ม่านลวง
การแต่งงานเพราะผลประโยชน์ทำให้เธอได้พบกับเขา ผู้ชายคนแรกในคืน one night stand น่าขำที่เธอตกหลุมรักชายคนนี้ทั้งที่ก่อนนั้นไม่อยากแต่งงาน และนั่นไม่ได้อยู่ในข้อตกลง แล้วเขาล่ะ...คิดกับเธออย่างไร
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ 12-17



บทที่ 12

การย้ายห้องทำงานสำหรับถิรมนไม่มีผลกระทบอะไรมากนัก เธอยังใหม่ต่อทุกสิ่งทุกอย่างในบริษัท ไม่มีงานตรงไหนตายตัว ไม่มีความถนัดให้เป็นสิ่งยึดติดว่าต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ เธอมีหน้าที่คือเรียนรู้งานให้มากที่สุด ค้นหาความถนัดให้มากที่สุด จึงไม่ลำบากอะไรกับการมาอยู่ตึกช่าง แต่ที่ลำบากนั้นน่าจะเป็น...

“ช่วงนี้ใช้ห้องคุณปรมัตถ์ก่อนนะคะ ห้องที่เตรียมไว้กำลังตกแต่งเพิ่มเติมค่ะ น่าจะไม่เกินห้าวันก็คงจะเสร็จ แต่ถ้าไม่ทัน...ก็ทำงานที่ห้องคุณปรมัตถ์ไปก่อนค่ะค่ะ”

นี่คือสิ่งที่ทำให้ถิรมนลำบากใจ ไม่มีใครบอกเธอมาก่อนว่าต้องทำงานใกล้ชิดปรมัตถ์ถึงเพียงนี้ แม้จะไม่นานแต่ก็อันตราย เธอเป็นมนุษย์ที่มีความรู้สึก มีความอ่อนไหว จะพูดได้เต็มปากอย่างไรว่าไม่คิดอะไรทั้งนั้นกับปรมัตถ์เมื่ออยู่ใกล้กันขนาดนี้ ไม่ง่ายกับการโกหกตัวเองสักนิด

ชั้นสี่คือจุดหมาย นันทิดาอำนวยความสะดวกให้เป็นอย่างดีโดยไม่ต้องทำอะไรตั้งแต่ชั้นล่าง ถิรมนได้แต่ยิ้มขอบคุณ นันทิดาอธิบายอย่างยิ้มแย้มแจ่มใสตลอดเวลา ให้ความเป็นกันเอง ไม่เกร็งเหมือนอยู่ต่อหน้าปภาวีหรือปรมัตถ์

ตลอดทางเดินของชั้นสี่ที่เห็นนั้นหรูหราด้วยพรมหนาสีเทาเกือบดำ การตกแต่งผนังห้องที่เห็นตลอดทางดูสวยงาม ทันสมัย มีลูกเล่นงามแปลกตา

“โซนนี้เป็นห้องประชุมค่ะ” นันทิดาแนะนำ

ถิรมนหันไปทางซ้ายมือของตนเองเมื่อออกจากลิฟต์ตามการผายมือของเลขานุการิณีของปรมัตถ์

เป็นห้องประชุมใหญ่และห้องประชุมเล็กเรียงรายให้เห็นทางฝั่งนั้นเรื่อยมาจนเลยหน้าหน้าลิฟต์นี้ค่อนไปทางขวา แสงสว่างสาดส่องเข้ามาเพราะผนังล้วนทำด้วยกระจกเป็นส่วนใหญ่ทำให้มองทะลุกันทั้งแถบประหนึ่งเขาวงกตโปร่งแสงจะรู้ว่าเป็นทางเดินเข้าไปในห้องประชุมก็ดูพรมสีเข้มนี้เอาไว้ ประตูทางเข้าแต่ละห้องติดสติ๊กเกอร์โปร่งสีสดใดไม่ซ้ำกัน ยิ่งเมื่อได้แสงที่ลอดจากผนังตึกรอบด้านเข้ามาก็ยิ่งดูสวยงาม โดยแต่ละห้องนั้นมีม่านปรับแสงสีสันแตกต่างรวบเก็บเอาไว้ตามมุมทำให้รู้ว่าห้องไหนอยู่ตรงตำแหน่งใด ไม่ต้องกังวลว่าจะมีใครแอบดู

ทุกอย่างที่เห็นนั้นน่าประทับใจ ดูงามแปลกตาไปอีกแบบหนึ่ง ดูแล้วพื้นที่ของห้องประชุมทั้งหมดคงกินเนื้อที่ประมาณสองในสามส่วนของชั้น

“ดิฉันจะประจำอยู่ตรงนี้นะคะ” นันทิดาผายมือไปที่ส่วนทำงานของหล่อน อยู่ไม่ห่างจากลิฟต์นี้

ถิรมนมองไปทางขวามือของตนเอง เห็นเคาน์เตอร์สูงระดับใต้อก กว้างและยาวพอประมาณ อยู่ระนาบเดียวกับผนังกระจกของห้องที่ติดกัน ด้านบนในส่วนทำงานของนันทิดานั้นเปิดโล่ง มองเข้าไปเห็นผนังด้านหลังซึ่งเป็นผนังทึบ ดูเรียบร้อย สะอาดสะอ้าน หรูหรา เก๋ไก๋ ดีไซน์ออกมาได้สมชื่อบริษัทออกแบบตกแต่งที่กำลังมาแรงในยุคนี้

“นี่ห้องทำงานของคุณค่ะ ช่างกำลังทำกันเลย”

ถิรมนพยักหน้ารับรู้ เห็นกันอยู่ว่าในห้องกระจกติดกับเคาน์เตอร์ทำงานของนันทิดามีช่างหลายคนกำลังทำงานอย่างขะมักเขม้น บ้างชี้มือ บ้างวัดระยะ บ้างคร่ำเคร่งคุยกัน บ้างปิดวัสดุแนบกระจกไม่ให้รู้ว่าด้านในนั้นกำลังเตรียมตกแต่งให้ออกมาเป็นแบบใด เธอไม่ได้ยินเสียงด้านในเพราะประตูห้องปิดอยู่ แต่คงไม่พ้นว่ากำลังถกเถียงเรื่องออกแบบอย่างไรให้ดูดีที่สุด

“นั่นห้องทำงานคุณปรมัตถ์ค่ะ”

ถิรมนมองตามมือของนันทิดาที่ผายไปยังด้านในสุดของฝั่งขวามือจากลิฟต์ เป็นแนวขวางกับประตูทางเข้าห้องทำงานใหม่ของเธอ แต่กระนั้นก็ไม่น่าสนใจเท่ากับท่าทางกระตือรือร้นของนันทิดาขณะแนะนำ ซึ่งเป็นเช่นนี้ตั้งแต่รอรับเธออยู่ข้างล่างแล้ว

เท่าที่สังเกต... นันทิดาไม่เกร็ง ไม่กลัว ไม่มีท่าทีวิตกเมื่ออยู่กับเธอเพียงลำพัง เป็นตัวของตัวเองค่อนข้างมากกว่าเวลาอยู่ต่อหน้าปภาวีและปรมัตถ์

นันทิดาเดินตรงเข้าไปในนั้น หล่อนเปิดประตูห้องทำงานของปรมัตถ์ไว้รอ ถิรมนยิ้มให้อย่างขอบคุณ

เธอเดินผ่านหน้านันทิดาเข้าไป ในห้องดูสะดุดตาทีเดียว จึงมองสำรวจโดยรอบ คำว่าเรียบร้อย เรียบง่าย แต่หรูหราเป็นแบบนี้นี่เอง รสนิยมของปรมัตถ์เยี่ยมจริงๆ การออกแบบเน้นโทนขาวกับดำ ดูแปลกตาแต่ก็สงบนิ่ง เข้ม ขรึม ขณะเดียวกันก็ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย สบายๆ ไม่อึดอัด แตกต่างจากห้องทำงานของเขาที่ตึกนู้นอย่างเห็นได้ชัด เพราะที่นู่นจะเน้นความหรูหรา เป็นผู้ใหญ่

โต๊ะทำงานของปรมัตถ์อยู่ตรงกึ่งกลางของห้องทางฟากตรงข้ามกับประตูทางเข้าพอดีไม่มีขาดเกิน เกือบชิดผนังทึบสีดำที่เห็น เหนือโต๊ะทำงานของเขาประดับรูปวาดแสนสวยของจิตรกรมีชื่อ สีสันอ่อนโยนตัดกับผนังทึบสีดำ ให้ความรู้สึกของการมีความหวัง สัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนในความแข็งแกร่ง แสดงอำนาจและความสวยงามของผู้เป็นเจ้าของห้องโดยไม่ต้องมีคำประกาศใดออกมา และที่ได้ความรู้สึกเช่นนั้นก็เพราะความสว่างจากอีกด้านหนึ่งซึ่งเป็นกระจกโปร่งใสของผนังฝั่งริมอาคารทั้งซีก

“คุณถิรมนคะ”

หญิงสาวหันมามอง “เรียกเลิฟก็ได้ค่ะ” และยิ้มให้

นันทิดายกมือไหว้ แววตาซาบซึ้ง สีหน้าขอบคุณแสดงออกอย่างชัดเจน “ขอบคุณมากๆ เลยนะคะที่ช่วยดิฉันไว้ หากไม่ได้คุณ...ดิฉันคงแย่ พ่อดิฉัน...” หล่อนพยายามกลั้นสะอื้น ในดวงตามีน้ำตาคลอหน่วย นันทิดารีบเช็ดออกไปเร็วไว ทิ้งคำพูดไว้เพียงเท่านั้น

“ไม่เป็นไรค่ะ ยินดีมากๆ ที่ได้ช่วยคุณนันนะคะ” ถิรมนยิ้มให้อย่างอ่อนโยน เธอไม่รู้ว่าทางบ้านของนันทิดานั้นเป็นอย่างไร แต่อย่างน้อยการที่ได้ช่วย เธอก็ไม่ได้หวังอะไรตอบแทน

นันทิดายืนรออยู่ตรงประตูที่เปิดค้างไว้ ถิรมนเดินเข้าไปที่โต๊ะทำงานตัวหนึ่ง อยู่ถัดจากประตูทางเข้าห้องไม่มากนัก ซึ่งคงจะเป็นของเธอ นั่นก็เพราะแฟ้มเอกสารที่เพิ่งอ่านบรรจุอยู่ในชั้นที่เห็น และแม้จะเป็นจุดทำงานชั่วคราว พวกเขาก็ยังจัดไว้ในตำแหน่งสวยงาม ดูดี สีของโต๊ะ เก้าอี้ และชั้นวางของเข้ากับโทนอารมณ์ของห้องเดิมอย่างไม่แปลกแยก

เธอเดินเข้าไป วางกระเป๋าสะพายไว้บนโต๊ะที่เห็น นั่งลงบนเก้าอี้ และคิดทบทวน พยายามยุติความกังวลใจที่เหมือนจะผุดขึ้นให้รับรู้เป็นระยะ

‘จะกลัวทำไม กังวลทำไมเลิฟ ชีวิตมันจะเป็นยังไงก็ให้เป็นไป’ ความคิดเข้มแข็งดังขึ้นมา

ทว่าอีกใจก็ยังรู้สึกอ่อนล้าและสับสน

‘ตอนนี้สายเกินกว่าจะหันหลังหรือปฏิเสธแล้ว ทุกอย่างเริ่มขึ้นแล้ว ก็ต้องทำให้ดีที่สุดนะ’ ความคิดเข้มแข็งยังคงตอกย้ำต่อเนื่อง ซึ่งก็เป็นความจริง ตอนนี้ไม่มีอะไรที่จะต้องกังวลอีกต่อไป เพราะนั่นจะยิ่งทำให้ทุกอย่างแย่ลงกับทัศนคติที่ไม่เป็นผลดีต่อตัวเอง

แล้วถ้อยคำของบิดาก็ย้ำเตือนให้ได้คิด

‘ความหวาดหวั่นยิ่งทำให้อ่อนแอ เรื่องอนาคตจะเป็นอย่างไรก็ให้เป็นไป ขอแค่ทำทุกอย่างให้ดีที่สุดและมีสติ แต่หากมันจะแย่...ไม่เป็นไปอย่างที่คิด เราก็ลุกขึ้นสู้ใหม่นะน้องเลิฟ’

นั่นสินะ... เธอจะทำตัวเองให้วิตกทำไม หาเรื่องให้คิดมากทำไม ยิ่งคิดก็ยิ่งเป็นผลเสีย ไม่มีประโยชน์สักนิด เพราะหากถึงวันนั้นจริงเธอก็ต้องยืนหยัดให้ได้ ล้มก็ต้องลุกขึ้นมาให้ได้

ถิรมนผ่อนลมหายใจช้าๆ ยาวๆ ที่สุดจึงค่อยๆ ยิ้มออกมา ได้ข้อสรุปกับตัวเองแล้วว่าชีวิตต้องเดินไปข้างหน้า อย่าจินตนาการไปก่อนเรื่องราวจะเกิดขึ้นเลย จะเป็นอย่างไรก็คงดูไปตามสถานการณ์

เธอถอนหายใจออกมาอีกครั้ง บอกลาความกดดันจากความคิดทั้งหมดทั้งมวลของตัวเองเสียที

เธอมองไปทางขวามือ นันทิดายังยืนยิ้มให้อยู่ตรงนั้น ประตูทางเข้าอยู่ด้านหลังจึงทำให้เห็นหล่อนเด่นชัดเพราะตัดกับสีแบ็กกราวน์ของประตูซึ่งตัดกับสีของผนังห้อง

คิดถึงคำพูดที่นันทิดาเอ่ยเมื่อครู่... ก็น่าจะพอได้คิดอยู่บ้างว่า ‘ทุกคนต่างก็มีความทุกข์ในแบบของตัวเองทั้งนั้น’

จริงแล้วเธอควรจะดีใจที่ตัวเองโชคดีต่างหาก อย่างน้อยก็ไม่ต้องกระเสือกกระสนดิ้นรนเหมือนนันทิดา ชีวิตของเลขานุการณีคนนี้ยังลำบากกว่าเธอมากมาย ต้องต่อสู้ ดิ้นรน เหนื่อยหนัก มีความเสี่ยงในชีวิตมากกว่าเธอหลายเท่านัก แต่หล่อนก็ยังยิ้มได้ ทั้งที่ความจริงคือนันทิดามีข้อจำกัดมากมายยิ่งกว่าเธอเสียอีก

แล้วเธอล่ะ... เรื่องเล็กน้อยเพียงเท่านี้จะปล่อยให้กระทบใจทำไม สิ่งดีๆ มีมากมายให้มองเห็นแต่กลับเลือกจะมองไม่เห็นอย่างนั้นหรือ

ถิรมนยิ้มให้กับนันทิดาเมื่ออีกฝ่ายยังยิ้มอยู่เช่นนั้น สีหน้าแววตาที่ระลึกบุญคุณยังคงอยู่เต็มเปี่ยม ถิรมนหันไปมองไปยังผนังกระจกฝั่งตรงข้ามกับที่เธอนั่งอยู่

ตึกสูงใหญ่... มวลเมฆสีขาว นกน้อยที่กำลังบิน ต้นไม้ปลิวไหวไปตามแรงลม ท้องฟ้าสีสดใส ธรรมชาติที่เกิดขึ้นและเป็นไปตามวัฏจักรคือความธรรมดาของสิ่งที่เป็นอยู่ เวลานี้ไม่มีความมืดมนเช่นพายุกระหน่ำ แล้วเธอจะทำตัวให้เหมือนโดนมรสุมเข้าพัดถล่มในวันฟ้าสว่างด้วยเหตุใดกัน มิสู้สดใสที่สุดดีกว่าหรือ

เพียงเท่านั้นก็จบแล้ว... กับสิ่งที่เคยเกาะกินใจให้หดหู่ตลอดเวลา เริ่มต้นได้เสียทีกับวินาทีนี้ที่ต้องเดินหน้าชีวิตต่อไป ถิรมนสูดลมหายใจเข้าลึกอีกครั้ง รอยยิ้มนั้นมีมากกว่าเดิมมากมาย

เสียงเคาะเบาๆ เรียกให้หันไปมอง เธอเห็นนันทิดายืนก้มหน้าอยู่ จับมือของตัวเองเอาไว้ ยืนตรงเท้าชิดเช่นนั้นคงไม่พ้นว่าปรมัตถ์หรือใครที่หล่อนกลัวต้องอยู่แถวนั้นเป็นแน่

และคิดยังไม่ทันจะจบ นันทิดาก็รีบขยับตัวเข้ามาข้างใน แผ่นหลังแทบจะลีบติดผนังเลยทีเดียว

ทันทีที่ร่างสูงใหญ่ของปรมัตถ์ปรากฏ ถิรมนก็ได้แต่ร้อง ‘อ้อ ใช่จริงๆ’ ทันที สายตาที่ปรมัตถ์มองเลขานุการิณีของตนเองนั้นเหมือนจะไม่ชอบใจนัก นันทิดาเองก็พาตัวออกไปเร็วไว ไม่อยู่รอให้ปรมัตถ์ได้เอ่ยทักทายแม้แต่คำหนึ่ง นอกจากหล่อนยกมือไหว้แล้วปิดประตูให้เรียบร้อยทั้งที่ตึกยังไม่ได้เปิดแอร์

“พี่มัตถ์มาเร็วนะคะ” ถิรมนยิ้มให้ น้ำเสียงและสีหน้านั้นแจ่มใสไม่น้อย

ปรมัตถ์ยิ้มตอบโดยไม่พูดอะไร แต่แอบขมวดคิ้วให้เธอได้เห็นนิดหนึ่ง เขาเดินเลยไปที่โต๊ะทำงานของตนเอง วางกระเป๋าไว้บนนั้น เสื้อเชิ้ตสีขาวแขนยาวกับกางเกงสแล็กสีเข้ม รองเท้าหนังสีดำมันปลาบ ยิ่งส่งเสริมให้ดูภูมิฐาน ให้ภาพลักษณ์คนทำงานที่เอาจริงเอาจัง ประกอบกับใบหน้าหล่อเหลานั้นยิ่งทำให้มีเสน่ห์ชวนมอง

“ตกลงว่าไง” เขาถามโดยไม่ได้หันหน้ามา หยิบเอกสารบนโต๊ะขึ้นมาดูคร่าวๆ ว่ามีอะไรบ้างในวันนี้ไปพร้อมกัน

“เรื่องอะไรคะ”

ปรมัตถ์ไม่ตอบ หันมามองถิรมนแวบหนึ่งและวางกระดาษในมือลงที่เดิม เขาเดินเข้าไปมุมหนึ่งของผนังสีดำฝั่งที่ติดกับผนังกระจกริมอาคารตรงข้ามกับโต๊ะทำงานของเธอ เขาเลื่อนบางอย่างบนผนังสีทึบชิ้นไม่ใหญ่นั้น กดบางสิ่งที่ฝังอยู่ด้านในคล้ายว่าใส่รหัส

เสียงปลดล็อกดังตามมา ปรมัตถ์ผลักและเดินเข้าไปข้างใน ถิรมนจึงได้รู้ว่านั่นคือประตูห้องพักของเขานั่นเอง และเพียงอึดใจเดียวปรมัตถ์ก็ก้าวออกมา สูทเนื้อดีอยู่ในมือของเขา ยืนยันสิ่งที่คิดก่อนนั้นว่าถูกต้องจริงๆ

ปรมัตถ์แขวนสูทไว้ตรงผนังทึบสีดำด้านหลังโต๊ะทำงานนั้น หากไม่สังเกตแทบไม่รู้ว่ามีที่แขวนอยู่

ถิรมนยังมองเขาเงียบๆ ไม่พูดอะไร มองชายหนุ่มหยิบเอกสารแต่ละแผ่นขึ้นมาดู ความสุขุมแน่วแน่ในแววตายิ่งทำให้รู้ว่าปรมัตถ์เป็นคนจริงจังกับงาน และก็คงจริงจังกับหลายๆ อย่างด้วยเช่นกัน

“ตกลงว่าไง...” เขาถามย้ำและหันมามอง ในมือยังถือเอกสารค้างไว้

ถิรมนยิ้มให้โดยไม่พูดอะไรออกไป

กระทั่งปรมัตถ์เอ่ย... “เริ่มชีวิตคู่แบบจริงจังกันได้หรือยัง” เขาหันมามองเธอเต็มตัว ไม่ละสายตา

รอยยิ้มนิดๆ ปรากฏอยู่บนใบหน้าของถิรมน จังหวะหนึ่งแทบหยุดหายใจ น้ำเสียงจริงจังของเขาบอกชัดเจนว่าไม่ได้พูดเล่น แววตาของปรมัตถ์ที่มองเธอขณะรอคำตอบทำให้ใจสั่นได้ง่ายดายทว่าก็แฝงมาด้วยความรู้สึกมั่นคงเช่นกัน

“ก็ต้องจริงจังค่ะ” บอกและยิ้มให้อีกฝ่าย แอบหายใจเข้าลึกอย่างระมัดระวังกริยา

และไม่อยากจะเชื่อสายตากับสิ่งที่เห็น ปรมัตถ์เอียงตัวหนี ก้มหน้ามองเอกสารในมือทำไม่รู้ไม่ชี้ ไม่หันมา ไม่มองหน้าเธอเช่นที่เคยเป็น บ่งบอกว่ามีบางอย่างแปลกไป ซึ่งเธอคงไม่รู้แน่ๆ ว่าเขาเป็นอะไรถึงได้มีท่าทางแบบนั้น เว้นเสียแต่รอยยิ้มงดงามแปลกตานั่น... รอยยิ้มที่ดูมีความสุขและสมใจ รอยยิ้มที่เห็นจากเสี้ยวหน้าหล่อเหลาของเขาคล้ายกำลังกลบเกลื่อนความเขินอายอยู่ อาการเลือดฝาดจนหน้าเป็นสีชมพูยิ่งทำให้ต้องเพ่งมองว่าคิดไปเองหรือไม่

และแน่นอน.... ว่าเธอไม่ได้มองผิดเป็นแน่แท้

‘พี่มัตถ์มีมุมน่ารักแบบนี้ด้วยเหรอ’

- * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * -

บทที่ 13

การแอบมองปรมัตถ์ที่กำลังอมยิ้มให้ความรู้สึกแปลกๆ ในส่วนลึก ตั้งแต่เล็กจนโตเธอไม่เคยคบผู้ชายคนไหนแบบบอยเฟรนด์ อาจมีเพื่อนผู้ชายที่คุยกันถูกคอ แต่ความรู้สึกลึกๆ เวลาแอบมองใครแล้วหัวใจอุ่นวาบขึ้นมาเหมือนกับตอนนี้นั้น ไม่เคยเกิดขึ้นสักครั้งเดียว

เป็นเรื่องน่าตลกที่ขำไม่ออก เหตุการณ์ระหว่างเธอกับเขานับว่าข้ามขั้นตอนของคนที่จะใช้ชีวิตคู่ด้วยกันค่อนข้างมาก เหมือนโชคชะตาเล่นตลก เธอมีสามีที่ไม่เคยเป็นแฟนกัน การผูกมัดกันและกันด้วยเหตุผลบางอย่างที่ต่างฝ่ายต่างได้ประโยชน์ คงยากจะเชื่อว่าเกิดขึ้นจริงๆ ในชีวิตของคนคนหนึ่ง ไม่ใช่เพียงแค่นวนิยายสักเรื่องที่ใครคนหนึ่งกำลังอ่าน และรอลุ้นว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป

นั่นก็เพราะในวินาทีนี้เธอกำลังมองปรมัตถ์ด้วยมุมมองที่เปลี่ยนไปจากเดิม หลังจากยอมรับกับตัวเองว่าเริ่มใช้ชีวิตจริงๆ โดยไม่หลอกตัวเองเสียที

ใช่...เขาเป็นผู้ชายรูปหล่อ ยิ้มทีแทบละลายกองอยู่กับพื้น เป็นผู้ชายยิ้มสวยมากแต่ก็ดูแข็งแกร่ง ดวงตามีเสน่ห์อย่างร้ายกาจ ละลายหัวใจด้วยลูกล่อลูกชนแพรวพราว แม้จะทำให้เธอกลัวว่าอาจกลายเป็นแมลงเม่า แต่อีกใจก็อยากเข้าไปใกล้อยู่ดี

ขณะที่แอบมองเขา อาการขมวดคิ้วของปรมัตถ์ก็มีมาเห็น เขายกเอกสารในมือขึ้นมาใกล้สายตา เพ่งมองด้วยความไม่ชอบใจ ถิรมนจึงรู้สึกถึงลางสังหรณ์บางอย่างว่าพายุลูกย่อมๆ สักลูกอาจพัดผ่านมาแถวนี้

“นี่มันอะไร” เสียงกัดฟันพึมพำยิ่งเหมือนจะตอกย้ำลางสังหรณ์ได้เป็นอย่างดี มีอะไรไม่ถูกใจเขาอย่างนั้นหรือ

“พี่มัตถ์จะให้น้องเลิฟทำอะไรบ้างคะ” เธอส่งเสียงถามพร้อมกับลุกขึ้นยืน อย่างน้อยการหาอะไรทำหรือเบี่ยงเบนความสนใจน่าจะช่วยให้ไม่ถูกเขาดุ เธอไม่หวังว่าเมื่อเขาเห็นหน้าเธอแล้วอารมณ์จะดีขึ้น

ปรมัตถ์วางเอกสารในมือลงบนโต๊ะทำงาน แน่ชัดแล้วว่าไม่สบอารมณ์อย่างมาก เขากวักมือเรียกเธอให้เข้าไปหา ท่าทางที่มือหนึ่งเท้าสะเอว มืออีกข้างหนึ่งกุมขมับ สายตาจ้องแต่เอกสารชุดเล็กๆ ชุดนั้นเริ่มทำให้เข้าใจความรู้สึกของนันทิดาขึ้นมารำไร

การที่เขาไม่บ่น ไม่ด่า แต่ท่าทางแบบนี้กลับทำให้คนมองผวา การมองด้วยหางตา ทำหน้านิ่งๆ ให้ความรู้สึกเชือดเฉือนยิ่งน่ากลัวอย่างไม่มีสาเหตุเหมือนกัน

ถิรมนเดินเข้าไป เกร็งรับสถานการณ์ แต่ก็ไม่อยากชักช้าเพราะอาจมีลูกหลงจากพายุอารมณ์ขนาดย่อมๆ ที่กำลังก่อตัว

เธอยืนอยู่ข้างๆ เขา ซึ่งหันหน้าเข้าหาโต๊ะทำงานทั้งคู่

ปรมัตถ์ยื่นเอกสารชุดเล็กๆ ชุดหนึ่งที่อ่านก่อนหน้านั้นส่งให้เธอดู

ถิรมนรับมา ทันใดนั้นมือของเธอก็ถูกปรมัตถ์คว้าหมับกึ่งบังคับให้หันเข้าหา แล้วกอดแบบล็อกต้นแขนเอาไว้ จากนั้นก็ถูกขโมยหอมแก้มฟอดหนึ่งเร็วๆ

“คิดถึงจัง”

‘อะไรนะ!’ เธอมองเขาอย่างไม่เข้าใจ

อาการยิ้มกว้าง ยักคิ้วส่งมาให้ เหมือนเขาจะถามว่ามีอะไรไหม โดยไม่ยอมปล่อยมือที่ประคองกอดเธอเอาไว้

ทำไมเป็นคนเจ้าเล่ห์แบบนี้

“อยากกอดก็บอกกันดีๆ ได้นี่คะ ไม่เห็นต้องทำให้น้องเลิฟเกร็งไปด้วยเลยค่ะ”

เขายิ้มกว้างกว่าเดิม ดวงตานั้นแพรวพราว “ไม่ได้หลอกมากอด แต่เพิ่งคิดออกตอนเธอมาถึง” ทำหน้าจริงจังมากๆ ว่าเป็นแบบที่พูดจริงๆ

สิ่งที่เห็นทำให้ถิรมนพูดไม่ออกไปเลย

“พี่ชอบมองหน้าเธอเวลาตกใจ” ปรมัตถ์ก้มลงกระชิบริมใบหู “โดยเฉพาะตอนเธอแอบมองพี่เมื่อกี้ แววตาเซ็กซี่ดีรู้ตัวหรือเปล่า”

มีบ้างไหมที่เขาจะไม่ทำให้เธอหน้าร้อนฉับพลัน คำพูดแต่ละคำของเขาทำให้เธอเขินได้มากมาย

“ไม่เห็นมีอะไรต้องเกร็งเลย” พูดแล้วก็มองเธออย่างล้อเลียน

ถิรมนเพิ่งรู้ว่าการปวดแก้มเพราะอมยิ้มแบบไม่ให้ยิ้มแก้มปรินั้นเป็นอย่างไร ดีที่ปรมัตถ์ถอยใบหน้าห่างออกไป ไม่จ้องมองเธอเหมือนจะกลืนกินทั้งตัว ก็พอจะโล่งใจนิดหนึ่ง

“พี่มัตถ์!”

ในจังหวะที่ไม่ทันตั้งตัว เขาก็ขโมยหอมแก้มเธอฟอดหนึ่งเต็มๆ

‘แก้มจะไม่ช้ำไปก่อนหรือนี่’ คิดแล้วก็ได้แต่ตีหน้าขรึม ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะเห็นเป็นอย่างไร เธอเพิ่งตอบตกลงยินดีใช้ชีวิตคู่กับเขาจริงๆ แล้วนะ ปรมัตถ์ก็จู่โจมให้ตั้งหลักไม่ทันขนาดนี้เชียวหรือ กำแพงในใจลึกๆ ที่ยังแอบเว้นระยะห่างและป้องกันหัวใจก่อนนั้นเริ่มทลาย เขาเริ่มขบวนการรุกเสียจนตั้งตัวแทบไม่ติด

ปรมัตถ์ยังกอดเธอไว้ แต่เปลี่ยนท่าเป็นยืนซ้อนอยู่ด้านหลัง มือข้างซ้ายกุมมือของเธอ แล้วหยิบเอกสารขึ้นมา

“เห็นอะไรไหม” เขาถาม

ถิรมนเอี้ยวหน้ามองเมื่อปรมัตถ์เกยคางไว้ที่บ่าของเธอเล็กน้อย ไม่ได้ลงน้ำหนักมากนัก

“เห็นตัวอักษรบนกระดาษนี้ค่ะ”

แล้วก็ถูกหอมแก้มอีกครั้งหนึ่ง

“ให้รางวัลคนยียวน”

แทบอ้าปากค้างว่าเธอไปยียวนอะไร “ก็ในนี้มีตัวอักษรภาษาไทยจริงๆ นี่คะ” ตอบไปทั้งสภาพนั้น

เธอยังไม่ได้อ่านอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเขาก็ถามมาแล้ว แต่จะว่าไป ลึกๆ ในใจของเธอเหมือนจะชอบการถูกลงโทษแบบนี้นะ

‘บ้าจริง! คิดอะไรกันเนี่ย’

รู้สึกจะประสาทกินมากขึ้นทุกวันที่คิดไปคนเดียว แถมยังคิดไปแก้มแดงไปอีกแน่ะ ถิรมนจึงค่อยๆ ขยับตัวห่างออกมา ยิ่งเธออยู่ใกล้ปรมัตถ์มากเท่าไรก็ยิ่งไร้ตัวตนทุกครั้ง เพราะถูกเขาควบคุมเกือบอยู่หมัดตลอด

ทว่าปรมัตถ์เองก็ขยับตามเธอมาเช่นกัน

“พี่มัตถ์ทำแบบนี้น้องเลิฟจะอ่านรู้เรื่องได้ยังไงล่ะคะ” ถิรมนโอดครวญ

“อ้าว ไม่เก่งจริงนี่นา เก่งจริงต้องอ่านรู้เรื่องสิ”

นี่เขาเป็นคนเกเรได้น่าตีนักเชียว ถิรมนเลิกให้ความสนใจ แล้วหันมาทำสมาธิเพื่ออ่านตัวอักษรบนเอกสารมากกว่าปกติ ด้วยว่าลมหายใจของเขา ยังพัดผ่านเบาๆ ที่ต้นคอ

ทว่าพยายามอ่านอย่างไรก็เหมือนจะไม่ค่อยเข้าใจอยู่ดี จึงเอ่ยอย่างที่พอจะเข้าใจไป “นี่เป็นข้อมูลธุรกิจเฉพาะหรือข้อต่อรองอะไรสักอย่างหรือเปล่าคะพี่มัตถ์”

ปรมัตถ์ยิ้มให้ “บริษัทที่จะร่วมทุนด้วย มีหลายโครงการที่เขาสนใจและรู้ว่าเราทำได้ดี เขาส่งรายละเอียดมา วันนี้สายๆ จะส่งตัวแทนเข้ามาที่นี่”

“แล้วทำไมถึงทำหน้าเหมือนไม่พอใจแบบนั้นล่ะคะ”

“หาเรื่องกอดเธอเฉยๆ” สีหน้าท่าทางของเขายียวนไม่น้อย

นั่นผิดไปจากที่คิดหรือพูดกับเขาตอนแรกไหม ปรมัตถ์นี่แหละ คนยียวนตัวจริง ไม่ใช่เธอเลย

ยังไม่ทันจะได้ยิ้มหรือพูดคุยอะไร เสียงโทรศัพท์ในห้องก็ดังขึ้น ปรมัตถ์ปล่อยแขนจากเธอ แล้วหยิบโทรศัพท์เครื่องที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมาแนบหู เสียงดังให้ได้ยิน

“นัดสิบโมงไม่ใช่เหรอ” อาการหน้านิ่วคิ้วขมวดของจริงมีมาเลยทีนี้ “รีบจัดการเลย เลื่อนนัดยังไงกัน” พูดด้วยเสียงไม่พอใจแล้ววางสายทันที ใบหน้าที่เคยเต็มไปด้วยรอยยิ้มดูเหมือนจะไม่สบอารมณ์จริงๆ คราวนี้

“เกิดอะไรขึ้นคะ” ปากเธอก็ถามไปอย่างเร็วพลันเช่นกัน

ปรมัตถ์ส่ายหน้า ยังไม่ทันได้ตอบเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น

“เชิญ” เขาตอบเสียงห้วน

นันทิดาโผล่หน้าเข้ามา “ใช้ห้องรับรองชมพูค่ะ”

ปรมัตถ์ไม่ตอบอะไรนอกจากมองนันทิดา พยักหน้ารับรู้ ก่อนจะโบกมือให้ออกไป ส่วนนันทิดาก็ถอยหลัง ปิดประตู และจากไปทันทีเช่นกัน

ปรมัตถ์เดินไปที่จุดหนึ่งของผนังห้อง แล้วกดบางอย่าง

กระทั่งมีเสียงแอร์ทำงาน ถิรมนจึงรู้ว่าก่อนหน้านี้เธอเข้าใจผิด ตึกนี้ใช้แอร์เฉพาะห้องหรือเฉพาะส่วน ไม่ได้เปิดทั้งอาคารเหมือนตึกนู้น

“เธอหัดเป็นเลขาฯ ให้พี่ก็ดีนะเลิฟ”

คำพูดของปรมัตถ์ทำให้รู้ว่าจริงๆ แล้วนันทิดาลืมจัดการเปิดแอร์ไว้ให้ และจากข้อความที่ได้ยินก็พอจะเดาได้ว่าคงมีการเลื่อนนัดโดยไม่ให้เขาตั้งตัวเป็นแน่แท้

หรือเธอควรจะทำตัวเป็นเลขานุการิณีให้เขาดีไหม อย่างน้อยจะได้อารมณ์นิ่งๆ ไม่แปรปรวนอย่างที่เห็น

- * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * -

บทที่ 14

การเข้าพบว่าที่ผู้ร่วมทุนนั้นถิรมนไม่ได้เข้าไปด้วย ปรมัตถ์มอบหมายงานบางอย่างให้เธอศึกษา เขาเปรยว่า หากต้องการขยายฐานลูกค้าหรือขยายนวัตกรรมเกี่ยวกับงานที่ทำอยู่ขณะนี้จะเป็นอะไรได้บ้าง

รูปแบบการทำงานที่เห็นนั้นใกล้เคียงกับที่เธอดูจากเอกสารที่เคยได้รับจากปภาวี สิ่งที่แตกต่างชัดเจนคือปรมัตถ์ไม่เน้นลงทุนและพัฒนาในอสังหาริมทรัพย์ที่มีโครงสร้างอยู่แล้ว แต่เขาทำในงานประเภทบ้านจัดสรรก็น่าจะใช่ คือซื้อที่ดินแล้วลงทุนทำระบบจัดสรรที่ดินแปลงใหญ่แปลงหนึ่งขึ้นมา แล้วขายในตลาดลูกค้าระดับกลาง แต่ของปภาวีนั้นซื้ออสังหาริมทรัพย์แล้วมารีโนเวท

เท่าที่ดูนั้นตัวเลขบริษัทของปรมัตถ์ก็ไปได้สวยจริงๆ

ถิรมนสงสัย...เท่าที่เห็นก็ใกล้เคียงกับที่เธอเคยรู้มา ข้อมูลที่เขาให้เธอดูอยู่ตอนนี้ก็น่าจะเป็นตัวที่เคยเป็นความลับกับปภาวี ซึ่งแตกต่างจากตัวที่เธอเคยได้รับ ส่วนสิ่งที่อยู่ตรงหน้าก็อาจเพราะปรมัตถ์เห็นว่าปภาวีก็ได้ไปแล้ว จึงเปิดเผยกับเธอได้ และถิรมนก็ไม่เห็นความผิดปกติใดๆ หรือไม่เห็นความน่าเป็นห่วงใดๆ

ครั้นคิดว่าหากตอนนี้สิ่งที่จะทำได้และไม่กระทบต่อวงเงินที่มี และหากจะขยายงาน ก็คงจะเริ่มหาฐานลูกค้าระดับล่างกระมัง เศรษฐกิจเมืองไทยยังดูขึ้นๆ ลงๆ การขยายฐานลูกค้าโดยใช้การลงทุนแบบต้นทุนต่ำ น่าจะพอทำให้เกิดความเสี่ยงน้อยกว่าการลงทุนที่มากเกินความจำเป็น เพราะนั่นอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงทางสภาพคล่อง

ที่ดินบางแปลงแม้จะเป็นกรรมสิทธิ์ของปรมัตถ์หรือเป็นของบริษัท แต่การจะทำอะไรขึ้นมาสักอย่างคงต้องคิดให้รอบคอบกว่านี้ หากเธอทำพลาดหรือนำเสนอผิดพลาด เงินทุกบาททุกสตางค์ก็ย่อมส่งผลต่อความรู้สึกเมื่อปรมัตถ์หรือปภาวีไว้ใจให้เธอบริหารขึ้นมา และก่อนที่จะคิดอะไรไปมากกว่านี้ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ถิรมนจึงหันไปมอง

นันทิดาโผล่หน้าเข้ามา “คุณปรมัตถ์เชิญข้างนอกค่ะ” หล่อนเปิดประตูค้างไว้และยืนรอ

ถิรมนยิ้มให้อย่างขอบคุณ ลุกขึ้น และเดินออกไป คงจะคุยกันเสร็จเรียบร้อยแล้วกระมัง

เธอเดินออกมาจากห้องทำงาน อาการขมวดคิ้วของใครคนหนึ่งที่เธอยังจำหน้าได้ก็มีมาให้เห็น แม้เขาจะยืนอยู่หน้าลิฟต์

เพราะเขาคือผู้ชายคนที่ชนเธอล้มที่ร้านคุณพริซซี่

เขาหันไปยิ้มให้ปรมัตถ์ และหันมามองเธออีกครั้ง แสดงออกว่าจำได้ ก่อนจะขมวดคิ้วเมื่อมองแขนที่เข้าเฝือกและมีวัสดุคล้องคอช่วยประคอง

ปรมัตถ์หันมายิ้มให้ถิรมน และแนะนำให้ทั้งสองรู้จักกัน “คุณรุจิ นี่ถิรมน ภรรยาผมครับ”

รุจิยิ้มและก้มหน้าลงนิดหนึ่งเป็นการทักทาย ถิรมนยิ้มรับโดยไม่ได้ไหว้เพราะไม่ถนัด อีกอย่าง เขาเป็นลูกครึ่ง คงไม่ถือสาธรรมเนียมนี้มากนัก และเห็นสภาพของเธออยู่ว่าเป็นอย่างไร

“ยินดีที่ได้รู้จักอย่างเป็นทางการครับ” รุจิพูดกับถิรมน ก่อนจะหันไปมองปรมัตถ์ “ผมเพิ่งพบภรรยาคุณเมื่อวาน ที่ห้องเสื้อคุณพริซซี่ แต่...” แล้วมองไปยังแขน “เมื่อวานเหมือนยังไม่มีอาการแบบนี้”

ปรมัตถ์ยิ้มและตอบ “กระดูกข้อมือร้าวน่ะครับ เห็นบอกว่าล้ม”

“โอว” รุจิตกใจจนเก็บอาการไม่มิด หันมาหาถิรมน “ผมขอโทษจริงๆ ครับ ไม่เห็นคุณติดต่อมา เลยคิดว่าคงไม่เป็นไร”

ทันใดนั้นถิรมนก็เห็นอาการของปรมัตถ์ที่มองเธอทางหางตาทันที แม้ใบหน้าหล่อเหลานั้นจะยิ้ม แต่อาการบางอย่างที่บ่งบอกว่าเขาไม่ชอบใจก็มีอยู่เช่นกัน

“เคยเจอกันแล้วเหรอครับ” เขาถามเหมือนไม่รู้เรื่องจริงๆ ทว่าแปลกใจมากกว่าไม่พอใจ ทั้งที่สีหน้าสงสัยขณะหันมามองถิรมนนั้นเห็นได้ชัดเจน แต่ก็สลายกลายเป็นใบหน้ายิ้มแย้มเมื่อหันไปมองรุจิ

ถิรมนไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า ที่เห็นปรมัตถ์มีอาการไม่ชอบใจ จึงรีบอธิบาย “น้องเลิฟพบคุณ...” ขอทวนความจำนิดหนึ่ง “คุณรุจิ” เพราะอย่างน้อยปรมัตถ์จะได้ไม่รู้สึกว่าเธอทำอะไรแล้วไม่บอก

“ผมชนคุณถิรมนล้มน่ะครับ รีบจริงๆ เพราะต้องเร่งเวลา กลัวไม่ทันนัด เลยไม่ทันมองว่าคุณถิรมนยืนอยู่ตรงนั้น” รุจิก้มหน้าลง “ขอโทษอีกครั้งนะครับ”

ถิรมนยิ้มให้ “ไม่เป็นไรค่ะ”

รุจิหันไปหาปรมัตถ์ “ผมต้องขอบคุณคุณปรมัตถ์อีกครั้งที่ให้ผมเจอเวลานี้ และเลื่อนจากเวลาเดิมเร็วมากอยู่ หากพิจารณาอย่างไรแล้วแจ้งผมได้เลยนะครับ ผมจะแจ้งบริษัทแม่ให้ทราบ และจะรีบดำเนินการประสานงานที่เหลือให้ทันที”

“ขอบคุณครับ ทางเวิร์ลกรุ๊ปฯ ให้เกียรติบริษัทผมขนาดนี้ อย่างไรก็ต้องดูแลเป็นพิเศษอยู่แล้ว” ปรมัตถ์เอ่ย พร้อมจับมือกับรุจิอีกครั้งก่อนลา

รุจิหันมาหาถิรมน “ขอโทษอีกครั้งครับ ขอให้หายเร็วๆ นะครับ” และหันไปหาปรมัตถ์ “สวัสดีครับ” พูดจบก็เดินเข้าลิฟต์ไป โดยมีนันทิดาดูแลให้ลิฟต์เปิดประตูรอ

เมื่อผู้มาเยือนหายไปจากสายตา ปรมัตถ์ก็หันมาหาถิรมนทันที “ไหนว่าล้ม”

“ก็ล้มจริงๆ นี่คะ” ไฉนมาไล่บี้กับเธอแบบนี้ล่ะ

“ไม่เห็นเล่ารายละเอียดให้พี่ฟัง”

ถิรมนกะพริบตาปริบๆ “ก็ไม่ได้มีอะไรสำคัญเลยค่ะ แค่ถูกชนล้ม แล้วน้องเลิฟเอามือยันพื้นไว้ กระดูกข้อมือเลยร้าวเท่านั้นค่ะ”

ปรมัตถ์ส่ายหน้า “กลับบ้านคงต้องทำโทษจริงจังสักทีดีไหม” พูดแล้วก็ส่งสายตาขึงขังมาให้

เธอไม่รู้สึกกลัวกับท่าทางแบบนี้ของเขาสักนิด เพราะความหมายของปรมัตถ์เห็นทีจะไม่พ้นเรื่องเข้าตัวเธอเป็นแน่แท้

ทว่าอาจไม่เป็นไปเช่นที่คิดก็ได้ เพราะเมื่อเธอเดินตามเข้ามาถึงในห้องทำงาน และประตูปิดลง ยังไม่ทันได้นั่งลงบนเก้าอี้ เสียงของปรมัตถ์ก็ดังให้ได้ยิน

“เล่าให้พี่ฟังได้มั้ยว่าอะไรเป็นอะไร”

ถิรมนมองเขา และยิ้มให้เล็กน้อย “น้องเลิฟเมื่อยน่ะค่ะ รอพี่มัตถ์ก็ยังไม่มา เลยออกจากห้องเปลี่ยนเสื้อ เดินไปยังไม่ถึงโซฟาก็โดนชนเข้า คุณรุจิเขาคุยโทรศัพท์ ไม่ได้มอง ก็เลยเป็นแบบนี้น่ะค่ะ”

ปรมัตถ์ถอนหายใจออกมา “แล้วดูงานที่พี่ให้หรือยัง เป็นไงบ้าง คิดว่าไง”

จากคำพูดของเขาที่ได้ยิน ถิรมนก็พออนุมานได้ว่าไม่ติดใจอะไรอีก เธอก้มมองเอกสารล่าสุดที่ได้ดูก่อนออกไป “คงต้องดูเศรษฐกิจและลงพื้นที่ศึกษาค่ะ เงินไม่น้อยทีเดียวที่ต้องลงทุน”

“แต่พี่คิดจะทำคอนโดฯ ส่วนเรื่องลงทุนโครงการอื่น บริษัทคุณรุจิส่งสัญญาณมาแล้วว่าพร้อมเจรจา รอดูทางพี่ว่าจะโอเคไหม”

“พี่มัตถ์ตกลงใจร่วมงานกับเขาแน่ๆ หรือเปล่าคะ” เพราะสีหน้าท่าทางของปรมัตถ์บ่งบอกว่าพึงพอใจที่ได้รับคำตอบ หรือพึงพอใจกับการเจรจาในวันนี้

แล้วบทสนทนาก่อนหน้านั้นล่ะ ที่เหมือนว่าต้องขอเวลาคิดอีกสักนิดหนึ่ง ไม่ได้แสดงออกว่ารู้สึกยินดี แตกต่างจากรุจิที่ยิ้มแย้มเต็มใจ ถิรมนก็เริ่มเห็นภาพบางอย่างของนักธุรกิจชัดเจน

บางครั้งเธอก็ไม่เข้าใจพวกเขาเลย ดูเหมือนจะหายใจเป็นเงินเป็นทอง เธอรู้ดีว่าเงินทอง ชื่อเสียง ความสำเร็จ และหน้าตาทางสังคมคือส่วนหนึ่งที่ทำให้รู้สึกดี ว่ามีเกียรติยศชื่อเสียง คนมากมายต่างก็ดิ้นรนอยากมีอยากได้ แต่บางครั้งเธอก็รู้สึกว่ามันน่ากลัวมากเกินไป และไม่อาจปฏิเสธว่าเงินไม่สำคัญ ทว่าบางครั้งดูเหมือนใจคนยากแท้หยั่งถึงมากขึ้นทุกที โดยเฉพาะเมื่อมีเรื่องเงินเข้ามาเกี่ยวข้อง

เธอเห็นท่าทางของปรมัตถ์ ก่อนหน้านี้เขายังไม่พอใจที่ถูกเลื่อนเวลานัดให้เร็วขึ้น แต่พอเงื่อนไขถูกใจท่าทีก็เปลี่ยนเป็นฉากหน้าอันสวยงาม หรือแม้แต่การไม่ตอบรับร่วมทุนทันทีและขอพิจารณา ทว่ากลับเรียกเธอให้ออกมาพบปะพูดคุย ย่อมมีนัยว่าให้ความสำคัญกับผู้มาเยือน

อีกทั้งท่าทางของปภาวี หรือท่าทางของรุจิที่แสดงออกอย่างสุภาพ แต่ไม่รู้เลยว่าภายใต้ใบหน้าที่ยิ้มแย้มพูดคุย หรือภายใต้ใบหน้าที่มีเพียงความสงบนิ่งของแต่ละคน แท้จริงเบื้องหลังในใจพวกเขาเป็นอย่างไร เพราะจากสภาพการณ์แล้ว ต่างฝ่ายต่างมองเห็นผลประโยชน์ของตนเองเป็นที่ตั้ง นั่นจึงทำให้เธอรู้สึกกลัวในส่วนลึก

อดคิดไม่ได้ว่าเมื่อถึงเวลาที่ต้องลงมือทำจริงๆ เธอจะทำไหวหรือไม่กับการใส่หน้ากากเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง กลัวเหลือเกินว่าการที่ปภาวีส่งเธอไปร่ำเรียนถึงเมืองนอกอาจทำให้เสียเวลาเปล่า เธอไม่ชอบวิถีแห่งความซับซ้อนเพื่อให้ได้ชัยชนะมาครอบครองแบบนี้เลย

ปรมัตถ์เดินเข้ามาหาเธอที่โต๊ะ ค้อมตัวลงเล็กน้อย พร้อมกับส่งยิ้มให้กำลังใจ แล้วจับบ่าของเธอเอาไว้

“พี่ต้องโตนะ อย่างน้อยก็ต้องทำให้พี่มุกมองเห็นว่าพี่ดูแลตัวเองได้ พี่ไม่อยากอยู่ใต้ปีกใคร ถึงจะเป็นพี่สาวตัวเองก็เถอะ แต่บางอย่างก็ต้องปล่อยให้พี่ได้รู้ ไม่ใช่ประคองพี่ไปตลอดเวลา แล้วแบบนั้นพี่จะดูแลครอบครัวได้ไง พี่จะดูแลเธอได้ยังไงถ้ามัวแต่กลัวสารพัด”

ถิรมนยิ้มให้เขา ปรมัตถ์ไม่รู้ว่าเธอกำลังคิดหรือกลัวอะไรต่างหาก ทว่าสิ่งที่ได้ยินก็ทำให้รู้สึกดีขึ้นไม่น้อย แม้เดิมนั้นจะมีความหดหู่กึ่งไม่มั่นใจกับสิ่งที่เห็น

เธอไม่มั่นใจในตนเอง แต่ก็คงไม่อาจจะบอกเขาได้ จึงเอ่ยเพียง “น้องเลิฟกลัวว่าอาจทำงานได้ไม่ดีน่ะค่ะ”

เขายิ้มให้ “ค่อยๆ ทำ เดี๋ยวก็ไปได้สวย” พูดเท่านั้นก็ก้มลงจูบหน้าผากถิรมนเบาๆ แล้วยิ้มให้นิดหนึ่ง ก่อนจะเดินกลับไปที่โต๊ะทำงาน

- * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * -

บทที่ 15

แน่นอนแล้วว่านับจากนี้ถิรมนต้องกลับบ้านพร้อมปรมัตถ์เป็นหลัก ทุกอย่างที่เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง เริ่มต้นชีวิตคู่แบบจริงจังตามที่ตกลงกันไว้ ความรู้สึกใหม่สำหรับถิรมนมีเพิ่มเข้ามา

ถิรมนรู้ดีว่าตัวเองเหมือนจะเกร็งมาตลอดการเดินทาง บอกไม่ถูกว่าตื่นกลัวหรือไม่ ทว่าอีกใจก็บอกว่าเธอไม่มีอาการถึงขั้นนั้น แต่อาจเป็นเพราะการมีคนรูปหล่ออยู่ข้างๆ ก็ทำให้เธอประหม่าได้ไม่น้อย แถมยังข้ามขั้นตอนจากแฟนมาเป็นสามี เจอแบบนี้จะไม่ให้คิดอะไรบ้างก็คงจะโกหกเกินไป

เธอพยายามปลอบตัวเองว่าอย่างไรก็คุ้นเคยกันระดับหนึ่งแล้ว การตัดสินใจเริ่มต้นชีวิตคู่แบบจริงจังก็อย่างี่เง่าให้มากนัก

“ปกตินั่งรถกับพี่มุกเป็นแบบนี้หรือเปล่า” ปรมัตถ์ถามเมื่อรถจอดที่หน้าบ้านเรียบร้อย

“ก็น่าจะเป็นแบบนี้ค่ะ” ถิรมนหันไปมองเขาอย่างสงสัย

ปรมัตถ์ยิ้มกริ่ม หันมามองเธอ และกอดอก เพ่งเล็งอย่างจริงจัง นั่นจึงทำให้ถิรมนต้องมองตัวเองว่ามีอะไรผิดปกติไป

ปรมัตถ์หัวเราะในลำคอ “นั่งเกร็ง จ้องถนนตลอดทาง ไม่พูด ไม่คุย ไม่มองหน้าพี่ตั้งแต่ออกจากบริษัทจนมาถึงบ้านเนี่ยนะ” อาการของเขาบ่งบอกว่ารู้ทันและล้อเลียนว่าเธอเกร็งจริงๆ

ได้ยินแบบนั้นใบหน้าของถิรมนก็ร้อนผ่าวขึ้นมาฉับพลัน พยายามทำใจให้สงบนิ่งมาตลอดทาง บอกตัวเองว่าอย่าเผลอแสดงอาการอะไรออกไป แต่ก็เหมือนจะไม่ง่ายสักเท่าไร เพราะไม่คิดว่าจะอาการหนักได้ขนาดนี้ จนยากจะเอ่ยอะไรออกมา จึงทำได้แค่ส่งยิ้มให้ แล้วลงจากรถเดินเข้าบ้านไป โดยปล่อยให้ปรมัตถ์เดินตามมา

ก่อนจะเดินผ่านประตูไป ปรมัตถ์ก็คว้าแขนซ้ายของเธอ แล้วขยับเข้ามาแนบชิด “พี่ขอให้เธอเป็นตัวของตัวเองได้ไหมเลิฟ อย่างน้อยก็ขอให้เป็นเธอคนนั้นที่พี่เจอในคลับ แต่ไม่ใช่ที่เป็นแบบนี้”

ถิรมนยิ้ม เธอเข้าใจดีว่าเขาต้องการสื่ออะไร ยังพอรู้ตัวว่าเกร็งเหลือเกิน เขาคงไม่รู้ว่าเธอเกลียดตัวเองไม่น้อยที่บางครั้งก็งี่เง่ากับการป้องกันความรู้สึก ป้องกันตัวเองที่อาจแสดงอาการอะไรออกไปอย่างไม่งาม จนบางครั้งกลายเป็นแบบนี้ แม้จะคุยกันแล้ว และเธอเข้าใจดี แต่ก็ยังเป็นอยู่

หากอีกใจเธอก็เถียงขึ้นมา ว่าความรู้สึกของคนจะบังคับได้ง่ายหรือ นั่นก็เพราะปรมัตถ์ไม่รู้ว่าหลังจากที่เธอแน่ใจแล้ว ความรู้สึกเช่นเดียวกับวันที่พบกันครั้งแรกจู่โจมเธอมากขึ้นทุกขณะ ยังจำได้ดีถึงวินาทีแรกที่สบตา ท่ามกลางผู้คนมากมายอยู่รายรอบแต่เธอแทบไม่รู้สึกถึงใคร เธอเห็นเพียงเขาที่กำลังเดินเข้ามาหาเท่านั้น เสียงอึกทึกใดๆ ราวกับจะเงียบหาย รู้เพียงเสียงหัวใจของตัวเองที่เต้นแรง ใบหน้าร้อนผ่าวเมื่อเห็นเขายิ้มให้

ในวินาทีนี้ก็เป็นเช่นนั้น เธอถูกจู่โจมด้วยความรู้สึกที่ยากจะสบตากับเขา แม้อยากทำให้เป็นปกติแต่ก็ไม่ง่ายเลย เขาไม่รู้หรืออย่างไรว่าตัวเองมีเสน่ห์มากมายจนเธอยากจะต้านทาน ทุกอย่างเหมือนจะเกร็ง เพราะต่อต้านความรู้สึกตัวเองออกมา ซึ่งเป็นการกระทำที่ผิดปกติไป

‘คงต้องปรับปรุงตัวไม่ให้พี่มัตถ์รู้สึกว่าเกร็งก็แล้วกันนะ’ บอกตัวเองแบบนั้นก็รีบยิ้มกว้าง เตือนว่าไม่ควรให้มีระยะห่างระหว่างกันมากเกินไป

“ค่ะ” ตอบเท่านั้นก็ยังยิ้มให้ไม่เปลี่ยน

“หลอกพี่หรือเปล่า ยิ้มอะไรอย่างกับแยกเขี้ยว” ปรมัตถ์ว่า ซึ่งแทบทำให้ถิรมนอ้าปากค้างไปเลยทีเดียว

แต่เขาก็ไม่เอ่ยอะไรต่อจากนั้น นอกจากประคองไหล่เธอให้เดินไปด้วยกัน และเปรยลอยลมมา “จริงๆ แล้วพี่ก็ตื่นเต้นนะ รู้สึกเหมือนวันนั้นที่เจอเธอในคลับไม่ผิด” เขาหัวเราะในลำคอ ก้มหน้าลงเหมือนจะซ่อนความเขินอาย

ทว่ากลายเป็นว่า จังหวะที่หลุบตาลง เขาสบตากับเธอเมื่อเงยหน้าขึ้นพอดี

เพียงเท่านี้ความร้อนก็แล่นลิ่ววิ่งผ่านใบหน้าอย่างมากมาย ไม่รู้ว่าหน้าจะแดงจัดจนเขาจับได้หรือไม่ว่าเธอกำลังรู้สึกอย่างไรกันแน่ แต่ที่รู้แน่ชัดก็คือต่างฝ่ายต่างหลบตา

ปรมัตถ์มองไปข้างหน้า ส่วนเธอก็มองไปข้างหน้าเช่นกัน ระยะทางจากประตูบ้านมาถึงห้องครัวไม่ได้ไกลมากมาย แต่กลับสร้างความอบอุ่นในหัวใจได้มากล้นโดยไม่จำเป็นต้องมีคำพูดใดออกมา ต่างซึมซับความรู้สึกหวานๆ และซาบซ่านในใจ ซึ่งอบอุ่นเมื่อได้อยู่กับคนที่เราแอบรักและเพิ่งรู้ว่าเขาก็แอบรักเราเหมือนกัน

- * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * -

บทที่ 16

ในช่วงที่ฟ้ายังไม่สว่าง ถิรมนทำกิจวัตรประจำวันไปตามปกติ วันนี้เธอจะไปเยี่ยมบิดา จึงลุกขึ้นมาเตรียมตัวเร็วกว่าเวลาไปทำงานราวๆ ครึ่งชั่วโมง การเห็นปรมัตถ์นอนอยู่เคียงข้างทำให้ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เธอเกรงใจเขา ไม่อยากทำเสียงดัง จึงเดินด้วยปลายเท้าตั้งแต่ลงจากเตียงเมื่อตื่นนอนกระทั่งอาบน้ำเรียบร้อย แล้วค่อยๆ นั่งลงบนเก้าอี้หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง

แสงไฟสีส้มตรงหน้าก็เปิดพอส่องให้เห็นข้าวของเท่านั้น

“ถ้าเธอจะไปหาพ่อก็ควรบอกพี่บ้างนะ ถึงก่อนนี้เราจะแต่งงานกันแค่เอาทะเบียนสมรส แต่ตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว ยังไงก็ต้องบอกกันบ้าง ไปคนเดียวหลายครั้งดูไม่ดี” เสียงของปรมัตถ์งัวเงียไม่น้อย

ถิรมนชะงักมือที่กำลังหวีผม แขนยังยกค้างไว้เช่นนั้น เธอค่อยๆ หันไปมอง

ปรมัตถ์นอนตะแคงอยู่บนเตียง ขาข้างหนึ่งก่ายกอดหมอนข้างเอาไว้อย่างเกียจคร้าน สายตานั้นจ้องเธอนิ่ง ซึ่งแสงไฟสีส้มตรงนี้ยังพอช่วยให้เห็นเขาได้ชัด

“น้องเลิฟเสียงดังจนทำให้พี่มัตถ์ตื่นหรือเปล่าคะ ขอโทษค่ะ” ถิรมนก้มหน้าลงทั้งสภาพนั้น ก่อนจะหันหน้าเข้าหากระจก แล้วรีบหวีผมให้เสร็จเร็วไว

ทว่าในความเป็นจริงคือไม่กล้ามองตาอีกฝ่ายเพราะในใจยังหวั่นไหวทุกครั้งเมื่อได้สบตาเขา เวลาที่ผ่านไปไม่ได้ช่วยให้หัวใจที่เต้นรัวลดลงเลย มีแต่จะมากขึ้นทุกขณะ

ยิ่งได้ยินปรมัตถ์พูดถึงบิดา และเขาถอนหายใจแรงๆ ทำนองว่า เธอควรจะบอกกล่าวแก่กันบ้าง ในใจก็รู้สึกตื้นตันมากมาย

“จะไปกี่โมง” เขาถามพร้อมกับบิดขี้เกียจ

ถิรมนตอบ “ก็คงต้องออกก่อนหกโมงเช้าค่ะ ควรไปถึงที่นู่นก่อนแปดโมงเช้า และที่ไม่ได้บอกพี่มัตถ์เพราะเห็นว่าวันนี้พี่มัตถ์ต้องไปดูที่ดินแปลงที่คิดว่าน่าจะทำโพรเจกต์ร่วมทุน เลยไม่อยากรบกวนค่ะ” อย่างน้อยเขาจะได้รู้ว่าเธอเป็นห่วง ไม่ใช่เพราะปิดบังแต่อย่างใด

“แต่ไฟมันแยงตา” เขาพูดไม่ตรงประเด็น อาการนอนสบายๆ บนที่นอนบ่งบอกว่ายังไม่อยากลุกไปไหน

การแสดงความเป็นกันเองเช่นนี้ทำให้เขาดูน่ารักไม่น้อย เหมือนแมวสีขาวตัวใหญ่ขนฟู สวย สง่า กำลังนอนมองมาอย่างขี้เกียจ แต่นั่นก็แฝงไปด้วยความน่ารัก มีเสน่ห์น่ามองไปพร้อมกัน

“ขอโทษค่ะ” เธอยกมือไหว้ขอโทษในสภาพที่จะทำได้

ปรมัตถ์ยิ้มให้ ไม่พูดอะไร ถิรมนรีบจัดการหวีผมผัดแป้งให้เสร็จ ทว่าก็ยังแอบมองเขาผ่านกระจกเป็นระยะ จนเขาลุกนั่งทั้งยังหลับตา

“พี่ไปส่ง”

แปลกใจและดีใจไม่น้อยที่ได้ยินถ้อยคำนี้ ถิรมนหันมามองเขาเต็มตัว “แล้วงานล่ะคะ”

“ให้รอพี่แล้วกัน พี่จะไปส่งเธอ” เขาพูดเหมือนไม่มีอะไรสำคัญนัก พร้อมกับขยับลงจากเตียง เดินผ่านเธอไปทั้งสภาพงัวเงียอยู่ ช่างดูน่ารักน่าฟัดไม่น้อย

แต่ไม่รู้ปรมัตถ์คิดอะไรเมื่อเดินกลับมากอดเธอเบาๆ จากด้านหลัง หอมแก้มครั้งหนึ่ง แล้วเดินไปเข้าห้องน้ำทันที

เจอมุกนี้จะไม่ให้ยิ้มแก้มปริก็คงแปลกไปแล้ว

- * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * -

เส้นทางคุ้นเคยขณะไปเยี่ยมบิดามีบางอย่างเปลี่ยนแปลงไปจากความรู้สึก การมีใครสักคนช่วยดูแลและอยู่เคียงข้างย่อมทำให้วัตถุ เส้นทาง หรือสถานที่ต่างๆ เปลี่ยนไป ดูสวยงาม สดใส มีชีวิตชีวาขึ้นกว่าเดิมมากมาย ความรู้สึกที่ชีวิตเหมือนไม่มั่นคงกลับมีหลักยึดเอาไว้ ไม่รู้สึกเหงาและโดดเดี่ยวเดียวดายอีกต่อไป

แน่นอนว่าเธอดีใจที่ปรมัตถ์ไม่รังเกียจบิดา แล้วยังอาสามาส่ง แถมตำหนิที่เธอไม่บอกกล่าวเรื่องการมาเยี่ยมครั้งนี้ ทั้งที่คุยกันก่อนหน้านั้นว่าระหว่างเธอกับเขาจะมีชีวิตเป็นไปในทางใด ซึ่งนั่นทำให้ขอบคุณจากใจที่เขาห่วงใย ยินดีพูดคุย และเข้าไปพบบิดาของเธอด้วยตนเอง ทำให้รู้สึกว่าเธอกับเขาไม่ได้อยู่ห่างกันมากเกินไป เขาคือผู้ชายที่เธอแตะต้องได้ โดยเฉพาะเมื่อเขาเป็นฝ่ายเข้ามาหาเช่นนี้

“ขอบคุณที่มาส่งนะคะ” เธอบอกเสียงอ่อนหวานกว่าทุกครั้ง แต่นั่นก็มาจากใจ หวังว่าปรมัตถ์จะรู้ถึงคำขอบคุณจากใจจริงของเธอ ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่คำพูดหรือการออดอ้อน

“ไม่ได้มาส่ง แต่มาหาพ่อตา” เขาว่าและยิ้มกว้าง ก่อนจะจอดรถเข้าในตำแหน่งจอดพอดี

ถิรมนก้มหน้ายิ้มกับตัวเองเมื่อได้ฟังคำนี้ แล้วรีบลงยืนรอข้างนอกรถทันทีที่ปรมัตถ์ดับเครื่องยนต์

พอปรมัตถ์ลงมา ต่างมีเพียงรอยยิ้มที่มอบให้กัน พร้อมกับเดินเข้าไปข้างในโดยไม่เอ่ยอะไร นอกเสียจากแอบมองเขาเป็นระยะ

และทุกครั้งที่เธอมองปรมัตถ์ ความขัดเขิน ประหม่า และในใจร้อนซาบซ่านก็จะเกิดขึ้นประจำง ทว่าสิ่งที่มากกว่าคือคำขอบคุณในน้ำใจที่เขามอบให้

เธออาจเป็นผู้หญิงที่หวั่นไหวง่าย แต่สิ่งที่ได้พบ ได้เห็น ได้รับการปฏิบัติจากเขา จากคำพูดว่ารักไม่เต็มปากหรือชัดเจน หวั่นใจ ก็คงไม่จำเป็นที่ต้องปฏิเสธใดๆ อีก

ทุกอย่างย่อมมีหนทางดำเนินไปในแนวของตัวเอง ชีวิตของเธอกับปรมัตถ์ก็เช่นกัน วันข้างหน้าจะเป็นอย่างไรนั้นสุดหยั่งรู้ แต่ในวันนี้ วินาทีนี้ ก็มีความหมายมากพอที่เธอจะรักษาไว้

เหตุการณ์ระหว่างเธอกับเขาไม่ใช่เพียงแค่การพบกัน ชอบใจกัน แต่หลายอย่างหลายสิ่งที่ปรมัตถ์ทำให้เห็นก็มากพอที่จะยอมรับว่าเธอรู้สึกอย่างไรกับเขาโดยแท้จริง

ถิรมนตรงเข้าไปหาคนรับจ้างจองคิวเหมือนที่เคยเพราะนัดแนะไว้ตั้งแต่โทร. บอกเมื่อคืนก่อน จากนั้นเข้าไปกรอกเอกสารและยื่นเอกสาร รอเข้าเยี่ยม จนกระทั่งเดินมาถึงห้องเยี่ยม ทุกอย่างให้ความรู้สึกที่แปลกไปจริงๆ ความมั่นคงและอบอุ่นในใจเกิดขึ้นตลอดเวลาเมื่อมีปรมัตถ์อยู่เคียงข้าง

ไม่นานนักเมื่อเธอเข้ามาถึงห้องเยี่ยม บิดาก็ปรากฏตัว ท่านประจำที่ฝั่งตรงข้าม สีหน้าแปลกใจไม่น้อยเมื่อเห็นว่าใครยืนอยู่ข้างๆ เธอ

ถิรมนหันไปยิ้มให้ปรมัตถ์ จึงเห็นว่าเขาก้มมองและยิ้มให้เธอก่อนหน้านั้นแล้ว

ครั้นบิดายกโทรศัพท์ขึ้นถิรมนจึงรีบยกตาม ขณะเดียวกันนั้น ท่านก็รับไหว้ปรมัตถ์ด้วยสีหน้าท่าทางแปลกใจอย่างยิ่งยวด แต่ก็ยิ้มให้ตลอดเวลาเช่นกัน

“น้องเลิฟไปทำอะไรมาลูก แขนเป็นอะไร แล้ววันนี้มัตถ์มาด้วย” เป็นประโยคทักทายที่มีความแปลกใจแฝงอยู่ในน้ำเสียงเต็มเปี่ยม

เธอไม่รู้จะตอบคำถามไหนก่อน จึงลำดับไปตามที่สมองพอจะสั่งการ

“น้องเลิฟล้มน่ะค่ะ เอามือยันพื้น กระดูกข้อมือเลยร้าว แต่พี่มัตถ์พาไปโรงพยาบาลตั้งแต่วันก่อนแล้วค่ะคุณพ่อ น้องเลิฟสบายมาก” ว่าแล้วยกแขนขวาแกว่งไปมาให้รู้ว่าไม่เจ็บ

ก็จะเจ็บได้อย่างไรล่ะ เธอไม่ได้สะบัดเสียหน่อย แค่ขยับซ้ายขวา ไม่ใช่ตำแหน่งที่ทำให้เจ็บเสียหน่อย แต่ก็มากพอจะเรียกรอยยิ้มจากบิดาได้ พลางเธอหันไปมองปรมัตถ์นิดหนึ่ง แล้วหันกลับมามองบิดา และตอบคำถามที่ค้างไว้ก่อนนั้น

“พี่มัตถ์ไม่ได้มาหาคุณพ่อเลยตั้งแต่คราวนั้น วันนี้มีโอกาสเลยรีบมาเยี่ยมและมาส่งน้องเลิฟก่อนค่ะ นี่เดี๋ยวก็ต้องออกต่างจังหวัดอีกแล้ว”

ถิรคุณพยักหน้าเข้าใจ “ดูแลตัวเองดีๆ นะลูก พ่อ...ขอคุยกับมัตถ์หน่อยได้ไหม”

ถิรมนหันไปมองชายหนุ่ม โทรศัพท์ยังแนบกับหูของเธอ “คุณพ่ออยากคุยกับพี่มัตถ์ค่ะ”

ปรมัตถ์พยักหน้ารับรู้และยิ้มยินดี ก่อนจะรับโทรศัพท์ไป ใบหน้าหล่อเหลายังคงยิ้มแย้มสดใสตลอดเวลา “สวัสดีครับ”

จากนั้นเธอไม่รู้ว่าบทสนทนาระหว่างทั้งคู่คืออะไร ได้ยินเพียงเสียงของปรมัตถ์ที่เอ่ยรับ

“ครับ ครับ กำลังตั้งหลักครับ เลยไม่ค่อยมีเวลา ไม่รู้ครับ ครับ ผมจะดูแลให้ดี ครับ ไม่มีครับ ยินดีครับ ครับ”

เพียงแค่คำพูดที่ได้ยินเท่านั้น ก็กินเวลาไปเกือบหมดสิบสามนาทีแล้ว ปรมัตถ์ยื่นโทรศัพท์คืนมาให้เธอ ถิรมนได้ยินเสียงบิดาเอ่ย

“ดูแลกันดีๆ นะลูก พ่อดีใจที่รักกัน ดูแลกันไปจนแก่จนเฒ่านะ” บิดาส่งยิ้มมาให้

ถิรมนรู้สึกอุ่นวาบในใจ แล้วยิ้มให้บิดา ไม่รู้ว่าทำไมถึงเจ้าน้ำตานัก แค่ได้ยินคำอวยพรของท่าน กระบอกตาของเธอก็ร้อนผ่าว น้ำตาเอ่อเสียอย่างนั้น จนต้องรีบกะพริบตาเพราะกลัวน้ำตาจะไหล และสุดท้ายก็ต้องรีบเช็ดออกไปก่อนจะไหลรดแก้ม เธอหันไปยิ้มกับปรมัตถ์ แม้จะไม่ใช่ยิ้มที่กว้าง แต่หัวใจของเธอก็อบอุ่นที่สุดที่มีวันนี้

ดีใจที่มีปรมัตถ์อยู่ข้างๆ ดีใจที่เขาเข้ามาพบบิดา พูดคุย และคงรับปากอะไรท่านสักอย่าง ดีใจที่เขาคือคนที่เธอมอบความรักและความไว้ใจให้ อีกทั้งปรมัตถ์ได้แสดงออกแน่ชัดว่าไม่รังเกียจบิดาของเธอ เพียงเท่านี้ในหัวใจก็ตื้นตันมากเกินกว่าจะเอ่ยคำใดออกมา นอกจากขอบคุณเขาอย่างที่สุดที่ยืนอยู่เคียงข้างเธอตรงนี้อีกครั้ง

แม้ความรู้สึกจะแตกต่างจากวันแรกที่ได้รับรู้เรื่องความเป็นอยู่ของบิดา ทว่าความมั่นคงและกำลังใจนั้นเต็มเปี่ยม ทำให้มีแรงที่จะลุกสู้มากกว่าเดิมอย่างมากมาย

“ขอบคุณค่ะคุณพ่อ น้องเลิฟรักคุณพ่อนะคะ รอของฝากด้วยค่ะ”

บอกท่านไปไม่นานนักสัญญาณของทั้งสองฝั่งก็ยุติลงทันที ถิรมนเห็นเพียงถิรคุณยิ้มให้ ท่านโบกมือลาเล็กน้อยเช่นทุกครั้ง รอยยิ้มนั้นเผื่อแผ่ไปถึงปรมัตถ์และก้มหน้าลงนิดหนึ่งให้ชายหนุ่มเป็นนัยว่าขอบคุณ

เธอยังคงมองบิดาจนท่านเดินพ้นจากประตูห้องไป ถิรมนรีบออกมาจัดการซื้อข้าวของจากร้านค้าสวัสดิการ เขียนชื่อท่าน ส่งให้เจ้าหน้าที่ และเดินออกมา โดยมีคำถามจากปรมัตถ์ว่าต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ทำไม ซึ่งก็มากพอที่เธอจะยิ้มให้เขาอย่างสวยที่สุดเท่าที่จะทำได้ทีเดียว

- * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * -

เส้นทางที่รถวิ่งผ่านไปนั้นไม่คุ้นตาถิรมนนัก ดูเหมือนปรมัตถ์จะไม่เข้าไปที่บริษัท ทว่ายังไม่ทันจะได้ถาม เสียงโทรศัพท์มือถือของถิรมนก็ดังขึ้นขัดจังหวะเสียก่อน

ชื่อและภาพถ่ายของปภาวีปรากฏ

“สวัสดีค่ะอามุก” ถิรมนทักทาย

“อยู่ไหนแล้วจ๊ะน้องเลิฟ” เสียงของปภาวีบ่งบอกว่าอารมณ์ดีมากๆ

ถิรมนมองถนนหนทาง “ไม่แน่ใจค่ะ” พยายามหาป้ายบอกตำแหน่งว่าขณะนี้รถผ่านบริเวณใดและอยู่ในตำแหน่งไหนบนแผนที่เมืองไทย หรือว่าจริงๆ แล้วเป็นส่วนไหนของกรุงเทพฯ กันแน่

ยังไม่ทันได้ตอบ ปภาวีก็เอ่ย “มัตถ์บอกอาว่าจะพาน้องเลิฟไปดูที่ดินที่หัวหิน”

ถิรมนขมวดคิ้ว และหันไปมองปรมัตถ์ที่ขับรถอย่างสบายอารมณ์ เขาหันมามองเธอแวบหนึ่งเหมือนจะถามว่ามีอะไรหรือ

หญิงสาวตอบปภาวีไปทั้งยังงงๆ “ยังไม่รู้เลยค่ะ น้องเลิฟเพิ่งเยี่ยมคุณพ่อเสร็จไม่นานนี้เอง ยังไม่รู้ว่าตอนนี้อยู่แถวไหนเลยค่ะอามุก”

“เข้าเขตนครปฐมแล้ว” ปรมัตถ์ส่งเสียง เอนตัวเข้ามาเล็กน้อยทั้งยังมองถนน ประหนึ่งกลัวว่าปภาวีจะไม่ได้ยินชัดเจนกระนั้น

ถิรมนงงเข้าไปใหญ่ ได้แค่ฟังเสียงของปภาวีที่ดังมาจากปลายสาย

“เสื้อผ้าอยู่ท้ายรถแล้วนะจ๊ะ เมื่อเช้าตอนกินข้าวน่ะ ป้าเสี้ยวจัดการให้แล้ว เที่ยวให้สนุกนะลูก จุ๊บๆ”

จากนั้นสัญญาณโทรศัพท์ก็ขาดหายไป จบการสนทนาที่ทิ้งไว้เพียงความงงงัน ทั้งอามุกและปรมัตถ์จะไม่ให้เธอตั้งตัวทันบ้างเลยหรือ อึ้งจนพูดไม่ถูกไปเลยทีเดียว กว่าครู่หนึ่งจึงเอ่ย

“อามุกบอกว่า เมื่อเช้าตอนกินข้าว ป้าเสี้ยวจัดการเรื่องกระเป๋าเสื้อผ้าให้แล้วอยู่ท้ายรถค่ะ”

ปรมัตถ์ถอนหายใจแรง พร้อมกับส่ายหน้า “พี่บอกแค่ว่าจะพาเธอมาดูที่ดินแปลงจะทำโพรเจกต์ร่วมทุน นี่โทร มาบงการป้าเสี้ยวให้จัดการแบบนี้เลยเหรอเนี่ย” เขาพูด พลางก็ถอนหายใจออกมาอีกรอบ

ถิรมนแอบอึ้งเบาๆ ที่ปรมัตถ์ก็ไม่รู้เรื่องเช่นกัน ส่วนปภาวีนั้นตัวอยู่แถวๆ ทางภาคใต้ แต่ก็ยังสั่งการได้ฉับไว นี่ก็...ยิ่งทำให้พูดไม่ถูก

“ถือว่าไปฮันนีมูนแล้วกัน” ปรมัตถ์พูดออกมา โดยตัดหน้าถิรมนที่กำลังจะพูดว่าก็ทิ้งไว้ในนั้นแหละ เดี๋ยวกลับบ้านค่อยเอาขึ้นไปเก็บทันทีทันใด

เธอมองเขาที่ส่งยิ้มมาให้แบบนี้ก็หมายความว่าตามนี้นะ โอเค ตกลง ขอบคุณมาก จบ ตามแบบฉบับถามเองตอบเองทำให้พูดอะไรไม่ออกกันไปเลยทีเดียว

จะมีบ้างไหมที่ทำอะไรแล้วให้เธอตั้งตัวทันไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม

- * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * -

ที่ดินแปลงใหญ่แปลงหนึ่งติดชายทะเลคือเป้าหมายหลัก ซึ่งไม่มีสิ่งปลูกสร้างใดอยู่ในพื้นที่เลย และถือว่านี่เป็นการทำงานร่วมกันครั้งแรกแบบเบาๆ โดยเธอเป็นคนคอยบอกเส้นทาง และใช้ตำแหน่งจากพิกัดที่ได้รับมาขับรถไปตามแผนที่ ทว่าแผนที่ในจีพีเอสนั้นก็พาวกวน อ้อมไปหลายขุม กว่าจะรู้ว่าเข้าอีกทางหนึ่งได้และใกล้ถนนหลักก็ตอนขากลับแล้ว

หลังจากดูที่ดินเสร็จเรียบร้อย ปรมัตถ์ก็พาถิรมนมายังโรงแรมหรูแห่งหนึ่ง

“คิดอะไร” ปรมัตถ์ถาม ใบหน้าหล่อเหลาอยู่ห่างจากหน้าเธอไม่ถึงคืบ

ถิรมนสะดุ้งเล็กน้อยส่งยิ้มให้ แล้วรีบเอามือที่แขวนเสื้อผ้าค้างไว้ก่อนนั้นลงข้างลำตัวทันที “กำลังคิดถึงที่ดินแปลงที่ไปดูน่ะค่ะ”

ปรมัตถ์เดินไปที่เตียง มองเธอไม่ละสายตา ตบข้างๆ ตัวเป็นนัยว่ามานั่งใกล้ๆ กันตรงนี้

หญิงสาวทำตามโดยไม่อิดออดแต่อย่างใด เพียงแค่เว้นระยะห่างเอาไว้ ไม่ได้นั่งชิดติดกับชายหนุ่มมากนัก

ปรมัตถ์หันมามองถิรมนเต็มตัว กอดอก จ้องตาไม่กะพริบ “คิดว่าไง” รอฟังคำตอบ

ถิรมนชั่งใจ แต่ก็บอกตัวเองว่าตอบไปอย่างที่คิดนั่นแหละ จึงเอ่ย “คิดว่าหากจะทำโพรเจกต์ใหญ่ ก็คงต้องเล่นตลาดบนค่ะ เพราะมีโรงแรมไฮคลาสอยู่ไม่ห่างมากนัก เป็นตัวเลือกแข่งขันกันอยู่ ถึงจะติดชายทะเลก็จริง แต่คงต้องทำการตลาดและลงพื้นที่หาข้อมูลมากกว่านี้ค่ะ เท่าที่ทราบเศรษฐกิจยังไม่สวยเท่าไหร่ หากทำจริงคงต้องจมทุนระยะหนึ่ง แต่จะหาวิธีไหนให้มีกำไรและอยู่ได้หากการขายเนิ่นช้า อาจต้องคิดให้หนักค่ะ”

ปรมัตถ์เลิกคิ้วนิดหนึ่งเมื่อได้ฟัง สีหน้าค่อนข้างแปลกใจ “แล้วไงอีก”

“น้องเลิฟแค่สงสัยน่ะค่ะ หากทำจริงๆ จะต้องปรับปรุงอะไรบ้าง ที่ดินแปลงใกล้เคียงเป็นของใคร คงต้องดูงบบริษัทกับเงื่อนไขเบื้องต้นของบริษัทร่วมทุนด้วยค่ะ”

ปรมัตถ์แสดงออกว่ากำลังรับฟัง “มีอะไรที่ค้างคาใจไหม เรื่องลงพื้นที่หาข้อมูลมีพนักงานทำให้อยู่แล้ว ไม่ต้องห่วง แล้วเธอคิดอะไรอีก พี่อยากรู้ ถือว่าช่วยกันคิด” พร้อมยิ้มให้กำลังใจ

ถิรมนยิ้มตอบเล็กน้อย “จริงๆ แล้ว...” เธอมองหน้าปรมัตถ์นิดหนึ่ง “ที่ดินสวยเกินไปน่ะค่ะ เจ้าของน่าจะถือกรรมสิทธิ์ไว้นานมากทีเดียว หรือหากขายตอนนี้ ราคาก็ไม่รู้ว่าจะคุ้มกับที่ลงทุนหรือเปล่า น่าจะแพงอยู่ ไม่รู้ว่าถ้าลงทุนแล้วจะเป็นยังไง เลยเป็นห่วงค่ะ”

ปรมัตถ์ยิ้มแบบไม่อยากจะเชื่อ

ถิรมนจึงเอ่ย “แค่พูดตามสัญชาตญาณน่ะค่ะ น้องเลิฟเองยังไม่มีข้อมูลอะไรกับที่แปลงนี้เลย ไม่มีประสบการณ์ คงพูดอะไรได้ไม่มากนัก”

ปรมัตถ์ถอนหายใจ “ที่ดินแปลงนี้เป็นของเสี่ยโกมุท”

ได้ยินชื่อนี้ใจที่เคยฟูฟ่องก่อนนั้นเหมือนจะเหี่ยวแฟบลง เพราะรู้ดีว่าปรมัตถ์คงต้องใกล้ชิดกับอินทุภาไม่มากก็น้อยเช่นกัน และหลังจากนี้หากร่วมโพรเจกต์จริงๆ ก็คงต้องมีการพบปะแน่นอน

แล้วนั่น...เธอจะทำตามคำขอของปภาวีได้อย่างไร เรื่องไม่ให้ปรมัตถ์ยุ่งเกี่ยวกับสองคนพ่อลูก แต่ตอนนี้คงไม่ใช่เวลาสมควรนักที่จะเอ่ยเรื่องนั้นหรือเรื่องอะไรออกไป นอกจากสิ่งที่ปรมัตถ์ต้องการ

“มันเป็นเรื่องธุรกิจนะ” ปรมัตถ์เอ่ย

เขาคงเห็นสีหน้าของเธอที่เปลี่ยนไปกะทันหันกระมัง คิดแล้วก็รู้สึกหนักอึ้งในใจขึ้นมาอีกครั้งเมื่อระลึกถึงคำขอของปภาวี

ผู้มีพระคุณของเธอรู้อะไรกันแน่ ทำไมถึงไม่อยากให้ปรมัตถ์ข้องเกี่ยวกับเสี่ยโกมุท แล้วปรมัตถ์ล่ะ ถ้ารู้ว่าเธอจะต้องทำอะไรให้ปภาวี เขาจะเกลียดเธอไหม ถิรมนพยายามข่มความคิดและความรู้สึกที่กำลังเกิดขึ้น ยิ้มให้ปรมัตถ์เป็นเชิงเข้าใจ เธอไม่ได้เป็นอะไร เพราะคงไม่ดีถ้าให้รู้ว่าเธอคิดสิ่งใดอยู่

เขาเอ่ย “พี่กำลังรอรายละเอียด หากเอกสารโฉนดหรืออะไรแน่ชัด เราก็คงจะทำโพรเจกต์ใหญ่จริงๆ แต่ยังไงตอนนี้ก็คงต้องดูไปก่อน”

ทว่ามีบางอย่างที่ถิรมนรู้สึกห่วง “แล้วสภาพคล่องของบริษัทพี่มัตถ์ล่ะคะ เท่าที่น้องเลิฟทราบ เป็นพวกที่ดินเกือบกึ่งหนึ่ง หากลงทุนจริง อาจต้องมีเผื่อสำรองไว้อีกเกือบเท่าตัวหรือเปล่าคะ”

ปรมัตถ์ยิ้มออกมา สองมือประคองใบหน้าของเธอ “กลับไปนี่ต้องได้ทำงานหนักแน่ๆ”

เธอก็ไม่รู้ความหมายของปรมัตถ์แน่ชัดนักว่าคืออะไร หวังว่าคงจะไม่เข้าเนื้อ หรือเธอทำให้เขารู้สึกว่าได้ล่วงเกินหน้าที่การงานจนอาจถูกมองไม่ดี

“อย่างน้อยพี่ก็ยังเจอคนที่กล้าพูดกับพี่ตรงๆ ไง มีคู่คิดดีๆ ก็อาจทำให้พี่รุ่งก็ได้” เขากอดเธอเอาไว้ แล้วจูบหน้าผากเบาๆ

ถิรมนได้แต่ยิ้มออกมา แม้แต่ตอนกอดเขาก็ยังระมัดระวังไม่ให้เธอเจ็บตัว น่ารักจริง

- * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * -


บทที่ 17

ทุกอย่างที่ผ่านไปในแต่ละวันเป็นเรื่องธรรมดาที่ไม่ธรรมดา วิถีชีวิตของถิรมนเปลี่ยนไป ปรมัตถ์ก็เช่นกัน วันทำงานทั้งขาไปและขากลับถิรมนไม่ได้เดินทางพร้อมปภาวีอีก เธอเดินทางไปกับปรมัตถ์เป็นหลัก ห้องทำงานใหม่ก็เป็นหมัน ไร้เงาผู้เป็นเจ้าของ เธอยังทำงานร่วมห้องกับปรมัตถ์ไม่ได้ย้ายไปไหน

เวลาหนึ่งเดือนแม้ไม่นานมากมาย แต่ก็ช่วยให้ต่างฝ่ายต่างปรับตัวเข้าหากันได้เป็นอย่างดี ความเหินห่างลดลง ไม่มีความเคร่งเครียดกดดัน

การเริ่มชีวิตคู่อย่างจริงจังดูไม่มีผลต่อถิรมนเมื่อปรมัตถ์ไม่เรียกร้องอะไรเกินงาม เป็นความรู้สึกดีๆ อีกแบบหนึ่งที่ถิรมนรู้สึกได้ว่าอย่างน้อยเขาก็ให้เกียรติ สร้างความคุ้นเคยกันไปอย่างไม่เร่งร้อนนัก ทุกอย่างค่อยๆ เรียนรู้กันไป แม้จะอยู่ร่วมห้องนอนก็ไม่ล่วงเกินมากไปกว่ากอดกัน ใช่เพราะรักษาพรหมจรรย์หรือเล่นละครเพื่อเรียกคะแนน

แต่ก็อย่างว่า...เฝือกก็ยังไม่ได้ถอด ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้ายังลำบากเลย กินข้าวก็ไม่ถนัด จะให้ไปทำอะไรแบบนั้นก็คงไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก

‘เอ๊ะ! นั่นเธอคิดอะไรออกไป’ คิดแล้วก็หน้าแดงเสียเอง

ถิรมนพยายามตั้งสติอยู่กับงานในความรับผิดชอบ ก่อนหน้านี้ได้ส่งไปแล้วอีกชิ้นหนึ่ง ซึ่งปรมัตถ์มอบหมายให้เธอดูแลงานขยายฐานลูกค้าบริษัทส่วนตัวของเขา ที่ทำเกี่ยวกับบ้านจัดสรร ไม่เน้นรีโนเวทเหมือนบริษัทหลักที่ปภาวีดูแล

“เซ็งจังเลย” เสียงโอดครวญพูดกับฟ้ากับลมนั้นลอยข้ามโต๊ะมา

ถิรมนอดไม่ได้ที่จะแอบหัวเราะคนเดียวเงียบๆ โดยไม่ให้ปรมัตถ์รู้ ก้มหน้าก้มตาทำงานร่างแผนนำเสนอโพรเจกต์ขยายฐานลูกค้าต่อไป แม้ก่อนหน้านี้ปรมัตถ์ไม่มีคำพูดให้ได้ยิน แต่มีหรือจะสู้แววตาที่เขาส่อแสดง

การร่วมงานเลี้ยงเมื่อครั้งนั้นได้ถูกยกเลิกไปตามสภาพร่างกายของเธอที่ไม่พร้อม ซึ่งเธอเพิ่งจะถอดเฝือกไปเมื่อสัปดาห์ก่อนนี่เอง เพราะจากผลการเอกซเรย์ก่อนหน้านั้นกระดูกยังไม่ประสานตัวดีนัก จึงเลื่อนเวลาออกมาอีก

แม้ตอนนี้จะถอดเฝือกออกแล้วแต่ก็ยังต้องระมัดระวัง การไปร่วมงานเลี้ยงกึ่งเปิดตัวโครงการอสังหาริมทรัพย์แห่งหนึ่งในค่ำวันนี้ ปรมัตถ์จึงเป็นคนจัดการดูแลแทบทั้งหมด เสื้อผ้าข้าวของทุกอย่างถูกเตรียมไว้ในห้องพักส่วนตัวของเขาหลังผนังทึบสีดำนั่น โดยตัวเธอแทบไม่ได้ทำอะไร

“อาบน้ำเลยนะ เดี๋ยวช่างแต่งหน้าทำผมจะเข้ามาแล้ว” ปรมัตถ์เอ่ยเตือน

เขายังก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไปหลังจากส่งเสียงบอก ตั้งแต่เธอทำงานให้เขา สิ่งที่เห็นมาตลอดคือปรมัตถ์จริงจังกับงานมาก ค่อนข้างเชื่อมั่นในตัวเองสูง แม้เป็นสิ่งที่เธอหรือใครนำเสนออะไร เขาก็รับฟังและนำไปปรับใช้ ไม่ได้ทำตามทั้งหมด ซึ่งอาจเป็นทั้งข้อดีและข้อเสียในตัวเองไปพร้อมกัน เพราะหากการรับฟังของเขานั้นได้นำสิ่งที่ถูกต้องไปใช้ย่อมเป็นเรื่องดี แต่หากสิ่งที่เขารับฟังนั้นถูกต้องทว่าไม่ถูกใจ ไม่เชื่อ ไม่ทำตาม หรือนำบางสิ่งบางอย่างที่ไม่ถูกต้องไปใช้ ก็อาจสร้างความเสียหายได้เช่นกัน

ถิรมนลุกขึ้นหลังจากได้ยิน แล้วเดินตรงไปยังประตูทางเข้าห้องพักของเขา โดยเธอไม่เคยรู้รหัสเข้าไปในห้องนี้ ไม่เคยก้าวก่ายหรือเข้าไปในนั้นสักครั้ง แม้แต่การเตรียมชุดก็เป็นปรมัตถ์จัดการเดินเข้าเดินออก ส่วนเธอมีงานอะไรของตัวเองก็ทำไป ไม่วุ่นวายให้มากเกินงาม

ปรมัตถ์ลุกขึ้นเดินเข้าไปหาเธอ แล้วยืนซ้อนอยู่ด้านหลัง โดยแขนข้างหนึ่งของเขากอดเอวเธอเอาไว้ ส่วนมืออีกข้างกุมมือขวาของเธอ และจับนิ้วชี้เธอให้ชี้ออกไป เลื่อนแผ่นหนึ่งบนผนังสีดำที่เห็น กดกึ่งเลื่อนให้ไหลไปทางซ้าย แผงรหัสปรากฏขึ้นมา ปรมัตถ์จับนิ้วเธอกดลงไป ซึ่งเป็นตัวเลขหกหลัก จากนั้นรอประตูปลดล็อก

เสียงกึกดังขึ้น เป็นอันรู้กันว่าเข้าไปได้ ปรมัตถ์ปล่อยมือเธอให้เป็นอิสระ แล้วผลักประตูเข้าไป ทว่ายังกอดเธอเอาไว้ กึ่งเดินไปข้างหน้ากึ่งผลักให้เธอเดินนำ เพราะเขายังยืนซ้อนด้านหลังเช่นนั้น แต่ความจริงเหมือนเขาจะยกตัวเธอขึ้นแล้วพาเข้าไปในห้องเสียมากกว่า

สภาพในห้องหรูหรามากทีเดียว ความทันสมัยปราดเปรียว สวยเก๋ โทนสีขาว คืออารมณ์ของห้องนี้ เหมือนโรงแรมหรูๆ สักแห่ง ไม่เหมือนห้องนอนธรรมดาทั่วไป

ถิรมนหมุนตัวเข้าหา ทว่าแขนของปรมัตถ์ก็ยังโอบเอวไม่ปล่อย และถึงจะอยู่ใกล้ชิดกันมากมาย ความประหม่าขัดเขินอาจไม่มากเท่าเดิมเพราะอยู่ด้วยกันเกือบตลอดเวลา แต่ใช่ว่าจะไม่เขินเลย

“เชื่อคนง่ายแบบนี้ระวังจะโดนหลอกไปทำมิดีมิร้ายเข้าสักวัน” พูดจบก็ก้มลงหอมแก้มเธอ

ถิรมนหน้าแดงขึ้นทันที มากกว่านั้นคือความร้อนผ่าวแล่นลิ่วบนใบหน้า และเป็นทุกกครั้งที่เขากอดเขาหอม เธอไม่เคยสบตาคู่คมและร้อนแรงของเขาได้นาน

ที่ผ่านมาเธอรู้ว่าปรมัตถ์อดทน เขาเข้าใจสถานการณ์ระหว่างกันเป็นอย่างดี จึงไม่เรียกร้องมากไปกว่านี้ และเธอก็ขอบคุณ

“เชื่อพี่มัตถ์แล้วไม่ดีเหรอคะ”

“ดีสิ ดีมากด้วย” เขายิ้มกริ่ม

“ถ้าอย่างนั้น...ถูกพี่มัตถ์หลอก น้องเลิฟก็ยอมค่ะ” ไม่รู้คิดอย่างไรถึงตอบไปแบบนั้น

เธอรู้ดีว่าในใจและในความรู้สึกของตนเองให้ความสนิทสนมกับปรมัตถ์มากกว่าเดิม เธอเป็นผู้หญิงที่โตเมืองนอกก็จริง ทว่าคงไม่ใช่ประเภทอยากมีเซ็กซ์แล้วปลดปล่อยได้ทันทีไม่ว่าจะกับใคร ไม่มีความรู้สึกผูกพันหรือไม่รู้สึกอะไรหลังจากนั้น แต่ผู้หญิงอย่างเธอหากจะต้องมีอะไรกับใครสักคน โดยไม่มีสิ่งผลักดันเพิ่มเติมมาเป็นตัวช่วยเช่นแอลกอฮอล์หรืออะไรก็ตาม เธอก็ขอให้มาจากใจที่พร้อมจริงๆ และนั่นหมายความว่าพร้อมจะรับผลจากการกระทำที่จะตามมาเช่นกัน

เธอคงเป็นผู้หญิงหนึ่งในประเภทให้ความสำคัญกับบรรยากาศระหว่างกัน ชอบความสัมพันธ์แบบอบอุ่น ความสัมพันธ์ฉาบฉวยคงไม่เหมาะกับผู้หญิงที่ต้องการความมั่นคงในความรู้สึก และเธอรู้ตัวดีว่าเป็นคนประเภทไหน แม้จะมีทะเบียนสมรส มีการแต่งงาน แต่ทุกอย่างก็ไม่ต่างจากการเริ่มจากศูนย์

ทว่าตอนนี้ เวลานี้ ปรมัตถ์ได้ทำให้เห็นแล้วว่าให้เกียรติเธอ แม้จะไม่นานนัก แต่ก็มากพอที่จะให้ความสนิทสนม เธอพร้อมใจโดยไม่จำเป็นต้องใช้อะไรมาช่วยทำให้กล้ามากขึ้นหากจะมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งระหว่างกัน ยิ่งเมื่อเห็นปรมัตถ์ยิ้มเจ้าเล่ห์ ก็ยิ่งรู้ตัวว่าเธอแพ้ทาง

“จริงๆ แล้วพี่ชอบเธอที่เป็นแบบนี้มากกว่านะ ไม่ชอบตอนไล่ต้อนแกะเลย” เขากระซิบ

ถิรมนยิ้มให้ “ขอบคุณค่ะที่ชม” เขาจะรู้หรือเปล่าว่าสิ่งที่เธอแสดงออก ส่วนหนึ่งก็ลอกเลียนแบบมาจากเขานั่นแหละ

สัญชาตญาณบอกว่าหากเธอพร้อมจะเดินหน้า ก็จงอย่าทำตัวเป็นเด็กอีก ไม่มีเวลาจะปล่อยให้ตัวเองอ่อนแอหรือขวยเขินเกินความจำเป็น ซึ่งนั่นอาจไม่เป็นผลดีต่อใคร

และเธอเลือกแล้วว่าจะใช้ชีวิตแบบไหน จะปรับตัวอย่างไรเพื่อให้มีความสุขที่สุดกับชีวิตคู่ โดยปรมัตถ์คือผู้ชายคนนั้นที่จะอยู่เคียงข้าง ก็คงไม่ต้องแปลกใจนักที่กล้าพูดคำนั้นออกไป

ก่อนที่จะคิดอะไรไปมากกว่านี้ ใบหน้าหล่อเหลาของปรมัตถ์ที่โน้มลงมาได้ส่งสัมผัสให้รู้สึกถึง เขากำลังจดจมูกลงหอมแก้มเธอ ดวงตาคู่คมกริบมองดวงตาของเธอ ดั่งมีคำถามกึ่งอ้อนวอนว่าอย่าล้อเล่นกับความรู้สึกของเขาได้ไหม เขาต้องการความจริงใจและคำตอบ ไม่ใช่คำยั่วยวน

ถิรมนไม่พูดอะไรนอกจากขยับใบหน้าเข้าหาปรมัตถ์ กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ ของผู้ชายเคล้ากลิ่นกายของเขาช่างเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์เย้ายวนแฝงความแข็งแกร่งจากร่างกายสูงใหญ่ ทั้งกลิ่นและสัมผัสอุ่นๆ จากริมฝีปากอุ่นนุ่มเรียกความรู้สึกบางอย่างจากภายในของเธอให้ออกมาเต้นเร่าและยินดีรับรู้กับรับสัมผัสอุ่นๆ จากริมฝีปากของเขาที่กดลงมา เธอรู้สึกถึงรสสัมผัสอันซาบซ่านและกอดเขาเอาไว้ โดยแหงนหน้ารับจูบที่คล้ายจะละลายเธอให้กองอยู่ในอ้อมกอดของเขา

จูบที่เคล้าความรู้สึกหอมหวานอบอวลจากข้างใน เธอรับจูบและจูบตอบทุกความเคลื่อนไหวที่ดั่งว่าจะเชื่องช้าอ้อยอิ่งแต่ก็หนักหน่วงดุดันสลับกัน

ความร้อนเร่าเพียงจูบเดียวก็มากพอเกินจะบรรยาย ลมหายใจที่เป่ารดแก้มหวามไหวจนในท้องมวนวูบโหวงซาบซ่านพล่านวนไม่หยุดหย่อน รู้เพียงความอุ่นจากฝ่ามือของเขาโอบกอดและประคองแผ่นหลัง ถิรมนเขย่งปลายเท้าเพื่อรับจูบและสนองตอบด้วยความยินดี

จูบ...ที่ได้รู้ว่าเป็นความรู้สึกแสนมหัศจรรย์ เมื่อจูบอย่างล้ำลึกและเกี่ยวกระหวัดแทรกเคล้าคลอความรู้สึกวาบหวามข้างใน

จูบ...ที่มาพร้อมกับการโอบกอดกันเอาไว้ สัมผัสคละเคล้าจากฝ่ามือยิ่งสร้างความหวามไหว อุ่นร้อน...และผะผ่าวทั่วเรือนร่างไม่มีหยุด

จูบ...ที่เต็มไปด้วยความรู้สึกพร้อมมอบให้และไม่ใช่เพียงความกระหายใคร่รัก แต่เป็นรสชาติหอมหวาน ยิ่งซาบซ่านเมื่อเขาจูบที่ลำคอ สัมผัสทุกอย่างพาให้ร่างกายของเธอร้อนไปหมด อ่อนแรงเกินจะต้านทาน พร้อมจะดื่มด่ำและก้าวตามเขาซึ่งเป็นผู้นำให้เดินตามไป

ปรมัตถ์จูบ กอด และหอมเธอราวกับคลั่งไคล้ รู้เพียงแค่ลมหายใจอุ่นๆ ที่เป่ารดรุนแรงมากขึ้นทุกขณะ

แรงโอบด้านหลังกอดรัดแน่นมากขึ้นราวกับจะหลอมร่างกายให้เป็นเนื้อเดียวกัน แทบไม่รู้สึกถึงเสื้อผ้าที่กางกั้น ปรมัตถ์หอบหายใจแรงมากขึ้นทุกที

ความรู้สึกที่ได้รักใครสักคนและอยู่ในอ้อมกอดของคนคนนั้น รับรู้สัมผัสที่เขาจูบพร้อมกับบอกตัวเองว่ายินดีมอบทุกสิ่งทุกอย่างไว้แทบเท้าเป็นเช่นนี้นี่เอง

ปรมัตถ์ถอยใบหน้าห่างออกไป สองมือนั้นประคองใบหน้าเธอเอาไว้ แล้วมองด้วยแววตาร้อนแรง ดวงตาคมกริบดึงดูดใจ ปากของเขาแดงเรื่อทั้งที่เป็นฝ่ายจูบเธอและกำลังเม้มเอาไว้อย่างพยายามอดกลั้นอารมณ์ แววตาที่เห็นดูอ้อนวอนและโหยหา

ใบหน้าหล่อเหลาค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาใกล้ จูบเธอเบาๆ อีกครั้งดั่งว่าจะเคล้าคลึงความอ่อนหวานและร้อนแรงในใจนี้ให้ได้รสอันกลมกล่อมเบาบาง แต่กลับเป็นรสอันรุนแรงอย่างล้ำลึกในความรู้สึก และแทบหยุดหายใจทุกเสี้ยววินาที เมื่อไม่มีการบรรเทาเบาบางลงเลย

และก่อนที่จะเตลิดเปิดเปิงไปมากกว่านี้

“สัญญากับพี่ได้ไหม ว่าคืนนี้จะไม่บ่ายเบี่ยงหรือปฏิเสธ” เขาถามด้วยเสียงแตกพร่า กลืนน้ำลายลงคอให้เธอได้เห็น หอบหายใจแรง ก่อนจะค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา และเห็นว่าเธอช่างสวยงามและร้อนแรงนัก

ปรมัตถ์ยังกอดเธอเอาไว้นิ่งๆ ทำให้รู้ว่าเขากำลังข่มอารมณ์

“ตอนนี้ก็ได้นะคะ” เพิ่งรู้ว่าตอบยั่วก็เป็น แต่เพราะรู้ดีว่าปรมัตถ์ให้เกียรติสถานที่ทำงาน ไม่ทำอะไรมากว่านี้แน่ๆ จึงกล้าเอ่ยออกไป

การอยู่ด้วยกันมาระยะหนึ่งจึงมากพอที่จะรู้ว่าปรมัตถ์ไม่ให้ใครมาใช้สถานที่ในบริษัทมากกว่าเป็นแหล่งทำงานที่ต้องให้ความเคารพ

ปรมัตถ์หัวเราะในลำคอ มองเธออย่างรู้ทัน แต่แววตานั้นช่างสวยงามเปล่งประกายระยิบระยับ “รู้งี้ชวนกลับบ้านตั้งแต่เที่ยงดีกว่า” เขามองนาฬิกาข้อมือ แล้วกอดแน่นๆ อีกทีหนึ่ง จากนั้นก็จูบหน้าผากเบาๆ อีกครั้ง และผละเดินจากไป

ก่อนจะพ้นประตู ปรมัตถ์ก็หันกลับมา รอยยิ้มของเขาที่แฝงมาด้วยความร้อนแรง แววตาที่แพรวพราวมีหรือจะไม่รู้ความหมายว่าเขากำลังจะบอกอะไร แต่เธอก็ไม่มีอะไรจะต้องกลัวอีกต่อไป

ถิรมนยืนยิ้มอยู่คนเดียว อย่างน้อยปรมัตถ์ก็มีความอดทนอดกลั้น และรู้ว่าอะไรควร อะไรไม่ควรอย่างน่ายกย่อง ซึ่งเธอควรภูมิใจที่อย่างน้อยเขาก็เลือกเธอแล้ว

หญิงสาวไม่รอช้า รีบเข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนเป็นเสื้อยืดที่เตรียมมาอย่างเร็วไว และเมื่อออกมาด้านนอกที่เป็นห้องพักอีกครั้ง ช่างแต่งหน้าทำผมที่เคยเจอกันเมื่อวันแต่งงานก็มาถึงพอดี

ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอนและเวลาที่กำหนด ทั้งการแต่งหน้า ทำผม ซึ่งการทำผมวันนี้เป็นลักษณะคล้ายๆ รวบตึงปล่อยเป็นหางม้า ดัดลอนเล็กน้อยให้ดูสวยงาม และนั่นก็ทำให้นึกสงสัยว่าจะเข้ากับชุดใดที่เคยลองที่ร้าน ครั้นทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย ถิรมนจึงกลับเข้าไปที่ห้องเปลี่ยนเสื้ออีกครั้ง เปิดซิปพลาสติกห่อชุดราตรีที่แขวนอยู่ จึงเห็นว่านี่ไม่ใช่ชุดที่เคยลองใส่ อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว ชุดราตรีสีขาวเนื้อผ้าพลิ้ว ด้านบนประดับลูกไม้ทรงคอสูง แขนกุด ความยาวน่าจะกรอมเท้า อีกทั้งถุงมือยาวจนถึงช่วงกลางของต้นแขนและเครื่องประดับ ย่อมแสดงให้เห็นว่าชุดนี้ค่อนข้างมิดชิดแน่นอน

ถิรมนเปลี่ยนชุดท่ามกลางความสงสัย ทว่าก็เรียบร้อยเร็วไว ยกเว้นตรงกระดุมช่วงบนและอยู่ด้านหลังที่ติดไม่ได้จึงเดินออกมา แต่ช่างจะอยู่เสียแล้วสิ โชคดีที่ปรมัตถ์เดินเข้ามาพอดี

“พี่มัตถ์ช่วยติดกระดุมให้น้องเลิฟได้มั้ยคะ”

เขาไม่พูดแต่พยักหน้ารับ อาการอมยิ้มย่อมแสดงว่ายินดีอย่างยิ่ง เขาเดินตามเธอเข้าไปในห้องแต่งตัว แล้วติดกระดุมให้

“มีอะไรเหรอ” เขาถาม อาจเพราะเห็นความสงสัยที่ปิดไม่มิดของเธอกระมัง

“คือชุดนี้น้องเลิฟไม่เคยเห็นน่ะค่ะ ตอนที่ลองก็เหมือนจะไม่มีนะคะ”

ปรมัตถ์อมยิ้ม ไม่ตอบ เอียงตัวติดกระดุมให้เรียบร้อย และมองเธอผ่านกระจกเงาอย่างภาคภูมิใจ สองมือของเขาจับต้นแขนของเธอเอาไว้

“ชุดพวกนั้นใส่ให้พี่ดูคนเดียวก็พอแล้ว ส่วนตอนออกงาน ชุดแบบนี้น่ะดีที่สุด เสริมบารมีสามีด้วยความสวยสง่าของภรรยาไงจ๊ะ” พูดจบก็กอดเธอจากด้านหลังแน่นๆ ทีหนึ่ง แล้วผละจากไป พร้อมกับคว้าผ้าขนหนูตรงเข้าห้องน้ำทันที

แต่นั่นเหมือนจะทำให้ถิรมนรู้ตัว คำตอบแน่ชัดว่าสี่ชั่วโมงกว่าๆ ที่ห้องเสื้อและเป็นชุดวับๆ แวมๆ ทั้งหมดที่ลองใส่ให้ปรมัตถ์ดู ก็เพียงเพราะหลอกให้เธอใส่ให้เขาดูเล่นๆ เป็นอาหารตา

ทำไมเป็นคนเจ้าเล่ห์แบบนี้

ถิรมนได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันในใจ ดูเถอะ ไม่คิดสงสารกันบ้างเลย สี่ชั่วโมงกว่าเชียวนะ หลอกให้เธอใส่เป็นบ้าเป็นหลัง และชุดที่เห็นนี้ก็บ่งบอกว่าความจริงน่ะ เขามีชุดหรือมีรูปแบบไว้ในใจตั้งแต่แรกแล้ว

มิน่าล่ะ เจ้าของร้านถึงได้มองเธอแปลกๆ ตั้งแต่ตอนเข้าไป หรือแม้แต่ตอนจะกลับออกมา คงรู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร

เจ้าเล่ห์นัก!

- * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * -



สวัสดีนักอ่านทุกท่านค่ะ อ้อยขอขอบพระคุณนักอ่านทุกท่านที่ติดตามม่านลวงมาจนถึงวันนี้นะคะ และจากที่เคยแจ้งเอาไว้ คืออ้อยจะลงให้อ่านถึงบทที่ 17 จากทั้งหมด 25 บท ซึ่งเป็นบทสุดท้ายที่จะลงในเว็บ อ้อยขอขอบพระคุณจากใจอีกครั้งที่ติดตามผลงานของอ้อยค่ะ

และเรื่อง ‘ม่านลวง’ ท่านสามารถติดตามได้ในแบบรูปเล่มได้แล้วในวันนี้ ทั้งในงานสัปดาห์หนังสือเดือนตุลาคม 57 และร้านหนังสือชั้นนำทั่วไปค่ะ ราคาเล่มละ 200 บาท จ้า ขอฝากม่านลวงไว้ด้วยนะคะ

ขอขอบพระคุณนักอ่านทุกท่านที่รักและติดตามงานเขียนของอ้อยเสมอมาค่ะ

รัก...
อ้อย/สุชาคริยา






สุชาคริยา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 2 พ.ย. 2557, 20:08:27 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 2 พ.ย. 2557, 20:08:27 น.

จำนวนการเข้าชม : 1689





<< บทที่ 11   
คิมหันตุ์ 2 พ.ย. 2557, 21:41:11 น.
อ่านแล้วๆๆๆ มาลงชื่อให้กำลังใจนะฮ้าบบบ


สุชาคริยา 2 พ.ย. 2557, 22:40:53 น.
@คุณคิมหันตุ์ = ขอบพระคุณมากๆ เลยค่ะ กอด & ม๊วฟๆ


แว่นใส 2 พ.ย. 2557, 22:47:55 น.
กว่าจะสมหวังเนอะ


สุชาคริยา 2 พ.ย. 2557, 23:02:37 น.
@คุณแว่นใส = แต่ก็หวังว่าตอนจบจะถูกใจกันนะคะ (^.^)


นักอ่านเหนียวหนึบ 3 พ.ย. 2557, 19:14:32 น.
กรี้ดกร้าด วี้ดว้าย ขอตามไปอ่านต่อให้จบค่าาาา
พี่มัตถ์น่ารักสุดๆ น้องเลิฟก็เป็นแค่ผู้หญิงธรรมดาคนนึง ที่ไม่เคยฝนเขี้ยว คมเล็บมาก่อน มีพี่มัตถ์คอยปกป้องก็ดีแล้วววว


สุชาคริยา 3 พ.ย. 2557, 21:19:11 น.
@คุณนักอ่านเหนียวหนึบ = ขอบพระคุณมากๆ ค่ะ กอดดดดดดด


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account