มนต์สีมุก
เรื่องราวของหญิงสาวที่เพิ่งจะมีอายุครบ 22 ปี ผู้ซึ่งได้เจอกับเหตุการณ์ประหลาดและค้นพบว่าเธอมีความพิเศษบางอย่างในตัว และความพิเศษที่ว่าก็มาพร้อมกับความรับผิดชอบและอันตรายที่เธอหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไหนจะยังเรื่องหัวใจที่ทำให้เธอต้องกลุ้มอีกล่ะ
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 9

คุลิกาเดินก้มหน้างุดออกจากตัวอาคารสำนักงาน เรียวปากขมุบขมิบบ่นอุบเรื่องที่พลาดจากการได้ใกล้ชิดปพนธีร์ ทั้งยังเรื่องคิตตี้ภูตินำทางสุดแสบที่หายตัวไปไหนไม่ยอมบอกกล่าว แถมก่อนจะขยับตัวเดินออกจากอาคาร หญิงสาวนึกเอะใจอะไรขึ้นมาลองควานหาของในกระเป๋าปรากฏว่าไม่พบโทรศัพท์มือถือ ยืนนึกทบทวนอยู่สักพักก่อนที่จะเดินกลับไปที่ร้านกาแฟเอ่ยถามกับพนักงาน พนักงานร้านกาแฟช่วยกันหาและสอบถามกับพนักงานด้วยกันอยู่นานแต่ก็ไม่มีใครพบโทรศัพท์ของเธอ

เมื่อพึ่งพนักงานร้านกาแฟไม่ได้แล้ว หญิงสาวจึงไปติดต่อกับฝ่ายรักษาความปลอดภัยของอาคารเพื่อขอตรวจสอบกล้องวงจรปิด แต่โชคร้ายที่บริเวณที่หญิงสาวนั่งในร้านนั้นไม่อยู่ในจุดที่กล้องจะบันทึกภาพเป็นหลักฐานได้ชัดเจนว่ามีใครหยิบเอาโทรศัพท์มือถือที่เธอวางลืมไว้ไปหรือไม่

หญิงสาวถอดใจกับการตามหาโทรศัพท์ กล่าวขอบคุณกับเจ้าหน้าที่ที่ให้ความร่วมมือในการย้อนภาพที่บันทึกจากกล้องวงจรปิดให้ดูจนแน่ใจว่าเปล่าประโยชน์ เดินคอตกออกจากห้องมอนิเตอร์มาได้ก็มองหาเครื่องโทรศัพท์หยอดเหรียญ กดหมายเลขที่บ้านเพื่อแจ้งข่าวกับจิตรา บอกมารดาว่าอาจกลับถึงบ้านช้ากว่าปกติ วางสายแล้วก็รีบเดินออกจากอาคารทันที

หากเดินพ้นตัวอาคารเพียงไม่กี่ก้าว เธอก็ชนปะทะเข้ากับร่างสูงของใครอีกคน หญิงสาวเกือบล้มก้มจ้ำเบ้าดีแต่ใครคนนั้นรีบโผเข้าประคองเอาไว้ สภาพของหญิงสาวเหมือนนั่งบนอากาศ ขณะที่มีอ้อมแขนของชายหนุ่มกอดกระชับอยู่...เธอมั่นใจว่าเป็นชายหนุ่มทั้งที่ยังไม่ทันเงยหน้ามอง เพราะสัมผัสแผงอกและอ้อมแขนแข็งแกร่ง กลิ่นน้ำหอมผู้ชาย รวมถึงเสียง...

“เจ็บรึเปล่าครับคุณแคท”

น้ำเสียงที่คุ้นหู ทั้งการตระหนักว่าเจ้าของอ้อมกอดรู้จักเธอดึงให้คุลิกาเงยหน้าขึ้นมองอย่างรวดเร็ว ดวงตาของหญิงสาวเบิกกว้าง พวงแก้มมีสีแดงแต้มขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ปากขยับพร้อมกับมือที่ผลักพงศ์พลินเข้าที่อก

“คุณ...ฉวยโอกาสเหรอ”

ชายหนุ่มผงะเล็กน้อยหากยอมคลายอ้อมแขน เขายืนตั้งหลักยึดเธอไว้มั่นแต่แรกจึงเพียงแค่เซไปเล็กน้อย ผิดกับคุลิกาที่ลืมว่าตัวเองแปะบั้นท้ายไว้กับอากาศอยู่ เมื่อพงศ์พลินปล่อยร่างเธอจึงร่วงลงไปแหมะอยู่กับพื้น

คุลิการ้องว้ายออกมาไม่เบานัก หากเมื่อสายตามองไปเห็นว่าโดยรอบมีคนเดินเข้าออกตัวอาคารต่อเนื่อง จึงลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว ความเจ็บบริเวณสะโพกไม่มีผลเท่าความอายที่ล้มก้นกระแทกต่อหน้าสาธารณชน

“อะไรของคุณเนี่ย จู่ ๆ นึกจะโผล่ก็โผล่มา มาทีไรก็ทำฉันขายหน้าคนอื่นทุกที เดี๋ยวก็เสกให้เป็นลิงซะหรอก”

“เฮ้ย!”

พงศ์พลินร้องเสียหลงกระโดดถอยหลังไปหนึ่งก้าวยกมือข้างหนึ่งขึ้นบังใบหน้าคล้ายจะป้องกันตัวจากอะไรบางอย่าง กิริยาของชายหนุ่มเรียกความสนใจจากผู้คนได้ดีไม่แพ้การล้มก้นจ้ำเบ้าของคุลิกา หญิงสาวมองซ้ายมองขวาเห็นสายตาคนที่มองอย่างสงสัยแล้ว รีบก้าวฉับไปคว้าแขนชายหนุ่ม เปล่งเสียงลอดไรฟันอย่างเอาเรื่อง

“มานี่เลยคุณ ทำอะไรน่ะ คนมองใหญ่แล้ว”

“ก็คุณบอกว่าจะเสกให้ผมเป็นลิง”

ชายหนุ่มตอบระดับเสียงปกติ คุลิกาจึงหยุดเดิน เอื้อมมืออีกข้างไปหยิกเข้าที่ต้นแขนของพงศ์พลิน แรงพอที่จะทำให้ผู้ชายอกสามศอกร้องจ๊าก

“โอ๊ย! คุณผมเจ็บนะ”

“ถ้าไม่เจ็บไม่ทำหรอก...ตั้งใจให้เจ็บเคยแหละ คุณจะบ้าเหรอ คิดว่าฉันเก่งกล้าสามารถขนาดที่จะเสกให้คนกลายเป็นลิงได้หรือไง”

พงศ์พลินอ้าปากค้างเหมือนไม่รู้จะตอบอย่างไร หากเพียงครู่ก็เอ่ยเหมือนพึมพำกับตัวเอง

“จะไปรู้ได้ยังไงล่ะ ก็ขนาดลูกปืนยังหยุดได้ แค่เสกคนให้กลายเป็นลิง คงไม่เหลือบ่ากว่าแรงหรอกมั้ง”

ท่าทางและคำพูดของพงศ์พลิน ทำให้คนที่ยืนหายใจแรงอยู่ข้างตัว ถอนใจยาวอีกหนึ่งเฮือกใหญ่ สีหน้าที่ดูบึ้งตึงนั้นคลายลง

“ฉันเป็นเวทนรีฝึกหัด ไอ้ที่ช่วยคุณได้วันนั้นก็เพราะมันเป็นเหตุฉุกเฉิน ฉันใช้เวทมนต์อะไรอย่างที่ว่านั่นไม่ได้หรอก แล้วตัวขนาดคุณเนี่ย คงเสกเป็นลิงไม่ได้หรอก ถ้าเป็นกอริลล่าหรือคิงคองก็ว่าไปอย่าง”

“โห...คุณ...พูดซะผมเสียหายเลย”

คราวนี้น้ำเสียงตัดพ้อและท่าทางของพงศ์พลินคุลิกาถึงกับหลุดหัวเราะออกมา ก่อนใบหน้างามจะกลับขึงขึ้นอีกครั้ง ขณะมองสบตาชายหนุ่มแล้วเอ่ยถาม

“ว่าแต่ คุณมานี่มีอะไรไม่ทราบคะ บอกแล้วไงว่ามีอะไรก็โทร.มาหรือไลน์มาก็ได้ โผล่มาทีไรเป็นเรื่องทุกที”

“ก็ผมไลน์หาคุณแล้ว แต่คุณไม่อ่าน...ไม่ตอบ ผมก็เลยเป็นห่วง” พงศ์พลินเอ่ยอธิบาย “ที่จริงผมยังคิดว่ามาอาจจะไม่เจอคุณด้วยซ้ำ เพราะมันเลยเวลาเลิกงานมาแล้ว แต่ก็ลองเสี่ยงบึงรถมานี่แหละ”

คุลิกาฟังน้ำเสียงอ่อยสีหน้าที่แสดงความห่วงใยของพงศ์พลินแล้ว ไม่รู้ตัวว่าอารมณ์ขุ่นเคืองก่อนหน้านี้ละลายหายไปไหนเสียหมด

“อย่างที่คุณเห็นฉันสบายดี แค่เซ็งนิด ๆ ที่ทำมือถือหาย จับมือใครดมก็ไม่ได้ แล้วตอนนี้ฉันก็กำลังจะกลับบ้าน”

“ให้ผมไปส่งนะ”

หญิงสาวขยับปากจะแย้ง แต่นั่งคำนวณเวลาและค่าใช้จ่ายที่จะต้องใช้ในการเดินทางกลับบ้านรวมกับสีหน้าท่าทางของชายหนุ่มที่ยืนมองตาละห้อยแล้วเธอก็ทำได้เพียงแค่พยักหน้าแผ่วเบา เดินตามพงศ์พลินเข้าไปภายในบริเวณอาคารจอดรถ



บนบาทวิถีที่พลุกพล่านไปด้วยผู้คนมีสัตว์สี่เท้าที่ไม่มีใครมองเห็นกำลังวิ่งอย่างรวดเร็วตีคู่ไปกับรถยนต์หรูคันหนึ่ง แมวสีขาวชะงักฝีเท้าทันทีที่เห็นรถยนต์คันนั้นลดความเร็วเนื่องจากด้านหน้าเป็นสี่แยกและสัญญาณไฟที่แสดงอยู่เป็นสีแดง แม้ผู้คนที่เดินผ่านไปมาบนทางเดินเท้านั้นจะมองไม่เห็น แต่สำหรับ ‘คน’ ที่นั่งอยู่ในรถยนต์คันนั้น คิตตี้ไม่แน่ใจนักจึงต้องพยายามติดตามอย่างไม่ให้คนบนรถรู้ตัว

นับตั้งแต่เห็นหน้าหญิงสาวร่างอวบอิ่มที่โถงลิฟท์หันมองมาทางคุลิกาเหมือนจะสงสัยอะไรบางอย่าง ภูตินำทางในร่างเด็กน้อยก็ต้องเกิดสังหรณ์อะไรบางอย่าง รีบหายตัววับไปจากภายในบริเวณร้านกาแฟ หากผู้หญิงคนนี้คือเวทนรีมืดและสามารถมองเห็นได้ว่าเด็กหญิงที่นั่งอยู่กับคุลิกาคือภูตินำทางย่อมนำมาสู่อันตรายอย่างใหญ่หลวง ความสามารถในการใช้เวทมนต์ของคุลิกาตอนนี้ย่อมไม่อาจเทียบได้กับเวทนรีที่แฝงตัวอยู่ในโลกมนุษย์มานานเป็นร้อยร้อยปี

ในฐานะภูตินำทางคิตตี้จึงต้องมาสืบหาความจริง คิตตี้หลบสายตาเพื่อสังเกตการณ์จนรู้ว่าผู้หญิงน่าสงสัยคนนี้เข้ามาพัวพันกับปพนธีร์ด้วย ช่วงเวลาอันเหมาะเจาะนี้ทำให้ความคลางแคลงใจของภูตินำทางยิ่งทวีขึ้นและจำต้องตามสืบให้รู้ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งหรือเป็นเวทนรีที่มีเวทมนต์ชั่วร้ายดำมืดกันแน่

ไม่นานคิตตี้ในร่างแมวสีขาวก็วิ่งตามรถยนต์ของปพนธีร์ไปถึงหน้าร้านอาหารใหญ่ซึ่งตกแต่งแบบร่วมสมัยให้บรรยากาศคล้ายกับรีสอร์ท ทางเดินไม้เชื่อมต่อไปสู่บริเวณที่จัดโต๊ะไว้รับรองลูกค้ากระจายกันอยู่ในสระน้ำใหญ่ มีร่มผ้าใบกางบังแดดฝน รอบสระมีกลุ่มห้องคาราโอเกะติดเครื่องปรับอากาศติดกระจกใสให้ลูกค้าสามารถมองเห็นบรรยากาศโดยรอบของตัวร้าน

เมื่อปพนธีร์พาลัลน์ลลิตเดินทางมาถึงก็เริ่มค่ำแล้วทางร้านจึงเปิดไฟสีเหลืองนวลเสริมให้บรรยากาศดียิ่งขึ้น เสียงเพลงจากวงดนตรีแสดงสดเพิ่มความรื่นรมย์ให้กับลูกค้าที่มารับประทานอาหาร ชายหนุ่มและหญิงสาวที่เพิ่งเดินทางมาถึงร้านดึงดูดสายตาหลายคู่ให้มองมาเป็นตาเดียว แต่ทั้งสองดูจะคุ้นชินและรับมือกับการเป็นเป้าสายตาได้เป็นอย่างดี ปพนธีร์จัดการเรื่องจองโต๊ะไว้ตั้งแต่ก่อนเดินทางออกจากบริษัท เลือกส่วนที่แยกห่างออกไปเล็กน้อยและติดน้ำ เมื่อพนักงานเดินนำมาถึงโต๊ชายหนุ่มก็ขยับไปเลื่อนเก้าอี้ให้ลัลน์ลลิตนั่งก่อนจะเดินอ้อมไปหย่อนตัวนั่งตรงข้ามกับหญิงสาว

แมวสีขาวที่ไม่มีใครมองเห็นลอบเดินลัดเลาะหลบขาลูกค้าและพนักงานที่เดินขวักไขว่ แอบลอดไปใต้โต๊ะและเก้าอี้อย่างระมัดระวังไม่ให้คนที่ถูกติดตามรู้ตัวกระทั่งได้ที่หมอบใต้โต๊ะติดกันกับโต๊ะที่ปพนธีร์และลัลน์ลลิตนั่งอยู่ ใกล้พอที่จะลอบมองและได้ยินการสนทนาของสองหนุ่มสาวชัดเจนโดยไม่ถูกเสียงเพลงกลบ



คุลิกายืนกอดอกอยู่บนบาทวิถี มองชายหนุ่มที่กำลังก้มหน้าง่วนอยู่กับชิ้นส่วนเครื่องยนต์ซึ่งหญิงสาวเรียกไม่ถูกว่าเป็นอะไร รู้แต่ว่าเธอยืนรออยู่นานพอควร และพงศ์พลินก็ผลุบเข้าผลุบออกห้องโดยสารสลับกับยืนประจำอยู่หน้ารถมานานมากแล้ว ชายหนุ่มถึงกับหน้าถอดสีเมื่อรถวิ่งมาได้พักหนึ่งก็เกิดอาการกระตุกก่อนที่เครื่องยนต์จะดับไป และยิ่งหน้าเจื่อนเมื่อได้ยินคำตอบของหญิงสาวหลังจากที่เขาเอ่ยถามถึงการใช้มนต์เพื่อซ่อมอาการรถเสียจากเธอ

‘จะบ้าเหรอคุณ ฉันจะหัดใช้เวทมนต์ได้แต่ละที ต้องตั้งสมาธิฝึกโน่นฝึกนี่ตั้งนาน จะให้ใช้เวทมนต์ซ่อมรถเนี่ยนะ’

พงศ์พลินเอ่ยขอโทษหญิงสาวก่อนจะเปิดประตูลงจากรถเปิดฝากระโปรง เวลาผ่านไปนานพอควร คุลิกาที่นั่งรออยู่นานก็เปลี่ยนที่รอจากในห้องโดยสารมาเป็นบนบาทวิถี ยืมโทรศัพท์ของชายหนุ่มต่อสายถึงมารดาเพื่อแจ้งว่าตนอาจจะกลับถึงบ้านค่ำกว่าที่คิดเล็กน้อยเพราะรถของ ‘เพื่อน’ ที่อาสาไปส่งเกิดเสียกลางทาง

“นี่...ตกลงคุณซ่อมรถเป็นรึเปล่าเนี่ย ทำไมไม่ตามช่าง”

“เป็นสิคุณ ผมซ่อมเองได้ เรียกช่างทำไมให้เสียเวลา”

“แหม………” คุลิกาลากเสียง “นี่ไม่เสียเวลาเลยนะคะคุณขา ปาไปเกือบชั่วโมงแล้วนะ”

“คราวนี้สำเร็จแน่ เชื่อผมสิ”

พงศ์พลินดึงฝากระโปรงหน้ารถลงก่อนจะรีบเดินพรวดไปเปิดประตูฝั่งคนขับ ลองติดเครื่องยนต์อีกครั้ง เสียงเครื่องดังคล้ายจะเริ่มทำงานดังขึ้น

“เห็นมั้ยคุณผมบอกแล้วว่า...”

ยังไม่ทันจะพูดจบ ชายหนุ่มก็หน้าเสียเพราะเครื่องยนต์ที่ส่งเสียงขึ้นเมื่อครู่กับดับสนิทลงอีกครั้ง

“เอ่อ...ผมขอลองอีกหน รับรองว่าคราวนี้สำเร็จแน่”

คุลิกาทำหน้าเมื่อยขณะผงกศีรษะรับคำ มองเสื้อผ้าของพงศ์พลินที่ตอนนี้เปียกเหงื่อจนเกือบชุ่ม ใบหน้ามีหยดเหงื่อไหลย้อย เขาปาดหลังมือลงบนหน้าผากไล่เหงื่อที่ไหลลงมาจากหน้าผาก

เธอยืนรออยู่ริมถนนยังรู้สึกว่าอาการร้อนอ้าว คนที่ง่วนซ่อมรถคงยิ่งทั้งร้อนกายร้อนใจยิ่งกว่า พงศ์พลินใช้เวลาอีกชั่วครู่ทดลองแก้ไขเครื่องยนต์ก่อนที่จะปิดฝากระโปรงอีกครั้ง จากนั้นก็หันมายิ้มให้กับคุลิกา

รอยยิ้มที่ดูแฝงความไม่มั่นใจนั้นทำให้หญิงสาวรู้สึกราวกับมีใครเอาเชือกมาผูกกับหัวใจแล้วกระตุกเบา ๆ

เฮ้อ...หวังว่าหนนี้จะสำเร็จนะ

คุลิกายิ้มตอบอย่างจะให้กำลังใจและเมื่อชายหนุ่มกระโดดขึ้นเบาะคนขับ เธอก็นึกเอาใจช่วย

ติด...ติด...ติด

ชั่วขณะนั้นหญิงสาวมองเห็นแสงมีมุกสว่างวาบขึ้นที่ฝากระโปรงหน้ารถและทันทีที่พงศ์พลินบิดกุญแจเพื่อสตาร์ทรถ เสียงเครื่องยนต์ก็ดังขึ้นและคราวนี้ทำงานต่อเนื่องไม่สะดุดและดับไปเหมือนครั้งก่อน

“คุณ!”

คนที่ยืนมองอย่างไม่เชื่อสายตาเพิ่งได้สติก็ตอนได้ยินเสียงตะโกนเรียก เมื่อเลื่อนสายตาไปมองคนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยก็กวักมือเรียก

“ขึ้นรถได้แล้วครับ คุณผู้หญิง”

หญิงสาวพยักหน้าก้าวไปเปิดประตูหน้ารถด้านข้างคนขับก่อนโน้มตัวเข้าไปนั่งในห้องโดยสาร

“เห็นมั้ย ผมบอกแล้วว่าผมซ่อมรถเป็น”

ค่ะ...ซ่อมรถเป็นมาก ไม่คิดเลยว่าความสงสารจะช่วยกระตุ้นเวทมนต์ได้ด้วย รู้งี้ลองสั่งให้เครื่องสตาร์ทแต่แรกก็ดีหรอก

คุลิกานึกแย้งอยู่ในใจหากไม่เอ่ยอะไรให้พงศ์พลินต้องเสียความมั่นใจ ถือเป็นการตอบแทนที่เขาอาสามาส่ง ไม่นับเรื่องที่รถเสียแล้วให้เธอต้องนั่งรอ ยืนรออยู่นานสองนาน

แล้วเราก็บ้ารออยู่ได้ ถ้าทิ้งให้ซ่อมรถคนเดียวแล้วหนีขึ้นรถกลับบ้านเองก็ถึงตั้งนานแล้ว



พาหนะคู่ใจของพงศ์พลินจอดเทียบหน้าประตูบ้านของคุลิกา หญิงสาวผ่อนลมหายใจยาวเพราะระหว่างทางมีเสียงกุกกักเหมือนเครื่องยนต์สะดุดหลายครั้ง หากสุดท้ายเขาก็ยังสามารถนำเธอมาส่งถึงที่หมายได้

“ลุ้นเหมือนกันนะครับ”

“ค่ะ ลุ้นยิ่งกว่าลุ้นหวยอีก”

“คุณ...เล่นหวยด้วยเหรอ” พงศ์พลินถามกลับน้ำเสียงและสีหน้าบ่งชัดว่าไม่เชื่อ “ท่าทางคุณดูไม่เหมือน...”

“แหม...คุณพงศ์ นี่คุณไม่เคยพูดเปรียบเปรยอะไรบ้างหรือฉัน ฉันก็แค่เปรียบให้ฟัง” หญิงสาวหยุดชะงักเล็กน้อย ก่อนจะข้ามความทรงจำที่เคยลองฝากเพื่อนแทงสองตัวบนขำ ๆ ไปสองครั้ง ก่อนจะบอกศาลาเพราะเลขที่ออกนั้นไม่เฉียดไม่ใกล้ที่แทงสักนิดและสำหรับคุลิกาเงินที่จ่ายโดยเสียเปล่าไม่ว่าจะมีมูลค่าเท่าใดก็ถือว่าแพงเกินกว่าจะจ่าย “ฉันไม่ใช่พวกบ้าหวย บ้าพนันหรอกนะ”

พงศ์พลินหัวเราะขันก่อนจะโต้ “คุณก็คงไม่เคยแกล้งหยอกใครเล่นสินะครับ ผมรู้ว่าคุณพูดเปรียบเปรย ไม่ได้คิดว่าคุณเป็นคอหวยจริง ๆ สักหน่อย”

“คุณ!”

คุลิกาไม่รู้จะตอบโต้อย่างไรจึงได้แค่ร้องเรียกชายหนุ่มด้วยคำสรรพนามนั้นเพียงคำเดียว สายตาของหญิงสาวจับจ้องสีหน้าท่าทางที่ดูเหมือนกำลังอารมณ์ดีของพงศ์พลินนิ่ง ก่อนจะได้สติยืดตัวตรง เชิดหน้า

“ขอบคุณนะคะที่มาส่ง”

หญิงสาวเอื้อมไปเปิดประตูตั้งใจจะไม่ฟังเสียงเรียกทัดทานจากพงศ์พลิน ทว่าเขาเอ่ยเรียกเธอเพียงแค่ครั้งเดียวก่อนจะร้องออกมาด้วยน้ำเสียงที่แสดงความตระหนก

“เฮ้ย!”

“อะไรกันคุณ ร้องซะตกอกตกใจ”

คุลิกาหันกลับไปมองชายหนุ่มเห็นสายตาของเขาจับอยู่ที่กระจกมองหลังก่อนจะเหลียวไปมองเบาะหลัง เธอจึงหันไปมองสิ่งที่อยู่บนเบาะนั้นพร้อมกัน

แมวสีขาวมองตอบสายตาของทั้งคู่ ดวงตาและสีหน้าของมันเหมือนจะแปลเป็นภาษาพูดได้ว่า ‘จะตื่นเต้นตกใจอะไรนักหนา’

ดวงตากลมโตสีฟ้าของแมวสีขาวค่อยเปลี่ยนไปในการรับรู้ของสองหนุ่มสาวกลายเป็นดวงตาสีดำของเด็กหญิง กระนั้นความหมายการมองของคิตตี้ก็ไม่ต่างไปจากตอนที่เป็นแมว

“ยายคิตตี้!”

“ขา...คุณพี่แคท คิตตี้เองค่ะ”

“โผล่มาไม่ให้สุ่มให้เสียงอีกแล้วนะ คนอื่นเค้าตกอกตกใจหมด”

“คนอื่น...ก็เห็นมีแต่คุณพี่ผู้ชายคนนี้คนเดียว ไม่เห็นมีใครอื่น” คิตตี้แย้งก่อนจะกอดอกทำหน้าจริงจังขึ้น “แล้วที่มาโผล่เนี่ย ก็ไม่ได้โผล่มาเฉย ๆ นะ มีเรื่องด่วนที่ต้องพูดคุยปรึกษา”

คุลิกาหันไปมองทางพงศ์พลินชั่วขณะก่อนจะกลับมาที่ภูตินำทางประจำตัว มองเด็กหญิงด้วยความข้องใจ

“ก็คุณพี่คนนี้เค้ารู้เรื่องของพี่แคทอยู่แล้วนี่ ให้รู้อีกสักเรื่องคงไม่มีปัญหา อีกอย่างเกิดพี่แคทต้องไปไหนมาไหนแล้วใช้มนต์ไม่สำเร็จขึ้นมาจะได้มีคุณพี่คนนี้ทำหน้าเป็นคนขับรถ”

‘คนขับรถ’ ยิ้มแหย

“เอ่อ...พี่ชื่อพงศ์ครับ”

“นั่นแหละ...จะได้มีพี่พงศ์เป็นคนขับรถให้ไง”

“เอาล่ะ ๆ” คุลิกาเหมือนจะสังเกตเห็นอาการเก้อเขินของชายหนุ่มที่อยู่ดี ๆ โดนยกตำแหน่งคนขับรถให้จึงรีบตัดบท “มีอะไรก็ว่ามา”

คิตตี้นั่งกอดอกอย่างภาคภูมิใจอยู่ครู่หนึ่งเมื่อเห็นว่าทั้งคุลิกาและพงศ์พลินกำลังรอฟังเรื่องที่ตนจะเล่าอย่างใจจดจ่อ กระทั่งคุลิกากระแอมเตือน เด็กหญิงจึงเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ให้ทั้งคู่ฟัง



เจ้าของร่างอวบอิ่มส่งรายการอาหารปกหนังคืนให้บริกรก่อนส่งยิ้มพราวให้กับชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงข้าม ปพนธีร์ทำท่าเหมือนกลั้นใจอยู่ชั่วขณะ

“คุณป๊อบมองลันแบบนี้ ลันเขินแย่นะคะ”

“ขอโทษครับคุณลัน ไม่รู้ว่าทำไมเวลาอยู่ใกล้ ๆ หรือได้ยินเสียงคุณลัน ผมลืมนึกถึงเรื่องอื่นไปหมด”

หญิงสาวยิ้มพราว ดวงตาคมนั้นเหมือนมีพลังอำนาจบางอย่างที่คิตตี้ซึ่งแอบอยู่ใต้โต๊ะสัมผัสได้ ภูตินำทางในร่างแมวสีขาวสังเกตการณ์ต่อ พิจารณาจากการพูดคุยกันระหว่างทั้งสองแล้วยิ่งรู้สึกว่าท่าทีของปพนธีร์ดูแปลกจากที่เคยเจอ

ปกติ...คุณพี่ดารุทัยคนนี้ไม่ได้พูดจาหรือแสดงท่าทีกับผู้หญิงอะไรขนาดนี้นี่นา นี่ดูเพ้ออย่างกับคนโดนมนต์แน่ะ...มนต์...หรือว่าผู้หญิงคนนี้จะเป็นเวทนรีมืดจริง ๆ

คิตตี้ไม่มีเวลาครุ่นคิดอะไรต่อเพราะจู่ ๆ คนที่เป็นเป้าหมายในการสังเกตการณ์ก็หันขวับมา ลักษณะสายตาไม่เหมือนกับคนทั่วไปที่มองอะไรต่ออะไรไปรอบตัวหากจำเพาะก้มลงมองที่ใต้โต๊ะราวกับรู้ตัวว่าถูกจับจ้องอยู่ แมวน้อยรีบกระโจนไปหลบใต้เก้าอี้ในตำแหน่งที่น่าจะพ้นจากสายตาของหญิงสาวร่างอวบอิ่มคนนั้น

เหมือนรู้ว่าเราแอบมอง...ไม่ธรรมดาแฮะ ถ้าไม่มีสัมผัสที่ไวมาก ๆ ก็ต้องเป็น...เวทนรีอย่างที่เราคิดแน่ ๆ



เรื่องเล่าของคิตตี้ถูกขัดจังหวะด้วยคำถามจากชายหนุ่มเพียงคนเดียวในห้องโดยสาร

“แล้วตกลงผู้หญิงคนนั้นเป็นเวทนรีรึเปล่า แล้วคุณแคทจะมีอันตรายมั้ย”

คิตตี้ในร่างเด็กหญิงที่นั่งอยู่เบาะหลังไม่ตอบคำถามกลับหายแวบไปกับตาก่อนจะมาปรากฏตัวด้วยร่างแมวสีขาวนั่งมองพงศ์พลินจากแผงหน้าปัดรถด้วยสายตาคล้ายจะตำหนิก่อนจะขยับปากเปล่งเสียงออกมาเป็นเสียงพูดของเด็กหญิง

“คุณพี่พงศ์ขา...แอบฟังเค้าคุยกันแค่นั้น หนูจะไปทราบแน่ชัดได้ยังไงคะว่าเค้าเป็นเวทนรีจริงรึเปล่า ส่วนอันตรายกับพี่แคทนี่ก็ขึ้นกับว่าเค้าเป็นเวทนรีมืดจริงมั้ยแล้วรู้มั้ยว่าพี่แคทจะต้องปฏิบัติภารกิจขัดขวางการสืบทายาทของเวทนรีมืดกับดารุทัย”

“ใครครับ ดารุทัย”

พงศ์พลินหันไปถามคนข้างตัวแทนเพราะกลัวจะถูกมองด้วยสายตาที่น่าจะตีความเป็นคำพูดได้ประมาณว่า ‘ตานี่...ถามอะไรไม่รู้เรื่องรู้ราวเอาซะเลย’

“คุณปพนธีร์ไงคะ คุณป๊อบเป็นดารุทัย” คุลิกาเอ่ยถึงตรงนี้ก็นึกได้ว่า พงศ์พลินไม่ได้รู้ข้อมูลมากเท่าตนจึงรีบอธิบาย “ดารุทัยคือคนที่เกิดมาจากดวงดาวค่ะ เป็นความเชื่อของทางโลกเวท ว่าเวทนรีที่มีทายาทกับดารุทัยจะมีอำนาจเปิดหรือปิดผนึกระหว่างสองโลกได้”

“แล้ว...” พงศ์พลินยังปะติดปะต่อเรื่องราวไม่ถูก

“ก็คุณพี่แคทในฐานะที่สืบเชื้อสายจากชาวเวท เป็นเวทนรีที่มีมนต์คนนึงก็ต้องชิงมีทายาทกับดารุทัยไงคะคุณพี่” แมวสีขาวชิงตอบแทนคุลิกาที่นั่งอ้าปากค้าง “ถ้าปล่อยให้เวทนรีมืดมีทายาทกับดารุทัยแล้วเปิดผนึกระหว่างสองโลก โลกมนุษย์กับโลกเวทต้องวุ่นวายแน่ ๆ ลำพังแค่พวกเวทมืดในโลกโน้นก็ตามจัดการกันไม่ไหวแล้ว ถ้าปล่อยให้ออกมาในโลกมนุษย์ละก็ไม่รู้จะไล่เก็บกวาดไหวมั้ย”

“สรุปว่าชาวเวทห่วงโลกมนุษย์หรือว่าห่วงตัวเองกันแน่เนี่ย” พงศ์พลินถามกลับทันที ยอมหันมาเผชิญหน้าตอบโต้กับแมวสีขาวอีกครั้ง “แล้วมันไม่ยุติธรรมเลยนะ คุณแคท...จะต้องแต่งงาน มีลูกกับผู้ชายคนนึงแค่เพราะจะได้ปิดผนึกของสองโลกเท่านั้นเหรอ คุณแคทควรได้แต่งงานสร้างครอบครัวกับคนที่รักถึงจะถูก”

“คุณพี่พงศ์รู้ได้ไงว่าพี่แคทเค้าไม่ได้รักชอบคุณพี่ดารุทัยน่ะ เค้าทั้งหล่อ รวย โก้ สมาร์ท ดูดีออกขนาดนั้น ผู้หญิงที่ไหนจะไม่ชอบ...เนอะพี่แคทเนอะ”

จบคำพูดของแมวน้อย ทั้งแมวสีขาวและชายหนุ่มต่างก็พากันไปมองคุลิกาที่นั่งนิ่งพูดอะไรไม่ออกอยู่นาน หญิงสาวมองสายตาคล้ายจะถามของพงศ์พลินแล้วเสหันไปดุภูตินำทาง

“คิตตี้! เรื่องนี้มันก็ยังไม่แน่สักหน่อยว่าจะไม่มีเวทนรีคนอื่นที่เหมาะสมกับคุณป๊อบ แล้วคุณป๊อบเค้าก็อาจจะชอบเวทนรีคนนั้นก็ได้”

“ต้องไม่ใช่เวทนรีมืดด้วยนะคุณพี่ แล้วถ้าเกิดคุณพี่ดารุทัยคนนั้นไปหลงแต่งงานกับเวทนรีมืด มีทายาทด้วยกันขึ้นมาจะทำยังไง”

คุลิกาเถียงไม่ออกได้แต่นั่งนิ่งมองกลับไปทางพงศ์พลิน

“ถ้าเราแค่ขัดขวางไม่ให้เวทนรีมืดได้แต่งงานมีทายาทกับดารุทัยไม่ได้เหรอครับ” พงศ์พลินเอ่ยขึ้น “แล้วผนึกอะไรที่ว่านั่นก็จะยังคงปิดอยู่ต่อไป”

“มันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก ตอนนี้พวกเวทมืดพยายามทุกวิถีทางที่จะเจาะผ่านผนึกมายังโลกมนุษย์ เพราะสามารถควบคุมมนุษย์ได้ ถ้าอยู่ในโลกเวท พวกนั้นไม่อาจต่อกรกับชาวเวทที่มีจิตใจดีได้ แต่กับมนุษย์ที่รัก โลภ โกรธ หลงได้ง่าย รับรองว่าไม่นาน”

“ตอนนี้เรื่องที่ต้องคิดกันให้ตกคือเรื่องของผู้หญิงคนนั้นมากกว่า” คุลิกาดึงความสนใจของคิตตี้และพงศ์พลินไปอีกทาง “ถ้าเกิดว่าผู้หญิงคนที่มาใกล้ชิดคุณป๊อบเป็นเวทนรีมืดขึ้นมาจริง ๆ เราจะทำอะไรได้บ้าง”

“จริงด้วยสิครับ...แล้วถ้าเกิดผู้หญิงคนนั้นเป็นเวทนรีมืดเค้าจะทำอะไรคุณแคทรึเปล่า ถ้าคุณแคทไปขัดขวางเข้า” พงศ์พลินขมวดคิ้วอย่างครุ่นคิด “ถ้างั้นเราก็ต้องตามสืบให้แน่ชัดก่อนว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นเวทนรีมืดรึเปล่า”

คราวนี้สายตาของสองหนุ่มสาวจับไปที่แมวสีขาวบนแผงหน้าปัดรถยนต์แทน คุลิการีบเอ่ยถาม

“แล้วทำไมไม่ตามต่อล่ะคิตตี้ว่าผู้หญิงคนนั้นตกลงเป็นเวทนรีมืดรึเปล่า”

แมวสีขาวส่งเสียงร้องเมี๊ยวแทนคำพูดภาษามนุษย์ สายตามองขวับไปทางพงศ์พลินอีกครั้ง

“ก็คุณพี่พงศ์ขัดคอขึ้นมาก่อนน่ะสิ ยังไม่ทันจะเล่าจบเลย”

“งั้นก็เล่าต่อสิ คิตตี้”

จบคำของหญิงสาว ทั้งคุลิกาและพงศ์พลินก็ต้องหันมาสบตากัน...แมวสีขาวถอนหายใจเหมือนกับหนักอกหนักใจอะไรเสียเต็มประดา เกิดมาทั้งคู่ก็เพิ่งจะเคยเห็นแมวแสดงอาการถอนใจก็ครั้งนี้ กระนั้นทั้งคู่ก็ไม่เอ่ยอะไรออกมาเพราะเกรงว่าหากขัดจังหวะการเล่าจะเจอกับสายตาเหยียดหรือเสียงร้องตำหนิของเจ้าแมวตัวน้อยอีก




กมลภัทร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 26 ก.ย. 2557, 23:06:58 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 26 ก.ย. 2557, 23:06:58 น.

จำนวนการเข้าชม : 1363





<< ตอนที่ 8   
กมลภัทร 26 ก.ย. 2557, 23:10:17 น.
ยังคงอืดต่อเนื่องครับ ไม่แก้ตัว...เอาเป็นว่าตอนที่ 9 มาช้ามาก 555

Zephyr >>>> ถ้าอยู่ในร่างได้ตามกำหนดเวลา ก็ยึดร่างสาวได้เลยไงครับ ^_^

lovemuay >>>> เสน่ห์แบบสาวไม่อึ๋มน่ะครับ

นักอ่านเหนียวหนึบ,Sukhumvit66 >>>> อย่างที่บอกครับ ไม่แก้ตัว แต่ละตอนห่างจริงอะไรจริง


lovemuay 27 ก.ย. 2557, 00:09:54 น.
ไม่รู้ทำไม แต่เกิดรู้สึกอยากเชียร์คุณพี่พงศ์ขึ้นมา 555


จิงโกะ 27 ก.ย. 2557, 07:25:32 น.
คนอ่านงานยุ่งมาหลายเดือนกว่าจะว่างพอได้แวบมาตามอ่านนิยายที่ชอบๆ ในใจก็คิดว่าป่านนี้คงลงจบไปหลายเรื่องแล้ว พอเจอมนต์สีมุก ตอนที่ 9 .. 555 กมลภัทรรอคนอ่านอยู่ (หรือเปล่า?) ขอบคุณน้า


นักอ่านเหนียวหนึบ 27 ก.ย. 2557, 12:45:12 น.
อิตาคุณพงศ์เอ้ยยย ขัดจนจบตอนเลยเห็นมะ แทนที่จะได้รู้เรืีองรู้ราว ชิ!!
ผช. เรื่องนี้ ปวกเปียกกันจริงๆ น้า ทั้งนายพงศ์ ทั้งนายดารุทัย คนนึงก็เป๋อๆ เหรอๆ อีกคนก็โดนจูงจมูกง่ายจั๊งงงง ไปแต่งงานกันเลยไป๊



Zephyr 27 ก.ย. 2557, 14:51:34 น.
คิตตี้ นางเยอะ นะ
อิอิ
แต่รู้สึกนายพงศ์ดูฮาๆๆขำๆไม่ค่อยมีมาดเลยยยยยน้า
ดูกลัวๆแคทด้วย
ตาป๊อปก็ดูเนือยๆ มึนๆไปหน่อย เป็นดารุทัย
มันน่าจะต้านเวทได้บ้างนะคะ อันนี้ดูหลอกง่ายอ่ะ


สิรินดา 21 ต.ค. 2558, 22:24:32 น.
(^___^)


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account