ฝันรัก รอยอดีต
แต่เพียงวันแรกที่ 'นิมมาน' ได้เหยียบย่างเข้าไปที่บ้านทรงไทย เขาก็ได้บังเอิญช่วยชีวิตหญิงสาวซึ่งกำลังจะจมน้ำในสระบัว หากอะไรก็ไม่น่าประหลาดใจเท่าที่เธอเคยมีชีวิตอยู่เมื่อ ๘๐ ปีที่แล้วต่างหาก!
นี่ไม่ใช่ดวงจิตหรือวิญญาณ แต่เขารู้ดีว่าเจ้าหล่อนมีเลือดเนื้อเช่นเดียวกับตน ซ้ำสตรีผู้นี้ยังขอให้เขาตามหาบิดาที่หายสาบสูญไปตั้งแต่ครั้งเกิดเหตุการณ์กบฏบวรเดช
ทว่าเบาะแสเดียวที่นิมมานมีคือความฝัน และนับวันความจริงอันน่าหวาดหวั่นในอดีตก็ทำให้ชายหนุ่มค้นพบว่า...เขานั่นเองที่อาจเคยผูกพัน ผูกกรรมกับเธอ
น้องแช่งชักหักรักขาดสะบั้น
พี่หลับฝันตั้งจิตคิดแก้ไข
น้องหลบลี้หนีรักจากพี่ไป
ขอตามใจสมัครรักมิคลาดคลา
นี่ไม่ใช่ดวงจิตหรือวิญญาณ แต่เขารู้ดีว่าเจ้าหล่อนมีเลือดเนื้อเช่นเดียวกับตน ซ้ำสตรีผู้นี้ยังขอให้เขาตามหาบิดาที่หายสาบสูญไปตั้งแต่ครั้งเกิดเหตุการณ์กบฏบวรเดช
ทว่าเบาะแสเดียวที่นิมมานมีคือความฝัน และนับวันความจริงอันน่าหวาดหวั่นในอดีตก็ทำให้ชายหนุ่มค้นพบว่า...เขานั่นเองที่อาจเคยผูกพัน ผูกกรรมกับเธอ
น้องแช่งชักหักรักขาดสะบั้น
พี่หลับฝันตั้งจิตคิดแก้ไข
น้องหลบลี้หนีรักจากพี่ไป
ขอตามใจสมัครรักมิคลาดคลา
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: บทที่ ๘
๘
นิมมานใช้เวลาช่วงเช้าสะสางงานในส่วนของตน โดยไม่ลืมส่งแผนงานและเอกสารเสนอราคาไปให้เลขานุการของคุณพิทักษ์ เจ้าของบ้านเรือนไทย
"เฮ้ย นนท์ มีงานข้างนอกเหรอ" ชานนที่เพิ่งกลับจากไซต์งานข้างนอกเอ่ยทักขึ้น ขณะสวนกับเพื่อนสนิทยังที่พักบันได
"อ๋อ เออ คุณย่าเป็นไงบ้างวะ ออกจากโรงพยาบาลยัง" เขาถือโอกาสถาม
"ยัง แม่โทรมาบอกว่าบ่ายๆ นี่แหละ รอผลจากหมอก่อน"
"อืม ฉันไปล่ะ" ชายหนุ่มตอบรับสั้นๆ ก่อนรีบเร่งลงบันไดไป
เขาไม่ได้บอกเพื่อนว่าบ่ายนี้ตนมีนัดกับประณีตไปเยี่ยมผู้สูงวัยด้วยกัน และป่านนี้เจ้าหล่อนก็คงจะรอคอยเขาอยู่ที่ห้อง
ถ้าคุณย่าอำไพกำลังจะออกจากโรงพยาบาลบ่ายนี้ เขาก็คงมีเวลาอีกไม่มาก เพราะการจะพาประณีตไปเยี่ยมเยียนท่านถึงบ้านคงไม่พ้นสายตาหลานชายของท่านซึ่งตั้งแง่กับคนของเขาอยู่แล้ว
นิมมานแวะรับหญิงสาวซึ่งแต่งตัวเรียบร้อยด้วยเสื้อยืดแขนสามส่วนและกระโปรงผ้าฝ้าย แลดูอ่อนหวานละมุนตาในสายตาคนมอง ใบหน้าอ่อนเยาว์นั้นแทบไม่ต่างจากผู้หญิงที่เขาเฝ้าฝันถึง วันที่เธอหมุนตัวจนชายกระโปรงพลิ้วสยายต่อหน้าสาวใช้คนสนิทอย่างสดใส ร่าเริง
ทั้งสองลงจากห้องพักมาด้วยกัน การจราจรซึ่งคล่องตัวยามสายทำให้ใช้เวลาไม่นานในการเดินทางจากคอนโดมิเนียมที่พักมายังโรงพยาบาล ประณีตก้าวชิดแทบติดกับร่างสันทัดของชายหนุ่มดังเช่นทุกครั้งที่ย่างเท้าเข้าไปยังสถานที่แปลกใหม่ จวบจนกระทั่งพวกเขาขึ้นมาถึงห้องพักผู้ป่วยชั้นบน
ทว่าภายในห้องพักยามบ่ายวันนี้มีเพียงสาวใช้อยู่เฝ้าไข้ อีกฝ่ายบอกว่าคุณอาชิดชม มารดาของชานนลงไปพบแพทย์ก่อนหน้านี้ไม่นาน ก่อนเสียงแหบแห้งของหญิงชราจะขัดขึ้นมาจากอีกฟากฝั่งกำแพงซึ่งกั้นกลาง
"ใครน่ะแหวว"
"คุณนนท์ค่ะคุณย่า"
นิมมานผงกศีรษะให้ประณีตตามมา เขาพนมมือไหว้ผู้สูงวัยพร้อมรอยยิ้ม แล้วจึงสวมกอดท่านที่อ้าแขนรอในที
"ขอบใจนะตานนท์ อุตส่าห์มาเยี่ยมย่าอีกจริง..."
ประโยคคำพูดมีอันสะดุดอยู่แค่นั้น เมื่อสายตาฝ้าฟางแลเลยไปพบใครอีกคนหนึ่งก้าวช้าผ่านกำแพงกั้นเข้ามา
ผู้หญิงที่อำไพไม่มีวันลืม คนที่นำพาแต่เรื่องเลวร้ายมาสู่เธอและครอบครัวในอดีต ทั้งที่เจ้าหล่อนไม่มีตัวตน แต่กลับช่างมีอิทธิพลต่อความสุขความทุกข์ของคนในบ้านเหลือเกิน
ไม่จริง เป็นไปไม่ได้ที่อีกฝ่ายจะยังมีชีวิตอยู่ แต่ยิ่งเพียรพยายามปฏิเสธภาพคนตรงหน้าเท่าใด ภาพนั้นก็ยิ่งชัดเจน ตอกย้ำว่าเธอไม่ได้ตาฝาดไป เจ้าหล่อนหวนกลับมาทั้งตัวตน มาเพื่อทำลายพวกตนอีกครา
"ไป ออกไป" อำไพตวาดไล่ หากแทบไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมา
นิมมานนิ่วหน้ามองร่างกายสั่นเทิ้มของหญิงชราสลับกับใบหน้าเผือดสีของผู้ถูกไล่ เหตุการณ์กลับกลายเป็นอย่างนี้ได้อย่างไร แล้วทำไมท่านจึงได้ทำท่ารังเกียจ หวาดกลัวคนที่เพิ่งพบหน้ากัน
"คุณย่าครับ นิดเป็นญาติของผมเอง คุณย่ามีเรื่องเข้าใจผิดอะไรหรือเปล่าครับ"
"ไม่ ไม่ผิด นิด ผู้หญิงคนนั้น...ผู้หญิงคนนั้นจริงๆ ไล่มันออกไป ออกไป๊!" อำไพคร่ำครวญก่อนหมดสติ
"ว้าย คุณย่าเป็นอะไรไปคะคุณนนท์" สาวใช้อุทานเมื่อเข้ามาเห็นสตรีสูงวัยเอนพับหมดสติในอ้อมแขนชายหนุ่ม
นิมมานเอื้อมไปกดปุ่มเรียกพยาบาล ก่อนประคองหญิงชรานอนลงกับเตียง เขาก้าวถอยไปเมื่อพยาบาลคนหนึ่งเข้ามาดูอาการ แล้วเจ้าหล่อนก็รีบไปตามแพทย์เจ้าของไข้ที่กำลังขึ้นมาพอดี พร้อมกับมารดาของเพื่อนสนิทตน
"เกิดอะไรขึ้นนนท์" ชิดชมหันมาถามอย่างตื่นตกใจ
ญาติและคนนอกจำต้องถอยไปเมื่อพยาบาลดึงม่านรอบเตียงปิด ชายหนุ่มไม่ทันตอบคำถามนั้น สาวใช้ก็รีบตอบเจ้านายแทน
"หนูกำลังเก็บของอยู่น่ะค่ะ แล้วก็ได้ยินเสียงคุณย่าไล่ผู้หญิงคนนี้" แหววชี้นิ้วไปทางประณีต
ร่างบางขยับชิดนิมมานอย่างหวั่นเกรงสายตาผู้คน เธอไม่ได้ตั้งใจให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้เลย และตกใจไม่น้อยกว่าทุกคน แต่มันก็เกิดขึ้นแล้วโดยที่เธอไม่ทราบสาเหตุเช่นกัน
"ไม่เกี่ยวกับนิดนะครับ เธอไม่ได้ทำอะไรเสียด้วยซ้ำ"
ประณีตหันมองเสี้ยวหน้าของคนข้างกายที่ยืนหยัดปกป้องตนแล้วน้ำตาก็คลอหน่วยขึ้นมา มือหนากุมมือเย็นชืดของเธอไว้พลางบีบกระชับ หญิงสาวสอดประสานนิ้วมือกับเขาอย่างยึดถือเป็นกำลังแรงใจ
สตรีวัยกลางคนสูดหายใจลึก ก่อนเธอจะผงกศีรษะว่ารับฟัง จากผลการตรวจที่แพทย์เพิ่งแจ้งให้ทราบทำให้เธอรู้ว่าผู้เป็นแม่สามีมีอาการของโรคหัวใจอยู่แล้วนั่นเอง
"นนท์กลับไปก่อนเถอะ ยังไงอาจะให้โอมโทรบอก"
นิมมานจำต้องรับคำ ขืนอยู่ต่อก็รังแต่จะสร้างความไม่สบายใจแก่ทั้งสองฝ่าย เขาไหว้ลามารดาของเพื่อน ก่อนจะจูงมือประณีตไปจากที่นั้น
พวกเขาก้าวช้าไปตามระเบียงทางเดินไปสู่ลิฟต์ แต่แล้วชายหนุ่มก็ชะงักฝีเท้าหลังแลเลยเห็นจันทร์เจ้าเพิ่งออกจากลิฟต์มา เธอเห็นเขาแล้วเช่นกันจึงหยุดยืนนิ่ง สีหน้าเจ้าหล่อนซีดเผือดเมื่อเห็นว่าเขามากับใคร
นิมมานหลุบสายตาลง เขาไม่มีคำแก้ตัวให้เธอในตอนนี้ ก่อนจะจูงมือประณีตเดินผ่านคนรักไป
.........................
หลังจากกลับไปส่งประณีตที่คอนโดมิเนียม บ่ายวันนั้นชายหนุ่มก็ไม่ได้กลับเข้าบริษัทอีก มีเพียงความเงียบระหว่างคนสองคนที่จมจ่อมกับความคิดตน
ประณีตเหลือบมองผู้ที่นั่งไตร่ตรองบางอย่างเงียบๆ ยังโต๊ะอาหารตัวเล็ก ขณะที่เธอนั่งห่างออกมายังเก้าอี้ยาวตัวใหญ่ ทั้งที่เขาแสดงออกปกป้องเธอต่อหน้าผู้อื่นอย่างนั้น หากลึกลงไปแล้วนิมมานก็คงคลางแคลงใจในตัวเธอเช่นกัน ไม่แปลกถ้าเขาจะคิดหรือรู้สึกอย่างนั้น ในเมื่อตัวเธอเองยังหวาดหวั่นต่อสิ่งที่เกิดขึ้นกับตน
แต่ความรู้สึกเจ็บเสียดในหัวอกยามนี้หมายความว่าอะไร...
หญิงสาวขยับลุกจะเข้าห้องของตน ถ้าไม่มีเสียงเรียกเคาะประตูรัวสลับกับเสียงออดดังปวดประสาท เธอเผลอสบตากับนิมมานอย่างตื่นตระหนก
"เข้าห้องก่อนเถอะครับ"
ประณีตอยากปฏิเสธ แต่มือหนาก็รุนหลังเธอเข้าไปในห้องนอนพร้อมทั้งดึงประตูปิดให้
นิมมานถอนหายใจอย่างนึกรู้ว่าพายุที่โหมกระหน่ำอยู่หน้าห้องตนนี้คือใคร ก่อนเขาจะก้าวยาวไปเปิดประตูให้ร่างสูงของชานนย่างสามขุมเข้ามา
"คุณย่าเป็นไงบ้าง"
"ยังกล้าถามอีกเหรอ ย่าเกือบตายเพราะพาผู้หญิงนั่นไป ทำไมวะนนท์ พาไปทำไม"
"ไอ้โอม เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับนิด มันแค่บังเอิญ" เขายืนยันคำเดิมหนักแน่น
"บังเอิญเหรอ แกไปดูย่าตอนนี้สิ ย่าเอาแต่เพ้อไล่ญาติแก"
เสียงทุ่มเถียงกันไม่อาจรอดพ้นหูของคนที่ถูกผลักไว้อีกทางได้ เขาไม่มีทางปกป้องเธอจากความเจ็บปวดได้ เมื่อบาดแผลนั้นอยู่ในใจเธอเช่นกัน
"ดิฉันไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่ต้นเหตุคือดิฉัน ฉันเสียใจค่ะ"
เสียงเอ่ยแผ่วเบาเรียกสายตาสองคู่ให้หันมองประตูห้องที่เปิดออกด้วยอารมณ์ความรู้สึกแตกต่างกัน
"นิด" นิมมานอุทาน
ทว่าชานนกลับสาวเท้าเข้าไปกระชากแขนเจ้าหล่อนอย่างโกรธจัด และยิ่งเบิกตาด้วยแรงโทสะขึ้นอีกเมื่อเธอไม่แม้แต่บิดพลิ้วหนี กลับยืนสงบนิ่ง เชิดคางอย่างอวดดี
"เธอทำอะไรฮะ ย่าฉันต้องป่วยหนักกว่าเดิมเพราะเธอ"
"ไอ้โอม ปล่อยนิด" นิมมานกดเสียงหนักพร้อมกับบีบท่อนแขนเพื่อนอีกทอดหนึ่ง
"แกจะบอกว่าไม่เกี่ยวอีกเหรอ ในเมื่อญาติแกยอมรับเอง" ชานนเอ่ยเสียงกร้าว "ทำไมวะ เมื่อไรแกจะตาสว่างสักที ตั้งแต่ผู้หญิงคนนี้มาก็มีแต่เรื่อง..."
นิมมานผลักเพื่อนออกเต็มแรง ใช่ ประณีตมาพร้อมกับเรื่องที่น่าเห็นใจเป็นที่สุด และเจ้าหล่อนไม่สมควรต้องมารับรู้เรื่องร้ายคำร้ายของใครให้เป็นทุกข์ยิ่งขึ้นไปอีก
"ผลักกู"
ชานนมองเพื่อนสนิทซึ่งยืนขวางหญิงสาวตัวต้นเรื่องอย่างโกรธแค้น ทั้งยังเจ็บปวดแทนจันทร์เจ้าหากเธอได้มาเห็นภาพนี้ด้วยตา
"แกกลับไปเหอะไอ้โอม จนกว่าแกจะมีสติและเลิกพาลโทษคนอื่นแบบนี้"
ชานนขบกรามพลางกำมือแน่น เขากวาดตามองเพื่อนหยันๆ ก่อนเค้นเสียงเอ่ยลอดไรฟัน
"แกนั่นแหละที่ไม่มีสติ แกไม่ใช่เพื่อนที่ฉันเคยรู้จักอีกต่อไป"
นิมมานเบือนหน้าหนีไปอีกทางอย่างไม่อยากยอมรับ บางทีพวกเขาก็ต่างมีเหตุผลของตนที่ใช้ตัดสินใจ และตอนนี้เหตุผลเหล่านั้นก็อาจเปลี่ยนไปจากเดิม
เสียงประตูปิดดังบ่งบอกว่าพายุลูกใหญ่จากไปแล้ว เขาหันมองร่างบางข้างกายที่ยืนสงบนิ่งเผชิญพายุได้อย่างน่าทึ่ง ทว่าเธอไม่อาจเก็บซ่อนความอ่อนแอที่ฉายชัดผ่านด้วงตาแดงระเรื่อ
นิมมานอยากรวบตัวเธอมากอดไว้ เธอไม่จำเป็นต้องเข้มแข็ง ขอแค่แสดงความรู้สึกจากใจให้ได้ระบายออกมา หากก็ทำได้แค่เพียงยกมือแตะต้นแขนเธอแผ่วเบา
"มันเป็นแค่เรื่องบังเอิญน่ะนิด" เขาย้ำความเชื่อของตน
"คุณเชื่ออย่างนั้นจริงหรือคะ หรือคุณเพียรบอกตัวเองให้เชื่อเช่นนั้น"
"ผมจะทำอย่างนั้นทำไม"
"เผื่อว่าคุณจะรู้ตัวว่าคุณหลงทำความรู้จักคนวิปลาศอย่างดิฉัน คุณจึงต้องโกหกตัวเอง ทั้งที่ฉันคือสาเหตุให้คุณย่าของเพื่อนคุณล้มป่วย คุณเห็นกับตา ได้ยินกับหู ไม่ใช่หรือ" ประณีตย้อนถามเสียงพร่า
ดวงตาแดงก่ำเริ่มมีน้ำรื้นคลอกลบตา และเมื่อเขาเลื่อนมือจากต้นแขนเธอมาซับน้ำตา มันก็กลับยิ่งพรั่งพรูด้วยความสับสน ทุกข์ใจ
"ผมรู้ ผมเห็น แต่ถ้านิดจะโทษตัวเอง เรามาคิดกันไหมว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้ท่าน...หวาดเกรงคุณ"
หญิงสาวช้อนตามองอย่างคาดไม่ถึง เขามีมุมความคิดแก้ไขปัญหาได้อย่างน่าอัศจรรย์ โดยที่คนอย่างเธอไม่อาจคาดคิดได้
"ผมกำลังสงสัยบางอย่าง หวังว่าที่คิดไว้จะเป็นจริง นิด โชคชะตาช่างเล่นตลกกับชีวิตคน คุณเชื่อคำพูดนี้ไหม ผมไม่เคยเชื่อเลยกระทั่งพบคุณ"
เธอตามไม่ทันว่าเขาหมายความถึงสิ่งใด หากดวงตาโชนแสงคู่ตรงข้ามเปรียบเสมือนดวงไฟเล็กๆ ที่คอยนำทางและมอบความอบอุ่นแก่เธอ
"คุณสงสัยเรื่องใดคะ"
นิมมานเหม่อมองไปไกล เขาไม่อาจให้คำตอบแก่เธอในตอนนี้ เมื่อเรื่องที่ตนกำลังคิดพิจารณาอาจเกี่ยวพันไปถึงผู้ที่หญิงสาวไม่อยากให้เขารื้อฟื้นขึ้นมามากที่สุด
"ผมแค่คิดว่าบางทีคุณย่าอาจเคยรู้จักคุณ ผมไม่แน่ใจอายุของท่านนัก แต่มันก็เป็นไปได้ไม่ใช่หรือ"
ประณีตคิดตาม เธอนึกถึงป้ายชื่อและนามสกุลหน้าห้องพักของท่าน ทั้งชื่อและนามสกุลนั้นไม่คุ้นในความทรงจำ แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เสียทีเดียว
เธอขอให้ความคิดของเขาถูกต้อง เพื่อที่ตนจะได้รู้ว่าเคยก่อกรรมใดต่อใครไว้ในอดีต หญิงชราผู้นั้นจึงได้หวาดกลัวและชิงชังเธอ
...........................
ประณีตปิดหนังสือโคลงกลอนในมือเมื่อเห็นร่างอ้วนท้วนสมบูรณ์ก้าวเร็วตรงมาทางศาลาหลังบ้านที่เธอนั่งพักผ่อนอยู่ ในมือศรีชุมกำบางสิ่งซึ่งทำให้หัวใจเธอโลดแรง
"จดหมายจากสิงคโปร์ค่ะ" สุ้มเสียงของศรีชุมตื่นเต้นไม่น้อยไปกว่ากัน
หญิงสาวเปิดซองกระดาษออกดู ครั้งนี้ใช่แต่เพียงกระดาษจดหมาย หากในซองเดียวกันยังมีบัตรอวยพรเนื่องในเทศกาลขึ้นปีใหม่เป็นภาษาอังกฤษอีกด้วย
ประณีตมองภาพถ่ายขนาดเท่าโปสการ์ดรูปตึกรามบ้านช่องบ้านเมืองเขา ก่อนจะพลิกดูข้อความอวยพรปีใหม่สั้นๆ จากเพื่อนสนิท เธออมยิ้มกับตัวเองพร้อมกับน้ำตาซึ่งรื้นขึ้นมาด้วยความคิดถึง
อารีไปศึกษาต่อที่สิงคโปร์นานกว่าขวบปีแล้ว ขณะที่เธอไม่ได้ศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา หากอยู่ดูแลบิดาและทุกเรื่องภายในบ้านเท่านั้น
"คุณอารีว่าอย่างไรคะ จะกลับมาเมื่อไร"
"โธ่ ศรีชุม อารีเพิ่งไปไม่ถึงปีเลยนะจ๊ะ" เธอท้วงอย่างเห็นขัน
หญิงสาวสอดรูปถ่ายพร้อมคำอวยพรใส่ซองดังเดิม ก่อนจะหยิบกระดาษจดหมายฉบับที่สี่จากอารีขึ้นมา
'นิดเพื่อนรัก
ฉันคิดถึงนิดเหลือเกิน ยังคงยืนยันคำเดิมว่าอยากให้นิดมาอยู่ด้วยกันกับฉันเสียที่นี่ แต่เหตุผลของนิดนั้นยิ่งใหญ่เกินกว่าที่ฉันจะดื้อรั้นเอาแต่ใจได้ ฉันลองนึกย้อนดูแล้ว ไม่เคยมีสักครั้งที่ฉันดื้อกับนิดสำเร็จเลย
ตอนนี้อากาศที่สิงคโปร์กำลังเย็นสบาย ปีใหม่ฝรั่งที่ผ่านมานี้นิดคงไม่รู้ว่ามีเรื่องน่ายินดีเกิดขึ้นกับฉัน คุณพี่ชายท่านยุรยาตรลงมาเยี่ยมน้องถึงที่นี่ พี่ท่านมารอรับถึงหน้ามหาวิทยาลัย ฉันจึงถือโอกาสควงพี่เอื้อต่อหน้านายลีที่ตามกวนใจ ได้ผลทีเดียวแหละนิด นับจากนั้นหมอนั่นก็เอาแต่หลบหน้าฉันเทียว
ที่พระนครเป็นอย่างไรบ้าง หมอกลงจัด อากาศไม่สู้ดีหรืออย่างไร คุณพี่ชายของฉันจึงมีสีหน้าท่าทางไม่ใคร่สบาย ฉันถามว่าเป็นอะไร เขาบอกว่าเป็นไข้ใจ เธออย่าเพิ่งคลื่นเหียนเสียก่อนนะนิด เดี๋ยวจะอ่านหนังสือของฉันไม่จบ พี่เอื้อบอกฉันว่าเธอมีคนรักแล้วหรือนิด ผู้ชายคนนั้นเป็นใคร ฉันซักเท่าไรพี่เอื้อก็ไม่ตอบ บอกให้มาถามเธอเอา
นิด เธอจะมีคนรักตอนนี้ไม่ได้นะ ตอบฉันทีว่าคุณพี่ชายของฉันแค่อำเล่น เขารู้ว่าฉันต้องดิ้นด้วยความเป็นห่วงเธอ นิด ฉันไม่อยากเห็นผู้หญิงเราอยู่ใต้อาณัติใคร นอกจากคุณหลวงพ่อของเธอแล้ว ฉันอยากให้นิดได้เห็นว่าโลกภายนอกกว้างใหญ่กว่าแค่อาณาเขตรั้วบ้านเพียงใด
อย่าลืมสัญญาของเรานะนิด เราจะเป็นเพื่อนทุกข์เพื่อนยากกันตลอดไป เราจะไม่มีความลับต่อกันอย่างที่เป็นตลอดมา
รักและคิดถึง
อารี'
ประณีตพับเก็บจดหมายใส่ซองดังเดิม หากใบหน้างดงามกลับปรากฏร่องรอยของความเคลือบแคลงใจ ทำไมผู้เป็นพี่ชายของเพื่อนจึงบอกอารีเช่นนั้น ทั้งที่เธอไม่เคยพบปะชายคนใด บุรุษผู้เดียวที่ตนเคยใกล้ชิดและให้ความไว้วางใจก็คือเขา ทว่าเวลาที่ดอกรักดอกนั้นผลิบานในใจก็ผ่านไปเนิ่นนานนับปี เมื่อไร้ซึ่งคนกลางอย่างอารีแล้ว ก็ไม่มีเหตุอันใดต้องพบหน้ากัน
แล้วทำไมเขาจึงต้องกล่าวร้ายต่อเธอเช่นนั้น ใจหนึ่งก็ขุ่นเคือง หากอีกใจก็ร้อนรุ่มอย่างกลัวเกรงว่าชายหนุ่มจะเข้าใจผิด ประณีตจึงเผลอถอนหายใจยาว
"มีอะไรหรือคะคุณนิด หน้ายุ่งไม่งามเลยค่ะ" ศรีชุมถามอย่างห่วงใย
"เรื่องไม่เป็นเรื่องน่ะซี ไม่สลักสำคัญหรอกศรีชุม"
หญิงสาวสอดซองจดหมายคั่นหน้าหนังสือ ก่อนเสียงรถยนต์ซึ่งดังมาจากหน้าบ้านจะส่งผลให้ร่างบางขยับลุกจากศาลา แต่แล้วฝีเท้าเจ้าหล่อนก็ชะงัก เมื่อเห็นว่ามีแขกเป็นนายทหารตามบิดาของตนมาอีกสองคน
"สงสัยจะมาหารือกันเรื่องรับเสด็จฯ ในงานฉลองพระนครครบรอบหนึ่งร้อยห้าสิบปีมังคะ ข้างนอกเขาโจษกันว่าจะมีงานใหญ่โต ในหลวงจะเสด็จฯ เปิดสะพานพุทธ มีมหรสพเจ็ดวันเจ็ดคืนเทียวนะคะคุณนิด"
ถ้าเป็นดังที่ศรีชุมได้ยินมาก็นับเป็นเรื่องน่ายินดี หากเธอสังหรณ์ใจว่าอาจไม่เป็นเช่นนั้น ท่าทีเคร่งขรึมของคุณพ่อผิดไปจากเดิม แม้เธอจะเพียรพยายามเอาใจท่านเพียงไร อีกทั้งผู้คนที่ไปมาหาสู่ก็ล้วนไม่คุ้นหน้า หรือบางวันหยุดที่ท่านมักออกไปข้างนอกก็มี
ขอให้ลางสังหรณ์ในทางร้ายของเธอเป็นเพียงความหวาดระแวงไปเองด้วยเถิด
.................
นิมมานเคาะด้ามปากกาลงบนแฟ้มงานพลาสติกขณะคิดทบทวนความฝันเมื่อคืน มันเป็นความฝันที่เต็มไปด้วยความอึดอัดคับข้องใจ ไม่ได้ช่วยคลายความสงสัย หากยังเพิ่มปริศนาต่างๆ เข้ามาอีก
น่าแปลกที่ในความฝันเขาเข้าใจความรู้สึกของประณีตได้อย่างเด่นชัด รับรู้แม้กระทั่งความหวาดระแวงของเธอ ซึ่งเขาก็รู้สึกไม่ต่างกัน
คุณหลวงชาญยุทธกิจกำลังจะทำอะไร
พลันคำบอกกล่าวของศรีชุมก็ย้อนกลับเข้ามาในความทรงจำ มีถ้อยคำที่เป็นกุญแจสำคัญอยู่ในนั้น ชายหนุ่มรีบหมุนเก้าอี้หันไปหาคอมพิวเตอร์ ก่อนจะพิมพ์คำที่ตนติดใจลงในช่องค้นหาของเว็บไซต์ชื่อดัง
'งานฉลองพระนคร ครบรอบ ๑๕๐ ปี'
ทันทีที่กดค้นหา ข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องพร้อมกับรูปภาพในอดีตก็ปรากฏขึ้นมา เขาเลือกอ่านหัวข้อที่น่าสนใจ แต่ก็พบว่าเป็นเพียงงานรื่นเริงธรรมดา ข้อมูลที่ได้รับรู้เพิ่มเติมจากความฝันคือเขากำลังฝันถึงหญิงสาวในวัยย่างยี่สิบปี ตรงกับปีพุทธศักราช ๒๔๗๕ นั่นเอง
สังหรณ์ของประณีตช่างแม่นยำ เพราะไม่กี่เดือนหลังจากนั้นก็เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของประเทศตามที่ประวัติศาสตร์บอกเล่ามา
นิมมานลูบคางอย่างครุ่นคิด ทว่าเสียงโทรศัพท์บนโต๊ะทำงานก็ขัดความคิดชั่วขณะ เขาเอื้อมมือไปรับขณะที่อีกมือก็เลื่อนลูกกลิ้งเมาส์อ่านข้อความเรื่อยไป
"พี่นนท์ ลืมว่าบ่ายนี้มีประชุมหรือเปล่าคะ" เสียงพนักงานรุ่นน้องถามกลั้วหัวเราะมาตามสาย
ชายหนุ่มรีบดูนาฬิกาข้อมือ แล้วจึงอุทานอย่างนึกขึ้นได้
"เฮ้ย ลืมเลย พี่จะลงไปเดี๋ยวนี้ล่ะ"
เขาคว้าข้าวของจำเป็น ก่อนจะก้าวเร็วลงไปยังห้องประชุมชั้นสอง พนักงานที่เกี่ยวข้องรอพร้อมอยู่ภายใน ทุกคนพากันยิ้มขัน บ้างเอ่ยล้อเขาอย่างสนุกสนาน ยกเว้นหุ้นส่วนอีกคนหนึ่งที่ปั้นหน้านิ่งพลางเหลือบตามอง
การประชุมบ่ายวันนั้นว่าด้วยการแบ่งงานตามความถนัดของแต่ละคน นิมมานมีงานที่ต้องรับผิดชอบเพิ่มขึ้นในมืออีกชิ้น นอกเหนือจากการออกแบบก่อสร้างสปาหรูกลางใจเมือง รีโนเวตบูติคโฮเต็ล และซ่อมปรับปรุงบ้านเรือนไทยของคุณพิทักษ์
เมื่อเจ้านายและลูกน้องต่างกลมเกลียวเสมือนเพื่อน บรรยากาศภายในที่ประชุมจึงผ่อนคลายเช่นทุกครั้ง เมื่อวงประชุมเสร็จสิ้นลง ผู้ที่นั่งรอบโต๊ะต่างก็ทยอยลุกออกไป เหลือเพียงเขากับชานนเป็นสองคนสุดท้าย นิมมานกำลังจะเอ่ยถามอาการของคุณย่าอำไพ แต่แล้วหลานชายของท่านก็รีบเก็บรวบรวมข้าวของส่วนตัวออกไป
"เฮ้ย โอม" ชายหนุ่มตามมาเรียกเพื่อนสนิทได้ทันยังที่พักบันได
ชานนชะลอฝีเท้าพลางถอนใจหงุดหงิด แต่ยังไม่ทันที่เพื่อนทั้งสองจะพูดจากัน เสียงโทรศัพท์ของนิมมานก็ดังขึ้นเสียก่อน รูปภาพผู้หญิงที่ปรากฏบนหน้าจอโทรศัพท์เพื่อนนั้นทำให้ชานนเลือกจะก้าวขึ้นบันไดต่อไป
"ครับเอ๋ย"
"เย็นนี้นนท์ว่างไหมคะ" เสียงหวานเอ่ยถามแผ่วเบามาตามสาย
"เย็นนี้หรือครับ"
เขาไพล่นึกเป็นห่วงประณีตขึ้นมา ทว่าเสียงตัดพ้อมาตามสายก็ทำให้ไม่อาจตัดรอนได้ลง
"ไม่เป็นไรค่ะ ถ้านนท์ว่างเมื่อไรค่อยนัดเอ๋ยก็ได้ เอ๋ยมีธุระสำคัญจริงๆ ไม่งั้นคงไม่รบกวนนนท์"
"เดี๋ยวเอ๋ย" นิมมานชิงเอ่ยขึ้นก่อนที่คนรักจะวางสาย "ก็ได้ครับ เย็นนี้เจอกันร้านโปรดของเอ๋ยดีไหม"
"ค่ะ ขอบคุณนะคะ"
นิมมานนิ่วหน้ากับคำขอบคุณนั้น ทว่าจันทร์เจ้าก็ตัดสายไปก่อนที่เขาจะทันทักท้วง
ชายหนุ่มหารู้ไม่ว่าเพื่อนที่ล่วงหน้าขึ้นไปก่อนยังไม่ได้กลับเข้าห้องทำงานเสียทีเดียว ชานนเม้มปากข่มความเจ็บปวดใจ ทั้งที่เขาพยายามติดต่อถึงเธอนับแต่ทราบจากมารดาว่าจันทร์เจ้ายังคงไปเยี่ยมเยียนคุณย่าอยู่เสมอ แต่หญิงสาวซึ่งไม่เคยรับโทรศัพท์ของเขากลับโทรหาคนรักของเธอ
ท่ามกลางเมฆหมอกของปัญหา ชานนรู้สึกเหมือนตนไม่อาจเข้าถึงใจของเพื่อนรักทั้งสองคน เขารู้สึกแปลกแยกราวกับเป็นคนนอก...อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นสักครั้งระหว่างมิตรภาพของพวกเขาสามคน
......................
เพื่อนกันชักจะมองหน้าไม่ติดซะแล้ว
และอะไรคือสาเหตุให้คุณย่ากลัวนิด
ฝากติดตามด้วยนะคะ
นิมมานใช้เวลาช่วงเช้าสะสางงานในส่วนของตน โดยไม่ลืมส่งแผนงานและเอกสารเสนอราคาไปให้เลขานุการของคุณพิทักษ์ เจ้าของบ้านเรือนไทย
"เฮ้ย นนท์ มีงานข้างนอกเหรอ" ชานนที่เพิ่งกลับจากไซต์งานข้างนอกเอ่ยทักขึ้น ขณะสวนกับเพื่อนสนิทยังที่พักบันได
"อ๋อ เออ คุณย่าเป็นไงบ้างวะ ออกจากโรงพยาบาลยัง" เขาถือโอกาสถาม
"ยัง แม่โทรมาบอกว่าบ่ายๆ นี่แหละ รอผลจากหมอก่อน"
"อืม ฉันไปล่ะ" ชายหนุ่มตอบรับสั้นๆ ก่อนรีบเร่งลงบันไดไป
เขาไม่ได้บอกเพื่อนว่าบ่ายนี้ตนมีนัดกับประณีตไปเยี่ยมผู้สูงวัยด้วยกัน และป่านนี้เจ้าหล่อนก็คงจะรอคอยเขาอยู่ที่ห้อง
ถ้าคุณย่าอำไพกำลังจะออกจากโรงพยาบาลบ่ายนี้ เขาก็คงมีเวลาอีกไม่มาก เพราะการจะพาประณีตไปเยี่ยมเยียนท่านถึงบ้านคงไม่พ้นสายตาหลานชายของท่านซึ่งตั้งแง่กับคนของเขาอยู่แล้ว
นิมมานแวะรับหญิงสาวซึ่งแต่งตัวเรียบร้อยด้วยเสื้อยืดแขนสามส่วนและกระโปรงผ้าฝ้าย แลดูอ่อนหวานละมุนตาในสายตาคนมอง ใบหน้าอ่อนเยาว์นั้นแทบไม่ต่างจากผู้หญิงที่เขาเฝ้าฝันถึง วันที่เธอหมุนตัวจนชายกระโปรงพลิ้วสยายต่อหน้าสาวใช้คนสนิทอย่างสดใส ร่าเริง
ทั้งสองลงจากห้องพักมาด้วยกัน การจราจรซึ่งคล่องตัวยามสายทำให้ใช้เวลาไม่นานในการเดินทางจากคอนโดมิเนียมที่พักมายังโรงพยาบาล ประณีตก้าวชิดแทบติดกับร่างสันทัดของชายหนุ่มดังเช่นทุกครั้งที่ย่างเท้าเข้าไปยังสถานที่แปลกใหม่ จวบจนกระทั่งพวกเขาขึ้นมาถึงห้องพักผู้ป่วยชั้นบน
ทว่าภายในห้องพักยามบ่ายวันนี้มีเพียงสาวใช้อยู่เฝ้าไข้ อีกฝ่ายบอกว่าคุณอาชิดชม มารดาของชานนลงไปพบแพทย์ก่อนหน้านี้ไม่นาน ก่อนเสียงแหบแห้งของหญิงชราจะขัดขึ้นมาจากอีกฟากฝั่งกำแพงซึ่งกั้นกลาง
"ใครน่ะแหวว"
"คุณนนท์ค่ะคุณย่า"
นิมมานผงกศีรษะให้ประณีตตามมา เขาพนมมือไหว้ผู้สูงวัยพร้อมรอยยิ้ม แล้วจึงสวมกอดท่านที่อ้าแขนรอในที
"ขอบใจนะตานนท์ อุตส่าห์มาเยี่ยมย่าอีกจริง..."
ประโยคคำพูดมีอันสะดุดอยู่แค่นั้น เมื่อสายตาฝ้าฟางแลเลยไปพบใครอีกคนหนึ่งก้าวช้าผ่านกำแพงกั้นเข้ามา
ผู้หญิงที่อำไพไม่มีวันลืม คนที่นำพาแต่เรื่องเลวร้ายมาสู่เธอและครอบครัวในอดีต ทั้งที่เจ้าหล่อนไม่มีตัวตน แต่กลับช่างมีอิทธิพลต่อความสุขความทุกข์ของคนในบ้านเหลือเกิน
ไม่จริง เป็นไปไม่ได้ที่อีกฝ่ายจะยังมีชีวิตอยู่ แต่ยิ่งเพียรพยายามปฏิเสธภาพคนตรงหน้าเท่าใด ภาพนั้นก็ยิ่งชัดเจน ตอกย้ำว่าเธอไม่ได้ตาฝาดไป เจ้าหล่อนหวนกลับมาทั้งตัวตน มาเพื่อทำลายพวกตนอีกครา
"ไป ออกไป" อำไพตวาดไล่ หากแทบไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมา
นิมมานนิ่วหน้ามองร่างกายสั่นเทิ้มของหญิงชราสลับกับใบหน้าเผือดสีของผู้ถูกไล่ เหตุการณ์กลับกลายเป็นอย่างนี้ได้อย่างไร แล้วทำไมท่านจึงได้ทำท่ารังเกียจ หวาดกลัวคนที่เพิ่งพบหน้ากัน
"คุณย่าครับ นิดเป็นญาติของผมเอง คุณย่ามีเรื่องเข้าใจผิดอะไรหรือเปล่าครับ"
"ไม่ ไม่ผิด นิด ผู้หญิงคนนั้น...ผู้หญิงคนนั้นจริงๆ ไล่มันออกไป ออกไป๊!" อำไพคร่ำครวญก่อนหมดสติ
"ว้าย คุณย่าเป็นอะไรไปคะคุณนนท์" สาวใช้อุทานเมื่อเข้ามาเห็นสตรีสูงวัยเอนพับหมดสติในอ้อมแขนชายหนุ่ม
นิมมานเอื้อมไปกดปุ่มเรียกพยาบาล ก่อนประคองหญิงชรานอนลงกับเตียง เขาก้าวถอยไปเมื่อพยาบาลคนหนึ่งเข้ามาดูอาการ แล้วเจ้าหล่อนก็รีบไปตามแพทย์เจ้าของไข้ที่กำลังขึ้นมาพอดี พร้อมกับมารดาของเพื่อนสนิทตน
"เกิดอะไรขึ้นนนท์" ชิดชมหันมาถามอย่างตื่นตกใจ
ญาติและคนนอกจำต้องถอยไปเมื่อพยาบาลดึงม่านรอบเตียงปิด ชายหนุ่มไม่ทันตอบคำถามนั้น สาวใช้ก็รีบตอบเจ้านายแทน
"หนูกำลังเก็บของอยู่น่ะค่ะ แล้วก็ได้ยินเสียงคุณย่าไล่ผู้หญิงคนนี้" แหววชี้นิ้วไปทางประณีต
ร่างบางขยับชิดนิมมานอย่างหวั่นเกรงสายตาผู้คน เธอไม่ได้ตั้งใจให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้เลย และตกใจไม่น้อยกว่าทุกคน แต่มันก็เกิดขึ้นแล้วโดยที่เธอไม่ทราบสาเหตุเช่นกัน
"ไม่เกี่ยวกับนิดนะครับ เธอไม่ได้ทำอะไรเสียด้วยซ้ำ"
ประณีตหันมองเสี้ยวหน้าของคนข้างกายที่ยืนหยัดปกป้องตนแล้วน้ำตาก็คลอหน่วยขึ้นมา มือหนากุมมือเย็นชืดของเธอไว้พลางบีบกระชับ หญิงสาวสอดประสานนิ้วมือกับเขาอย่างยึดถือเป็นกำลังแรงใจ
สตรีวัยกลางคนสูดหายใจลึก ก่อนเธอจะผงกศีรษะว่ารับฟัง จากผลการตรวจที่แพทย์เพิ่งแจ้งให้ทราบทำให้เธอรู้ว่าผู้เป็นแม่สามีมีอาการของโรคหัวใจอยู่แล้วนั่นเอง
"นนท์กลับไปก่อนเถอะ ยังไงอาจะให้โอมโทรบอก"
นิมมานจำต้องรับคำ ขืนอยู่ต่อก็รังแต่จะสร้างความไม่สบายใจแก่ทั้งสองฝ่าย เขาไหว้ลามารดาของเพื่อน ก่อนจะจูงมือประณีตไปจากที่นั้น
พวกเขาก้าวช้าไปตามระเบียงทางเดินไปสู่ลิฟต์ แต่แล้วชายหนุ่มก็ชะงักฝีเท้าหลังแลเลยเห็นจันทร์เจ้าเพิ่งออกจากลิฟต์มา เธอเห็นเขาแล้วเช่นกันจึงหยุดยืนนิ่ง สีหน้าเจ้าหล่อนซีดเผือดเมื่อเห็นว่าเขามากับใคร
นิมมานหลุบสายตาลง เขาไม่มีคำแก้ตัวให้เธอในตอนนี้ ก่อนจะจูงมือประณีตเดินผ่านคนรักไป
.........................
หลังจากกลับไปส่งประณีตที่คอนโดมิเนียม บ่ายวันนั้นชายหนุ่มก็ไม่ได้กลับเข้าบริษัทอีก มีเพียงความเงียบระหว่างคนสองคนที่จมจ่อมกับความคิดตน
ประณีตเหลือบมองผู้ที่นั่งไตร่ตรองบางอย่างเงียบๆ ยังโต๊ะอาหารตัวเล็ก ขณะที่เธอนั่งห่างออกมายังเก้าอี้ยาวตัวใหญ่ ทั้งที่เขาแสดงออกปกป้องเธอต่อหน้าผู้อื่นอย่างนั้น หากลึกลงไปแล้วนิมมานก็คงคลางแคลงใจในตัวเธอเช่นกัน ไม่แปลกถ้าเขาจะคิดหรือรู้สึกอย่างนั้น ในเมื่อตัวเธอเองยังหวาดหวั่นต่อสิ่งที่เกิดขึ้นกับตน
แต่ความรู้สึกเจ็บเสียดในหัวอกยามนี้หมายความว่าอะไร...
หญิงสาวขยับลุกจะเข้าห้องของตน ถ้าไม่มีเสียงเรียกเคาะประตูรัวสลับกับเสียงออดดังปวดประสาท เธอเผลอสบตากับนิมมานอย่างตื่นตระหนก
"เข้าห้องก่อนเถอะครับ"
ประณีตอยากปฏิเสธ แต่มือหนาก็รุนหลังเธอเข้าไปในห้องนอนพร้อมทั้งดึงประตูปิดให้
นิมมานถอนหายใจอย่างนึกรู้ว่าพายุที่โหมกระหน่ำอยู่หน้าห้องตนนี้คือใคร ก่อนเขาจะก้าวยาวไปเปิดประตูให้ร่างสูงของชานนย่างสามขุมเข้ามา
"คุณย่าเป็นไงบ้าง"
"ยังกล้าถามอีกเหรอ ย่าเกือบตายเพราะพาผู้หญิงนั่นไป ทำไมวะนนท์ พาไปทำไม"
"ไอ้โอม เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับนิด มันแค่บังเอิญ" เขายืนยันคำเดิมหนักแน่น
"บังเอิญเหรอ แกไปดูย่าตอนนี้สิ ย่าเอาแต่เพ้อไล่ญาติแก"
เสียงทุ่มเถียงกันไม่อาจรอดพ้นหูของคนที่ถูกผลักไว้อีกทางได้ เขาไม่มีทางปกป้องเธอจากความเจ็บปวดได้ เมื่อบาดแผลนั้นอยู่ในใจเธอเช่นกัน
"ดิฉันไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่ต้นเหตุคือดิฉัน ฉันเสียใจค่ะ"
เสียงเอ่ยแผ่วเบาเรียกสายตาสองคู่ให้หันมองประตูห้องที่เปิดออกด้วยอารมณ์ความรู้สึกแตกต่างกัน
"นิด" นิมมานอุทาน
ทว่าชานนกลับสาวเท้าเข้าไปกระชากแขนเจ้าหล่อนอย่างโกรธจัด และยิ่งเบิกตาด้วยแรงโทสะขึ้นอีกเมื่อเธอไม่แม้แต่บิดพลิ้วหนี กลับยืนสงบนิ่ง เชิดคางอย่างอวดดี
"เธอทำอะไรฮะ ย่าฉันต้องป่วยหนักกว่าเดิมเพราะเธอ"
"ไอ้โอม ปล่อยนิด" นิมมานกดเสียงหนักพร้อมกับบีบท่อนแขนเพื่อนอีกทอดหนึ่ง
"แกจะบอกว่าไม่เกี่ยวอีกเหรอ ในเมื่อญาติแกยอมรับเอง" ชานนเอ่ยเสียงกร้าว "ทำไมวะ เมื่อไรแกจะตาสว่างสักที ตั้งแต่ผู้หญิงคนนี้มาก็มีแต่เรื่อง..."
นิมมานผลักเพื่อนออกเต็มแรง ใช่ ประณีตมาพร้อมกับเรื่องที่น่าเห็นใจเป็นที่สุด และเจ้าหล่อนไม่สมควรต้องมารับรู้เรื่องร้ายคำร้ายของใครให้เป็นทุกข์ยิ่งขึ้นไปอีก
"ผลักกู"
ชานนมองเพื่อนสนิทซึ่งยืนขวางหญิงสาวตัวต้นเรื่องอย่างโกรธแค้น ทั้งยังเจ็บปวดแทนจันทร์เจ้าหากเธอได้มาเห็นภาพนี้ด้วยตา
"แกกลับไปเหอะไอ้โอม จนกว่าแกจะมีสติและเลิกพาลโทษคนอื่นแบบนี้"
ชานนขบกรามพลางกำมือแน่น เขากวาดตามองเพื่อนหยันๆ ก่อนเค้นเสียงเอ่ยลอดไรฟัน
"แกนั่นแหละที่ไม่มีสติ แกไม่ใช่เพื่อนที่ฉันเคยรู้จักอีกต่อไป"
นิมมานเบือนหน้าหนีไปอีกทางอย่างไม่อยากยอมรับ บางทีพวกเขาก็ต่างมีเหตุผลของตนที่ใช้ตัดสินใจ และตอนนี้เหตุผลเหล่านั้นก็อาจเปลี่ยนไปจากเดิม
เสียงประตูปิดดังบ่งบอกว่าพายุลูกใหญ่จากไปแล้ว เขาหันมองร่างบางข้างกายที่ยืนสงบนิ่งเผชิญพายุได้อย่างน่าทึ่ง ทว่าเธอไม่อาจเก็บซ่อนความอ่อนแอที่ฉายชัดผ่านด้วงตาแดงระเรื่อ
นิมมานอยากรวบตัวเธอมากอดไว้ เธอไม่จำเป็นต้องเข้มแข็ง ขอแค่แสดงความรู้สึกจากใจให้ได้ระบายออกมา หากก็ทำได้แค่เพียงยกมือแตะต้นแขนเธอแผ่วเบา
"มันเป็นแค่เรื่องบังเอิญน่ะนิด" เขาย้ำความเชื่อของตน
"คุณเชื่ออย่างนั้นจริงหรือคะ หรือคุณเพียรบอกตัวเองให้เชื่อเช่นนั้น"
"ผมจะทำอย่างนั้นทำไม"
"เผื่อว่าคุณจะรู้ตัวว่าคุณหลงทำความรู้จักคนวิปลาศอย่างดิฉัน คุณจึงต้องโกหกตัวเอง ทั้งที่ฉันคือสาเหตุให้คุณย่าของเพื่อนคุณล้มป่วย คุณเห็นกับตา ได้ยินกับหู ไม่ใช่หรือ" ประณีตย้อนถามเสียงพร่า
ดวงตาแดงก่ำเริ่มมีน้ำรื้นคลอกลบตา และเมื่อเขาเลื่อนมือจากต้นแขนเธอมาซับน้ำตา มันก็กลับยิ่งพรั่งพรูด้วยความสับสน ทุกข์ใจ
"ผมรู้ ผมเห็น แต่ถ้านิดจะโทษตัวเอง เรามาคิดกันไหมว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้ท่าน...หวาดเกรงคุณ"
หญิงสาวช้อนตามองอย่างคาดไม่ถึง เขามีมุมความคิดแก้ไขปัญหาได้อย่างน่าอัศจรรย์ โดยที่คนอย่างเธอไม่อาจคาดคิดได้
"ผมกำลังสงสัยบางอย่าง หวังว่าที่คิดไว้จะเป็นจริง นิด โชคชะตาช่างเล่นตลกกับชีวิตคน คุณเชื่อคำพูดนี้ไหม ผมไม่เคยเชื่อเลยกระทั่งพบคุณ"
เธอตามไม่ทันว่าเขาหมายความถึงสิ่งใด หากดวงตาโชนแสงคู่ตรงข้ามเปรียบเสมือนดวงไฟเล็กๆ ที่คอยนำทางและมอบความอบอุ่นแก่เธอ
"คุณสงสัยเรื่องใดคะ"
นิมมานเหม่อมองไปไกล เขาไม่อาจให้คำตอบแก่เธอในตอนนี้ เมื่อเรื่องที่ตนกำลังคิดพิจารณาอาจเกี่ยวพันไปถึงผู้ที่หญิงสาวไม่อยากให้เขารื้อฟื้นขึ้นมามากที่สุด
"ผมแค่คิดว่าบางทีคุณย่าอาจเคยรู้จักคุณ ผมไม่แน่ใจอายุของท่านนัก แต่มันก็เป็นไปได้ไม่ใช่หรือ"
ประณีตคิดตาม เธอนึกถึงป้ายชื่อและนามสกุลหน้าห้องพักของท่าน ทั้งชื่อและนามสกุลนั้นไม่คุ้นในความทรงจำ แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เสียทีเดียว
เธอขอให้ความคิดของเขาถูกต้อง เพื่อที่ตนจะได้รู้ว่าเคยก่อกรรมใดต่อใครไว้ในอดีต หญิงชราผู้นั้นจึงได้หวาดกลัวและชิงชังเธอ
...........................
ประณีตปิดหนังสือโคลงกลอนในมือเมื่อเห็นร่างอ้วนท้วนสมบูรณ์ก้าวเร็วตรงมาทางศาลาหลังบ้านที่เธอนั่งพักผ่อนอยู่ ในมือศรีชุมกำบางสิ่งซึ่งทำให้หัวใจเธอโลดแรง
"จดหมายจากสิงคโปร์ค่ะ" สุ้มเสียงของศรีชุมตื่นเต้นไม่น้อยไปกว่ากัน
หญิงสาวเปิดซองกระดาษออกดู ครั้งนี้ใช่แต่เพียงกระดาษจดหมาย หากในซองเดียวกันยังมีบัตรอวยพรเนื่องในเทศกาลขึ้นปีใหม่เป็นภาษาอังกฤษอีกด้วย
ประณีตมองภาพถ่ายขนาดเท่าโปสการ์ดรูปตึกรามบ้านช่องบ้านเมืองเขา ก่อนจะพลิกดูข้อความอวยพรปีใหม่สั้นๆ จากเพื่อนสนิท เธออมยิ้มกับตัวเองพร้อมกับน้ำตาซึ่งรื้นขึ้นมาด้วยความคิดถึง
อารีไปศึกษาต่อที่สิงคโปร์นานกว่าขวบปีแล้ว ขณะที่เธอไม่ได้ศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา หากอยู่ดูแลบิดาและทุกเรื่องภายในบ้านเท่านั้น
"คุณอารีว่าอย่างไรคะ จะกลับมาเมื่อไร"
"โธ่ ศรีชุม อารีเพิ่งไปไม่ถึงปีเลยนะจ๊ะ" เธอท้วงอย่างเห็นขัน
หญิงสาวสอดรูปถ่ายพร้อมคำอวยพรใส่ซองดังเดิม ก่อนจะหยิบกระดาษจดหมายฉบับที่สี่จากอารีขึ้นมา
'นิดเพื่อนรัก
ฉันคิดถึงนิดเหลือเกิน ยังคงยืนยันคำเดิมว่าอยากให้นิดมาอยู่ด้วยกันกับฉันเสียที่นี่ แต่เหตุผลของนิดนั้นยิ่งใหญ่เกินกว่าที่ฉันจะดื้อรั้นเอาแต่ใจได้ ฉันลองนึกย้อนดูแล้ว ไม่เคยมีสักครั้งที่ฉันดื้อกับนิดสำเร็จเลย
ตอนนี้อากาศที่สิงคโปร์กำลังเย็นสบาย ปีใหม่ฝรั่งที่ผ่านมานี้นิดคงไม่รู้ว่ามีเรื่องน่ายินดีเกิดขึ้นกับฉัน คุณพี่ชายท่านยุรยาตรลงมาเยี่ยมน้องถึงที่นี่ พี่ท่านมารอรับถึงหน้ามหาวิทยาลัย ฉันจึงถือโอกาสควงพี่เอื้อต่อหน้านายลีที่ตามกวนใจ ได้ผลทีเดียวแหละนิด นับจากนั้นหมอนั่นก็เอาแต่หลบหน้าฉันเทียว
ที่พระนครเป็นอย่างไรบ้าง หมอกลงจัด อากาศไม่สู้ดีหรืออย่างไร คุณพี่ชายของฉันจึงมีสีหน้าท่าทางไม่ใคร่สบาย ฉันถามว่าเป็นอะไร เขาบอกว่าเป็นไข้ใจ เธออย่าเพิ่งคลื่นเหียนเสียก่อนนะนิด เดี๋ยวจะอ่านหนังสือของฉันไม่จบ พี่เอื้อบอกฉันว่าเธอมีคนรักแล้วหรือนิด ผู้ชายคนนั้นเป็นใคร ฉันซักเท่าไรพี่เอื้อก็ไม่ตอบ บอกให้มาถามเธอเอา
นิด เธอจะมีคนรักตอนนี้ไม่ได้นะ ตอบฉันทีว่าคุณพี่ชายของฉันแค่อำเล่น เขารู้ว่าฉันต้องดิ้นด้วยความเป็นห่วงเธอ นิด ฉันไม่อยากเห็นผู้หญิงเราอยู่ใต้อาณัติใคร นอกจากคุณหลวงพ่อของเธอแล้ว ฉันอยากให้นิดได้เห็นว่าโลกภายนอกกว้างใหญ่กว่าแค่อาณาเขตรั้วบ้านเพียงใด
อย่าลืมสัญญาของเรานะนิด เราจะเป็นเพื่อนทุกข์เพื่อนยากกันตลอดไป เราจะไม่มีความลับต่อกันอย่างที่เป็นตลอดมา
รักและคิดถึง
อารี'
ประณีตพับเก็บจดหมายใส่ซองดังเดิม หากใบหน้างดงามกลับปรากฏร่องรอยของความเคลือบแคลงใจ ทำไมผู้เป็นพี่ชายของเพื่อนจึงบอกอารีเช่นนั้น ทั้งที่เธอไม่เคยพบปะชายคนใด บุรุษผู้เดียวที่ตนเคยใกล้ชิดและให้ความไว้วางใจก็คือเขา ทว่าเวลาที่ดอกรักดอกนั้นผลิบานในใจก็ผ่านไปเนิ่นนานนับปี เมื่อไร้ซึ่งคนกลางอย่างอารีแล้ว ก็ไม่มีเหตุอันใดต้องพบหน้ากัน
แล้วทำไมเขาจึงต้องกล่าวร้ายต่อเธอเช่นนั้น ใจหนึ่งก็ขุ่นเคือง หากอีกใจก็ร้อนรุ่มอย่างกลัวเกรงว่าชายหนุ่มจะเข้าใจผิด ประณีตจึงเผลอถอนหายใจยาว
"มีอะไรหรือคะคุณนิด หน้ายุ่งไม่งามเลยค่ะ" ศรีชุมถามอย่างห่วงใย
"เรื่องไม่เป็นเรื่องน่ะซี ไม่สลักสำคัญหรอกศรีชุม"
หญิงสาวสอดซองจดหมายคั่นหน้าหนังสือ ก่อนเสียงรถยนต์ซึ่งดังมาจากหน้าบ้านจะส่งผลให้ร่างบางขยับลุกจากศาลา แต่แล้วฝีเท้าเจ้าหล่อนก็ชะงัก เมื่อเห็นว่ามีแขกเป็นนายทหารตามบิดาของตนมาอีกสองคน
"สงสัยจะมาหารือกันเรื่องรับเสด็จฯ ในงานฉลองพระนครครบรอบหนึ่งร้อยห้าสิบปีมังคะ ข้างนอกเขาโจษกันว่าจะมีงานใหญ่โต ในหลวงจะเสด็จฯ เปิดสะพานพุทธ มีมหรสพเจ็ดวันเจ็ดคืนเทียวนะคะคุณนิด"
ถ้าเป็นดังที่ศรีชุมได้ยินมาก็นับเป็นเรื่องน่ายินดี หากเธอสังหรณ์ใจว่าอาจไม่เป็นเช่นนั้น ท่าทีเคร่งขรึมของคุณพ่อผิดไปจากเดิม แม้เธอจะเพียรพยายามเอาใจท่านเพียงไร อีกทั้งผู้คนที่ไปมาหาสู่ก็ล้วนไม่คุ้นหน้า หรือบางวันหยุดที่ท่านมักออกไปข้างนอกก็มี
ขอให้ลางสังหรณ์ในทางร้ายของเธอเป็นเพียงความหวาดระแวงไปเองด้วยเถิด
.................
นิมมานเคาะด้ามปากกาลงบนแฟ้มงานพลาสติกขณะคิดทบทวนความฝันเมื่อคืน มันเป็นความฝันที่เต็มไปด้วยความอึดอัดคับข้องใจ ไม่ได้ช่วยคลายความสงสัย หากยังเพิ่มปริศนาต่างๆ เข้ามาอีก
น่าแปลกที่ในความฝันเขาเข้าใจความรู้สึกของประณีตได้อย่างเด่นชัด รับรู้แม้กระทั่งความหวาดระแวงของเธอ ซึ่งเขาก็รู้สึกไม่ต่างกัน
คุณหลวงชาญยุทธกิจกำลังจะทำอะไร
พลันคำบอกกล่าวของศรีชุมก็ย้อนกลับเข้ามาในความทรงจำ มีถ้อยคำที่เป็นกุญแจสำคัญอยู่ในนั้น ชายหนุ่มรีบหมุนเก้าอี้หันไปหาคอมพิวเตอร์ ก่อนจะพิมพ์คำที่ตนติดใจลงในช่องค้นหาของเว็บไซต์ชื่อดัง
'งานฉลองพระนคร ครบรอบ ๑๕๐ ปี'
ทันทีที่กดค้นหา ข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องพร้อมกับรูปภาพในอดีตก็ปรากฏขึ้นมา เขาเลือกอ่านหัวข้อที่น่าสนใจ แต่ก็พบว่าเป็นเพียงงานรื่นเริงธรรมดา ข้อมูลที่ได้รับรู้เพิ่มเติมจากความฝันคือเขากำลังฝันถึงหญิงสาวในวัยย่างยี่สิบปี ตรงกับปีพุทธศักราช ๒๔๗๕ นั่นเอง
สังหรณ์ของประณีตช่างแม่นยำ เพราะไม่กี่เดือนหลังจากนั้นก็เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของประเทศตามที่ประวัติศาสตร์บอกเล่ามา
นิมมานลูบคางอย่างครุ่นคิด ทว่าเสียงโทรศัพท์บนโต๊ะทำงานก็ขัดความคิดชั่วขณะ เขาเอื้อมมือไปรับขณะที่อีกมือก็เลื่อนลูกกลิ้งเมาส์อ่านข้อความเรื่อยไป
"พี่นนท์ ลืมว่าบ่ายนี้มีประชุมหรือเปล่าคะ" เสียงพนักงานรุ่นน้องถามกลั้วหัวเราะมาตามสาย
ชายหนุ่มรีบดูนาฬิกาข้อมือ แล้วจึงอุทานอย่างนึกขึ้นได้
"เฮ้ย ลืมเลย พี่จะลงไปเดี๋ยวนี้ล่ะ"
เขาคว้าข้าวของจำเป็น ก่อนจะก้าวเร็วลงไปยังห้องประชุมชั้นสอง พนักงานที่เกี่ยวข้องรอพร้อมอยู่ภายใน ทุกคนพากันยิ้มขัน บ้างเอ่ยล้อเขาอย่างสนุกสนาน ยกเว้นหุ้นส่วนอีกคนหนึ่งที่ปั้นหน้านิ่งพลางเหลือบตามอง
การประชุมบ่ายวันนั้นว่าด้วยการแบ่งงานตามความถนัดของแต่ละคน นิมมานมีงานที่ต้องรับผิดชอบเพิ่มขึ้นในมืออีกชิ้น นอกเหนือจากการออกแบบก่อสร้างสปาหรูกลางใจเมือง รีโนเวตบูติคโฮเต็ล และซ่อมปรับปรุงบ้านเรือนไทยของคุณพิทักษ์
เมื่อเจ้านายและลูกน้องต่างกลมเกลียวเสมือนเพื่อน บรรยากาศภายในที่ประชุมจึงผ่อนคลายเช่นทุกครั้ง เมื่อวงประชุมเสร็จสิ้นลง ผู้ที่นั่งรอบโต๊ะต่างก็ทยอยลุกออกไป เหลือเพียงเขากับชานนเป็นสองคนสุดท้าย นิมมานกำลังจะเอ่ยถามอาการของคุณย่าอำไพ แต่แล้วหลานชายของท่านก็รีบเก็บรวบรวมข้าวของส่วนตัวออกไป
"เฮ้ย โอม" ชายหนุ่มตามมาเรียกเพื่อนสนิทได้ทันยังที่พักบันได
ชานนชะลอฝีเท้าพลางถอนใจหงุดหงิด แต่ยังไม่ทันที่เพื่อนทั้งสองจะพูดจากัน เสียงโทรศัพท์ของนิมมานก็ดังขึ้นเสียก่อน รูปภาพผู้หญิงที่ปรากฏบนหน้าจอโทรศัพท์เพื่อนนั้นทำให้ชานนเลือกจะก้าวขึ้นบันไดต่อไป
"ครับเอ๋ย"
"เย็นนี้นนท์ว่างไหมคะ" เสียงหวานเอ่ยถามแผ่วเบามาตามสาย
"เย็นนี้หรือครับ"
เขาไพล่นึกเป็นห่วงประณีตขึ้นมา ทว่าเสียงตัดพ้อมาตามสายก็ทำให้ไม่อาจตัดรอนได้ลง
"ไม่เป็นไรค่ะ ถ้านนท์ว่างเมื่อไรค่อยนัดเอ๋ยก็ได้ เอ๋ยมีธุระสำคัญจริงๆ ไม่งั้นคงไม่รบกวนนนท์"
"เดี๋ยวเอ๋ย" นิมมานชิงเอ่ยขึ้นก่อนที่คนรักจะวางสาย "ก็ได้ครับ เย็นนี้เจอกันร้านโปรดของเอ๋ยดีไหม"
"ค่ะ ขอบคุณนะคะ"
นิมมานนิ่วหน้ากับคำขอบคุณนั้น ทว่าจันทร์เจ้าก็ตัดสายไปก่อนที่เขาจะทันทักท้วง
ชายหนุ่มหารู้ไม่ว่าเพื่อนที่ล่วงหน้าขึ้นไปก่อนยังไม่ได้กลับเข้าห้องทำงานเสียทีเดียว ชานนเม้มปากข่มความเจ็บปวดใจ ทั้งที่เขาพยายามติดต่อถึงเธอนับแต่ทราบจากมารดาว่าจันทร์เจ้ายังคงไปเยี่ยมเยียนคุณย่าอยู่เสมอ แต่หญิงสาวซึ่งไม่เคยรับโทรศัพท์ของเขากลับโทรหาคนรักของเธอ
ท่ามกลางเมฆหมอกของปัญหา ชานนรู้สึกเหมือนตนไม่อาจเข้าถึงใจของเพื่อนรักทั้งสองคน เขารู้สึกแปลกแยกราวกับเป็นคนนอก...อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นสักครั้งระหว่างมิตรภาพของพวกเขาสามคน
......................
เพื่อนกันชักจะมองหน้าไม่ติดซะแล้ว
และอะไรคือสาเหตุให้คุณย่ากลัวนิด
ฝากติดตามด้วยนะคะ

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 พ.ย. 2557, 16:34:51 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 พ.ย. 2557, 16:34:51 น.
จำนวนการเข้าชม : 1378
<< บทที่ ๗ |


ภาพิมล_พิมลภา 4 พ.ย. 2557, 22:04:50 น.
คุณดังปัณณ์ - ได้เลยค่า จะรีบมานะ จวนย้อนอดีตกันยาวๆ แล้วค่ะ ทีนี้ก็จะรู้กัน อิอิ
คุณดังปัณณ์ - ได้เลยค่า จะรีบมานะ จวนย้อนอดีตกันยาวๆ แล้วค่ะ ทีนี้ก็จะรู้กัน อิอิ

แว่นใส 4 พ.ย. 2557, 22:53:51 น.
เครียดอะ ปมมันเยอะจริง
เครียดอะ ปมมันเยอะจริง

ภาพิมล_พิมลภา 5 พ.ย. 2557, 12:14:28 น.
คุณแว่นใส - แอร๊ย แพรวตั้งใจให้หวานๆ นิดนึงนะคะ ไม่หวานเลยหรอ แหะๆ
คุณแว่นใส - แอร๊ย แพรวตั้งใจให้หวานๆ นิดนึงนะคะ ไม่หวานเลยหรอ แหะๆ