มนต์สีมุก
เรื่องราวของหญิงสาวที่เพิ่งจะมีอายุครบ 22 ปี ผู้ซึ่งได้เจอกับเหตุการณ์ประหลาดและค้นพบว่าเธอมีความพิเศษบางอย่างในตัว และความพิเศษที่ว่าก็มาพร้อมกับความรับผิดชอบและอันตรายที่เธอหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไหนจะยังเรื่องหัวใจที่ทำให้เธอต้องกลุ้มอีกล่ะ
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: ตอนที่ 9
คุลิกาเดินก้มหน้างุดออกจากตัวอาคารสำนักงาน เรียวปากขมุบขมิบบ่นอุบเรื่องที่พลาดจากการได้ใกล้ชิดปพนธีร์ ทั้งยังเรื่องคิตตี้ภูตินำทางสุดแสบที่หายตัวไปไหนไม่ยอมบอกกล่าว แถมก่อนจะขยับตัวเดินออกจากอาคาร หญิงสาวนึกเอะใจอะไรขึ้นมาลองควานหาของในกระเป๋าปรากฏว่าไม่พบโทรศัพท์มือถือ ยืนนึกทบทวนอยู่สักพักก่อนที่จะเดินกลับไปที่ร้านกาแฟเอ่ยถามกับพนักงาน พนักงานร้านกาแฟช่วยกันหาและสอบถามกับพนักงานด้วยกันอยู่นานแต่ก็ไม่มีใครพบโทรศัพท์ของเธอ
เมื่อพึ่งพนักงานร้านกาแฟไม่ได้แล้ว หญิงสาวจึงไปติดต่อกับฝ่ายรักษาความปลอดภัยของอาคารเพื่อขอตรวจสอบกล้องวงจรปิด แต่โชคร้ายที่บริเวณที่หญิงสาวนั่งในร้านนั้นไม่อยู่ในจุดที่กล้องจะบันทึกภาพเป็นหลักฐานได้ชัดเจนว่ามีใครหยิบเอาโทรศัพท์มือถือที่เธอวางลืมไว้ไปหรือไม่
หญิงสาวถอดใจกับการตามหาโทรศัพท์ กล่าวขอบคุณกับเจ้าหน้าที่ที่ให้ความร่วมมือในการย้อนภาพที่บันทึกจากกล้องวงจรปิดให้ดูจนแน่ใจว่าเปล่าประโยชน์ เดินคอตกออกจากห้องมอนิเตอร์มาได้ก็มองหาเครื่องโทรศัพท์หยอดเหรียญ กดหมายเลขที่บ้านเพื่อแจ้งข่าวกับจิตรา บอกมารดาว่าอาจกลับถึงบ้านช้ากว่าปกติ วางสายแล้วก็รีบเดินออกจากอาคารทันที
หากเดินพ้นตัวอาคารเพียงไม่กี่ก้าว เธอก็ชนปะทะเข้ากับร่างสูงของใครอีกคน หญิงสาวเกือบล้มก้มจ้ำเบ้าดีแต่ใครคนนั้นรีบโผเข้าประคองเอาไว้ สภาพของหญิงสาวเหมือนนั่งบนอากาศ ขณะที่มีอ้อมแขนของชายหนุ่มกอดกระชับอยู่...เธอมั่นใจว่าเป็นชายหนุ่มทั้งที่ยังไม่ทันเงยหน้ามอง เพราะสัมผัสแผงอกและอ้อมแขนแข็งแกร่ง กลิ่นน้ำหอมผู้ชาย รวมถึงเสียง...
“เจ็บรึเปล่าครับคุณแคท”
น้ำเสียงที่คุ้นหู ทั้งการตระหนักว่าเจ้าของอ้อมกอดรู้จักเธอดึงให้คุลิกาเงยหน้าขึ้นมองอย่างรวดเร็ว ดวงตาของหญิงสาวเบิกกว้าง พวงแก้มมีสีแดงแต้มขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ปากขยับพร้อมกับมือที่ผลักพงศ์พลินเข้าที่อก
“คุณ...ฉวยโอกาสเหรอ”
ชายหนุ่มผงะเล็กน้อยหากยอมคลายอ้อมแขน เขายืนตั้งหลักยึดเธอไว้มั่นแต่แรกจึงเพียงแค่เซไปเล็กน้อย ผิดกับคุลิกาที่ลืมว่าตัวเองแปะบั้นท้ายไว้กับอากาศอยู่ เมื่อพงศ์พลินปล่อยร่างเธอจึงร่วงลงไปแหมะอยู่กับพื้น
คุลิการ้องว้ายออกมาไม่เบานัก หากเมื่อสายตามองไปเห็นว่าโดยรอบมีคนเดินเข้าออกตัวอาคารต่อเนื่อง จึงลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว ความเจ็บบริเวณสะโพกไม่มีผลเท่าความอายที่ล้มก้นกระแทกต่อหน้าสาธารณชน
“อะไรของคุณเนี่ย จู่ ๆ นึกจะโผล่ก็โผล่มา มาทีไรก็ทำฉันขายหน้าคนอื่นทุกที เดี๋ยวก็เสกให้เป็นลิงซะหรอก”
“เฮ้ย!”
พงศ์พลินร้องเสียหลงกระโดดถอยหลังไปหนึ่งก้าวยกมือข้างหนึ่งขึ้นบังใบหน้าคล้ายจะป้องกันตัวจากอะไรบางอย่าง กิริยาของชายหนุ่มเรียกความสนใจจากผู้คนได้ดีไม่แพ้การล้มก้นจ้ำเบ้าของคุลิกา หญิงสาวมองซ้ายมองขวาเห็นสายตาคนที่มองอย่างสงสัยแล้ว รีบก้าวฉับไปคว้าแขนชายหนุ่ม เปล่งเสียงลอดไรฟันอย่างเอาเรื่อง
“มานี่เลยคุณ ทำอะไรน่ะ คนมองใหญ่แล้ว”
“ก็คุณบอกว่าจะเสกให้ผมเป็นลิง”
ชายหนุ่มตอบระดับเสียงปกติ คุลิกาจึงหยุดเดิน เอื้อมมืออีกข้างไปหยิกเข้าที่ต้นแขนของพงศ์พลิน แรงพอที่จะทำให้ผู้ชายอกสามศอกร้องจ๊าก
“โอ๊ย! คุณผมเจ็บนะ”
“ถ้าไม่เจ็บไม่ทำหรอก...ตั้งใจให้เจ็บเคยแหละ คุณจะบ้าเหรอ คิดว่าฉันเก่งกล้าสามารถขนาดที่จะเสกให้คนกลายเป็นลิงได้หรือไง”
พงศ์พลินอ้าปากค้างเหมือนไม่รู้จะตอบอย่างไร หากเพียงครู่ก็เอ่ยเหมือนพึมพำกับตัวเอง
“จะไปรู้ได้ยังไงล่ะ ก็ขนาดลูกปืนยังหยุดได้ แค่เสกคนให้กลายเป็นลิง คงไม่เหลือบ่ากว่าแรงหรอกมั้ง”
ท่าทางและคำพูดของพงศ์พลิน ทำให้คนที่ยืนหายใจแรงอยู่ข้างตัว ถอนใจยาวอีกหนึ่งเฮือกใหญ่ สีหน้าที่ดูบึ้งตึงนั้นคลายลง
“ฉันเป็นเวทนรีฝึกหัด ไอ้ที่ช่วยคุณได้วันนั้นก็เพราะมันเป็นเหตุฉุกเฉิน ฉันใช้เวทมนต์อะไรอย่างที่ว่านั่นไม่ได้หรอก แล้วตัวขนาดคุณเนี่ย คงเสกเป็นลิงไม่ได้หรอก ถ้าเป็นกอริลล่าหรือคิงคองก็ว่าไปอย่าง”
“โห...คุณ...พูดซะผมเสียหายเลย”
คราวนี้น้ำเสียงตัดพ้อและท่าทางของพงศ์พลินคุลิกาถึงกับหลุดหัวเราะออกมา ก่อนใบหน้างามจะกลับขึงขึ้นอีกครั้ง ขณะมองสบตาชายหนุ่มแล้วเอ่ยถาม
“ว่าแต่ คุณมานี่มีอะไรไม่ทราบคะ บอกแล้วไงว่ามีอะไรก็โทร.มาหรือไลน์มาก็ได้ โผล่มาทีไรเป็นเรื่องทุกที”
“ก็ผมไลน์หาคุณแล้ว แต่คุณไม่อ่าน...ไม่ตอบ ผมก็เลยเป็นห่วง” พงศ์พลินเอ่ยอธิบาย “ที่จริงผมยังคิดว่ามาอาจจะไม่เจอคุณด้วยซ้ำ เพราะมันเลยเวลาเลิกงานมาแล้ว แต่ก็ลองเสี่ยงบึงรถมานี่แหละ”
คุลิกาฟังน้ำเสียงอ่อยสีหน้าที่แสดงความห่วงใยของพงศ์พลินแล้ว ไม่รู้ตัวว่าอารมณ์ขุ่นเคืองก่อนหน้านี้ละลายหายไปไหนเสียหมด
“อย่างที่คุณเห็นฉันสบายดี แค่เซ็งนิด ๆ ที่ทำมือถือหาย จับมือใครดมก็ไม่ได้ แล้วตอนนี้ฉันก็กำลังจะกลับบ้าน”
“ให้ผมไปส่งนะ”
หญิงสาวขยับปากจะแย้ง แต่นั่งคำนวณเวลาและค่าใช้จ่ายที่จะต้องใช้ในการเดินทางกลับบ้านรวมกับสีหน้าท่าทางของชายหนุ่มที่ยืนมองตาละห้อยแล้วเธอก็ทำได้เพียงแค่พยักหน้าแผ่วเบา เดินตามพงศ์พลินเข้าไปภายในบริเวณอาคารจอดรถ
บนบาทวิถีที่พลุกพล่านไปด้วยผู้คนมีสัตว์สี่เท้าที่ไม่มีใครมองเห็นกำลังวิ่งอย่างรวดเร็วตีคู่ไปกับรถยนต์หรูคันหนึ่ง แมวสีขาวชะงักฝีเท้าทันทีที่เห็นรถยนต์คันนั้นลดความเร็วเนื่องจากด้านหน้าเป็นสี่แยกและสัญญาณไฟที่แสดงอยู่เป็นสีแดง แม้ผู้คนที่เดินผ่านไปมาบนทางเดินเท้านั้นจะมองไม่เห็น แต่สำหรับ ‘คน’ ที่นั่งอยู่ในรถยนต์คันนั้น คิตตี้ไม่แน่ใจนักจึงต้องพยายามติดตามอย่างไม่ให้คนบนรถรู้ตัว
นับตั้งแต่เห็นหน้าหญิงสาวร่างอวบอิ่มที่โถงลิฟท์หันมองมาทางคุลิกาเหมือนจะสงสัยอะไรบางอย่าง ภูตินำทางในร่างเด็กน้อยก็ต้องเกิดสังหรณ์อะไรบางอย่าง รีบหายตัววับไปจากภายในบริเวณร้านกาแฟ หากผู้หญิงคนนี้คือเวทนรีมืดและสามารถมองเห็นได้ว่าเด็กหญิงที่นั่งอยู่กับคุลิกาคือภูตินำทางย่อมนำมาสู่อันตรายอย่างใหญ่หลวง ความสามารถในการใช้เวทมนต์ของคุลิกาตอนนี้ย่อมไม่อาจเทียบได้กับเวทนรีที่แฝงตัวอยู่ในโลกมนุษย์มานานเป็นร้อยร้อยปี
ในฐานะภูตินำทางคิตตี้จึงต้องมาสืบหาความจริง คิตตี้หลบสายตาเพื่อสังเกตการณ์จนรู้ว่าผู้หญิงน่าสงสัยคนนี้เข้ามาพัวพันกับปพนธีร์ด้วย ช่วงเวลาอันเหมาะเจาะนี้ทำให้ความคลางแคลงใจของภูตินำทางยิ่งทวีขึ้นและจำต้องตามสืบให้รู้ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งหรือเป็นเวทนรีที่มีเวทมนต์ชั่วร้ายดำมืดกันแน่
ไม่นานคิตตี้ในร่างแมวสีขาวก็วิ่งตามรถยนต์ของปพนธีร์ไปถึงหน้าร้านอาหารใหญ่ซึ่งตกแต่งแบบร่วมสมัยให้บรรยากาศคล้ายกับรีสอร์ท ทางเดินไม้เชื่อมต่อไปสู่บริเวณที่จัดโต๊ะไว้รับรองลูกค้ากระจายกันอยู่ในสระน้ำใหญ่ มีร่มผ้าใบกางบังแดดฝน รอบสระมีกลุ่มห้องคาราโอเกะติดเครื่องปรับอากาศติดกระจกใสให้ลูกค้าสามารถมองเห็นบรรยากาศโดยรอบของตัวร้าน
เมื่อปพนธีร์พาลัลน์ลลิตเดินทางมาถึงก็เริ่มค่ำแล้วทางร้านจึงเปิดไฟสีเหลืองนวลเสริมให้บรรยากาศดียิ่งขึ้น เสียงเพลงจากวงดนตรีแสดงสดเพิ่มความรื่นรมย์ให้กับลูกค้าที่มารับประทานอาหาร ชายหนุ่มและหญิงสาวที่เพิ่งเดินทางมาถึงร้านดึงดูดสายตาหลายคู่ให้มองมาเป็นตาเดียว แต่ทั้งสองดูจะคุ้นชินและรับมือกับการเป็นเป้าสายตาได้เป็นอย่างดี ปพนธีร์จัดการเรื่องจองโต๊ะไว้ตั้งแต่ก่อนเดินทางออกจากบริษัท เลือกส่วนที่แยกห่างออกไปเล็กน้อยและติดน้ำ เมื่อพนักงานเดินนำมาถึงโต๊ชายหนุ่มก็ขยับไปเลื่อนเก้าอี้ให้ลัลน์ลลิตนั่งก่อนจะเดินอ้อมไปหย่อนตัวนั่งตรงข้ามกับหญิงสาว
แมวสีขาวที่ไม่มีใครมองเห็นลอบเดินลัดเลาะหลบขาลูกค้าและพนักงานที่เดินขวักไขว่ แอบลอดไปใต้โต๊ะและเก้าอี้อย่างระมัดระวังไม่ให้คนที่ถูกติดตามรู้ตัวกระทั่งได้ที่หมอบใต้โต๊ะติดกันกับโต๊ะที่ปพนธีร์และลัลน์ลลิตนั่งอยู่ ใกล้พอที่จะลอบมองและได้ยินการสนทนาของสองหนุ่มสาวชัดเจนโดยไม่ถูกเสียงเพลงกลบ
คุลิกายืนกอดอกอยู่บนบาทวิถี มองชายหนุ่มที่กำลังก้มหน้าง่วนอยู่กับชิ้นส่วนเครื่องยนต์ซึ่งหญิงสาวเรียกไม่ถูกว่าเป็นอะไร รู้แต่ว่าเธอยืนรออยู่นานพอควร และพงศ์พลินก็ผลุบเข้าผลุบออกห้องโดยสารสลับกับยืนประจำอยู่หน้ารถมานานมากแล้ว ชายหนุ่มถึงกับหน้าถอดสีเมื่อรถวิ่งมาได้พักหนึ่งก็เกิดอาการกระตุกก่อนที่เครื่องยนต์จะดับไป และยิ่งหน้าเจื่อนเมื่อได้ยินคำตอบของหญิงสาวหลังจากที่เขาเอ่ยถามถึงการใช้มนต์เพื่อซ่อมอาการรถเสียจากเธอ
‘จะบ้าเหรอคุณ ฉันจะหัดใช้เวทมนต์ได้แต่ละที ต้องตั้งสมาธิฝึกโน่นฝึกนี่ตั้งนาน จะให้ใช้เวทมนต์ซ่อมรถเนี่ยนะ’
พงศ์พลินเอ่ยขอโทษหญิงสาวก่อนจะเปิดประตูลงจากรถเปิดฝากระโปรง เวลาผ่านไปนานพอควร คุลิกาที่นั่งรออยู่นานก็เปลี่ยนที่รอจากในห้องโดยสารมาเป็นบนบาทวิถี ยืมโทรศัพท์ของชายหนุ่มต่อสายถึงมารดาเพื่อแจ้งว่าตนอาจจะกลับถึงบ้านค่ำกว่าที่คิดเล็กน้อยเพราะรถของ ‘เพื่อน’ ที่อาสาไปส่งเกิดเสียกลางทาง
“นี่...ตกลงคุณซ่อมรถเป็นรึเปล่าเนี่ย ทำไมไม่ตามช่าง”
“เป็นสิคุณ ผมซ่อมเองได้ เรียกช่างทำไมให้เสียเวลา”
“แหม………” คุลิกาลากเสียง “นี่ไม่เสียเวลาเลยนะคะคุณขา ปาไปเกือบชั่วโมงแล้วนะ”
“คราวนี้สำเร็จแน่ เชื่อผมสิ”
พงศ์พลินดึงฝากระโปรงหน้ารถลงก่อนจะรีบเดินพรวดไปเปิดประตูฝั่งคนขับ ลองติดเครื่องยนต์อีกครั้ง เสียงเครื่องดังคล้ายจะเริ่มทำงานดังขึ้น
“เห็นมั้ยคุณผมบอกแล้วว่า...”
ยังไม่ทันจะพูดจบ ชายหนุ่มก็หน้าเสียเพราะเครื่องยนต์ที่ส่งเสียงขึ้นเมื่อครู่กับดับสนิทลงอีกครั้ง
“เอ่อ...ผมขอลองอีกหน รับรองว่าคราวนี้สำเร็จแน่”
คุลิกาทำหน้าเมื่อยขณะผงกศีรษะรับคำ มองเสื้อผ้าของพงศ์พลินที่ตอนนี้เปียกเหงื่อจนเกือบชุ่ม ใบหน้ามีหยดเหงื่อไหลย้อย เขาปาดหลังมือลงบนหน้าผากไล่เหงื่อที่ไหลลงมาจากหน้าผาก
เธอยืนรออยู่ริมถนนยังรู้สึกว่าอาการร้อนอ้าว คนที่ง่วนซ่อมรถคงยิ่งทั้งร้อนกายร้อนใจยิ่งกว่า พงศ์พลินใช้เวลาอีกชั่วครู่ทดลองแก้ไขเครื่องยนต์ก่อนที่จะปิดฝากระโปรงอีกครั้ง จากนั้นก็หันมายิ้มให้กับคุลิกา
รอยยิ้มที่ดูแฝงความไม่มั่นใจนั้นทำให้หญิงสาวรู้สึกราวกับมีใครเอาเชือกมาผูกกับหัวใจแล้วกระตุกเบา ๆ
เฮ้อ...หวังว่าหนนี้จะสำเร็จนะ
คุลิกายิ้มตอบอย่างจะให้กำลังใจและเมื่อชายหนุ่มกระโดดขึ้นเบาะคนขับ เธอก็นึกเอาใจช่วย
ติด...ติด...ติด
ชั่วขณะนั้นหญิงสาวมองเห็นแสงมีมุกสว่างวาบขึ้นที่ฝากระโปรงหน้ารถและทันทีที่พงศ์พลินบิดกุญแจเพื่อสตาร์ทรถ เสียงเครื่องยนต์ก็ดังขึ้นและคราวนี้ทำงานต่อเนื่องไม่สะดุดและดับไปเหมือนครั้งก่อน
“คุณ!”
คนที่ยืนมองอย่างไม่เชื่อสายตาเพิ่งได้สติก็ตอนได้ยินเสียงตะโกนเรียก เมื่อเลื่อนสายตาไปมองคนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยก็กวักมือเรียก
“ขึ้นรถได้แล้วครับ คุณผู้หญิง”
หญิงสาวพยักหน้าก้าวไปเปิดประตูหน้ารถด้านข้างคนขับก่อนโน้มตัวเข้าไปนั่งในห้องโดยสาร
“เห็นมั้ย ผมบอกแล้วว่าผมซ่อมรถเป็น”
ค่ะ...ซ่อมรถเป็นมาก ไม่คิดเลยว่าความสงสารจะช่วยกระตุ้นเวทมนต์ได้ด้วย รู้งี้ลองสั่งให้เครื่องสตาร์ทแต่แรกก็ดีหรอก
คุลิกานึกแย้งอยู่ในใจหากไม่เอ่ยอะไรให้พงศ์พลินต้องเสียความมั่นใจ ถือเป็นการตอบแทนที่เขาอาสามาส่ง ไม่นับเรื่องที่รถเสียแล้วให้เธอต้องนั่งรอ ยืนรออยู่นานสองนาน
แล้วเราก็บ้ารออยู่ได้ ถ้าทิ้งให้ซ่อมรถคนเดียวแล้วหนีขึ้นรถกลับบ้านเองก็ถึงตั้งนานแล้ว
พาหนะคู่ใจของพงศ์พลินจอดเทียบหน้าประตูบ้านของคุลิกา หญิงสาวผ่อนลมหายใจยาวเพราะระหว่างทางมีเสียงกุกกักเหมือนเครื่องยนต์สะดุดหลายครั้ง หากสุดท้ายเขาก็ยังสามารถนำเธอมาส่งถึงที่หมายได้
“ลุ้นเหมือนกันนะครับ”
“ค่ะ ลุ้นยิ่งกว่าลุ้นหวยอีก”
“คุณ...เล่นหวยด้วยเหรอ” พงศ์พลินถามกลับน้ำเสียงและสีหน้าบ่งชัดว่าไม่เชื่อ “ท่าทางคุณดูไม่เหมือน...”
“แหม...คุณพงศ์ นี่คุณไม่เคยพูดเปรียบเปรยอะไรบ้างหรือฉัน ฉันก็แค่เปรียบให้ฟัง” หญิงสาวหยุดชะงักเล็กน้อย ก่อนจะข้ามความทรงจำที่เคยลองฝากเพื่อนแทงสองตัวบนขำ ๆ ไปสองครั้ง ก่อนจะบอกศาลาเพราะเลขที่ออกนั้นไม่เฉียดไม่ใกล้ที่แทงสักนิดและสำหรับคุลิกาเงินที่จ่ายโดยเสียเปล่าไม่ว่าจะมีมูลค่าเท่าใดก็ถือว่าแพงเกินกว่าจะจ่าย “ฉันไม่ใช่พวกบ้าหวย บ้าพนันหรอกนะ”
พงศ์พลินหัวเราะขันก่อนจะโต้ “คุณก็คงไม่เคยแกล้งหยอกใครเล่นสินะครับ ผมรู้ว่าคุณพูดเปรียบเปรย ไม่ได้คิดว่าคุณเป็นคอหวยจริง ๆ สักหน่อย”
“คุณ!”
คุลิกาไม่รู้จะตอบโต้อย่างไรจึงได้แค่ร้องเรียกชายหนุ่มด้วยคำสรรพนามนั้นเพียงคำเดียว สายตาของหญิงสาวจับจ้องสีหน้าท่าทางที่ดูเหมือนกำลังอารมณ์ดีของพงศ์พลินนิ่ง ก่อนจะได้สติยืดตัวตรง เชิดหน้า
“ขอบคุณนะคะที่มาส่ง”
หญิงสาวเอื้อมไปเปิดประตูตั้งใจจะไม่ฟังเสียงเรียกทัดทานจากพงศ์พลิน ทว่าเขาเอ่ยเรียกเธอเพียงแค่ครั้งเดียวก่อนจะร้องออกมาด้วยน้ำเสียงที่แสดงความตระหนก
“เฮ้ย!”
“อะไรกันคุณ ร้องซะตกอกตกใจ”
คุลิกาหันกลับไปมองชายหนุ่มเห็นสายตาของเขาจับอยู่ที่กระจกมองหลังก่อนจะเหลียวไปมองเบาะหลัง เธอจึงหันไปมองสิ่งที่อยู่บนเบาะนั้นพร้อมกัน
แมวสีขาวมองตอบสายตาของทั้งคู่ ดวงตาและสีหน้าของมันเหมือนจะแปลเป็นภาษาพูดได้ว่า ‘จะตื่นเต้นตกใจอะไรนักหนา’
ดวงตากลมโตสีฟ้าของแมวสีขาวค่อยเปลี่ยนไปในการรับรู้ของสองหนุ่มสาวกลายเป็นดวงตาสีดำของเด็กหญิง กระนั้นความหมายการมองของคิตตี้ก็ไม่ต่างไปจากตอนที่เป็นแมว
“ยายคิตตี้!”
“ขา...คุณพี่แคท คิตตี้เองค่ะ”
“โผล่มาไม่ให้สุ่มให้เสียงอีกแล้วนะ คนอื่นเค้าตกอกตกใจหมด”
“คนอื่น...ก็เห็นมีแต่คุณพี่ผู้ชายคนนี้คนเดียว ไม่เห็นมีใครอื่น” คิตตี้แย้งก่อนจะกอดอกทำหน้าจริงจังขึ้น “แล้วที่มาโผล่เนี่ย ก็ไม่ได้โผล่มาเฉย ๆ นะ มีเรื่องด่วนที่ต้องพูดคุยปรึกษา”
คุลิกาหันไปมองทางพงศ์พลินชั่วขณะก่อนจะกลับมาที่ภูตินำทางประจำตัว มองเด็กหญิงด้วยความข้องใจ
“ก็คุณพี่คนนี้เค้ารู้เรื่องของพี่แคทอยู่แล้วนี่ ให้รู้อีกสักเรื่องคงไม่มีปัญหา อีกอย่างเกิดพี่แคทต้องไปไหนมาไหนแล้วใช้มนต์ไม่สำเร็จขึ้นมาจะได้มีคุณพี่คนนี้ทำหน้าเป็นคนขับรถ”
‘คนขับรถ’ ยิ้มแหย
“เอ่อ...พี่ชื่อพงศ์ครับ”
“นั่นแหละ...จะได้มีพี่พงศ์เป็นคนขับรถให้ไง”
“เอาล่ะ ๆ” คุลิกาเหมือนจะสังเกตเห็นอาการเก้อเขินของชายหนุ่มที่อยู่ดี ๆ โดนยกตำแหน่งคนขับรถให้จึงรีบตัดบท “มีอะไรก็ว่ามา”
คิตตี้นั่งกอดอกอย่างภาคภูมิใจอยู่ครู่หนึ่งเมื่อเห็นว่าทั้งคุลิกาและพงศ์พลินกำลังรอฟังเรื่องที่ตนจะเล่าอย่างใจจดจ่อ กระทั่งคุลิกากระแอมเตือน เด็กหญิงจึงเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ให้ทั้งคู่ฟัง
เจ้าของร่างอวบอิ่มส่งรายการอาหารปกหนังคืนให้บริกรก่อนส่งยิ้มพราวให้กับชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงข้าม ปพนธีร์ทำท่าเหมือนกลั้นใจอยู่ชั่วขณะ
“คุณป๊อบมองลันแบบนี้ ลันเขินแย่นะคะ”
“ขอโทษครับคุณลัน ไม่รู้ว่าทำไมเวลาอยู่ใกล้ ๆ หรือได้ยินเสียงคุณลัน ผมลืมนึกถึงเรื่องอื่นไปหมด”
หญิงสาวยิ้มพราว ดวงตาคมนั้นเหมือนมีพลังอำนาจบางอย่างที่คิตตี้ซึ่งแอบอยู่ใต้โต๊ะสัมผัสได้ ภูตินำทางในร่างแมวสีขาวสังเกตการณ์ต่อ พิจารณาจากการพูดคุยกันระหว่างทั้งสองแล้วยิ่งรู้สึกว่าท่าทีของปพนธีร์ดูแปลกจากที่เคยเจอ
ปกติ...คุณพี่ดารุทัยคนนี้ไม่ได้พูดจาหรือแสดงท่าทีกับผู้หญิงอะไรขนาดนี้นี่นา นี่ดูเพ้ออย่างกับคนโดนมนต์แน่ะ...มนต์...หรือว่าผู้หญิงคนนี้จะเป็นเวทนรีมืดจริง ๆ
คิตตี้ไม่มีเวลาครุ่นคิดอะไรต่อเพราะจู่ ๆ คนที่เป็นเป้าหมายในการสังเกตการณ์ก็หันขวับมา ลักษณะสายตาไม่เหมือนกับคนทั่วไปที่มองอะไรต่ออะไรไปรอบตัวหากจำเพาะก้มลงมองที่ใต้โต๊ะราวกับรู้ตัวว่าถูกจับจ้องอยู่ แมวน้อยรีบกระโจนไปหลบใต้เก้าอี้ในตำแหน่งที่น่าจะพ้นจากสายตาของหญิงสาวร่างอวบอิ่มคนนั้น
เหมือนรู้ว่าเราแอบมอง...ไม่ธรรมดาแฮะ ถ้าไม่มีสัมผัสที่ไวมาก ๆ ก็ต้องเป็น...เวทนรีอย่างที่เราคิดแน่ ๆ
เรื่องเล่าของคิตตี้ถูกขัดจังหวะด้วยคำถามจากชายหนุ่มเพียงคนเดียวในห้องโดยสาร
“แล้วตกลงผู้หญิงคนนั้นเป็นเวทนรีรึเปล่า แล้วคุณแคทจะมีอันตรายมั้ย”
คิตตี้ในร่างเด็กหญิงที่นั่งอยู่เบาะหลังไม่ตอบคำถามกลับหายแวบไปกับตาก่อนจะมาปรากฏตัวด้วยร่างแมวสีขาวนั่งมองพงศ์พลินจากแผงหน้าปัดรถด้วยสายตาคล้ายจะตำหนิก่อนจะขยับปากเปล่งเสียงออกมาเป็นเสียงพูดของเด็กหญิง
“คุณพี่พงศ์ขา...แอบฟังเค้าคุยกันแค่นั้น หนูจะไปทราบแน่ชัดได้ยังไงคะว่าเค้าเป็นเวทนรีจริงรึเปล่า ส่วนอันตรายกับพี่แคทนี่ก็ขึ้นกับว่าเค้าเป็นเวทนรีมืดจริงมั้ยแล้วรู้มั้ยว่าพี่แคทจะต้องปฏิบัติภารกิจขัดขวางการสืบทายาทของเวทนรีมืดกับดารุทัย”
“ใครครับ ดารุทัย”
พงศ์พลินหันไปถามคนข้างตัวแทนเพราะกลัวจะถูกมองด้วยสายตาที่น่าจะตีความเป็นคำพูดได้ประมาณว่า ‘ตานี่...ถามอะไรไม่รู้เรื่องรู้ราวเอาซะเลย’
“คุณปพนธีร์ไงคะ คุณป๊อบเป็นดารุทัย” คุลิกาเอ่ยถึงตรงนี้ก็นึกได้ว่า พงศ์พลินไม่ได้รู้ข้อมูลมากเท่าตนจึงรีบอธิบาย “ดารุทัยคือคนที่เกิดมาจากดวงดาวค่ะ เป็นความเชื่อของทางโลกเวท ว่าเวทนรีที่มีทายาทกับดารุทัยจะมีอำนาจเปิดหรือปิดผนึกระหว่างสองโลกได้”
“แล้ว...” พงศ์พลินยังปะติดปะต่อเรื่องราวไม่ถูก
“ก็คุณพี่แคทในฐานะที่สืบเชื้อสายจากชาวเวท เป็นเวทนรีที่มีมนต์คนนึงก็ต้องชิงมีทายาทกับดารุทัยไงคะคุณพี่” แมวสีขาวชิงตอบแทนคุลิกาที่นั่งอ้าปากค้าง “ถ้าปล่อยให้เวทนรีมืดมีทายาทกับดารุทัยแล้วเปิดผนึกระหว่างสองโลก โลกมนุษย์กับโลกเวทต้องวุ่นวายแน่ ๆ ลำพังแค่พวกเวทมืดในโลกโน้นก็ตามจัดการกันไม่ไหวแล้ว ถ้าปล่อยให้ออกมาในโลกมนุษย์ละก็ไม่รู้จะไล่เก็บกวาดไหวมั้ย”
“สรุปว่าชาวเวทห่วงโลกมนุษย์หรือว่าห่วงตัวเองกันแน่เนี่ย” พงศ์พลินถามกลับทันที ยอมหันมาเผชิญหน้าตอบโต้กับแมวสีขาวอีกครั้ง “แล้วมันไม่ยุติธรรมเลยนะ คุณแคท...จะต้องแต่งงาน มีลูกกับผู้ชายคนนึงแค่เพราะจะได้ปิดผนึกของสองโลกเท่านั้นเหรอ คุณแคทควรได้แต่งงานสร้างครอบครัวกับคนที่รักถึงจะถูก”
“คุณพี่พงศ์รู้ได้ไงว่าพี่แคทเค้าไม่ได้รักชอบคุณพี่ดารุทัยน่ะ เค้าทั้งหล่อ รวย โก้ สมาร์ท ดูดีออกขนาดนั้น ผู้หญิงที่ไหนจะไม่ชอบ...เนอะพี่แคทเนอะ”
จบคำพูดของแมวน้อย ทั้งแมวสีขาวและชายหนุ่มต่างก็พากันไปมองคุลิกาที่นั่งนิ่งพูดอะไรไม่ออกอยู่นาน หญิงสาวมองสายตาคล้ายจะถามของพงศ์พลินแล้วเสหันไปดุภูตินำทาง
“คิตตี้! เรื่องนี้มันก็ยังไม่แน่สักหน่อยว่าจะไม่มีเวทนรีคนอื่นที่เหมาะสมกับคุณป๊อบ แล้วคุณป๊อบเค้าก็อาจจะชอบเวทนรีคนนั้นก็ได้”
“ต้องไม่ใช่เวทนรีมืดด้วยนะคุณพี่ แล้วถ้าเกิดคุณพี่ดารุทัยคนนั้นไปหลงแต่งงานกับเวทนรีมืด มีทายาทด้วยกันขึ้นมาจะทำยังไง”
คุลิกาเถียงไม่ออกได้แต่นั่งนิ่งมองกลับไปทางพงศ์พลิน
“ถ้าเราแค่ขัดขวางไม่ให้เวทนรีมืดได้แต่งงานมีทายาทกับดารุทัยไม่ได้เหรอครับ” พงศ์พลินเอ่ยขึ้น “แล้วผนึกอะไรที่ว่านั่นก็จะยังคงปิดอยู่ต่อไป”
“มันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก ตอนนี้พวกเวทมืดพยายามทุกวิถีทางที่จะเจาะผ่านผนึกมายังโลกมนุษย์ เพราะสามารถควบคุมมนุษย์ได้ ถ้าอยู่ในโลกเวท พวกนั้นไม่อาจต่อกรกับชาวเวทที่มีจิตใจดีได้ แต่กับมนุษย์ที่รัก โลภ โกรธ หลงได้ง่าย รับรองว่าไม่นาน”
“ตอนนี้เรื่องที่ต้องคิดกันให้ตกคือเรื่องของผู้หญิงคนนั้นมากกว่า” คุลิกาดึงความสนใจของคิตตี้และพงศ์พลินไปอีกทาง “ถ้าเกิดว่าผู้หญิงคนที่มาใกล้ชิดคุณป๊อบเป็นเวทนรีมืดขึ้นมาจริง ๆ เราจะทำอะไรได้บ้าง”
“จริงด้วยสิครับ...แล้วถ้าเกิดผู้หญิงคนนั้นเป็นเวทนรีมืดเค้าจะทำอะไรคุณแคทรึเปล่า ถ้าคุณแคทไปขัดขวางเข้า” พงศ์พลินขมวดคิ้วอย่างครุ่นคิด “ถ้างั้นเราก็ต้องตามสืบให้แน่ชัดก่อนว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นเวทนรีมืดรึเปล่า”
คราวนี้สายตาของสองหนุ่มสาวจับไปที่แมวสีขาวบนแผงหน้าปัดรถยนต์แทน คุลิการีบเอ่ยถาม
“แล้วทำไมไม่ตามต่อล่ะคิตตี้ว่าผู้หญิงคนนั้นตกลงเป็นเวทนรีมืดรึเปล่า”
แมวสีขาวส่งเสียงร้องเมี๊ยวแทนคำพูดภาษามนุษย์ สายตามองขวับไปทางพงศ์พลินอีกครั้ง
“ก็คุณพี่พงศ์ขัดคอขึ้นมาก่อนน่ะสิ ยังไม่ทันจะเล่าจบเลย”
“งั้นก็เล่าต่อสิ คิตตี้”
จบคำของหญิงสาว ทั้งคุลิกาและพงศ์พลินก็ต้องหันมาสบตากัน...แมวสีขาวถอนหายใจเหมือนกับหนักอกหนักใจอะไรเสียเต็มประดา เกิดมาทั้งคู่ก็เพิ่งจะเคยเห็นแมวแสดงอาการถอนใจก็ครั้งนี้ กระนั้นทั้งคู่ก็ไม่เอ่ยอะไรออกมาเพราะเกรงว่าหากขัดจังหวะการเล่าจะเจอกับสายตาเหยียดหรือเสียงร้องตำหนิของเจ้าแมวตัวน้อยอีก
เมื่อพึ่งพนักงานร้านกาแฟไม่ได้แล้ว หญิงสาวจึงไปติดต่อกับฝ่ายรักษาความปลอดภัยของอาคารเพื่อขอตรวจสอบกล้องวงจรปิด แต่โชคร้ายที่บริเวณที่หญิงสาวนั่งในร้านนั้นไม่อยู่ในจุดที่กล้องจะบันทึกภาพเป็นหลักฐานได้ชัดเจนว่ามีใครหยิบเอาโทรศัพท์มือถือที่เธอวางลืมไว้ไปหรือไม่
หญิงสาวถอดใจกับการตามหาโทรศัพท์ กล่าวขอบคุณกับเจ้าหน้าที่ที่ให้ความร่วมมือในการย้อนภาพที่บันทึกจากกล้องวงจรปิดให้ดูจนแน่ใจว่าเปล่าประโยชน์ เดินคอตกออกจากห้องมอนิเตอร์มาได้ก็มองหาเครื่องโทรศัพท์หยอดเหรียญ กดหมายเลขที่บ้านเพื่อแจ้งข่าวกับจิตรา บอกมารดาว่าอาจกลับถึงบ้านช้ากว่าปกติ วางสายแล้วก็รีบเดินออกจากอาคารทันที
หากเดินพ้นตัวอาคารเพียงไม่กี่ก้าว เธอก็ชนปะทะเข้ากับร่างสูงของใครอีกคน หญิงสาวเกือบล้มก้มจ้ำเบ้าดีแต่ใครคนนั้นรีบโผเข้าประคองเอาไว้ สภาพของหญิงสาวเหมือนนั่งบนอากาศ ขณะที่มีอ้อมแขนของชายหนุ่มกอดกระชับอยู่...เธอมั่นใจว่าเป็นชายหนุ่มทั้งที่ยังไม่ทันเงยหน้ามอง เพราะสัมผัสแผงอกและอ้อมแขนแข็งแกร่ง กลิ่นน้ำหอมผู้ชาย รวมถึงเสียง...
“เจ็บรึเปล่าครับคุณแคท”
น้ำเสียงที่คุ้นหู ทั้งการตระหนักว่าเจ้าของอ้อมกอดรู้จักเธอดึงให้คุลิกาเงยหน้าขึ้นมองอย่างรวดเร็ว ดวงตาของหญิงสาวเบิกกว้าง พวงแก้มมีสีแดงแต้มขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ปากขยับพร้อมกับมือที่ผลักพงศ์พลินเข้าที่อก
“คุณ...ฉวยโอกาสเหรอ”
ชายหนุ่มผงะเล็กน้อยหากยอมคลายอ้อมแขน เขายืนตั้งหลักยึดเธอไว้มั่นแต่แรกจึงเพียงแค่เซไปเล็กน้อย ผิดกับคุลิกาที่ลืมว่าตัวเองแปะบั้นท้ายไว้กับอากาศอยู่ เมื่อพงศ์พลินปล่อยร่างเธอจึงร่วงลงไปแหมะอยู่กับพื้น
คุลิการ้องว้ายออกมาไม่เบานัก หากเมื่อสายตามองไปเห็นว่าโดยรอบมีคนเดินเข้าออกตัวอาคารต่อเนื่อง จึงลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว ความเจ็บบริเวณสะโพกไม่มีผลเท่าความอายที่ล้มก้นกระแทกต่อหน้าสาธารณชน
“อะไรของคุณเนี่ย จู่ ๆ นึกจะโผล่ก็โผล่มา มาทีไรก็ทำฉันขายหน้าคนอื่นทุกที เดี๋ยวก็เสกให้เป็นลิงซะหรอก”
“เฮ้ย!”
พงศ์พลินร้องเสียหลงกระโดดถอยหลังไปหนึ่งก้าวยกมือข้างหนึ่งขึ้นบังใบหน้าคล้ายจะป้องกันตัวจากอะไรบางอย่าง กิริยาของชายหนุ่มเรียกความสนใจจากผู้คนได้ดีไม่แพ้การล้มก้นจ้ำเบ้าของคุลิกา หญิงสาวมองซ้ายมองขวาเห็นสายตาคนที่มองอย่างสงสัยแล้ว รีบก้าวฉับไปคว้าแขนชายหนุ่ม เปล่งเสียงลอดไรฟันอย่างเอาเรื่อง
“มานี่เลยคุณ ทำอะไรน่ะ คนมองใหญ่แล้ว”
“ก็คุณบอกว่าจะเสกให้ผมเป็นลิง”
ชายหนุ่มตอบระดับเสียงปกติ คุลิกาจึงหยุดเดิน เอื้อมมืออีกข้างไปหยิกเข้าที่ต้นแขนของพงศ์พลิน แรงพอที่จะทำให้ผู้ชายอกสามศอกร้องจ๊าก
“โอ๊ย! คุณผมเจ็บนะ”
“ถ้าไม่เจ็บไม่ทำหรอก...ตั้งใจให้เจ็บเคยแหละ คุณจะบ้าเหรอ คิดว่าฉันเก่งกล้าสามารถขนาดที่จะเสกให้คนกลายเป็นลิงได้หรือไง”
พงศ์พลินอ้าปากค้างเหมือนไม่รู้จะตอบอย่างไร หากเพียงครู่ก็เอ่ยเหมือนพึมพำกับตัวเอง
“จะไปรู้ได้ยังไงล่ะ ก็ขนาดลูกปืนยังหยุดได้ แค่เสกคนให้กลายเป็นลิง คงไม่เหลือบ่ากว่าแรงหรอกมั้ง”
ท่าทางและคำพูดของพงศ์พลิน ทำให้คนที่ยืนหายใจแรงอยู่ข้างตัว ถอนใจยาวอีกหนึ่งเฮือกใหญ่ สีหน้าที่ดูบึ้งตึงนั้นคลายลง
“ฉันเป็นเวทนรีฝึกหัด ไอ้ที่ช่วยคุณได้วันนั้นก็เพราะมันเป็นเหตุฉุกเฉิน ฉันใช้เวทมนต์อะไรอย่างที่ว่านั่นไม่ได้หรอก แล้วตัวขนาดคุณเนี่ย คงเสกเป็นลิงไม่ได้หรอก ถ้าเป็นกอริลล่าหรือคิงคองก็ว่าไปอย่าง”
“โห...คุณ...พูดซะผมเสียหายเลย”
คราวนี้น้ำเสียงตัดพ้อและท่าทางของพงศ์พลินคุลิกาถึงกับหลุดหัวเราะออกมา ก่อนใบหน้างามจะกลับขึงขึ้นอีกครั้ง ขณะมองสบตาชายหนุ่มแล้วเอ่ยถาม
“ว่าแต่ คุณมานี่มีอะไรไม่ทราบคะ บอกแล้วไงว่ามีอะไรก็โทร.มาหรือไลน์มาก็ได้ โผล่มาทีไรเป็นเรื่องทุกที”
“ก็ผมไลน์หาคุณแล้ว แต่คุณไม่อ่าน...ไม่ตอบ ผมก็เลยเป็นห่วง” พงศ์พลินเอ่ยอธิบาย “ที่จริงผมยังคิดว่ามาอาจจะไม่เจอคุณด้วยซ้ำ เพราะมันเลยเวลาเลิกงานมาแล้ว แต่ก็ลองเสี่ยงบึงรถมานี่แหละ”
คุลิกาฟังน้ำเสียงอ่อยสีหน้าที่แสดงความห่วงใยของพงศ์พลินแล้ว ไม่รู้ตัวว่าอารมณ์ขุ่นเคืองก่อนหน้านี้ละลายหายไปไหนเสียหมด
“อย่างที่คุณเห็นฉันสบายดี แค่เซ็งนิด ๆ ที่ทำมือถือหาย จับมือใครดมก็ไม่ได้ แล้วตอนนี้ฉันก็กำลังจะกลับบ้าน”
“ให้ผมไปส่งนะ”
หญิงสาวขยับปากจะแย้ง แต่นั่งคำนวณเวลาและค่าใช้จ่ายที่จะต้องใช้ในการเดินทางกลับบ้านรวมกับสีหน้าท่าทางของชายหนุ่มที่ยืนมองตาละห้อยแล้วเธอก็ทำได้เพียงแค่พยักหน้าแผ่วเบา เดินตามพงศ์พลินเข้าไปภายในบริเวณอาคารจอดรถ
บนบาทวิถีที่พลุกพล่านไปด้วยผู้คนมีสัตว์สี่เท้าที่ไม่มีใครมองเห็นกำลังวิ่งอย่างรวดเร็วตีคู่ไปกับรถยนต์หรูคันหนึ่ง แมวสีขาวชะงักฝีเท้าทันทีที่เห็นรถยนต์คันนั้นลดความเร็วเนื่องจากด้านหน้าเป็นสี่แยกและสัญญาณไฟที่แสดงอยู่เป็นสีแดง แม้ผู้คนที่เดินผ่านไปมาบนทางเดินเท้านั้นจะมองไม่เห็น แต่สำหรับ ‘คน’ ที่นั่งอยู่ในรถยนต์คันนั้น คิตตี้ไม่แน่ใจนักจึงต้องพยายามติดตามอย่างไม่ให้คนบนรถรู้ตัว
นับตั้งแต่เห็นหน้าหญิงสาวร่างอวบอิ่มที่โถงลิฟท์หันมองมาทางคุลิกาเหมือนจะสงสัยอะไรบางอย่าง ภูตินำทางในร่างเด็กน้อยก็ต้องเกิดสังหรณ์อะไรบางอย่าง รีบหายตัววับไปจากภายในบริเวณร้านกาแฟ หากผู้หญิงคนนี้คือเวทนรีมืดและสามารถมองเห็นได้ว่าเด็กหญิงที่นั่งอยู่กับคุลิกาคือภูตินำทางย่อมนำมาสู่อันตรายอย่างใหญ่หลวง ความสามารถในการใช้เวทมนต์ของคุลิกาตอนนี้ย่อมไม่อาจเทียบได้กับเวทนรีที่แฝงตัวอยู่ในโลกมนุษย์มานานเป็นร้อยร้อยปี
ในฐานะภูตินำทางคิตตี้จึงต้องมาสืบหาความจริง คิตตี้หลบสายตาเพื่อสังเกตการณ์จนรู้ว่าผู้หญิงน่าสงสัยคนนี้เข้ามาพัวพันกับปพนธีร์ด้วย ช่วงเวลาอันเหมาะเจาะนี้ทำให้ความคลางแคลงใจของภูตินำทางยิ่งทวีขึ้นและจำต้องตามสืบให้รู้ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งหรือเป็นเวทนรีที่มีเวทมนต์ชั่วร้ายดำมืดกันแน่
ไม่นานคิตตี้ในร่างแมวสีขาวก็วิ่งตามรถยนต์ของปพนธีร์ไปถึงหน้าร้านอาหารใหญ่ซึ่งตกแต่งแบบร่วมสมัยให้บรรยากาศคล้ายกับรีสอร์ท ทางเดินไม้เชื่อมต่อไปสู่บริเวณที่จัดโต๊ะไว้รับรองลูกค้ากระจายกันอยู่ในสระน้ำใหญ่ มีร่มผ้าใบกางบังแดดฝน รอบสระมีกลุ่มห้องคาราโอเกะติดเครื่องปรับอากาศติดกระจกใสให้ลูกค้าสามารถมองเห็นบรรยากาศโดยรอบของตัวร้าน
เมื่อปพนธีร์พาลัลน์ลลิตเดินทางมาถึงก็เริ่มค่ำแล้วทางร้านจึงเปิดไฟสีเหลืองนวลเสริมให้บรรยากาศดียิ่งขึ้น เสียงเพลงจากวงดนตรีแสดงสดเพิ่มความรื่นรมย์ให้กับลูกค้าที่มารับประทานอาหาร ชายหนุ่มและหญิงสาวที่เพิ่งเดินทางมาถึงร้านดึงดูดสายตาหลายคู่ให้มองมาเป็นตาเดียว แต่ทั้งสองดูจะคุ้นชินและรับมือกับการเป็นเป้าสายตาได้เป็นอย่างดี ปพนธีร์จัดการเรื่องจองโต๊ะไว้ตั้งแต่ก่อนเดินทางออกจากบริษัท เลือกส่วนที่แยกห่างออกไปเล็กน้อยและติดน้ำ เมื่อพนักงานเดินนำมาถึงโต๊ชายหนุ่มก็ขยับไปเลื่อนเก้าอี้ให้ลัลน์ลลิตนั่งก่อนจะเดินอ้อมไปหย่อนตัวนั่งตรงข้ามกับหญิงสาว
แมวสีขาวที่ไม่มีใครมองเห็นลอบเดินลัดเลาะหลบขาลูกค้าและพนักงานที่เดินขวักไขว่ แอบลอดไปใต้โต๊ะและเก้าอี้อย่างระมัดระวังไม่ให้คนที่ถูกติดตามรู้ตัวกระทั่งได้ที่หมอบใต้โต๊ะติดกันกับโต๊ะที่ปพนธีร์และลัลน์ลลิตนั่งอยู่ ใกล้พอที่จะลอบมองและได้ยินการสนทนาของสองหนุ่มสาวชัดเจนโดยไม่ถูกเสียงเพลงกลบ
คุลิกายืนกอดอกอยู่บนบาทวิถี มองชายหนุ่มที่กำลังก้มหน้าง่วนอยู่กับชิ้นส่วนเครื่องยนต์ซึ่งหญิงสาวเรียกไม่ถูกว่าเป็นอะไร รู้แต่ว่าเธอยืนรออยู่นานพอควร และพงศ์พลินก็ผลุบเข้าผลุบออกห้องโดยสารสลับกับยืนประจำอยู่หน้ารถมานานมากแล้ว ชายหนุ่มถึงกับหน้าถอดสีเมื่อรถวิ่งมาได้พักหนึ่งก็เกิดอาการกระตุกก่อนที่เครื่องยนต์จะดับไป และยิ่งหน้าเจื่อนเมื่อได้ยินคำตอบของหญิงสาวหลังจากที่เขาเอ่ยถามถึงการใช้มนต์เพื่อซ่อมอาการรถเสียจากเธอ
‘จะบ้าเหรอคุณ ฉันจะหัดใช้เวทมนต์ได้แต่ละที ต้องตั้งสมาธิฝึกโน่นฝึกนี่ตั้งนาน จะให้ใช้เวทมนต์ซ่อมรถเนี่ยนะ’
พงศ์พลินเอ่ยขอโทษหญิงสาวก่อนจะเปิดประตูลงจากรถเปิดฝากระโปรง เวลาผ่านไปนานพอควร คุลิกาที่นั่งรออยู่นานก็เปลี่ยนที่รอจากในห้องโดยสารมาเป็นบนบาทวิถี ยืมโทรศัพท์ของชายหนุ่มต่อสายถึงมารดาเพื่อแจ้งว่าตนอาจจะกลับถึงบ้านค่ำกว่าที่คิดเล็กน้อยเพราะรถของ ‘เพื่อน’ ที่อาสาไปส่งเกิดเสียกลางทาง
“นี่...ตกลงคุณซ่อมรถเป็นรึเปล่าเนี่ย ทำไมไม่ตามช่าง”
“เป็นสิคุณ ผมซ่อมเองได้ เรียกช่างทำไมให้เสียเวลา”
“แหม………” คุลิกาลากเสียง “นี่ไม่เสียเวลาเลยนะคะคุณขา ปาไปเกือบชั่วโมงแล้วนะ”
“คราวนี้สำเร็จแน่ เชื่อผมสิ”
พงศ์พลินดึงฝากระโปรงหน้ารถลงก่อนจะรีบเดินพรวดไปเปิดประตูฝั่งคนขับ ลองติดเครื่องยนต์อีกครั้ง เสียงเครื่องดังคล้ายจะเริ่มทำงานดังขึ้น
“เห็นมั้ยคุณผมบอกแล้วว่า...”
ยังไม่ทันจะพูดจบ ชายหนุ่มก็หน้าเสียเพราะเครื่องยนต์ที่ส่งเสียงขึ้นเมื่อครู่กับดับสนิทลงอีกครั้ง
“เอ่อ...ผมขอลองอีกหน รับรองว่าคราวนี้สำเร็จแน่”
คุลิกาทำหน้าเมื่อยขณะผงกศีรษะรับคำ มองเสื้อผ้าของพงศ์พลินที่ตอนนี้เปียกเหงื่อจนเกือบชุ่ม ใบหน้ามีหยดเหงื่อไหลย้อย เขาปาดหลังมือลงบนหน้าผากไล่เหงื่อที่ไหลลงมาจากหน้าผาก
เธอยืนรออยู่ริมถนนยังรู้สึกว่าอาการร้อนอ้าว คนที่ง่วนซ่อมรถคงยิ่งทั้งร้อนกายร้อนใจยิ่งกว่า พงศ์พลินใช้เวลาอีกชั่วครู่ทดลองแก้ไขเครื่องยนต์ก่อนที่จะปิดฝากระโปรงอีกครั้ง จากนั้นก็หันมายิ้มให้กับคุลิกา
รอยยิ้มที่ดูแฝงความไม่มั่นใจนั้นทำให้หญิงสาวรู้สึกราวกับมีใครเอาเชือกมาผูกกับหัวใจแล้วกระตุกเบา ๆ
เฮ้อ...หวังว่าหนนี้จะสำเร็จนะ
คุลิกายิ้มตอบอย่างจะให้กำลังใจและเมื่อชายหนุ่มกระโดดขึ้นเบาะคนขับ เธอก็นึกเอาใจช่วย
ติด...ติด...ติด
ชั่วขณะนั้นหญิงสาวมองเห็นแสงมีมุกสว่างวาบขึ้นที่ฝากระโปรงหน้ารถและทันทีที่พงศ์พลินบิดกุญแจเพื่อสตาร์ทรถ เสียงเครื่องยนต์ก็ดังขึ้นและคราวนี้ทำงานต่อเนื่องไม่สะดุดและดับไปเหมือนครั้งก่อน
“คุณ!”
คนที่ยืนมองอย่างไม่เชื่อสายตาเพิ่งได้สติก็ตอนได้ยินเสียงตะโกนเรียก เมื่อเลื่อนสายตาไปมองคนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยก็กวักมือเรียก
“ขึ้นรถได้แล้วครับ คุณผู้หญิง”
หญิงสาวพยักหน้าก้าวไปเปิดประตูหน้ารถด้านข้างคนขับก่อนโน้มตัวเข้าไปนั่งในห้องโดยสาร
“เห็นมั้ย ผมบอกแล้วว่าผมซ่อมรถเป็น”
ค่ะ...ซ่อมรถเป็นมาก ไม่คิดเลยว่าความสงสารจะช่วยกระตุ้นเวทมนต์ได้ด้วย รู้งี้ลองสั่งให้เครื่องสตาร์ทแต่แรกก็ดีหรอก
คุลิกานึกแย้งอยู่ในใจหากไม่เอ่ยอะไรให้พงศ์พลินต้องเสียความมั่นใจ ถือเป็นการตอบแทนที่เขาอาสามาส่ง ไม่นับเรื่องที่รถเสียแล้วให้เธอต้องนั่งรอ ยืนรออยู่นานสองนาน
แล้วเราก็บ้ารออยู่ได้ ถ้าทิ้งให้ซ่อมรถคนเดียวแล้วหนีขึ้นรถกลับบ้านเองก็ถึงตั้งนานแล้ว
พาหนะคู่ใจของพงศ์พลินจอดเทียบหน้าประตูบ้านของคุลิกา หญิงสาวผ่อนลมหายใจยาวเพราะระหว่างทางมีเสียงกุกกักเหมือนเครื่องยนต์สะดุดหลายครั้ง หากสุดท้ายเขาก็ยังสามารถนำเธอมาส่งถึงที่หมายได้
“ลุ้นเหมือนกันนะครับ”
“ค่ะ ลุ้นยิ่งกว่าลุ้นหวยอีก”
“คุณ...เล่นหวยด้วยเหรอ” พงศ์พลินถามกลับน้ำเสียงและสีหน้าบ่งชัดว่าไม่เชื่อ “ท่าทางคุณดูไม่เหมือน...”
“แหม...คุณพงศ์ นี่คุณไม่เคยพูดเปรียบเปรยอะไรบ้างหรือฉัน ฉันก็แค่เปรียบให้ฟัง” หญิงสาวหยุดชะงักเล็กน้อย ก่อนจะข้ามความทรงจำที่เคยลองฝากเพื่อนแทงสองตัวบนขำ ๆ ไปสองครั้ง ก่อนจะบอกศาลาเพราะเลขที่ออกนั้นไม่เฉียดไม่ใกล้ที่แทงสักนิดและสำหรับคุลิกาเงินที่จ่ายโดยเสียเปล่าไม่ว่าจะมีมูลค่าเท่าใดก็ถือว่าแพงเกินกว่าจะจ่าย “ฉันไม่ใช่พวกบ้าหวย บ้าพนันหรอกนะ”
พงศ์พลินหัวเราะขันก่อนจะโต้ “คุณก็คงไม่เคยแกล้งหยอกใครเล่นสินะครับ ผมรู้ว่าคุณพูดเปรียบเปรย ไม่ได้คิดว่าคุณเป็นคอหวยจริง ๆ สักหน่อย”
“คุณ!”
คุลิกาไม่รู้จะตอบโต้อย่างไรจึงได้แค่ร้องเรียกชายหนุ่มด้วยคำสรรพนามนั้นเพียงคำเดียว สายตาของหญิงสาวจับจ้องสีหน้าท่าทางที่ดูเหมือนกำลังอารมณ์ดีของพงศ์พลินนิ่ง ก่อนจะได้สติยืดตัวตรง เชิดหน้า
“ขอบคุณนะคะที่มาส่ง”
หญิงสาวเอื้อมไปเปิดประตูตั้งใจจะไม่ฟังเสียงเรียกทัดทานจากพงศ์พลิน ทว่าเขาเอ่ยเรียกเธอเพียงแค่ครั้งเดียวก่อนจะร้องออกมาด้วยน้ำเสียงที่แสดงความตระหนก
“เฮ้ย!”
“อะไรกันคุณ ร้องซะตกอกตกใจ”
คุลิกาหันกลับไปมองชายหนุ่มเห็นสายตาของเขาจับอยู่ที่กระจกมองหลังก่อนจะเหลียวไปมองเบาะหลัง เธอจึงหันไปมองสิ่งที่อยู่บนเบาะนั้นพร้อมกัน
แมวสีขาวมองตอบสายตาของทั้งคู่ ดวงตาและสีหน้าของมันเหมือนจะแปลเป็นภาษาพูดได้ว่า ‘จะตื่นเต้นตกใจอะไรนักหนา’
ดวงตากลมโตสีฟ้าของแมวสีขาวค่อยเปลี่ยนไปในการรับรู้ของสองหนุ่มสาวกลายเป็นดวงตาสีดำของเด็กหญิง กระนั้นความหมายการมองของคิตตี้ก็ไม่ต่างไปจากตอนที่เป็นแมว
“ยายคิตตี้!”
“ขา...คุณพี่แคท คิตตี้เองค่ะ”
“โผล่มาไม่ให้สุ่มให้เสียงอีกแล้วนะ คนอื่นเค้าตกอกตกใจหมด”
“คนอื่น...ก็เห็นมีแต่คุณพี่ผู้ชายคนนี้คนเดียว ไม่เห็นมีใครอื่น” คิตตี้แย้งก่อนจะกอดอกทำหน้าจริงจังขึ้น “แล้วที่มาโผล่เนี่ย ก็ไม่ได้โผล่มาเฉย ๆ นะ มีเรื่องด่วนที่ต้องพูดคุยปรึกษา”
คุลิกาหันไปมองทางพงศ์พลินชั่วขณะก่อนจะกลับมาที่ภูตินำทางประจำตัว มองเด็กหญิงด้วยความข้องใจ
“ก็คุณพี่คนนี้เค้ารู้เรื่องของพี่แคทอยู่แล้วนี่ ให้รู้อีกสักเรื่องคงไม่มีปัญหา อีกอย่างเกิดพี่แคทต้องไปไหนมาไหนแล้วใช้มนต์ไม่สำเร็จขึ้นมาจะได้มีคุณพี่คนนี้ทำหน้าเป็นคนขับรถ”
‘คนขับรถ’ ยิ้มแหย
“เอ่อ...พี่ชื่อพงศ์ครับ”
“นั่นแหละ...จะได้มีพี่พงศ์เป็นคนขับรถให้ไง”
“เอาล่ะ ๆ” คุลิกาเหมือนจะสังเกตเห็นอาการเก้อเขินของชายหนุ่มที่อยู่ดี ๆ โดนยกตำแหน่งคนขับรถให้จึงรีบตัดบท “มีอะไรก็ว่ามา”
คิตตี้นั่งกอดอกอย่างภาคภูมิใจอยู่ครู่หนึ่งเมื่อเห็นว่าทั้งคุลิกาและพงศ์พลินกำลังรอฟังเรื่องที่ตนจะเล่าอย่างใจจดจ่อ กระทั่งคุลิกากระแอมเตือน เด็กหญิงจึงเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ให้ทั้งคู่ฟัง
เจ้าของร่างอวบอิ่มส่งรายการอาหารปกหนังคืนให้บริกรก่อนส่งยิ้มพราวให้กับชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงข้าม ปพนธีร์ทำท่าเหมือนกลั้นใจอยู่ชั่วขณะ
“คุณป๊อบมองลันแบบนี้ ลันเขินแย่นะคะ”
“ขอโทษครับคุณลัน ไม่รู้ว่าทำไมเวลาอยู่ใกล้ ๆ หรือได้ยินเสียงคุณลัน ผมลืมนึกถึงเรื่องอื่นไปหมด”
หญิงสาวยิ้มพราว ดวงตาคมนั้นเหมือนมีพลังอำนาจบางอย่างที่คิตตี้ซึ่งแอบอยู่ใต้โต๊ะสัมผัสได้ ภูตินำทางในร่างแมวสีขาวสังเกตการณ์ต่อ พิจารณาจากการพูดคุยกันระหว่างทั้งสองแล้วยิ่งรู้สึกว่าท่าทีของปพนธีร์ดูแปลกจากที่เคยเจอ
ปกติ...คุณพี่ดารุทัยคนนี้ไม่ได้พูดจาหรือแสดงท่าทีกับผู้หญิงอะไรขนาดนี้นี่นา นี่ดูเพ้ออย่างกับคนโดนมนต์แน่ะ...มนต์...หรือว่าผู้หญิงคนนี้จะเป็นเวทนรีมืดจริง ๆ
คิตตี้ไม่มีเวลาครุ่นคิดอะไรต่อเพราะจู่ ๆ คนที่เป็นเป้าหมายในการสังเกตการณ์ก็หันขวับมา ลักษณะสายตาไม่เหมือนกับคนทั่วไปที่มองอะไรต่ออะไรไปรอบตัวหากจำเพาะก้มลงมองที่ใต้โต๊ะราวกับรู้ตัวว่าถูกจับจ้องอยู่ แมวน้อยรีบกระโจนไปหลบใต้เก้าอี้ในตำแหน่งที่น่าจะพ้นจากสายตาของหญิงสาวร่างอวบอิ่มคนนั้น
เหมือนรู้ว่าเราแอบมอง...ไม่ธรรมดาแฮะ ถ้าไม่มีสัมผัสที่ไวมาก ๆ ก็ต้องเป็น...เวทนรีอย่างที่เราคิดแน่ ๆ
เรื่องเล่าของคิตตี้ถูกขัดจังหวะด้วยคำถามจากชายหนุ่มเพียงคนเดียวในห้องโดยสาร
“แล้วตกลงผู้หญิงคนนั้นเป็นเวทนรีรึเปล่า แล้วคุณแคทจะมีอันตรายมั้ย”
คิตตี้ในร่างเด็กหญิงที่นั่งอยู่เบาะหลังไม่ตอบคำถามกลับหายแวบไปกับตาก่อนจะมาปรากฏตัวด้วยร่างแมวสีขาวนั่งมองพงศ์พลินจากแผงหน้าปัดรถด้วยสายตาคล้ายจะตำหนิก่อนจะขยับปากเปล่งเสียงออกมาเป็นเสียงพูดของเด็กหญิง
“คุณพี่พงศ์ขา...แอบฟังเค้าคุยกันแค่นั้น หนูจะไปทราบแน่ชัดได้ยังไงคะว่าเค้าเป็นเวทนรีจริงรึเปล่า ส่วนอันตรายกับพี่แคทนี่ก็ขึ้นกับว่าเค้าเป็นเวทนรีมืดจริงมั้ยแล้วรู้มั้ยว่าพี่แคทจะต้องปฏิบัติภารกิจขัดขวางการสืบทายาทของเวทนรีมืดกับดารุทัย”
“ใครครับ ดารุทัย”
พงศ์พลินหันไปถามคนข้างตัวแทนเพราะกลัวจะถูกมองด้วยสายตาที่น่าจะตีความเป็นคำพูดได้ประมาณว่า ‘ตานี่...ถามอะไรไม่รู้เรื่องรู้ราวเอาซะเลย’
“คุณปพนธีร์ไงคะ คุณป๊อบเป็นดารุทัย” คุลิกาเอ่ยถึงตรงนี้ก็นึกได้ว่า พงศ์พลินไม่ได้รู้ข้อมูลมากเท่าตนจึงรีบอธิบาย “ดารุทัยคือคนที่เกิดมาจากดวงดาวค่ะ เป็นความเชื่อของทางโลกเวท ว่าเวทนรีที่มีทายาทกับดารุทัยจะมีอำนาจเปิดหรือปิดผนึกระหว่างสองโลกได้”
“แล้ว...” พงศ์พลินยังปะติดปะต่อเรื่องราวไม่ถูก
“ก็คุณพี่แคทในฐานะที่สืบเชื้อสายจากชาวเวท เป็นเวทนรีที่มีมนต์คนนึงก็ต้องชิงมีทายาทกับดารุทัยไงคะคุณพี่” แมวสีขาวชิงตอบแทนคุลิกาที่นั่งอ้าปากค้าง “ถ้าปล่อยให้เวทนรีมืดมีทายาทกับดารุทัยแล้วเปิดผนึกระหว่างสองโลก โลกมนุษย์กับโลกเวทต้องวุ่นวายแน่ ๆ ลำพังแค่พวกเวทมืดในโลกโน้นก็ตามจัดการกันไม่ไหวแล้ว ถ้าปล่อยให้ออกมาในโลกมนุษย์ละก็ไม่รู้จะไล่เก็บกวาดไหวมั้ย”
“สรุปว่าชาวเวทห่วงโลกมนุษย์หรือว่าห่วงตัวเองกันแน่เนี่ย” พงศ์พลินถามกลับทันที ยอมหันมาเผชิญหน้าตอบโต้กับแมวสีขาวอีกครั้ง “แล้วมันไม่ยุติธรรมเลยนะ คุณแคท...จะต้องแต่งงาน มีลูกกับผู้ชายคนนึงแค่เพราะจะได้ปิดผนึกของสองโลกเท่านั้นเหรอ คุณแคทควรได้แต่งงานสร้างครอบครัวกับคนที่รักถึงจะถูก”
“คุณพี่พงศ์รู้ได้ไงว่าพี่แคทเค้าไม่ได้รักชอบคุณพี่ดารุทัยน่ะ เค้าทั้งหล่อ รวย โก้ สมาร์ท ดูดีออกขนาดนั้น ผู้หญิงที่ไหนจะไม่ชอบ...เนอะพี่แคทเนอะ”
จบคำพูดของแมวน้อย ทั้งแมวสีขาวและชายหนุ่มต่างก็พากันไปมองคุลิกาที่นั่งนิ่งพูดอะไรไม่ออกอยู่นาน หญิงสาวมองสายตาคล้ายจะถามของพงศ์พลินแล้วเสหันไปดุภูตินำทาง
“คิตตี้! เรื่องนี้มันก็ยังไม่แน่สักหน่อยว่าจะไม่มีเวทนรีคนอื่นที่เหมาะสมกับคุณป๊อบ แล้วคุณป๊อบเค้าก็อาจจะชอบเวทนรีคนนั้นก็ได้”
“ต้องไม่ใช่เวทนรีมืดด้วยนะคุณพี่ แล้วถ้าเกิดคุณพี่ดารุทัยคนนั้นไปหลงแต่งงานกับเวทนรีมืด มีทายาทด้วยกันขึ้นมาจะทำยังไง”
คุลิกาเถียงไม่ออกได้แต่นั่งนิ่งมองกลับไปทางพงศ์พลิน
“ถ้าเราแค่ขัดขวางไม่ให้เวทนรีมืดได้แต่งงานมีทายาทกับดารุทัยไม่ได้เหรอครับ” พงศ์พลินเอ่ยขึ้น “แล้วผนึกอะไรที่ว่านั่นก็จะยังคงปิดอยู่ต่อไป”
“มันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก ตอนนี้พวกเวทมืดพยายามทุกวิถีทางที่จะเจาะผ่านผนึกมายังโลกมนุษย์ เพราะสามารถควบคุมมนุษย์ได้ ถ้าอยู่ในโลกเวท พวกนั้นไม่อาจต่อกรกับชาวเวทที่มีจิตใจดีได้ แต่กับมนุษย์ที่รัก โลภ โกรธ หลงได้ง่าย รับรองว่าไม่นาน”
“ตอนนี้เรื่องที่ต้องคิดกันให้ตกคือเรื่องของผู้หญิงคนนั้นมากกว่า” คุลิกาดึงความสนใจของคิตตี้และพงศ์พลินไปอีกทาง “ถ้าเกิดว่าผู้หญิงคนที่มาใกล้ชิดคุณป๊อบเป็นเวทนรีมืดขึ้นมาจริง ๆ เราจะทำอะไรได้บ้าง”
“จริงด้วยสิครับ...แล้วถ้าเกิดผู้หญิงคนนั้นเป็นเวทนรีมืดเค้าจะทำอะไรคุณแคทรึเปล่า ถ้าคุณแคทไปขัดขวางเข้า” พงศ์พลินขมวดคิ้วอย่างครุ่นคิด “ถ้างั้นเราก็ต้องตามสืบให้แน่ชัดก่อนว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นเวทนรีมืดรึเปล่า”
คราวนี้สายตาของสองหนุ่มสาวจับไปที่แมวสีขาวบนแผงหน้าปัดรถยนต์แทน คุลิการีบเอ่ยถาม
“แล้วทำไมไม่ตามต่อล่ะคิตตี้ว่าผู้หญิงคนนั้นตกลงเป็นเวทนรีมืดรึเปล่า”
แมวสีขาวส่งเสียงร้องเมี๊ยวแทนคำพูดภาษามนุษย์ สายตามองขวับไปทางพงศ์พลินอีกครั้ง
“ก็คุณพี่พงศ์ขัดคอขึ้นมาก่อนน่ะสิ ยังไม่ทันจะเล่าจบเลย”
“งั้นก็เล่าต่อสิ คิตตี้”
จบคำของหญิงสาว ทั้งคุลิกาและพงศ์พลินก็ต้องหันมาสบตากัน...แมวสีขาวถอนหายใจเหมือนกับหนักอกหนักใจอะไรเสียเต็มประดา เกิดมาทั้งคู่ก็เพิ่งจะเคยเห็นแมวแสดงอาการถอนใจก็ครั้งนี้ กระนั้นทั้งคู่ก็ไม่เอ่ยอะไรออกมาเพราะเกรงว่าหากขัดจังหวะการเล่าจะเจอกับสายตาเหยียดหรือเสียงร้องตำหนิของเจ้าแมวตัวน้อยอีก

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 26 ก.ย. 2557, 23:06:58 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 26 ก.ย. 2557, 23:06:58 น.
จำนวนการเข้าชม : 1441
<< ตอนที่ 8 |

กมลภัทร 26 ก.ย. 2557, 23:10:17 น.
ยังคงอืดต่อเนื่องครับ ไม่แก้ตัว...เอาเป็นว่าตอนที่ 9 มาช้ามาก 555
Zephyr >>>> ถ้าอยู่ในร่างได้ตามกำหนดเวลา ก็ยึดร่างสาวได้เลยไงครับ ^_^
lovemuay >>>> เสน่ห์แบบสาวไม่อึ๋มน่ะครับ
นักอ่านเหนียวหนึบ,Sukhumvit66 >>>> อย่างที่บอกครับ ไม่แก้ตัว แต่ละตอนห่างจริงอะไรจริง
ยังคงอืดต่อเนื่องครับ ไม่แก้ตัว...เอาเป็นว่าตอนที่ 9 มาช้ามาก 555
Zephyr >>>> ถ้าอยู่ในร่างได้ตามกำหนดเวลา ก็ยึดร่างสาวได้เลยไงครับ ^_^
lovemuay >>>> เสน่ห์แบบสาวไม่อึ๋มน่ะครับ
นักอ่านเหนียวหนึบ,Sukhumvit66 >>>> อย่างที่บอกครับ ไม่แก้ตัว แต่ละตอนห่างจริงอะไรจริง

lovemuay 27 ก.ย. 2557, 00:09:54 น.
ไม่รู้ทำไม แต่เกิดรู้สึกอยากเชียร์คุณพี่พงศ์ขึ้นมา 555
ไม่รู้ทำไม แต่เกิดรู้สึกอยากเชียร์คุณพี่พงศ์ขึ้นมา 555

จิงโกะ 27 ก.ย. 2557, 07:25:32 น.
คนอ่านงานยุ่งมาหลายเดือนกว่าจะว่างพอได้แวบมาตามอ่านนิยายที่ชอบๆ ในใจก็คิดว่าป่านนี้คงลงจบไปหลายเรื่องแล้ว พอเจอมนต์สีมุก ตอนที่ 9 .. 555 กมลภัทรรอคนอ่านอยู่ (หรือเปล่า?) ขอบคุณน้า
คนอ่านงานยุ่งมาหลายเดือนกว่าจะว่างพอได้แวบมาตามอ่านนิยายที่ชอบๆ ในใจก็คิดว่าป่านนี้คงลงจบไปหลายเรื่องแล้ว พอเจอมนต์สีมุก ตอนที่ 9 .. 555 กมลภัทรรอคนอ่านอยู่ (หรือเปล่า?) ขอบคุณน้า


นักอ่านเหนียวหนึบ 27 ก.ย. 2557, 12:45:12 น.
อิตาคุณพงศ์เอ้ยยย ขัดจนจบตอนเลยเห็นมะ แทนที่จะได้รู้เรืีองรู้ราว ชิ!!
ผช. เรื่องนี้ ปวกเปียกกันจริงๆ น้า ทั้งนายพงศ์ ทั้งนายดารุทัย คนนึงก็เป๋อๆ เหรอๆ อีกคนก็โดนจูงจมูกง่ายจั๊งงงง ไปแต่งงานกันเลยไป๊
อิตาคุณพงศ์เอ้ยยย ขัดจนจบตอนเลยเห็นมะ แทนที่จะได้รู้เรืีองรู้ราว ชิ!!
ผช. เรื่องนี้ ปวกเปียกกันจริงๆ น้า ทั้งนายพงศ์ ทั้งนายดารุทัย คนนึงก็เป๋อๆ เหรอๆ อีกคนก็โดนจูงจมูกง่ายจั๊งงงง ไปแต่งงานกันเลยไป๊

Zephyr 27 ก.ย. 2557, 14:51:34 น.
คิตตี้ นางเยอะ นะ
อิอิ
แต่รู้สึกนายพงศ์ดูฮาๆๆขำๆไม่ค่อยมีมาดเลยยยยยน้า
ดูกลัวๆแคทด้วย
ตาป๊อปก็ดูเนือยๆ มึนๆไปหน่อย เป็นดารุทัย
มันน่าจะต้านเวทได้บ้างนะคะ อันนี้ดูหลอกง่ายอ่ะ
คิตตี้ นางเยอะ นะ
อิอิ
แต่รู้สึกนายพงศ์ดูฮาๆๆขำๆไม่ค่อยมีมาดเลยยยยยน้า
ดูกลัวๆแคทด้วย
ตาป๊อปก็ดูเนือยๆ มึนๆไปหน่อย เป็นดารุทัย
มันน่าจะต้านเวทได้บ้างนะคะ อันนี้ดูหลอกง่ายอ่ะ
