค่ะ” ว่าแล้วไง เป็นอย่างที่คิดจริงๆด้วย เอ๊ะ!
“เมื่อกี้ว่าไงนะ”
“เจ้าชายไงคะ เจ้าชายที่กำลังอุ้มเจ้าหญิงไง”
“เหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหห?”

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 19 ก.ย. 2557, 20:15:49 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 19 ก.ย. 2557, 20:15:49 น.
จำนวนการเข้าชม : 789
<< ตอนที่ 1 |