ฝันรัก รอยอดีต
แต่เพียงวันแรกที่ 'นิมมาน' ได้เหยียบย่างเข้าไปที่บ้านทรงไทย เขาก็ได้บังเอิญช่วยชีวิตหญิงสาวซึ่งกำลังจะจมน้ำในสระบัว หากอะไรก็ไม่น่าประหลาดใจเท่าที่เธอเคยมีชีวิตอยู่เมื่อ ๘๐ ปีที่แล้วต่างหาก!

นี่ไม่ใช่ดวงจิตหรือวิญญาณ แต่เขารู้ดีว่าเจ้าหล่อนมีเลือดเนื้อเช่นเดียวกับตน ซ้ำสตรีผู้นี้ยังขอให้เขาตามหาบิดาที่หายสาบสูญไปตั้งแต่ครั้งเกิดเหตุการณ์กบฏบวรเดช

ทว่าเบาะแสเดียวที่นิมมานมีคือความฝัน และนับวันความจริงอันน่าหวาดหวั่นในอดีตก็ทำให้ชายหนุ่มค้นพบว่า...เขานั่นเองที่อาจเคยผูกพัน ผูกกรรมกับเธอ

น้องแช่งชักหักรักขาดสะบั้น
พี่หลับฝันตั้งจิตคิดแก้ไข
น้องหลบลี้หนีรักจากพี่ไป
ขอตามใจสมัครรักมิคลาดคลา
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ ๗



อาหารมื้อเช้าวันอาทิตย์เป็นโจ๊กซึ่งนิมมานลงไปซื้อยังร้านค้าตึกแถวไม่ไกลจากที่พัก ก่อนเขาจะกลับขึ้นมาพบหญิงสาวที่เพิ่งเปิดประตูออกมาจากห้องพอดี

ครั้งนี้ประณีตคอยช่วยเขาจัดอาหารใส่จาน นอกจากโจ๊กอุ่นๆ สองชามแล้วก็มีปาท่องโก๋อีกจานหนึ่งตั้งกึ่งกลาง เธอลองฉีกแป้งทอดนั้นทานคู่กับโจ๊กตามอย่างเขา ก่อนจะเงยหน้ายิ้มและสบสายตาที่มองมาอย่างครุ่นคิดของชายหนุ่มเข้าพอดี

"คุณมีอะไรจะบอกดิฉันหรือคะ"

นิมมานสั่นศีรษะ เขายิ้มบางให้กับเธอพลางเสตักโจ๊กทานต่อ ไม่กล้าตอบตามความเป็นจริงว่าเขาฝันถึงเหตุการณ์ในอดีตอันเกี่ยวข้องกับเธออีกครา

เขาตอบตัวเองไม่ได้เช่นกันว่าความฝันเมื่อคืนเป็นฝันดีหรือฝันร้าย เขาควรจะดีใจที่เจ้าหล่อนให้สัญญากับหลวงชาญยุทธกิจว่าจะไม่พบบุตรชายเจ้าสัวใหญ่ผู้นั้นอีก แต่ทำไมในอกในใจตนจึงได้หวิวโหวงประหลาดนับแต่ตื่นขึ้นมา

"คุณฝัน...อีกแล้วใช่ไหมคะ"

ชายหนุ่มเผลอสบตาผู้ที่ทายได้ถูกต้องแม่นยำอย่างตื่นตกใจ ก่อนตนจะหัวเราะในลำคออย่างยอมจำนน

"ครับ ผมฝันถึงคุณ คุณพ่อของคุณ อารี และ..."

"ดิฉันไม่อยากฟัง" เธอขัดขึ้นก่อนที่เขาจะเอ่ยจบประโยค

ประณีตรู้ว่าอีกฝ่ายหมายถึงใคร เธอไม่ปรารถนาได้ยินชื่อใครคนนั้นอีก ไม่ว่าเรื่องในอดีตหรือข่าวคราวใดอันเกี่ยวข้องกับคนคนนั้นก็ไม่ปรารถนาจะรับรู้

เมื่อตัดแล้วก็ขอตัดให้ขาด ไม่ว่าชาตินี้หรือกี่ภพกี่ชาติก็ตาม

"ทำไมล่ะครับนิด ผมคิดว่าบางทีเราน่าจะเริ่มสืบจาก..."

"ดิฉันไม่ต้องการ" เธอปฏิเสธเสียงแข็ง ก่อนจะสบตาเขาเว้าวอน "กรุณาเถอะค่ะ หากคุณปรารถนาดีต่อดิฉัน"

นิมมานเหลียวมองตามร่างบางซึ่งลุกกลับเข้าห้อง จะเรียกรั้งเจ้าหล่อนไว้ตอนนี้ก็รังแต่จะทำให้เธอขุ่นข้องใจ หากอย่างน้อยเขาก็มั่นใจได้ว่าบุรุษผู้นั้นได้เคยทำร้ายน้ำใจของเจ้าหล่อนเป็นแน่แท้ แค่คิด...หัวใจเขาก็รวดร้าวไปกับเธอ

ชายหนุ่มเลื่อนสายตากลับมายังโจ๊กในชามตรงข้ามซึ่งพร่องไปเพียงครึ่ง ก่อนโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ข้างมือตนจะร้องเรียก หน้าจอแสดงชื่อเพื่อนสนิทโทรเข้ามา

.......................

ระเบียงทางเดินภายในอาคารผู้ป่วยสว่างด้วยแสงจากหลอดไฟ ตลอดสองข้างทางเดินมีประตูห้องหลายบานพร้อมหมายเลขระบุไว้ เขาไล่สายตาหาหมายเลขห้องที่จำได้ขึ้นใจ มันอยู่เกือบสุดระเบียงทางเดินและมีป้ายชื่อผู้เข้าพักยืนยันความมั่นใจ

นิมมานเคาะประตูห้องก่อนผลักเข้าไป และภาพแรกที่เขาเห็นคือครอบครัวอบอุ่นน่ารักครอบครัวหนึ่งมาเยี่ยมญาติผู้ใหญ่กันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา ชายหนุ่มพนมมือไหว้นายทหารใหญ่และภรรยา ผู้เป็นบิดามารดาของเพื่อนรักตน

"อ้าวนนท์ เข้ามาสิ เข้ามา คุณแม่หลับไปสักพัก เดี๋ยวก็คงตื่นล่ะ" พลตรีอดิเรกเชื้อเชิญเพื่อนสนิทของบุตรชายอย่างเป็นกันเอง

ชานนรินน้ำดื่มพลางหันมองเพื่อนซึ่งหอบหิ้วของเยี่ยมไข้คนป่วยมาเต็มอ้อมแขนอย่างเห็นขัน มีทั้งกระเช้าน้ำผลไม้ต่างๆ และดอกไม้อีกช่อหนึ่งที่นิมมานประคองทะนุถนอมอย่างดี ก่อนแม่ของเขาจะรับไปจัดใส่แจกัน

"นี่มาเยี่ยมย่าฉันหรือมาเยี่ยมสาววะนนท์ มีดอกม้งดอกไม้ด้วย แค่นี้ย่าก็หลงแกแย่ละ"

นิมมานหัวเราะครืนไปกับทุกคน เขาเยี่ยมหน้ามองห้องซึ่งมีผนังกั้นแยกต่างหากจากมุมพักผ่อนของแขกที่มาเยี่ยมเยียน ก็เห็นหญิงชรายังคงหลับพักผ่อนโดยมีสายน้ำเกลือห้อยระโยงอยู่เท่านั้น

"หมอว่าคุณย่าเป็นไงบ้าง จู่ๆ วูบหมดสติได้ยังไง"

"น้ำตาลลดน่ะสิ แล้วหมอจะเช็กสมองด้วยว่ามีอะไรผิดปกติไหม แต่เมื่อเช้าย่าไม่ยอม ดื้อจะกลับบ้านท่าเดียว ฉันเลยตามหลานรักอย่างแกมาช่วยกล่อมอีกคน"

นิมมานหยุดยืนข้างเตียงผู้ป่วย เขาจับปลายเท้าของท่านพลางบีบนวดเบาอย่างเอาใจ ไม่นานเปลือกตาเหี่ยวย่นซึ่งปิดสนิทก็ปรือขึ้นมอง ก่อนคิ้วบางจะขมวดมุ่นเมื่อสายตาพร่าเลือนเห็นเป็นใครอีกคนที่จากตนไปแสนนาน

"คุณย่า เป็นยังไงบ้างครับ นนท์มาเยี่ยม"

"พ่อนนท์รึ"

ผู้สูงวัยกะพริบตาอีกครั้ง คราวนี้มีรอยยิ้มอ่อนประดับใบหน้าเมื่อเห็นชัดเจนว่าใครยืนอยู่ข้างเตียง

"ไม่เป็นไรแล้ว เจ้าพวกนี้ตื่นตูมกันไปเอง"

ชานนไหวไหล่พลางหันมองบิดาที่มาหยุดยืนข้างๆ ราวกับฟ้อง อดิเรกหัวเราะในลำคอแผ่วเบา

"แต่ไหนๆ มาแล้วก็ให้คุณหมอตรวจสุขภาพเถอะนะครับ คุณย่าแค่นอนเฉยๆ เหมือนนอนถ่ายรูปเอง ไม่มีอะไรเจ็บไปกว่าเจาะน้ำเกลือแล้วล่ะครับ"

"แต่ย่าไม่เป็นไรจริงๆ" คนป่วยยังคงปฏิเสธ หากน้ำเสียงอ่อนลง

"ไม่เป็นไรก็ยิ่งน่าตรวจให้สบายใจครับ ผมเชื่อคุณย่านะ คุณย่าต้องพิสูจน์ให้คุณอากับโอมเห็นสิครับ"

ชานนกลั้นหัวเราะกับมุกหว่านล้อม หลอกล่อคนชราของเพื่อน และดูเหมือนมุกของนิมมานจะสำเร็จด้วยดีเมื่อผู้สูงวัยผงกศีรษะรับคำ

"อาหารมาแล้วค่ะคุณแม่ ทานข้าวก่อนนะคะ"

ชายหนุ่มขยับหลบให้มารดาของเพื่อนเลื่อนโต๊ะเข็นไปใกล้เตียง ก่อนพลตรีอดิเรกจะหันมาชวนบุตรชายและเขาลงไปทานข้าวด้วยกัน

"ไปเถอะ" คุณย่าอำไพกล่าวสำทับ

นิมมานลังเลระหว่างว่าตนควรขอตัวกลับเลยดีหรือไม่ แต่เมื่อชายวัยกลางคนตบบ่าเขาอย่างสนิทสนม เขาก็นึกขึ้นได้ว่าบางทีตนน่าจะลองปรึกษาท่านถึงการค้นหาข้อมูลของนายทหารซึ่งหายสาบสูญไปในอดีต

บุรุษทั้งสามลงไปยังโรงอาหารด้วยกัน พวกเขานั่งยังมุมซึ่งใกล้ร้านกาแฟ เป็นเก้าอี้โซฟาล้อมรอบโต๊ะกระจกเล็กๆ นิมมานสั่งเพียงแค่กาแฟเท่านั้น ขณะที่สองพ่อลูกมีครัวซองต์แฮมและชีสชิ้นใหญ่เป็นอาหารหลัก

เขาเริ่มเกริ่นนำถึงเรื่องที่ตนต้องการปรึกษา หลังพลตรีอดิเรกถามไถ่ถึงครอบครัวของเขาอย่างคนคุ้นเคยกัน

"คุณอาครับ อย่างถ้าเราจะตามหาคนที่หายไปในอดีต ผมหมายถึงสมมติว่าเป็นต้นตระกูลของเรา เราจะทำยังไงได้บ้างฮะ"

"อะไรวะไอ้นนท์ ถามแปลก" ชานนขัดขึ้นด้วยความแปลกใจ ก่อนโทรศัพท์จากลูกค้าจะทำให้ชายหนุ่มลุกไปคุยอีกทาง

นายทหารใหญ่ขมวดคิ้วระหว่างไตร่ตรองคำถาม แล้วจึงให้คำตอบซึ่งเหมือนคำถามกลับไป

"ก็ต้องดูว่าหายไปในลักษณะไหน จู่ๆ หายไปหลังเดินออกจากบ้าน หายไปเพราะมีปัญหาในครอบครัว หรือหายไปเพราะการเมือง ถ้าเป็นอาคงต้องตีวงให้แคบลงเท่าที่จะเป็นไปได้"

"แล้วถ้าเป็นเหตุผลทางการเมืองล่ะครับ ผมค่อนข้างมั่นใจว่าด้วยสาเหตุนี้ นายทหารท่านนี้หายตัวไปหลังเหตุการณ์กบฏบวรเดช"

พลตรีอดิเรกลดแก้วกาแฟในมือลง เขานิ่วหน้าพิจารณาชายหนุ่มรุ่นลูกเต็มตาอย่างนึกแปลกใจในข้อมูลที่ได้รับรู้ และยังแคลงใจที่จู่ๆ ชายหนุ่มตรงหน้ามีท่าทางสนใจใคร่รู้อย่างจริงจัง

"มีทหารหลายนายที่ก่อการกบฏในครั้งนั้นแล้วเสียชีวิตในการปราบปราม ไม่ก็ถูกจับ หรือหลบหนีก็มี อาถามได้ไหมว่านนท์หมายถึงใคร"

"หลวงชาญ..."

คำตอบของนิมมานถูกขัดขึ้นด้วยเสียงร้องเรียกอย่างกระตือรือร้นของเพื่อนสนิทซึ่งกลับมาที่โต๊ะ ชานนตบไหล่เพื่อนขณะแจ้งข่าวการมาถึงของใครอีกคน

"เฮ้ย แกได้พวกแล้วว่ะไอ้นนท์ เอ๋ยมาช่วยกล่อมย่าอีกคน"

"เหรอ แล้วเอ๋ยอยู่ไหน" เขาถามกลับด้วยความเคยชินมากกว่าสนใจใคร่รู้จริงจัง

"อยู่บนห้อง เอ๋ยส่งข้อความมาบอกน่ะ"

นิมมานผงกศีรษะรับรู้ ครั้นผู้อาวุโสเอ่ยให้ขึ้นไปข้างบนกันก่อนตามสะดวก เขาก็ถูกเจ้าเพื่อนสนิทลากตัวไปด้วยกัน

เรื่องที่กำลังพูดคุยปรึกษากับนายทหารใหญ่ชะงักหยุดอยู่เพียงแค่นั้น หากนิมมานก็ตั้งใจแน่วแน่เสียแล้วว่าจะต้องหาโอกาสพูดคุยกับท่านอีกให้ได้

............................

รอยยิ้มของจันทร์เจ้าเลือนหายไปหลังเห็นว่าใครตามชานนเข้ามา เมื่อวานนี้เขาติดธุระ ไม่ว่างไปร่วมมื้อเย็นกับครอบครัวของเธอ หากวันนี้เขากลับว่างมาเยี่ยมคุณย่าอำไพ หญิงสาวมองหาสุภาพสตรีอีกคนหนึ่ง เธอควรจะดีใจใช่ไหมที่เจ้าหล่อนไม่ได้มาด้วยกัน

"เอ๋ย มายังไงครับ"

"เอ๋ยขับรถมาค่ะ" เธอตอบอย่างสุภาพไม่ต่างกัน

"ผมไม่รู้ ไม่อย่างนั้นก็แวะไปรับเอ๋ยมาด้วยกัน"

แน่ซี... เขาไม่รู้ ไม่ถาม ไม่สนใจใดๆ ในตัวเธอทั้งสิ้นว่าจะไปไหน ทำอะไร หรือแม้กระทั่งเขากำลังทำอะไรก็ไม่เคยบอกกล่าวให้เธอรู้สักคำ

"ไม่เป็นไรค่ะ แบบนี้ก็สะดวกดี ต่างคนต่างไป"

ชานนนิ่วหน้ามองเพื่อนคนนั้นทีคนนี้ที แม้ต่างฝ่ายจะวางตัว สนทนากันอย่างสุภาพ หากคนฟังกลับรู้สึกได้ถึงระยะห่างที่ต่างฝ่ายต่างสร้างขึ้นมา

ร่างสูงเสเดินไปเปิดถาดอาหารของคุณย่า นอกจากอาหารที่ทางโรงพยาบาลจัดเตรียมไว้แล้วยังมีซุปไก่ตุ๋นยาจีนในชามเล็กวางอยู่ข้างกัน

"อื้อหือ อันนี้ฝีมือเอ๋ยแน่เลย จำกลิ่นได้"

คนหน้าเป็นหันมายิ้ม ก่อนเขาจะหยิบช้อนมาตักชิมน้ำซุปเพื่อพิสูจน์ข้อสันนิษฐานของตน

"รสชาตินี่ใช่เลย"

จันทร์เจ้าตีต้นแขนเพื่อนชายอย่างขัดเขินในการแสดงอันออกนอกหน้าของเขา เธอต้องกลั้นยิ้มขันขณะแกล้งเย้าคืนต่อหน้าคนป่วยที่มองลูกหลานอย่างมีความสุข

"โอมจำผิดคนแล้วล่ะ นี่เอ๋ยให้แม่ครัวทำต่างหาก"

"ถามจริง!"

"จริงสิ เอ๋ยจะดีใจไหมเนี่ย โอมชมผิดคน"

"เออ แต่ว่าไปแล้วก็หนักกลิ่นยาจีนไปหน่อยเนอะ ไม่กลมกล่อมเท่ารสมือเอ๋ย"

จันทร์เจ้าแสร้งเออออตาม เธอลืมตัวสบตาคนรักที่ยืนอยู่ข้างๆ ด้วยดวงตาพราวประกาย รู้ว่าเขาต้องรู้ทันเธอต่างจากชานน ก่อนทิฐิจะทำให้หญิงสาวหลุบเปลือกตาลงอีกครั้งหนึ่ง

อำไพมองหนุ่มสาวเย้าแหย่กันพร้อมพรายยิ้มแต่งแต้มมุมปาก มือเหี่ยวย่นยื่นออกไปกุมมือเพื่อนทั้งสองของหลานชายคนละข้าง ในสายตาผู้ใหญ่...ไม่มีใครเพียบพร้อม คู่ควรกันเท่าหนุ่มสาวทั้งสองอีกแล้ว

"เดี๋ยวนี้ไม่ได้เจอกันพร้อมหน้าเลย บอกโอมบ่อยๆ ให้ชวนทั้งสองคนมาหาย่าก็ไม่รู้บอกให้หรือเปล่า"

"โธ่ คุณย่า โอมบอกให้ทุกครั้งนะครับ" หลานชายซึ่งยืนห่างออกไปรีบเอ่ยแก้

"โอมบอกแล้วค่ะคุณย่า แต่พักนี้เอ๋ย..." จันทร์เจ้าเว้นวรรคนิดหนึ่งพลางปรายตามองคนรัก "พักนี้เอ๋ยกับนนท์ยุ่งๆ ทั้งคู่น่ะค่ะ"

ผู้สูงวัยผงกศีรษะเข้าใจ แม้ใจท่านจะเป็นสุขทุกครั้งยามพบหนุ่มสาวทั้งสอง ยิ่งเมื่อทราบจากชานน หลานแท้ๆ ของตนว่าทั้งคู่เป็นคู่รักกัน ใจท่านก็อิ่มเอิบประหลาดและรอวันที่พวกเขาจะครองรักครองเรือนโดยไม่พรากจากกัน

"ก็อย่างนี้แหละ คนกำลังสร้างเนื้อสร้างตัว ลำบากตอนมีกำลังแรงกาย บั้นปลายก็จะสบายนะลูก"

นิมมานฝืนยิ้มรับคำ ก่อนผู้อาวุโสจะรวบมือของตนและจันทร์เจ้าให้กุมมือกันพลางบีบกระชับ เขาหันสบตาคนรักก็เห็นเธอก้มหน้าหลบสายตาคุณย่าอำไพและเขาในคราวเดียวกัน

หญิงชราหารู้ไม่ว่ามีใครอีกคนยืนมองภาพนั้นด้วยหัวใจหวิวโหวง ในสายตาของย่า...รวมทั้งคนอื่นๆ คงไม่มีใครเหมาะสม คู่ควรกันเท่าเพื่อนรักสองคนนี้ของเขา และบุคคลที่สามนอกสายตาก็คงเป็นได้แค่เพื่อนพระเอกนางเอกเท่านั้น

ใช่ว่าชานนจะไม่อยากเห็นเพื่อนสมหวัง ความสุขของจันทร์เจ้าและนิมมานคือทุกอย่างที่เพื่อนอย่างเขาปรารถนา แม้นั่นอาจแลกด้วยความสุขสมหวังของตนก็ตาม

.............................

ภายในลิฟต์โดยสารถูกปกคลุมด้วยความเงียบเมื่อกลุ่มเพื่อนต่างไม่มีอะไรจะพูดจา ส่งผลให้ตู้แคบนี้ช่างอึดอัด แม้เสียงถอนหายใจแผ่วเบาก็ไม่อาจผ่านหูไป

นิมมานผินมองเพื่อนอย่างเห็นขัน บางครั้งความเป็นคนเปิดเผย ไม่เก็บอาการของชานนก็สร้างความอึดอัดแก่ทุกคน แต่บางครั้งนิสัยเปิดเผย จริงใจนี้ก็ช่วยคลี่คลายสถานการณ์อันน่ากระอักกระอ่วนได้เช่นกัน

แวบหนึ่งที่เขาอยากบอกความจริงกับเพื่อนทั้งสองคน แต่แล้วก็ไม่รู้จะเริ่มต้นเล่าเรื่องราวประหลาดนั้นอย่างไรดี ใช่ว่าใครที่ได้ฟังจะเชื่อง่ายๆ ว่าเขาพูดความจริง คิดดังนั้นชายหนุ่มก็ตัดใจอีกครา

"เป็นอะไรวะ ปวดห้องน้ำ" เขาถามเพื่อนกวนๆ

"เกือบละ ถ้าขืนยังเงียบกันอย่างนี้ ฉันคงอึดอัดจนไฟธาตุแตก"

นิมมานหลุดหัวเราะออกมา ขณะจันทร์เจ้าก็อมยิ้มขันกับคำถามคำตอบนั้นเช่นกัน

"ปกติโอมเป็นฝ่ายชวนคุยไม่ใช่เหรอ เอ๋ยกับนนท์...เราก็ไม่ค่อยพูดกันอยู่แล้ว" หญิงสาวย้อนให้บ้าง

แม้จะรู้ว่าที่เธอพูดเป็นความจริงทุกประการ พวกเขาไม่ใช่คนคุยเก่ง อย่างน้อยระหว่างเขากับเธอก็มีระยะห่างคือความสุภาพ ให้เกียรติกันเสมอ หากครั้งนี้นิมมานกลับรู้สึกไปว่าถ้อยความเมื่อครู่นี้ของคนรักซ่อนนัยประชดประชันเขาในที แล้วตนก็กลับเป็นฝ่ายถอนหายใจแทน

ประตูลิฟต์เปิดออกเมื่อลงมาถึงชั้นล่างสุดของลานจอดรถ ร่างระหงเป็นฝ่ายก้าวนำไปเป็นคนแรกโดยมีสองหนุ่มตามมา นิมมานเปิดประตูรถมินิคูเปอร์ให้หญิงสาวที่กดปลดล็อกจากรีโมตกุญแจ จันทร์เจ้าเอ่ยขอบคุณแผ่วเบาก่อนจะก้าวขึ้นยังที่นั่งคนขับ

"โอม ฝากบอกคุณย่าด้วยนะว่าเอ๋ยจะมาเยี่ยมอีก แล้วถ้ามีอะไรโอมโทรหาเอ๋ยได้ตลอดเวลาเลยนะ" เธอหันไปบอกเพื่อนสนิทที่อุตส่าห์ลงมาส่ง

"ขอบใจมากนะเอ๋ย" ชานนยิ้มรับไมตรี

นิมมานกำลังจะเอ่ยปากให้คนรักขับรถดีๆ ทว่าเจ้าหล่อนก็ดึงประตูปิดเสียก่อน ชายหนุ่มหน้าม้านไปพลางก้าวถอยหลัง หลังรถคันเล็กเคลื่อนออกไปโดยเจ้าของไม่ใส่ใจคำร่ำลาจากเขาสักคำ

"เฮ้ย อะไรกันวะ ทำไมเอ๋ยดูตึงๆ กับแกอย่างนั้น"

คนที่รู้แก่ใจดีได้แต่นิ่วหน้าตรึกตรองบางอย่างในใจ จันทร์เจ้าไม่เคยเป็นแบบนี้ เขารู้ว่าเธอโกรธ เจ็บปวดกับเรื่องเมื่อวาน ซึ่งนั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการเลย

เขาอยากเห็นเธอยิ้ม หัวเราะอย่างมีความสุข ยังอยากเป็นเพื่อนกับเธอเช่นที่เป็นมา แต่ถ้าความรักที่ผูกมัดกันไว้ทำให้หญิงสาวเจ็บช้ำ เขาก็ยินดีมอบอิสระแก่กันจนกว่าทั้งเขาและเธอจะสบายใจ

"ฉันไม่ดีกับเอ๋ยเองว่ะ"

ชานนหันขวับมองผู้ที่ยอมรับง่ายๆ พร้อมกับเสียงปฏิเสธดังขึ้นในใจ ถ้าจะมีใครสักคนดีกับจันทร์เจ้าเสมอมาก็คงเป็นเพื่อนเขาคนนี้ อาจเว้นแต่เวลานี้เท่านั้นที่นิมมานให้ความสนใจคนรักน้อยลง แต่เขาเชื่อว่าความดีและความรักที่ทั้งสองมีต่อกันจะรักษาความสัมพันธ์ของพวกเขาไว้ได้อย่างแน่นอน

"คนเรามันทำผิดกันได้เว้ยนนท์ แต่ถ้ารู้ตัวแล้วแกก็ต้องแก้ปัญหาให้ถูกจุด"

นิมมานตบไหล่เพื่อนแทนคำบอกลา เขาเดินไปขึ้นรถที่จอดไว้อีกฟากฝั่งของลานกว้าง พร้อมกับเรื่องของหญิงสาวที่อาจกำลังรอคอยตนอยู่จะค่อยๆ แทนที่เข้ามาในความคิดคำนึง

.............................

ห้องสงบเงียบ ไร้ผู้คนราวกับว่าห้องชุดนี้ไม่เคยมีหญิงสาวอีกคนอยู่ด้วยส่งผลให้ผู้ที่กลับมาถึงผ่อนลมหายใจ ความสนุก น่าตื่นเต้นที่เขาหามาให้เธอ ไม่นานก็ถูกแทนที่ด้วยความหมองเศร้าดังเดิม

นิมมานมองกล่องโฟมครึ่งใบในมือ ด้านบนเป็นขนมครกหน้าต่างๆ ที่เขาซื้อมาฝากเธอขณะรถติดไฟแดง ก่อนสายตาคมเข้มจะเคลื่อนมองหญิงสาวที่นั่งพับเพียบมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเหม่อลอยในห้องนอน ข้างกายเธอมีหนังสือนิยายเล่มหนาวางอยู่ใกล้มือ

เขาเดินไปนั่งลงเงียบๆ ข้างเธอพลางวางกล่องขนมครกไว้ตรงหน้า เรียกสายตาเหม่อลอยให้หันมอง

"ไม่รู้ว่าขนมครกจะพอแทนคำขอโทษได้ไหม แต่ต่อไปผมจะไม่รื้อฟื้นเรื่องที่คุณไม่ต้องการอีกแล้วนะนิด"

เขายังไม่ลืมว่าบทสนทนาบนโต๊ะอาหารเมื่อเช้าจบลงอย่างไร แม้กระทั่งทุกเรื่อง ทุกเหตุการณ์นับแต่พบเธอครั้งแรก เขาก็ไม่เคยลืม

ประณีตยิ้มเศร้า เธอก็มีความผิดเช่นกันที่พูดจาเอาแต่ใจกับเขา และยังลุกออกมาอย่างที่ถ้าคุณพ่อรู้ เธอคงได้ลิ้มรสก้านมะยมกันบ้าง

"ขอบคุณค่ะที่กรุณาเข้าใจ เมื่อเช้าดิฉันก็มีความผิดเหมือนกัน"

"งั้นเรานึกถึงแต่เรื่องดีๆ ดีไหม สักวันถ้านิดกลับไป ผมอยากให้นิดจดจำแต่เรื่องราวดีๆ"

รวมทั้งตัวเขา... หากชายหนุ่มไม่ได้เอ่ยออกไป

"เริ่มจากของอร่อยเป็นไง"

นิมมานส่งขนมครกชิ้นหนึ่งให้เธอ ประณีตรับมาพร้อมรอยยิ้มสดใส เมื่อได้ลิ้มรสหน้าสีเหลืองจึงทราบว่าเป็นฟักทอง หอมมันสมคำกล่าวของเขาจริงๆ

หญิงสาวมองอีกฝ่ายที่เปิดฝาขนมครกคู่อื่นออกดูราวค้นหาบางสิ่ง ก่อนจะปิดมันกลับลงดังเดิม เธอนึกสนุกพอที่จะหยิบชิ้นใกล้ตัวขึ้นมาพบว่ามันโรยหน้าด้วยต้นหอม แล้วจึงส่งให้เขาซึ่งเลิกคิ้วมองมาอย่างแปลกใจ

"ดิฉันเห็นคุณหาบางสิ่ง แต่ทุกชิ้นที่เปิดออกดูไม่มีหน้านี้ จึงทายว่าคุณคงหามันอยู่กระมัง"

นิมมานยิ้มกว้างออกมาให้กับความช่างสังเกตของเธอ เขารับไปด้วยความเต็มใจยิ่ง เมื่อขนมครกหน้าต้นหอมคือของโปรดของตน

"ที่แท้คุณออกไปซื้อขนมนี่มาหรือคะ"

นิมมานโคลงศีรษะ "เปล่าหรอกครับ ผมไปเยี่ยมคุณย่าของเพื่อนสนิทที่ป่วยเข้าโรงพยาบาล ย่าของโอมน่ะ คนที่คุณเคยเจอเขาครั้งหนึ่ง"

สรรพนามนั้นบ่งบอกว่าผู้ที่ถูกเรียกว่า 'ย่า' คงมีอายุไม่ห่างจากยุคสมัยของเธอเท่าใด ทำไมเธอไม่นึกได้ก่อนหน้านี้นะว่าควรถามไถ่เหตุการณ์ในอดีตจากผู้เฒ่าผู้แก่ หัวใจสาวโลดแรงขึ้นเมื่อตนมีปัญญาคิดหาทางได้เสียที

"ดิฉันอยากพบคุณย่าของเพื่อนคุณค่ะ" เธอเอ่ยโพล่งออกมาในที่สุด

ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอแผ่วเบา ก่อนจะย่นคิ้วด้วยความประหลาดใจ

"ผมถามเหตุผลได้ไหม"

"ดิฉันอยากพบคนรุ่นเดียวกัน เราอาจพูดจากันเข้าใจว่าเกิดเหตุการณ์อะไรต่อจากนั้น คุณย่าของเพื่อนคุณคงอ่อนกว่าดิฉันอีกนะคะ ก็ดิฉันอายุตั้งหนึ่งร้อยกว่าปีมาแล้ว"

"โธ่ นิดครับ อย่าย้ำเรื่องอายุซี"

ประณีตกลั้นยิ้มขันตาพราวเมื่อได้เห็นท่าทางอ่อนอกอ่อนใจเอาเสียจริงๆ ของเขา

"มีแต่คนกลัวแก่ แล้วทำไมคุณจึงกลัวเด็กเล่าคะ" เธอเย้ามาอีกให้ได้อาย

มีคำตอบหนึ่งผุดขึ้นมากลางใจชายหนุ่ม หากเขาก็รีบปัดทิ้งราวมันเป็นของร้อน โดยเฉพาะในเวลาที่ไม่เหมาะสมเช่นนี้

นิมมานต้องแสร้งวางหน้าขรึมกลบเกลื่อนความรู้สึกในใจ พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง

"ถ้านิดแกล้งผมอีกล่ะก็ พรุ่งนี้ผมไม่พาไปจริงๆ ด้วย"

หญิงสาวยิ้มกว้างด้วยความดีใจ ไม่รู้ว่าเธอคาดหวังไปหรือไม่ แต่ก่อนจะพานพบกับความผิดหวัง ไม่เป็นดั่งใจ ก็ขอให้แน่ใจว่าได้พยายามแล้วจนสุดกำลังความคิด ความสามารถของตน

"คุณย่าของเพื่อนผมคนนี้ท่านใจดีมาก ตอนนี้ท่านไม่สบาย นิดคงพูดจากับท่านได้ไม่นาน แต่ถ้าท่านได้รู้จักนิดแล้ว ไว้ท่านหายเมื่อไรผมคงพานิดไปพบได้อีกบ่อยๆ"

"ค่ะ ดิฉันสัญญาว่าจะไม่รบกวนท่านเกินงาม"

นิมมานมองรอยยิ้มสมหวัง ดวงตาเป็นประกายแห่งความสุขของคนตรงหน้าอย่างลานตาลานใจ หัวใจชายหนุ่มพองโตคับอกอย่างที่ไม่เคยมีใครมีอิทธิพลต่อความรู้สึกเขามากเท่านี้มาก่อน และมันไม่สมควรเลยที่ความรู้สึกนั้นเกิดขึ้นกับเธอ ผู้ที่เขารู้ดีว่าเธอนับวันรอจะจากไป

.........................................

จะมีใครสงสัยไหมว่าคุณย่าเกี่ยวข้องกับนิดยังไง
แพรวว่าคงสงสัยเพราะเราสปอยล์นี่แหละ 55



ภาพิมล_พิมลภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 31 ต.ค. 2557, 15:43:45 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 31 ต.ค. 2557, 15:43:45 น.

จำนวนการเข้าชม : 1298





<< บทที่ ๖   บทที่ ๘ >>
lookpud 31 ต.ค. 2557, 20:20:41 น.
คุณย่าต้องมีข้อมูลอะไรแน่นอน


แว่นใส 31 ต.ค. 2557, 21:39:55 น.
พี่หรือน้องอารี เพื่อนนิดหรือเปล่า


ภาพิมล_พิมลภา 31 ต.ค. 2557, 23:39:55 น.
คุณlookpud - คุณย่าเป็นอีกหนึ่งตัวละครสำคัญเลยค่ะ

คุณแในใส - อารีมีพี่ชายคนเดียวคือเอื้อค่ะ แต่คุณย่าเป็นใครคงต้องคำนวณอายุนิดนุง แพรวยังมึนเลย 55


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account