Honey Star...เลื่อมลายดอกรัก [สนพ.แจ่มใส]
Tags: เนตรนภัส, แป้งร่ำ, โรแมนติก, Oh! My Honey, สริต, ต้นกล้า, แป้งร่ำ
ตอน: ตอนที่ 1.2
๑.๒
สามเดือน...จะว่านานก็นาน จะว่าเร็วก็เร็ว แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามเธอก็มีเวลาหาเงิน ตอนนี้คิดเข้าข้างตัวเองเป็น ‘ตั้งสามเดือน’ ก็แล้วกัน
“ต้องทำได้สิวะไอ้แป้ง แกท้อไม่ได้ เข้าใจไหม” ย้ำกับตัวเองด้วยน้ำเสียงฮึกเหิมเพื่อเรียกกำลังใจแล้ว แป้งร่ำก็กระเด้งตัวจากโซฟายาว คว้ากระเป๋าบนโต๊ะแล้วเดินขึ้นชั้นสอง
ห้องที่หญิงสาวเปิดเข้าไปนั้น ไม่ใช่ห้องนอนใหญ่ของบ้านแต่เป็นห้องซึ่งอยู่ถัดมา มันมีขนาดเล็กกว่ากันมาก เธออาศัยอยู่ในห้องนี้ตั้งแต่จำความได้ ตอนบิดาเสียชีวิตและมารดาย้ายออกไปเธอก็ไม่มีความคิดย้ายไปห้องที่ใหญ่กว่าเลย
จุดแรกที่แป้งร่ำพุ่งเข้าไปหาอย่างมีเป้าหมายก็คือโต๊ะเขียนหนังสือขนาดกะทัดรัด หลังจากนั่งลงบนเก้าอี้เธอก็ใช้กุญแจซึ่งพกไว้ในกระเป๋าไขลิ้นชักบนสุดเพื่อหยิบสมุดบัญชีเงินฝากจำนวนสองเล่มออกมา เลือกหนึ่งในสองเล่มมาเปิดไล่ไปยังหน้าสุดท้ายที่มีความเคลื่อนไหว
สมุดบัญชีเล่มนี้เธอไม่ได้ทำบัตรเอทีเอ็มไว้ เนื่องจากตั้งใจใช้ออมเงินอย่างเดียว ส่วนค่าใช้จ่ายรายเดือน เธอเปิดบัญชีแยกไว้ต่างหากอีกบัญชีหนึ่ง ดังนั้นยอดรวมสุดท้ายจึงเป็นยอดปัจจุบัน ไม่เดือดร้อนต้องเอาสมุดไปอัพเดท
แป้งร่ำไล่สายตาลงมาเรื่อยๆ จนหยุดอยู่ตรงตัวเลขหกหลักแล้วถอนหายใจออกมาแรงๆ ถ้าหากเลขหลายหลักนั้นเป็นยอดเงินฝาก เธอคงดีใจจนเนื้อเต้น เพราะมันคงทำให้ระยะเวลาสามเดือนหลังจากนี้ของเธอง่ายขึ้น ทว่านั่นเป็นเพียงไม่กี่ยอดที่เธอถอนเงินออกมาเพื่อนำไปลงทุนเพิ่มในกิจการ
ด้วยฐานะทางบ้านไม่ได้ดีเหมือนเพื่อนอีกสองคน ตอนเปิดร้านใหม่ๆ เธอถือหุ้นเพียงในนามเท่านั้น แม้เพื่อนบอกว่าไม่เป็นไร ไม่จำเป็นต้องเอาเงินมาลงแต่พอมีเงินมากพอไม่ทำให้ขาดสภาพคล่องเธอมักเอาเงินไปลงในกิจการเสมอ และก่อนหน้านี้ไม่นานเธอก็เพิ่งเอาไปลงเพิ่มหลังจากเคยลงไปแล้วหลายครั้ง กระนั้นยอดก็ยังไม่เท่าจำนวนเงินของเพื่อนอีกสองคนที่ลงไปก่อนหน้านี้อยู่ดี
เธอไม่อยากกวาดตาลงมาเจอยอดรวมสุดท้ายเลย ด้วยรู้อยู่แก่ใจว่าเงินมีเหลือประมาณเท่าไร เรื่องเงินๆ ทองๆ เธอถนัดนัก ยิ่งเป็นของตัวเองยิ่งแม่น เหตุผลเดียวที่ทำแบบนี้ก็เพียงแค่คาดหวัง...
บางทีเธอน่าจะลองเอาสมุดบัญชีไปรดน้ำดูสักที เผื่อยอดเงินจะงอกเหมือนเมล็ดถั่วเขียวแช่น้ำ
นางฟ้ามีแค่ในเทพนิยาย ดังนั้นเธอต้องคิดหาวิธีทำให้เงินเพิ่มขึ้นเป็นห้าแสน...จริงๆ ยอดเงินคงค้างกับธนาคารไม่ใช่ตัวเลขกลมเป๊ะ แต่นาทีนี้เศษที่เกินมาทั้งหมด เธอขอปัดลงก็แล้วกัน เพราะถ้าหากปัดเศษขึ้นตามหลักคณิตศาสตร์แล้วละก็ เธอไม่แน่ใจว่าจะเผลอต่อโทรศัพท์หามารดาแล้วยกเลิกสัญญาที่มีต่อกันทั้งหมดทิ้งหรือเปล่า
หญิงสาวหยิบกระดาษซึ่งขอบด้านหนึ่งรุ่งริ่งเนื่องจากฉีกมาจากสมุดซึ่งขอพนักงานในร้านกาแฟออกมาจากกระเป๋า วางลงในกล่องเช่นเดียวกับสมุดบัญชีเงินฝาก แล้วดันลิ้นชักปิด
นาทีนี้เธอกลับตัวไม่ได้แล้ว คงต้องคิดหาทางว่าหลังจากนี้ ควรทำอย่างไรให้เงินงอกเงยขึ้นมาบ้าง
ที่แน่ๆ ไม่ใช่รดน้ำแน่...
“หิวหรือยังครับต้น” คนซึ่งตั้งหน้านำพาหนะของตนแล่นไปตามท้องถนนอย่างระมัดระวัง เหลือบมองบุตรชายผ่านกระจกมองหลัง เวลาโดยสารรถยนต์เขามักให้ลูกชายนั่งตอนหลังบนคาร์ซีท[1]เพื่อความปลอดภัย
ก่อนหน้านี้เขาพาต้นกล้าไปเดินห้างสรรพสินค้าเพื่อซื้อขนมอย่างที่เจ้าตัวอยากรับประทานตามสัญญาที่ช่วยปลูกต้นไม้เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งเด็กชายก็รับประทานไปถึงสองชิ้นเลยทีเดียว ทว่าพอมองฝ่าแพดวงไฟสีแดงข้างหน้าแล้วก็นึกห่วง คงใช้เวลาอีกพักใหญ่กว่าจะถึงบ้านได้รับประทานอาหารเย็น
“ต้นยังไม่หิวครับหรือพ่อหิวแล้ว”
ลูกชายของเขาก็เป็นแบบนี้ ใส่ใจคนรอบข้างจนทำให้สริตยิ้ม
“เปล่าครับ พ่อกลัวต้นหิวก็เลยถาม รถติดขนาดนี้อีกนานแน่กว่าเราจะถึงบ้าน”
“แต่ต้นหิวน้ำ”
“น้ำในเป้หมดแล้วหรือครับ” ตามปกติเขามักให้พี่เลี้ยงของต้นกล้าเตรียมน้ำเปล่าและขนมสำหรับรองท้องเอาไว้เผื่อเด็กชายหิวในเป้ไปโรงเรียนทุกวัน
“ต้นดื่มหมดตั้งแต่ตอนรอพ่อมารับ ตอนนี้หิวอีกแล้ว”
สริตหยิบขวดน้ำจากที่วางด้านหน้าระหว่างเก้าอี้คนขับและคนนั่งข้างส่งให้เด็กชาย ซึ่งรับไปเปิดฝา แล้วดึงหลอดซึ่งอยู่ด้านในอยู่แล้วดูดอึกๆ อย่างกระหาย
วันนี้เขามีถ่ายแบบให้นิตยสารเล่มหนึ่ง ตอนที่ฝ่ายนั้นขอคิวไว้ คำนวนแบบเผื่อเวลาแล้วแน่ใจว่าสามารถมารับลูกชายได้ทันเวลาโรงเรียนเลิก จึงไม่ได้บอกพี่เลี้ยงให้มารับเหมือนทุกครั้ง ตอนไปถึงยังมีเด็กอีกไม่น้อยที่ผู้ปกครองยังมาไม่ถึง ระหว่างรอคงเล่นเพลินเลยกระหายมาก ขนาดแวะร้านขนมแล้วก็ยังกระหายน้ำอยู่นั่น
“พ่อขอโทษนะครับ ไม่คิดว่างานจะติดพันเลยมารับต้นช้า ไม่งั้นคงบอกให้ป้าดาวมารับแทนแล้ว”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ” เด็กชายเอี้ยวตัววางขวดน้ำลงบนเบาะข้างกาย ยิ้มจนตาหยีให้คนเป็นพ่อ “พ่อมาช้าต้นก็ไม่ร้อง ต้นรู้ว่าพ่อทำงานหาเงิน มาซื้อของเล่นให้ต้น”
สริตถึงกับหัวเราะเมื่อถูกลูกชายตีขลุมเข้าข้างตัวเองอย่างเจ้าเล่ห์ เรื่องร้องไห้เขาไม่ห่วงอยู่แล้วเพราะต้นกล้าค่อนข้างโตกว่าเด็กในวัยเดียวกัน ช่างพูด ช่างถาม เลี้ยงง่ายจนพ่อเลี้ยงเดี่ยวอย่างเขาสามารถผ่านช่วงเวลายากลำบากของการเลี้ยงลูกลำพังมาไม่ยาก
“ต้นจำได้หรือเปล่า พ่อเคยบอกต้นว่ายังไง”
ได้ยินแค่นี้เด็กชายก็ทราบทันทีว่าบิดาหมายถึงเรื่องอะไร จึงเอ่ยออกมาทันทีเพราะจำได้ขึ้นใจ
“ถ้าต้นอยากได้อะไร ต้องทำงานแลกครับ”
“ถูกครับ อยากได้อะไรต้องทำงาน แล้วถ้าต้นอยากได้อะไรพ่อจะออกให้ครึ่งหนึ่ง ต้นครึ่งหนึ่งใช่ไหม”
“ครับ”
เขาไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาสอนลูกชายวัยนี้ถูกต้องหรือเปล่า แต่ก็อยากสร้างวินัยให้ต้นกล้าตั้งแต่เด็ก
“วันหลังเราไปห้างที่เราไปกันวันนี้อีกได้ไหมครับพ่อ”
“ทำไมล่ะครับ” สริตถามอย่างสงสัย
ห้างที่ต้นกล้าพูดถึงตั้งอยู่ใจกลางเมือง ซึ่งอยู่ห่างจากโรงเรียนของต้นกล้าและบ้านมากพอสมควร แต่ร้านขนมที่ต้นกล้าอยากรับประทานตั้งอยู่ในห้างนี้ ดังนั้นพอเลิกเรียนเขาจึงขับรถพาลูกมาขึ้นรถไฟฟ้าสถานีที่ใกล้ที่สุด จะได้ลดระยะเวลาในการเดินทางไปห้างในช่วงเวลาเย็นของวันทำงาน
“ต้นอยากเจอพี่สาวอีก”
สริตต้องทำความเข้าใจอยู่ครู่หนึ่งกว่าจะนึกออกว่าพี่สาวที่ต้นกล้าเอ่ยถึงคือใคร “พี่สาวน่ารักๆ ที่ให้ต้นนั่งบนรถไฟฟ้านะเหรอ”
“ใช่ครับ พี่สาวใจดี ต้นอยากเจออีก”
อ๋อ...คนที่ฝากรอยแสบๆ คันๆ เอาไว้บนท่อนแขนของเขานั่นเอง
เมื่อนึกไปถึงเจ้าของใบหน้ารูปไข่กับรอยยิ้มตาหยีจนกลายเป็นสระอิที่ส่งไปให้ลูกชายของเขาอย่างเอ็นดู ริมฝีปากได้รูปก็เผลอยิ้มออกมา น่าแปลกที่เขาสามารถจำเธอได้อย่างชัดเจน
เขาไม่แน่ใจว่าตอนเจ้าหล่อนลงจากรถไฟฟ้าจะรู้ตัวหรือเปล่าว่าตอนหมุนตัวพวงผมยาวรวบเป็นหางม้า สะบัดฟาดท่อนแขนเขาจนเจ็บ เขาแน่ใจว่าหล่อนไม่ได้ตั้งใจ เพราะดูท่าทางแล้วไม่ใช่คนเห็นแก่ตัว เห็นได้จากการสละเก้าอี้ให้ลูกชายเขาอย่างไม่ลังเล แถมจังหวะหนึ่งเขาเห็นเธอลอบยิ้ม พอมองตามเป้าสายตาของหญิงสาวแล้วถึงเห็นว่าเจ้าหล่อนแอบยิ้มเพราะนักเรียนหญิงที่ยืนเกาะเสาอยู่ไม่ไกลกำหมัดยื่นข้อนิ้วเข้าไปจิกหลังผู้โดยสารอีกคนที่ยืนพิงเสาต้นเดียวกันอยู่อย่างแล้งน้ำใจ
ท่าทางเฮี้ยวไม่หยอกแต่ก็ไม่ได้เห็นแก่ตัว
“เราจะได้เจอพี่สาวอีกไหมครับ”
“พ่อเองก็ตอบต้นไม่ได้หรอกครับ”
เด็กชายต้นกล้ามีสีหน้าสลดลงทันทีอย่างน่าสงสาร
เขาไม่อยากทำให้ลูกชายเสียใจ แต่การโกหกก็ไม่ใช่ทางที่เขาเลือกเช่นกัน
เรื่องนี้เขาควรปล่อยให้โชคชะตาเป็นตัวกำหนด...
--------------------------------------------------------------------------------
[1] Carseat หรือเก้าอี้นิรภัยสำหรับเด็ก ติดตั้งในรถยนต์เพื่อความปลอดภัยของเด็กเล็ก
สามเดือน...จะว่านานก็นาน จะว่าเร็วก็เร็ว แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามเธอก็มีเวลาหาเงิน ตอนนี้คิดเข้าข้างตัวเองเป็น ‘ตั้งสามเดือน’ ก็แล้วกัน
“ต้องทำได้สิวะไอ้แป้ง แกท้อไม่ได้ เข้าใจไหม” ย้ำกับตัวเองด้วยน้ำเสียงฮึกเหิมเพื่อเรียกกำลังใจแล้ว แป้งร่ำก็กระเด้งตัวจากโซฟายาว คว้ากระเป๋าบนโต๊ะแล้วเดินขึ้นชั้นสอง
ห้องที่หญิงสาวเปิดเข้าไปนั้น ไม่ใช่ห้องนอนใหญ่ของบ้านแต่เป็นห้องซึ่งอยู่ถัดมา มันมีขนาดเล็กกว่ากันมาก เธออาศัยอยู่ในห้องนี้ตั้งแต่จำความได้ ตอนบิดาเสียชีวิตและมารดาย้ายออกไปเธอก็ไม่มีความคิดย้ายไปห้องที่ใหญ่กว่าเลย
จุดแรกที่แป้งร่ำพุ่งเข้าไปหาอย่างมีเป้าหมายก็คือโต๊ะเขียนหนังสือขนาดกะทัดรัด หลังจากนั่งลงบนเก้าอี้เธอก็ใช้กุญแจซึ่งพกไว้ในกระเป๋าไขลิ้นชักบนสุดเพื่อหยิบสมุดบัญชีเงินฝากจำนวนสองเล่มออกมา เลือกหนึ่งในสองเล่มมาเปิดไล่ไปยังหน้าสุดท้ายที่มีความเคลื่อนไหว
สมุดบัญชีเล่มนี้เธอไม่ได้ทำบัตรเอทีเอ็มไว้ เนื่องจากตั้งใจใช้ออมเงินอย่างเดียว ส่วนค่าใช้จ่ายรายเดือน เธอเปิดบัญชีแยกไว้ต่างหากอีกบัญชีหนึ่ง ดังนั้นยอดรวมสุดท้ายจึงเป็นยอดปัจจุบัน ไม่เดือดร้อนต้องเอาสมุดไปอัพเดท
แป้งร่ำไล่สายตาลงมาเรื่อยๆ จนหยุดอยู่ตรงตัวเลขหกหลักแล้วถอนหายใจออกมาแรงๆ ถ้าหากเลขหลายหลักนั้นเป็นยอดเงินฝาก เธอคงดีใจจนเนื้อเต้น เพราะมันคงทำให้ระยะเวลาสามเดือนหลังจากนี้ของเธอง่ายขึ้น ทว่านั่นเป็นเพียงไม่กี่ยอดที่เธอถอนเงินออกมาเพื่อนำไปลงทุนเพิ่มในกิจการ
ด้วยฐานะทางบ้านไม่ได้ดีเหมือนเพื่อนอีกสองคน ตอนเปิดร้านใหม่ๆ เธอถือหุ้นเพียงในนามเท่านั้น แม้เพื่อนบอกว่าไม่เป็นไร ไม่จำเป็นต้องเอาเงินมาลงแต่พอมีเงินมากพอไม่ทำให้ขาดสภาพคล่องเธอมักเอาเงินไปลงในกิจการเสมอ และก่อนหน้านี้ไม่นานเธอก็เพิ่งเอาไปลงเพิ่มหลังจากเคยลงไปแล้วหลายครั้ง กระนั้นยอดก็ยังไม่เท่าจำนวนเงินของเพื่อนอีกสองคนที่ลงไปก่อนหน้านี้อยู่ดี
เธอไม่อยากกวาดตาลงมาเจอยอดรวมสุดท้ายเลย ด้วยรู้อยู่แก่ใจว่าเงินมีเหลือประมาณเท่าไร เรื่องเงินๆ ทองๆ เธอถนัดนัก ยิ่งเป็นของตัวเองยิ่งแม่น เหตุผลเดียวที่ทำแบบนี้ก็เพียงแค่คาดหวัง...
บางทีเธอน่าจะลองเอาสมุดบัญชีไปรดน้ำดูสักที เผื่อยอดเงินจะงอกเหมือนเมล็ดถั่วเขียวแช่น้ำ
นางฟ้ามีแค่ในเทพนิยาย ดังนั้นเธอต้องคิดหาวิธีทำให้เงินเพิ่มขึ้นเป็นห้าแสน...จริงๆ ยอดเงินคงค้างกับธนาคารไม่ใช่ตัวเลขกลมเป๊ะ แต่นาทีนี้เศษที่เกินมาทั้งหมด เธอขอปัดลงก็แล้วกัน เพราะถ้าหากปัดเศษขึ้นตามหลักคณิตศาสตร์แล้วละก็ เธอไม่แน่ใจว่าจะเผลอต่อโทรศัพท์หามารดาแล้วยกเลิกสัญญาที่มีต่อกันทั้งหมดทิ้งหรือเปล่า
หญิงสาวหยิบกระดาษซึ่งขอบด้านหนึ่งรุ่งริ่งเนื่องจากฉีกมาจากสมุดซึ่งขอพนักงานในร้านกาแฟออกมาจากกระเป๋า วางลงในกล่องเช่นเดียวกับสมุดบัญชีเงินฝาก แล้วดันลิ้นชักปิด
นาทีนี้เธอกลับตัวไม่ได้แล้ว คงต้องคิดหาทางว่าหลังจากนี้ ควรทำอย่างไรให้เงินงอกเงยขึ้นมาบ้าง
ที่แน่ๆ ไม่ใช่รดน้ำแน่...
“หิวหรือยังครับต้น” คนซึ่งตั้งหน้านำพาหนะของตนแล่นไปตามท้องถนนอย่างระมัดระวัง เหลือบมองบุตรชายผ่านกระจกมองหลัง เวลาโดยสารรถยนต์เขามักให้ลูกชายนั่งตอนหลังบนคาร์ซีท[1]เพื่อความปลอดภัย
ก่อนหน้านี้เขาพาต้นกล้าไปเดินห้างสรรพสินค้าเพื่อซื้อขนมอย่างที่เจ้าตัวอยากรับประทานตามสัญญาที่ช่วยปลูกต้นไม้เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งเด็กชายก็รับประทานไปถึงสองชิ้นเลยทีเดียว ทว่าพอมองฝ่าแพดวงไฟสีแดงข้างหน้าแล้วก็นึกห่วง คงใช้เวลาอีกพักใหญ่กว่าจะถึงบ้านได้รับประทานอาหารเย็น
“ต้นยังไม่หิวครับหรือพ่อหิวแล้ว”
ลูกชายของเขาก็เป็นแบบนี้ ใส่ใจคนรอบข้างจนทำให้สริตยิ้ม
“เปล่าครับ พ่อกลัวต้นหิวก็เลยถาม รถติดขนาดนี้อีกนานแน่กว่าเราจะถึงบ้าน”
“แต่ต้นหิวน้ำ”
“น้ำในเป้หมดแล้วหรือครับ” ตามปกติเขามักให้พี่เลี้ยงของต้นกล้าเตรียมน้ำเปล่าและขนมสำหรับรองท้องเอาไว้เผื่อเด็กชายหิวในเป้ไปโรงเรียนทุกวัน
“ต้นดื่มหมดตั้งแต่ตอนรอพ่อมารับ ตอนนี้หิวอีกแล้ว”
สริตหยิบขวดน้ำจากที่วางด้านหน้าระหว่างเก้าอี้คนขับและคนนั่งข้างส่งให้เด็กชาย ซึ่งรับไปเปิดฝา แล้วดึงหลอดซึ่งอยู่ด้านในอยู่แล้วดูดอึกๆ อย่างกระหาย
วันนี้เขามีถ่ายแบบให้นิตยสารเล่มหนึ่ง ตอนที่ฝ่ายนั้นขอคิวไว้ คำนวนแบบเผื่อเวลาแล้วแน่ใจว่าสามารถมารับลูกชายได้ทันเวลาโรงเรียนเลิก จึงไม่ได้บอกพี่เลี้ยงให้มารับเหมือนทุกครั้ง ตอนไปถึงยังมีเด็กอีกไม่น้อยที่ผู้ปกครองยังมาไม่ถึง ระหว่างรอคงเล่นเพลินเลยกระหายมาก ขนาดแวะร้านขนมแล้วก็ยังกระหายน้ำอยู่นั่น
“พ่อขอโทษนะครับ ไม่คิดว่างานจะติดพันเลยมารับต้นช้า ไม่งั้นคงบอกให้ป้าดาวมารับแทนแล้ว”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ” เด็กชายเอี้ยวตัววางขวดน้ำลงบนเบาะข้างกาย ยิ้มจนตาหยีให้คนเป็นพ่อ “พ่อมาช้าต้นก็ไม่ร้อง ต้นรู้ว่าพ่อทำงานหาเงิน มาซื้อของเล่นให้ต้น”
สริตถึงกับหัวเราะเมื่อถูกลูกชายตีขลุมเข้าข้างตัวเองอย่างเจ้าเล่ห์ เรื่องร้องไห้เขาไม่ห่วงอยู่แล้วเพราะต้นกล้าค่อนข้างโตกว่าเด็กในวัยเดียวกัน ช่างพูด ช่างถาม เลี้ยงง่ายจนพ่อเลี้ยงเดี่ยวอย่างเขาสามารถผ่านช่วงเวลายากลำบากของการเลี้ยงลูกลำพังมาไม่ยาก
“ต้นจำได้หรือเปล่า พ่อเคยบอกต้นว่ายังไง”
ได้ยินแค่นี้เด็กชายก็ทราบทันทีว่าบิดาหมายถึงเรื่องอะไร จึงเอ่ยออกมาทันทีเพราะจำได้ขึ้นใจ
“ถ้าต้นอยากได้อะไร ต้องทำงานแลกครับ”
“ถูกครับ อยากได้อะไรต้องทำงาน แล้วถ้าต้นอยากได้อะไรพ่อจะออกให้ครึ่งหนึ่ง ต้นครึ่งหนึ่งใช่ไหม”
“ครับ”
เขาไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาสอนลูกชายวัยนี้ถูกต้องหรือเปล่า แต่ก็อยากสร้างวินัยให้ต้นกล้าตั้งแต่เด็ก
“วันหลังเราไปห้างที่เราไปกันวันนี้อีกได้ไหมครับพ่อ”
“ทำไมล่ะครับ” สริตถามอย่างสงสัย
ห้างที่ต้นกล้าพูดถึงตั้งอยู่ใจกลางเมือง ซึ่งอยู่ห่างจากโรงเรียนของต้นกล้าและบ้านมากพอสมควร แต่ร้านขนมที่ต้นกล้าอยากรับประทานตั้งอยู่ในห้างนี้ ดังนั้นพอเลิกเรียนเขาจึงขับรถพาลูกมาขึ้นรถไฟฟ้าสถานีที่ใกล้ที่สุด จะได้ลดระยะเวลาในการเดินทางไปห้างในช่วงเวลาเย็นของวันทำงาน
“ต้นอยากเจอพี่สาวอีก”
สริตต้องทำความเข้าใจอยู่ครู่หนึ่งกว่าจะนึกออกว่าพี่สาวที่ต้นกล้าเอ่ยถึงคือใคร “พี่สาวน่ารักๆ ที่ให้ต้นนั่งบนรถไฟฟ้านะเหรอ”
“ใช่ครับ พี่สาวใจดี ต้นอยากเจออีก”
อ๋อ...คนที่ฝากรอยแสบๆ คันๆ เอาไว้บนท่อนแขนของเขานั่นเอง
เมื่อนึกไปถึงเจ้าของใบหน้ารูปไข่กับรอยยิ้มตาหยีจนกลายเป็นสระอิที่ส่งไปให้ลูกชายของเขาอย่างเอ็นดู ริมฝีปากได้รูปก็เผลอยิ้มออกมา น่าแปลกที่เขาสามารถจำเธอได้อย่างชัดเจน
เขาไม่แน่ใจว่าตอนเจ้าหล่อนลงจากรถไฟฟ้าจะรู้ตัวหรือเปล่าว่าตอนหมุนตัวพวงผมยาวรวบเป็นหางม้า สะบัดฟาดท่อนแขนเขาจนเจ็บ เขาแน่ใจว่าหล่อนไม่ได้ตั้งใจ เพราะดูท่าทางแล้วไม่ใช่คนเห็นแก่ตัว เห็นได้จากการสละเก้าอี้ให้ลูกชายเขาอย่างไม่ลังเล แถมจังหวะหนึ่งเขาเห็นเธอลอบยิ้ม พอมองตามเป้าสายตาของหญิงสาวแล้วถึงเห็นว่าเจ้าหล่อนแอบยิ้มเพราะนักเรียนหญิงที่ยืนเกาะเสาอยู่ไม่ไกลกำหมัดยื่นข้อนิ้วเข้าไปจิกหลังผู้โดยสารอีกคนที่ยืนพิงเสาต้นเดียวกันอยู่อย่างแล้งน้ำใจ
ท่าทางเฮี้ยวไม่หยอกแต่ก็ไม่ได้เห็นแก่ตัว
“เราจะได้เจอพี่สาวอีกไหมครับ”
“พ่อเองก็ตอบต้นไม่ได้หรอกครับ”
เด็กชายต้นกล้ามีสีหน้าสลดลงทันทีอย่างน่าสงสาร
เขาไม่อยากทำให้ลูกชายเสียใจ แต่การโกหกก็ไม่ใช่ทางที่เขาเลือกเช่นกัน
เรื่องนี้เขาควรปล่อยให้โชคชะตาเป็นตัวกำหนด...
--------------------------------------------------------------------------------
[1] Carseat หรือเก้าอี้นิรภัยสำหรับเด็ก ติดตั้งในรถยนต์เพื่อความปลอดภัยของเด็กเล็ก
เนตรนภัส
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 7 พ.ย. 2557, 18:28:12 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 7 พ.ย. 2557, 18:28:12 น.
จำนวนการเข้าชม : 2182
<< ตอนที่ 1.1 | ตอนที่ 2.1 >> |
เนตรนภัส 7 พ.ย. 2557, 18:28:34 น.
เนื่องจากจะลงให้ทันในเว็บหลัก วันนี้เลยเอาอีกครึ่งมาต่อให้ค่ะ อ่านกันอย่างมีความสุขนะคะ
เนตรภัสฝากเรื่อง "นภัส" ด้วยจ้า ไปอ่านกันได้ที่นี่ค่ะ http://my.dek-d.com/naitnapas/writer/view.php?id=1253146
คืนนี้จะลงตอนที่ 2 เพิ่มคร้าบบบ
น้องยิ้ม
จำได้น้าาาาา ถ้าเคยคุยหลายครั้งแล้วจะจำได้ แต่ถ้าเจอครั้งนึง นานๆ มาเจออีกครั้งพี่จะจำไม่ได้ เป็นโรคไม่ค่อยจำหน้าคน เหมือนพ่อ ฮ่า
คุณ goldensun
แม่อยากบีบแป้ง แป้งบอกเค้าแบบนั้นอะค่ะ ><
เนื่องจากจะลงให้ทันในเว็บหลัก วันนี้เลยเอาอีกครึ่งมาต่อให้ค่ะ อ่านกันอย่างมีความสุขนะคะ
เนตรภัสฝากเรื่อง "นภัส" ด้วยจ้า ไปอ่านกันได้ที่นี่ค่ะ http://my.dek-d.com/naitnapas/writer/view.php?id=1253146
คืนนี้จะลงตอนที่ 2 เพิ่มคร้าบบบ
น้องยิ้ม
จำได้น้าาาาา ถ้าเคยคุยหลายครั้งแล้วจะจำได้ แต่ถ้าเจอครั้งนึง นานๆ มาเจออีกครั้งพี่จะจำไม่ได้ เป็นโรคไม่ค่อยจำหน้าคน เหมือนพ่อ ฮ่า
คุณ goldensun
แม่อยากบีบแป้ง แป้งบอกเค้าแบบนั้นอะค่ะ ><
yimyum 8 พ.ย. 2557, 11:56:40 น.
ว๊ายน้องต้นน่ารัก >< ชอบเรื่องนี้จังเลย ><
ว๊ายน้องต้นน่ารัก >< ชอบเรื่องนี้จังเลย ><
supayalak 8 พ.ย. 2557, 20:52:35 น.
โอ้วววว น้องต้น กามเทพสุดหล่อของพี่ ต้องลองจ้าต้องลองๆ พี่สาวหน้าตาน่ารักยิ้มเป็นสระอิแบบนี้ติดใจใช่ม้า
โอ้วววว น้องต้น กามเทพสุดหล่อของพี่ ต้องลองจ้าต้องลองๆ พี่สาวหน้าตาน่ารักยิ้มเป็นสระอิแบบนี้ติดใจใช่ม้า
nasa 10 พ.ย. 2557, 00:25:37 น.
อ้าว เป็นคุณพ่อลูกติดจริงๆ แล้วจะได้พาลูกชายไปเจอพี่สุดสวยได้อีกเมื่อไหร่ล่ะ ตอนนี้พี่สาวกำลังเดือดร้อน แม่ใจร้ายจริง
อ้าว เป็นคุณพ่อลูกติดจริงๆ แล้วจะได้พาลูกชายไปเจอพี่สุดสวยได้อีกเมื่อไหร่ล่ะ ตอนนี้พี่สาวกำลังเดือดร้อน แม่ใจร้ายจริง
นักอ่านเหนียวหนึบ 20 พ.ย. 2557, 21:46:26 น.
แอบชอบเค้าอยู่ชะม้ายยยย
แอบชอบเค้าอยู่ชะม้ายยยย