บ้านนราธร (ภาคต่อของทรัพย์สิดีฯ)
ถ้าใครเคยอ่านทรัพย์สิดี ชื่อนี้ที่ผมรัก นี่คือภาคต่อ ที่มีตัวละครคือลูกๆทั้งสามค่ะ การแหกกฏของตระกูลนราธรได้เริ่มขึ้นในรุ่นนี้ มีตัวเอก 3 คน คือ นรนทร์ ลูกชายคนโต ที่ไม่ต้องการดูแลบริษัท นราธิป ลูกชายคนรองที่ไม่ได้เป็นที่คาดหวังของใคร และสิดาริน ลูกสาวคนเล็กของบ้านที่คุณย่าต้องการให้สวยสมบูรณ์แบบ แต่เธอกลับแก่นเซี้ยว ห่างไกลคำว่ากุลสตรี
แล้วบ้านนราธร รุ่นที่ 5 จะเป็นอย่างไร
ปฏิบัติการความเป็นแม่ของทรัพย์สิดี เริ่มขึ้นแล้ว
แล้วบ้านนราธร รุ่นที่ 5 จะเป็นอย่างไร
ปฏิบัติการความเป็นแม่ของทรัพย์สิดี เริ่มขึ้นแล้ว
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: (12)สะกดรอย
ตอนที่ 12
22 มกราคม วันจันทร์
สมุดบันทึกที่รัก
ฉันสอบท่องอาขยานผ่านแล้วล่ะ เย้! คราวนี้ฉันได้นั่งสอบคนเดียว ไม่มีเพื่อนมานั่งล้อมให้ฉันคอยแหย่เล่นด้วยอีกแล้ว แถมคราวนี้ฉันนั่งพับเพียบ กุมมือ เรียบร้อยสุดๆ กระโปรงก็รีดจับจีบอย่างสวยงาม ถุงเท้านี่ไม่ต้องพูดถึง ขาวสะอาดจนแสบตาเลยทีเดียว แถมวันนี้คุณแม่ก็ถักผมปียสองข้างสวยงามเป็นพิเศษพอรู้ว่าฉันต้องสอบซ่อมท่องอาขยานวันนี้ พอถึงเวลาสอบจริง ทุกเสียงที่ฉันเปล่งออกมา ขอบอกเลยว่า 'กระแดะ' สุดๆ เพื่อให้การสอบนี้ลุล่วงไปด้วยดีนั่นเอง แล้วในที่สุดก็เป็นอย่างไรล่ะ ฉันสอบผ่านนนนนนนนน!!! ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั้นจริงๆ เย้!
เย็นวันนี้ฉันเลยนัดกับแพรวา ว่าเราจะไปฉลองที่ร่้านไอศกรีมแถวโรงเรียนกัน แต่อยู่ดีดีแพรวากลับบอกว่าไม่ว่าง มีธุระหลังเลิกเรียน ฉันก็เศร้าอีกละ ทีอยู่ดีดีมาถูกทิ้ง เพราะตอนเย็นเราสองคนมักจะทำอะไรด้วยกันมาตลอด จะแยกกันก็ต่อเมื่อกลับบ้านเท่านั้น ถ้ามีธุระอะไรกับทางบ้าน แพรวาก็มักจะบอกตรงๆ แต่คราวนี้กลับเงียบไม่บอกอะไรเลย ฉันถามว่าธุระอะไรหรือ หล่อนก็ตอบสั้นๆว่า ไม่มีอะไรสำคัญหรอก ทำให้ฉันยิ่งสงสัยเข้าไปมากขึ้นอีก แถมช่วงนี้ฉันก็ค่อนข้างถูกคนในบ้านทอดทิ้ง นี่ฉันยังต้องมาถูกเพื่อนสนิททิ้งกันอีกหรือนี่ ไม่นะ!
ด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ ฉันเลยแอบสะกดรอยตามแพรวาหลังเลิกเรียน ตอนแรกคิดว่าแพรวาอาจจะกลับเอง หรือพ่อมารับ ปรากฏว่าไม่ใช่ พอฉันแกล้งแยกย้ายกับเธอที่ใต้ถุนตึก ฉันก็ขึ้นรถลุงชม แล้วทำทีให้ลุงขับออกจากรั้วโรงเรียนไปเล็กน้อย ตอนแรกแพรวาไปเข้าห้องน้ำ แต่พออกจากห้องน้ำมาแล้วไม่เจอรถฉัน หล่อนก็เดินไปทางหลังโรงเรียนเฉยเลย ฉันจึงรีบลงจากรถ บอกลุงชมให้รอสักครู่หนึ่ง แล้วสะกดรอยตามเพื่อนซี้ไป ปรากฏว่าแพรวามาที่หลังโรงเรียน ในส่วนที่เป็นลานอเนกประสงค์ซึ่งเอาไว้ทำกิจกรรมต่างๆ และฉันก็ได้เห็นว่าหล่อนอยู่รวมกลุ่มกับเหล่าเชียร์ลีดเดอร์ ที่กำลังปล่อยชายเสื้ออกนอกกระโปรง ถอดถุงเท้า และเตรียมซ้อมกันนั่นเอง อะไรนะ!!! แพรวาจะเป็นเชียร์ลีดเดอร์!!! หล่อนไม่เคยพูดเรื่องนี้กับฉันสักครั้งเดียวเลยนะ!!! แพรวาอยากเป็นปอมๆ ตั้งแต่เมื่อไรกัน!!! แล้วถ้าต่อตัวแล้วตกลงหัวกระแทกพื้นล่ะ ไม่นะ!!!
ความคิดฉันยังวนเวียนอยู่อย่างนั้น ทั้งโกรธที่เพื่อนไม่บอกความจริง ทั้งเสียใจที่ถูกทิ้ง อีกอย่างนะ...เชียร์ลีดเดอร์เลยนะ!!! นี่มันคือกลุ่มสาวสวยขั้นเทพของโรงเรียนเลยนะ พวกหล่อนอยู่คนละสังคมกับเราชัดๆ พวกหล่อนเป็นชนกลุ่มน้อย เป็นพริตตี้ เมื่อก่อนเวลามีกีฬาสีระหว่างโรงเรียน ฉันกับแพรวามักจะนั่งตัวดำ แดดร้อนเปรี้ยงบนอัฒจรรย์ แล้วคอยวิพากษ์วิารณ์ พวกลีดเดอร์ไม่ก็สาวๆดรัมเมเยอร์กันจนสนุกปาก ไม่เคยเห็นแพรวาจะมีท่าทีสนใจอยากเป็นอะไรแบบนั้นเลยสักที โอ๊ย แปลกจริง! เกิดอะไรขึ้นกับหล่อนล่ะเนี่ย
ฉันหลบอยู่หลังเสาต้นหนึ่งแอบมองดูเพื่อนของฉันกำลังกรีดกรายมือ มันไม่ธรรมดาละ แพรวากรีดกรายได้สวยงามเสียด้วย โอ๊ยยยยยย เอ๊ะ แล้วฉันจะไปเดือดร้อนทำไมนะว่าหล่อนจะกรีดสวยไม่สวย แต่ก็นั่นแหละ ฉันคิดได้ถึงตรงนี้ พี่ดีน่าก็โผล่มาในมือถือคฑาดรัมเมเยอร์ ใบหน้าสวยเด้งตามเคย นี่ก็ตัวแม่แห่งวงการนางฟ้าของโรงเรียนอีกคน ฉันมายืนทำอะไรตรงนี้เนี่ยยยย
“มาแอบทำอะไรอยู่ตรงนี้จ๊ะดาริน" พูดเสร็จก็ส่งยิ้มสวยบาดใจให้ฉัน ฉันเลยบอกไปเรื่องถูกเพื่อนสนิทยกเลิกนัดไปกินไอศกรีม พี่ดีน่าผู้แสนดีเลยบอกว่าเธอซ้อมเสร็จแล้วและจะพาฉันไปฉลองเอง ฉันเลยได้ลิ้มลองไอศกรีมจากร้านใหม่ล่าสุดที่เพิ่งนำเข้า ขอบอกเลยว่ารสช็อกโกแลตนี่อร่อยสุดๆ เสียอย่างเดียวราคาแพงหูฉี่ ไม่สบายกระเป๋าสตางค์ใบเล็กๆของนักเรียนมัธยมอย่างฉัน แต่มื้อนี้อิ่มจังตังค์อยู่ครบ เพราะพี่คนสวยของฉันจ่ายให้หมดเลย โชคดีจริงๆ พี่ดีน่าชวนฉันคุยนู่นนั่นนี่ พี่บอกว่าเหลือเวลาอีกหนึ่งเดือนก็จะถึงงานกีฬาสีระหว่างโรงเรียนชาย-หญิง ซึ่งเป็นงานที่ยิ่งใหญ่และเป็นงานที่นักเรียนทุกคนเฝ้ารอมาตลอดปี (ฉันแอบคิดในใจว่า คนที่เฝ้ารอน่าจะมีแต่ชนกลุ่มน้อยนะคะ หนูนึกภาพเวลาที่ต้องขึ้นแสตนด์เชียร์ แดดร้อนเปรี้ยง แล้วคิดไม่ออกว่า อยากเฝ้ารอให้ถึงงานตอนไหน)
“คงสนุกดีนะคะ พี่ดีน่าเป็นดรัมเมเยอร์สามปีซ้อนแล้ว ยังไม่เบื่องานนี้อีกหรือคะ ปีนี้แพรวาก็ไปเป็นเชียร์ลีดเดอร์อีก นึกสนุกอะไรขึ้นมาก็ไม่รู้ นี่ก็คงอยากให้ถึงงานอีกคน รินเลยต้องขึ้นแสตนด์เชียร์คนเดียวเลย อดนินทา...เอ้ย" ดีที่ฉันยั้งปากตัวเองทัน แล้วฉันก็นึกขึ้นได้ว่ามีอีกคนที่รอห้ถึงงานนนี้ พี่ธิป ไงล่ะ กัปตันทีมบาสโรงเรียนชายคนล่าสุด เชอะ ช่วงนี้ใครๆก็มีเป้าหมายของตัวเองกันทั้งนั้น พี่คนโตก็เตรียมไปเรียนต่างประเทศ คนรองก็รอชิงถ้วยบาสชนะเลิศ พีดีน่าก็รอปรากฏตัวสวยควงคฑา ยัยแพรวาก็รอคอยกรีดกรายมือโชว์เสต็ป แล้วฉันล่ะ ทำไมฉันถึงเป็นเด็กรุ่นนี้คนเดียว ที่ไม่มีเป้าหมาย ไม่มีความสำคัญใดใดเลยของสังคม แล้วชั้นล่ะะะะะ ตอนนั้นฉันคิดวุ่นวายอย่างนั้นจริงๆ คุณแม่รู้ดีไงว่าฉันเป็นคนฟุ้งซ่าน เลยซื้อสมุดไดอารี่ให้ตั้งแต่ฉันขึ้น ม.1 ฉันเลยมาระบายอารมณ์กับสมุดบันทึกตลอดมา
ฉันเลยถามพี่ดีน่าไปว่า "แล้วพี่จิตรินล่ะคะ งานกีฬาสีปีนี้ต้องแข่งอะไรไหม" พี่จิตรินเป็นน้องชายของพี่ดีน่า เรียนอยู่รุ่นเดียวแต่คนละห้องกับพี่ธิป ฉันไม่ค่อยรู้เรื่องพี่จิตรินเท่าไรหรอก พี่เขาเป็นคนเงียบๆ นิ่งๆ ไม่ค่อยมาเล่นที่บ้านฉันเหมือนพี่ดีน่า เวลาเราเจอกัน ก็ไม่ค่อยได้คุยกันนัก แต่รู้ว่าเขาเรียนเก่งมากล่ะ ได้ที่หนึ่งของชั้นปี แล้วก็บ้าบอลค่อนข้างมาก คือฉันเจอพี่จิตรินกี่ทีๆ ก็ใส่แต่กางเกงบอลน่ะ
พี่ดีน่าหัวเราะ ขนาดหัวเราะยังสวย...”ตรินน่ะเหรอ รายนั้นเขาเป็นพวกจริงจังกับชีวิต แข่งฟุตบอลมาทุกปี ยิงประตูชนะทุกปี ปีนี้เลยได้เลื่อนเป็นกัปตันทีม เหมือนธิปไง ธิปไม่เคยเล่าเหรอจ๊ะ จริงๆเขาก็สนิทกันพอสมควรนะ"
ฉันกรี๊ดในใจเบาๆ ขนาดพี่ตรินที่ดูเงียบๆ เรียบๆ ยังมีหน้ามีตาในสังคม เป็นบุคคลสำคัญ มีเป้าหมายที่ต้องทำในชีวิต แล้วฉันล่ะ เด็กสาวอายุ 16 ปี สอบอาขยานสองรอบถึงจะผ่าน และมีหมาต้องเลี้ยงดู ออกงานสังคมตามคำสั่งคุณย่า ฉันมีค่าแค่นี้จริงๆหรือ ทำไมชีวิตมันเศร้าจังแฮะ ฉันเลยคิดว่าจะเข้าไปคุยกับพี่แก้ว ประธานงานกีฬาสีของปีนี้ ว่าฉันจะขอทำอะไรสักอย่าง แต่จะเป็นอะไรดีล่ะ...
อ้อ มีอีกเรื่องหนึ่งที่พี่ดีน่าเล่าให้ฟัง ก็คือเรื่องที่ว่าปีหน้าพี่จะไปเรียนต่อที่อังกฤษล่ะ จะไปเรียนเกี่ยวกับงานดีไซน์ เหมือนคุณน้าหนูเล็กเลย พี่ดีน่ากลัวว่าจะเหงา และกลัวว่าจะปรับตัวในช่วงแรกไม่ได้ เลยอีเมลไปหาพี่ซันขอคำแนะนำ และฝากตัวเป็นรุ่นน้องนักเรียนอังกฤษ...
ชีวิตพี่ดีน่า นี่มีอะไรไม่ดีไม่งามบ้างน้า...เป็นดรัมเมเยอร์ เป็นนักเรียนอังกฤษ...เหมือน...พี่ซัน...
....ฉันคงต้องไปคุยกับพี่แก้วให้เร็วที่สุด
ปล. คุณแม่หายไปไหนทั้งวันไม่รู้ เพิ่งกลับมาเมื่อกี้ ซึ่งมันก็ดึกมากแล้ว กลับมาก็ดูเพลียๆ หน้าตาหมองๆพิกล แล้วก็ขึ้นห้องนอนไปโดยไม่พูดไม่จากับใคร ส่วนคุณพ่อเหรอ ตอนนี้ยังไม่กลับเลย คุณปู่กับคุณย่าไปออกงานการกุศล พี่คนโตอ่านหนังสือสอบ พี่คนรองหลับแต่หัวค่ำ เพราะซ้อมบาสหนัก เหลือฉันกับวิดเจี้ยน ที่ทานข้าวเย็นพร้อมกัน...แล้วก็พี่ส้มเช้งที่มาช่วยเตรียมอาหารให้หมาของฉัน น่าเบื่อที่สุด!!!
โอ๊ะ นั่นเสียงคุณแม่มาเรียกฉันที่หน้าประตูนี่นา...มาทำไมนะตอนนี้....จะมาขอนอด้วยรึเปล่านะ...แค่นี้ก่อนนะสมุดบันทึก
สิดาริน
Reply: Consul Sun
Re: ถึงน้องริน
สวัสดีค่ะพี่ซัน
อากาศที่นี่เย็นกำลังดีค่ะ ปีนี้หนาวนานกว่าเคยค่ะ แต่รินชอบอากาศหนาวๆค่ะ ชอบฝันว่าตัวเองอยู่ในช่วงเทศกาลคริสต์มาสอย่างในหนังเรื่อง Bridget Jone's Diary ค่ะ พี่ซันรู้จักไหมคะ? เรื่องโปรดของรินเลย เรื่องสอบของริน รินเอาตัวรอดได้ดีในวิชาคณิตศาตร์ สังคม วิทยาศาสตร์ แบบฉิวเฉียด เพราะช่วงนี้ไม่มีใครติวให้ แต่รินดันสอบตกท่องอาขยานค่ะ ต้องสอบสองรอบ แต่ตอนนี้สอบผ่านแล้วค่ะ เหลือรอสอบปลายภาค
วิดเจี้ยนกินเก่งมากเลยค่ะ รินไม่อยากให้มันกินอาหารเม็ด ไม่รู้ว่ามันดีหรือเปล่า เลยให้พี่ส้มเช้งช่วยเตรียมอาหารสดให้ค่ะ แหะๆ ตอนนี้ก็เริ่มขับถ่ายเป็นที่เป็นทางแล้ว แต่ยังชอบกัดอะไรไปทั่ว คุณย่าปรี๊ดแตกตอนวิดเจี้ยนกัดพรมเปอร์เซีย อิอิ แต่รินว่าตลกดี
พี่ซันคงเรียนหนักมากสิคะ แต่ดีแล้วค่ะ คนเรามีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ มีอะไรสำคัญๆในชีวิตให้ทำ คงสนุกและดูเป็นคนมีค่าดีออกค่ะ ไม่เหมือนรินตอนนี้....
ได้ข่าวว่าพี่ดีน่าจะไปเรียนที่อังกฤษ ไปเป็นรุ่นน้องพี่ซัน ดีจังนะคะ พี่ซันคงไม่เหงาแล้วมั้งคะปีหน้า ดีจังเลยค่ะ
สิดาริน
Email sent
“พร้อมยังเธอ คุณจิทัศน์ ออกจากที่ทำงานแล้ว" หนูเล็กโทรมาแจ้งฉันตามแผนที่เรานัดแนะกันไว้
ฉันกำลังเก็บอึของวิดเจี้ยนที่ยังเรี่ยราดอยู่บ้างเป็นบางที หน้าก็มัน ผมก็ยุ่งเหยิงจากการทำอาหารกลางวันให้คุณแม่
“พร้อมๆ ขอเวลาสิบนาที"
หนูเล็กกรีดร้องออกมาจากโทรศัพท์ "สิดี หล่อนยังไม่แต่งตัวอีกเรอะ สายของฉันจากที่ทำงานคุณนรินทร์ บอกว่าคุณนรินทร์ออกจากบริษัทแล้วเหมือนกัน เดี๋ยวฉันขับตามคุณจิทัศน์ไปก่อน แล้วเธอค่อยตามมานะ แค่นี้ล่ะ"
ฉันเลยรีบโกยอ้าวไปแต่งตัว สวนกับคุณแม่ที่หอบเครื่องเพชรออกมาจากห้องนอน
“สิดี มาช่วยแม่เลือกเครื่องเพชรซิ แม่ต้องไปออกงานการกุศลน่ะ"
ฉันละล่ำละลัก "เอ่อคุณแม่คะ...หนูมีธุระด่วนค่ะ ขอตัวก่อนนะคะ" แต่แล้วคุณแม่ก็คว้าแขนฉันไว้ "ไม่นานหรอกสิดี แม่จะใส่กับชุดสีเขียวมรกต ลูกคิดว่าสร้อยเส้นไหนดีจ๊ะ”
ฉัน “...เอ่อ...คุณแม่คะ"
“สิดีลูก นี่เป็นสูทตัวโปรดของพ่อเลย ชายแขนมันลุ่ยน่ะ จัดการให้พ่อหน่อยสิ คนอื่นๆในบ้านสายตาฝ้าฟางไปกันไปหมดแล้ว สอยเข็มไม่เข้า ฮ่าๆๆๆ" คุณพ่อโผล่มาขอความช่วยเหลืออีกคน ฉันเลยน้ำท่วมปาก พูดไม่ออก โอ๊ยยยย อุปสรรคมันมีตั้งแต่เริ่มเลยเหรอเนี่ย ฉันเลยก้มหน้าก้มตาทำหน้าที่ลูกสะใภ้ที่ดีให้เสร็จ แล้วเริ่มปฏิบัติหน้าที่ของเมียหลวง เอ๊ะ อะไรนะ ไม่ใช่สิ ฉันยังไม่รู้แน่เลย ว่าคุณนรินทร์มีอีหนูจริงหรือเปล่า นั่นล่ะ กว่าฉันจะเรียกแท็กซี่แล้วไปหาหนูเล็กตรงจุดที่หล่อนจอดรถสะกดรอยตามสามีทั้งสองของเราไว้ ก็เป็นเวลาร่วมชั่วโมง พอไปถึงฉันก็เห็นหนูเล็กในชุดทันสมัยเปรี้ยวจี๊ดลืมอายุตามเคย กับแว่นกันแดดยี่ห้อแพงรุ่นล่าสุด ยืนด้อมๆมองอยู่ตรงเสาไฟฟ้าหน้าปากซอยหนึ่ง มีรถหรูราคาแพงของหล่อนจอดอยู่ไม่ห่าง เอ่อ...คือนี่สะกดรอยตาม หล่อนยังทำตัวเด่นเช่นเคย พอเห็นฉัน หล่อนก็เอ็ด
“ยัยสิดี นี่หล่อนมัวทำอะไรอยู่ ช้าอย่างนี้ พวกเสือสิงกระทิงแรด ก็คาบสามีหล่อนไปกินจนเหลือแต่กระดูกหรอกย่ะ ชั้นรอเธอจนเหงื่อท่วมตัวแล้วนะ"
ฉันรีบจ่ายเงินแท็กซี่แล้วเดินไปหาหล่อน "เอาเถอะน่า ได้ความว่าไงบ้างล่ะ นี่ก็จะเย็นแล้ว ฉันต้องรีบไปเตรียมอาหารเย็นให้ลูกๆ" ฉันพูดเสียงอ่อย ฉันคิดไปคิดมาตอนอยู่บนแท็กซี่ ว่าการที่ฉันเอาเวลามาคอยสะกดรอยตามสามีแบบนี้ มันไร้สาระ และเสียเวลามากๆ ฉันเอาเวลาคุณภาพแบบนี้ไปเลี้ยงดู และให้กำลังใจลูกๆในสิ่งที่พวกเขาต้องทำไม่ดีกว่าหรือ ฉันไม่อยากทำตัวแบบพวกผู้หญิงที่เกาะติดสามีไปตลอดหรอก สามีเราจะเป็นอย่างไรก็ช่างเขาเถอะ ถ้าเรารักและซื้อสัตย์กับเขามาอย่างดีที่สุดแล้ว แต่สิ่งสำคัญและมีค่าที่สุดอีกอย่างหนึ่งของผู้หญิงก็คือลูกๆนั่นเอง พวกเขาขาดแม่ ไม่ได้หรอก
หนูเล็กท้าวสะเอว "นี่เธอเพิ่งมา ก็จะกลับเสียแล้ว อะไรของเธอ ยัยสิดี นี่แหละซอยนี้ ที่คุณจิทัศน์กับคุณนรินทร์ขับรถเข้าไป แต่ฉันตามมาไม่ทันดูว่าจอดที่บ้านหลังไหน เลยไม่กล้าเสี่ยงเดินเข้าไปหา"
แล้วเราสองคนก็สวมแว่นตาดำพร้อมกัน พยักหน้าให้กัน ก่อนจะจูงมือเข้าไปตามล่าหาสามีของตัวเอง นี่ฉันมาทำบ้าอะไรเนี่ยยยยยยย ซอยที่เราเดินเข้าไป เป็นซอยตัน ขนาบไปด้วยบ้านทาวน์เฮ้าส์ขนาดเล็ก ดูน่าอึดอัดเป็นที่สุด บริเวณหน้าบ้านเพียงพอแก่การจอดรถเก๋งแค่หนึ่งคันเท่านั้น แต่ส่วนมาก็เอาไว้จอดรถมอเตอร์ไซค์ และตากผ้ากันเต็มหน้าบ้าน เราดินหารถของสามีเราทั้งสองจนสุดซอยก็หาไม่พบ
“เป็นไปได้ยังไง รถของสองคนนั้นออกจะคันใหญ่ขนาดนั้น จอดตรงไหนฉันต้องเห็นสิ นี่ไม่มีเลย" หนูเล็กระเบิดอารมณ์
ฉันมองนาฬิกาข้อมือ เกือบจะหกโมงเย็นแล้ว เด็กๆคงกลับมากันหมดแล้ว ไม่รู้พี่ๆในครัวหาอะไรให้ทานกันบ้าง
“เธอจำผิดซอยหรือเปล่า ดูรถไม่ผิดคันแน่นะ"
หนูเล็กหน้านิ่วคิ้วขมวด จริงๆหนูเล็กเป็นคนอารมณ์ดี และเป็นคนมองโลกแง่บวกมากนะ ถึงแม้เธอจะเหวี่ยงอะไรที่มันไม่น่าพอใจก็ตาม แต่ตอนนี้ฉันรับรู้ได้เลยว่าหล่อนขี้หงุดหงิดและอารมณ์รุนแรงขึ้นมากหลายเท่า
“คือฉันข้บตามรถคนนึงที่คิดว่าเป็นของคุณจิทัศน่ะ แล้วขับตามไม่ทันตรงหัวโค้ง แต่เห็นแว่บๆว่าเข้ามาซอยนี้ หรือ ฉันจะดูพลาดไป...”
ฉันถอนหายใจ พอเถอะ เราสองคนอาจจะไม่เหมาะกับอะไรแบบนี้ก็เป็นได้ ปล่อยพวกเขาไปเถอะ สามีเราน่ะ ให้เขาได้คิดเองว่าอะไรถูกและอะไรผิด
ฉันลูบมือเพื่อนเรา "กลับกันเถอะ ลูกๆรอเราอยู่ ถ้าไม่มีเรา ลูกๆยิ่งไม่มีใครดูแลนะ ปล่อยพวกผู้ชายไปเถอะ" แต่ขณะที่ฉันกำลังพูดเตือนสติ รถคุณจิทัศน์ก็ขับผ่านซอยที่พวกเรายืนอยู่ออกไปต่อหน้าต่อตา หนูเล็กตาโต ตัวแข็งทื่อ
“ทะเบียนนี้ล่ะ ชัดเจน ตามไปกันเถอะสิดี หนอย...ตาแก่..." หล่อนกระชากแขนฉันขึ้นรถ แล้วหล่อนก็ขับทะยานออกไปจนฉันคิดว่าตัวเองกำลังอยู่ในหนัง สปีด ที่มีคีอานู รีฟ เป็นพระเอก ฉันแทบจะลืมหายใจ และได้แต่สวดมนต์เพราะกลัวเอาชีวิตไม่รอด ส่วนหนูเล็ก็กระเหี้ยนกระหือรือในการขับตามรถสามีมาก...ฉันเห็นจากระยะไกล ว่ามีผู้ชายอีกคนนั่งอยู่ที่เบาะข้างหน้า แล้วฉันก็สะดุดใจอะไรบางอย่าง
“หนูเล็ก...” ฉันอุทานเสียงแหบห้าว เริ่มกังวลว่าสิ่งที่ตัวเองคิดจะเป็นจริง "เขาสองคนเป็นเกย์กันหรือเปล่าน่ะ!”
หนูเล็กโหยหวนเสียงดัง นี่หบ่อนกลายเป็นชะนีไปแล้วจริงๆ "จะบ้าเหรอสิดี เธอจะบ้าไปใหญ่แล้ว เป็นเกย์เนี่ยนะ!!!”
หล่อนด่าว่าฉันบ้า โดยที่ไม่ดูตัวเองเลยเนี่ยนะ "แล้วเขาสองคนจะไปไหนล่ะ งงมั้ เขาสองคนนัดมาเจอกันที่ซอยหนึ่ง แล้วขับรถออกไปสองคน เหมือนเสี่ยขับพาอีหนูออกไป...” ฉันพูดยังไม่จบ เราสองคนก็ต้องอึ้ง พูดกันไม่ออก อ้าปากหวอกันไปนานเลยทีเดียว เงียบจนฉันแทบจะได้ยินเสียงน้ำลายหยดออกจากมุมปากของหนูเล็ก เมื่อเห็นว่าคุณจิทัศน์ขับรถเลี้ยวเข้าไปในร้านที่ติดป้ายใหญ่โตว่า "อาบ อบนวด" กว่าจะรู้สึกตัว ก็ต้องรอให้รถคันหลังบีบแตเสียงดังระเบิดหู
หนูเล็กขับรถผ่านร้านไปแบบเลื่อนลอย เราสองคนนิ่งเงียบกันไปนานแสนนาน ฉันก็ไม่รู้จะพูดะไร แล้วน้ำตาก็เริ่มตกใน มันเป็นความรู้สึกร้องไห้ออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจที่ไม่สามารถบรรยายออกมาได้จริงๆ หนูเล็กขับรถไปไหนก็ไม่รู้ได้ ตอนแรกเหมือนเธอจะขับวนเป็นวงกลม พอได้สติ เธอก็หยิบโทรศัพท์หาลูกสาวกับลูกชาย บอกว่าวันนี้จะกลับบ้านช้า แล้วพาฉันไปที่ร้านเสื้อผ้าสุภาพบุรุษร้านหนึ่งซึ่งมีเพื่อนสนิทในวงการแฟชันของเธอเป็นเจ้าของ
“ใส่ของพวกนี้ซะ นี่เบลล่า ฉันของยืมวิกด้วย เร็วเข้าอย่าชักช้า" หนูเล็กเรียกเจ้าของร้านร่างสูงชะลูด ดูสำอางค์ และมีหนวดเคราเซอร์ๆ ว่าเบลล่า ซึ่งมารู้ที่หลังว่าจริงๆชื่อ เบน มาก่อน
“ปลอมตัวงั้นเหรอ จะเอาจริงๆเหรอเนี่ย" ฉันยังลังเล แต่ก็อยากเห็นเหมือนกันว่าสองคนนัน้นเข้าไปนั่งเฉยๆ หรือไปทำอะไร
“ตอนนี้ฉันโมโหสุดขีดแล้วนะสิดี ไม่มีใครยับยั้งฉันได้ ถ้าเธอไม่อยากเข้าไป ก็รออยู่นี่กับเบลล่าแล้วกัน อย่าให้ฉันพ่นไฟออกมาได้นะ ฉันพ่นออกไปนานแล้วโว้ยยยยย อีตาจิทัศน์ ตาคนไม่รู้จักพอ คุณนรินทร์ของเธอก็พอกันนั่นแหละ หยุดมองโลกแง่ดีได้แล้วยัยโลกสวยสิดี! นี่เบล่ลา หล่อนไม่ต้องถามอะไรฉันทั้งนั้น เอาของมาให้ แล้วกลับไปทำงานเงียบๆไป๊"
ฉันได้แต่ฟังหนูเล็กพล่ามอะไรไม่รู้ หัวสมองฉันมึนตึ้บไปหมด เพื่อนฉันเสียสติไปแล้ว ส่วนฉันอีกไม่นานก็คงอาการเดียวกัน มารู้ตัวอีกที ฉันก็นั่งอยู่บนโซฟาตัวหนึ่ง ใส่ชุดสูทผู้ชาย วิกผมสั้น และติดหนวด (เบลล่ายืนยันให้ฉันติดหนวด ไม่อย่างนั้นฉันจะเหมือนตุ๊ดเด็ก อันนี้เธอบอก) เบื้องหน้าคือตู้กระจกที่มีสาวๆหน้าสวย หุ่นอวบอัด นั่งเรียงกันติดเบอร์ที่หน้าอก แต่สิ่งที่เราสองคนมองกลับไม่ใช่สาวๆพวกนั้น แต่เป็นตาแก่ไม่รู้จักพอสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาอีกมุมหนึ่งของห้องเช่นกัน อย่างน้อย ฉันก็ยังดีใจที่สองคนนั้นไม่ได้เรียกผู้หญิงไปนั่งกินเหล้าด้วย และไม่ได้เลือกผู้หญิงคนไหนในตู้กระจกแล้วหิวขึ้นชั้นบนไป แต่นี่ฉันกับหนูเล็กก็มานั่งที่นี่เกือบจะสองชั่วโมงแล้ว สองคนนั้นก็ยังคงนั่งรากงอกไม่ไปไหนสักที ได้แต่ดื่มเบียร์แล้วมองซ้ายมองขวา และมองในตู้กระจกบ้างบางครั้ง
“มาทำบ้าอะไรกันเนี่ย ตาแก่เอ๊ย เสียเวลาชะมัด จะทำอะไรก็ทำสักทีสิ จะได้จัดการให้มันเสร็จๆไป อยู่นานฉันชักจะอึดอัดแล้วนะ" หนูเล็กพูดรอดไรฟัน
ฉนมองนาฬิกา โอ๊ย จะสี่ทุ่มแล้ว ฉันมานั่งทำหอกหักอะไรที่นี่เนี่ย "นั่นสิ ยัยแม่เล้าก็เดินมาเทียวไล้เทียวขื่อจะให้เราเรียกเด็กอยู่ได้ ฉันให้เวลาอีกครึ่งชั่วโมง ไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็เดินเข้าไปประชิดตัวเลยแล้วกัน"
หนูเล็กหันหน้าขวับมามองฉันทันที "ใจร้อนไม่เบานะหล่อน เอาเถอะ ฉันตบ เธอกระชากผม โอมะ" หล่อนพูดแล้วจิกตาร้ายๆใส่
“ตบผู้หญิงน่ะเหรอ"
“สามีเราสิยะ" แล้วหล่อนก็หัวเราะแบบชั่วร้าย "หรือไม่ก็ทั้งหญิงและชายนั่นแหละ ให้มันรู้กันไป"
“ไม่เอาน่าหนูเล็ก เราเป็นสุภาพชนนะ เรามีการศึกษา ผู้หญิงพวกนี้เขาไม่ผิดอะไรหรอก เขาไม่มีเงินและไม่มีทางเลือก เลยต้องมาทำงานแบบนี้ คนที่ผิดจริงๆ คือสามีเราต่างหากละ แต่ฉันว่าอย่าใช้กำลังดีกว่านะ พูดดีๆ ให้พงกเขาสำนึกแล้วกัน"
แต่ไม่แล้ว หนูเล็กไม่ฟังฉันอีกต่อไป หล่อนตาโต หน้าซีดเผือด และชี้นิ้วไปที่โซฟามุมห้อง ซึ่งตาแก่ตัณหากลับสองคนนั่งอยู่ ฉันมองตามไป และได้เห็นว่ามีเด็กสาวรูปร่างเอ็กซ์แตก ทรงสะบึม ใส่ชัดเกาะอกต่ำรัดรูปจนเห็นเนินขาวๆ กระโปรงสั้นเสมอหู ยืนอยู่ต่อหน้าสามีของเรา พูดอะไรกันสักอย่าง และทันใดนั้น คุณนรินทร์ สามีสุดที่รักของฉัน และพ่อที่แสนดีของลูกๆ ก็จับข้อมือของเธอกระชากตัวเกือบมาแนบชิดกัน และแล้วฉันก็.....
“สิดี! ไม่นะ! รอฉันด้วย"
“เฮ้ย!!!!! สิดี!!!! คุณหนู....โอ๊ยยยยยยยย อ๊ากกกกกกกก สิ.....”
“ว้ายยยยย ช่วยด้วยค่่า โอ๊ยยยยย อย่านะ ยัยบ้า!!!!! โอ๊ยยยย"
“หนูเล็ก หยุดก่อน ฟังผมก่อน ฟะ.........อ๊ากกกกกกกกกกกก"
จากนั้นฉันก็ได้ยินแต่เสียง ผัวะ ตุ้บ ตั้บ และผัวะ ตุ้บ ตั้บ สลับกันไปนาน จนมีใครไม่รู้มาแยกฉันออกจากตัวคุณนรินทร์ ส่วนหนูเล็ก โดนแม่เล้ามาแยกตัวออกจากสาวนุ่งสั้นคนนั้น วิกของเราสองคนหลุดไปกองที่ผื่น สูทราคาแผงที่ยืมมาก็หลุดหลุ่ย สามีเราสองคนหน้าเป็นรอยข่วน บวมช้ำ ผมกระเซิง ขณะนอนกุมเป้าอยู่ที่พื้น ฉันสะบัดตัวหนีออกจากคนที่มาจับตัวฉัน ฉันกรีดร้องดังสุดเสียง ถ้าพื้นดินหรือแก้วน้ำแตกจากเสียงได้จริง มันก็คงเกิดขึ้นไปแล้ว แล้วฉันก็วิ่งออกไป วิ่ง วิ่ง และวิ่ง...ไม่รู้จะวิ่งไปจบลงตรงไหนของค่ำคืนนี้....
Reply : Darin Thermopolis
Re re : ถึงน้องริน
รู้จักสิ Bridget Jone's Diary อย่าบอกนะว่ารินฝันว่าอยากเจอผู้ชายแบบ มาร์ก ดาร์ซี่ คนชื่อมาร์ก ดาร์ซี่ นี่เป็นอะไร จะต้องสภาพเงียบขรึม และเป็นที่ใฝ่ฝันของสาวๆ ตั้งแต่เรื่อง Pride and prejudice แล้ว รินรู้จักไหมเรื่องนี้? ตอนเรียนปริญญาตรี พี่ก็มีเพื่อนชื่อ มาร์ก ดาร์ซี่ ชื่อแบบนี้เป๊ะเลยนะ แล้วหมอนี่ก็ผมหยักสก น้ำตาลเข้ม สุภาพ เงียบขรึม และหล่อ เหมือนในนิยายไม่ผิดเพี้ยน แต่พี่ว่า คนชื่อซัน ก็ไม่ได้หลุดออกไปจากกรอบของ Mr Darcy เท่าไรหรอกจริงไหม ชีวิตจริงไม่เจอ ดาร์ซี่ ก็เจอ กงสุล แทนแล้วกัน พอไหวไหม?
ยินดีกับเรื่องสอบท่องอาขยานด้วยนะครับ นี่ถ้าพี่อยู่ใกล้ๆ พี่จะช่วยติวแทนพี่ชายของน้องริน เสียดายที่เราไกลกันเกินไป
เรื่องวิดเจี้ยน พี่ดีใจนะ ที่มันเริ่มมีระเบียบวินัยแล้ว แต่ช่วงนี้ฟันอาจจะเริ่มขึ้น อะไรในบ้าน มันก็คงเอาไปขย้ำหมดละต้องระวังหน่อย อย่าลืมล่ะ พี่อยากดูรูปวิดเจี้ยนตอนโตขึ้นกับเจ้าของ อย่าลืมส่งมาด้วย
ดีน่า อีเมลมาบอกพี่แล้วเหมือนกัน ฃเรื่องนั้น แล้วน้องรินล่ะครับ อยากจะเรียนอะไร มีไว้ในใจบ้างหรือยัง ถ้าจะมาเรียนที่นี่ พี่ก็ยินดีจะดูแลเต็มที่เลยทีเดียว
น้องรินมีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า เรื่องเป้าหมายในชีวิตหรือ? มีอะไรคุยกับพี่ บอกพี่ได้นะ คิดเสียว่าพี่เป็นพี่ชายอีกคนหนึ่ง มีอะไรจะระบาย ก็ลองบอกพี่ดูได้นะ ถ้าได้พูดให้ใครฟัง พี่ว่ามันน่าจะดีขึ้นนะครับ และพี่คงจะดีใจมาก ที่ได้รับโอกาสเป็นคนที่น้องรินวางใจ
คิดถึงเสมอ
ซัน
Email sent
Reply : Dina Sitra
Re : พี่ซัน ^^
สวัสดีครับน้องดีน่า
พี่ยินดีครับ จะมาเรียนที่ไหน เมื่อไร บอกพี่ได้เสมอเลยครับ ไม่ต้องเกรงใจหรอก คนกันเอง ถ้าจะมาเรียนที่อังกฤษไม่ต้องกลัวเหงาหรือไม่มีเพื่อน เพราะมีคนไทยมาเรียนเพียบ น้องดีน่าจะมีเพื่อนเยอะแน่นอน
ยินดีครับ
ซัน
Email sent
22 มกราคม วันจันทร์
สมุดบันทึกที่รัก
ฉันสอบท่องอาขยานผ่านแล้วล่ะ เย้! คราวนี้ฉันได้นั่งสอบคนเดียว ไม่มีเพื่อนมานั่งล้อมให้ฉันคอยแหย่เล่นด้วยอีกแล้ว แถมคราวนี้ฉันนั่งพับเพียบ กุมมือ เรียบร้อยสุดๆ กระโปรงก็รีดจับจีบอย่างสวยงาม ถุงเท้านี่ไม่ต้องพูดถึง ขาวสะอาดจนแสบตาเลยทีเดียว แถมวันนี้คุณแม่ก็ถักผมปียสองข้างสวยงามเป็นพิเศษพอรู้ว่าฉันต้องสอบซ่อมท่องอาขยานวันนี้ พอถึงเวลาสอบจริง ทุกเสียงที่ฉันเปล่งออกมา ขอบอกเลยว่า 'กระแดะ' สุดๆ เพื่อให้การสอบนี้ลุล่วงไปด้วยดีนั่นเอง แล้วในที่สุดก็เป็นอย่างไรล่ะ ฉันสอบผ่านนนนนนนนน!!! ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั้นจริงๆ เย้!
เย็นวันนี้ฉันเลยนัดกับแพรวา ว่าเราจะไปฉลองที่ร่้านไอศกรีมแถวโรงเรียนกัน แต่อยู่ดีดีแพรวากลับบอกว่าไม่ว่าง มีธุระหลังเลิกเรียน ฉันก็เศร้าอีกละ ทีอยู่ดีดีมาถูกทิ้ง เพราะตอนเย็นเราสองคนมักจะทำอะไรด้วยกันมาตลอด จะแยกกันก็ต่อเมื่อกลับบ้านเท่านั้น ถ้ามีธุระอะไรกับทางบ้าน แพรวาก็มักจะบอกตรงๆ แต่คราวนี้กลับเงียบไม่บอกอะไรเลย ฉันถามว่าธุระอะไรหรือ หล่อนก็ตอบสั้นๆว่า ไม่มีอะไรสำคัญหรอก ทำให้ฉันยิ่งสงสัยเข้าไปมากขึ้นอีก แถมช่วงนี้ฉันก็ค่อนข้างถูกคนในบ้านทอดทิ้ง นี่ฉันยังต้องมาถูกเพื่อนสนิททิ้งกันอีกหรือนี่ ไม่นะ!
ด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ ฉันเลยแอบสะกดรอยตามแพรวาหลังเลิกเรียน ตอนแรกคิดว่าแพรวาอาจจะกลับเอง หรือพ่อมารับ ปรากฏว่าไม่ใช่ พอฉันแกล้งแยกย้ายกับเธอที่ใต้ถุนตึก ฉันก็ขึ้นรถลุงชม แล้วทำทีให้ลุงขับออกจากรั้วโรงเรียนไปเล็กน้อย ตอนแรกแพรวาไปเข้าห้องน้ำ แต่พออกจากห้องน้ำมาแล้วไม่เจอรถฉัน หล่อนก็เดินไปทางหลังโรงเรียนเฉยเลย ฉันจึงรีบลงจากรถ บอกลุงชมให้รอสักครู่หนึ่ง แล้วสะกดรอยตามเพื่อนซี้ไป ปรากฏว่าแพรวามาที่หลังโรงเรียน ในส่วนที่เป็นลานอเนกประสงค์ซึ่งเอาไว้ทำกิจกรรมต่างๆ และฉันก็ได้เห็นว่าหล่อนอยู่รวมกลุ่มกับเหล่าเชียร์ลีดเดอร์ ที่กำลังปล่อยชายเสื้ออกนอกกระโปรง ถอดถุงเท้า และเตรียมซ้อมกันนั่นเอง อะไรนะ!!! แพรวาจะเป็นเชียร์ลีดเดอร์!!! หล่อนไม่เคยพูดเรื่องนี้กับฉันสักครั้งเดียวเลยนะ!!! แพรวาอยากเป็นปอมๆ ตั้งแต่เมื่อไรกัน!!! แล้วถ้าต่อตัวแล้วตกลงหัวกระแทกพื้นล่ะ ไม่นะ!!!
ความคิดฉันยังวนเวียนอยู่อย่างนั้น ทั้งโกรธที่เพื่อนไม่บอกความจริง ทั้งเสียใจที่ถูกทิ้ง อีกอย่างนะ...เชียร์ลีดเดอร์เลยนะ!!! นี่มันคือกลุ่มสาวสวยขั้นเทพของโรงเรียนเลยนะ พวกหล่อนอยู่คนละสังคมกับเราชัดๆ พวกหล่อนเป็นชนกลุ่มน้อย เป็นพริตตี้ เมื่อก่อนเวลามีกีฬาสีระหว่างโรงเรียน ฉันกับแพรวามักจะนั่งตัวดำ แดดร้อนเปรี้ยงบนอัฒจรรย์ แล้วคอยวิพากษ์วิารณ์ พวกลีดเดอร์ไม่ก็สาวๆดรัมเมเยอร์กันจนสนุกปาก ไม่เคยเห็นแพรวาจะมีท่าทีสนใจอยากเป็นอะไรแบบนั้นเลยสักที โอ๊ย แปลกจริง! เกิดอะไรขึ้นกับหล่อนล่ะเนี่ย
ฉันหลบอยู่หลังเสาต้นหนึ่งแอบมองดูเพื่อนของฉันกำลังกรีดกรายมือ มันไม่ธรรมดาละ แพรวากรีดกรายได้สวยงามเสียด้วย โอ๊ยยยยยย เอ๊ะ แล้วฉันจะไปเดือดร้อนทำไมนะว่าหล่อนจะกรีดสวยไม่สวย แต่ก็นั่นแหละ ฉันคิดได้ถึงตรงนี้ พี่ดีน่าก็โผล่มาในมือถือคฑาดรัมเมเยอร์ ใบหน้าสวยเด้งตามเคย นี่ก็ตัวแม่แห่งวงการนางฟ้าของโรงเรียนอีกคน ฉันมายืนทำอะไรตรงนี้เนี่ยยยย
“มาแอบทำอะไรอยู่ตรงนี้จ๊ะดาริน" พูดเสร็จก็ส่งยิ้มสวยบาดใจให้ฉัน ฉันเลยบอกไปเรื่องถูกเพื่อนสนิทยกเลิกนัดไปกินไอศกรีม พี่ดีน่าผู้แสนดีเลยบอกว่าเธอซ้อมเสร็จแล้วและจะพาฉันไปฉลองเอง ฉันเลยได้ลิ้มลองไอศกรีมจากร้านใหม่ล่าสุดที่เพิ่งนำเข้า ขอบอกเลยว่ารสช็อกโกแลตนี่อร่อยสุดๆ เสียอย่างเดียวราคาแพงหูฉี่ ไม่สบายกระเป๋าสตางค์ใบเล็กๆของนักเรียนมัธยมอย่างฉัน แต่มื้อนี้อิ่มจังตังค์อยู่ครบ เพราะพี่คนสวยของฉันจ่ายให้หมดเลย โชคดีจริงๆ พี่ดีน่าชวนฉันคุยนู่นนั่นนี่ พี่บอกว่าเหลือเวลาอีกหนึ่งเดือนก็จะถึงงานกีฬาสีระหว่างโรงเรียนชาย-หญิง ซึ่งเป็นงานที่ยิ่งใหญ่และเป็นงานที่นักเรียนทุกคนเฝ้ารอมาตลอดปี (ฉันแอบคิดในใจว่า คนที่เฝ้ารอน่าจะมีแต่ชนกลุ่มน้อยนะคะ หนูนึกภาพเวลาที่ต้องขึ้นแสตนด์เชียร์ แดดร้อนเปรี้ยง แล้วคิดไม่ออกว่า อยากเฝ้ารอให้ถึงงานตอนไหน)
“คงสนุกดีนะคะ พี่ดีน่าเป็นดรัมเมเยอร์สามปีซ้อนแล้ว ยังไม่เบื่องานนี้อีกหรือคะ ปีนี้แพรวาก็ไปเป็นเชียร์ลีดเดอร์อีก นึกสนุกอะไรขึ้นมาก็ไม่รู้ นี่ก็คงอยากให้ถึงงานอีกคน รินเลยต้องขึ้นแสตนด์เชียร์คนเดียวเลย อดนินทา...เอ้ย" ดีที่ฉันยั้งปากตัวเองทัน แล้วฉันก็นึกขึ้นได้ว่ามีอีกคนที่รอห้ถึงงานนนี้ พี่ธิป ไงล่ะ กัปตันทีมบาสโรงเรียนชายคนล่าสุด เชอะ ช่วงนี้ใครๆก็มีเป้าหมายของตัวเองกันทั้งนั้น พี่คนโตก็เตรียมไปเรียนต่างประเทศ คนรองก็รอชิงถ้วยบาสชนะเลิศ พีดีน่าก็รอปรากฏตัวสวยควงคฑา ยัยแพรวาก็รอคอยกรีดกรายมือโชว์เสต็ป แล้วฉันล่ะ ทำไมฉันถึงเป็นเด็กรุ่นนี้คนเดียว ที่ไม่มีเป้าหมาย ไม่มีความสำคัญใดใดเลยของสังคม แล้วชั้นล่ะะะะะ ตอนนั้นฉันคิดวุ่นวายอย่างนั้นจริงๆ คุณแม่รู้ดีไงว่าฉันเป็นคนฟุ้งซ่าน เลยซื้อสมุดไดอารี่ให้ตั้งแต่ฉันขึ้น ม.1 ฉันเลยมาระบายอารมณ์กับสมุดบันทึกตลอดมา
ฉันเลยถามพี่ดีน่าไปว่า "แล้วพี่จิตรินล่ะคะ งานกีฬาสีปีนี้ต้องแข่งอะไรไหม" พี่จิตรินเป็นน้องชายของพี่ดีน่า เรียนอยู่รุ่นเดียวแต่คนละห้องกับพี่ธิป ฉันไม่ค่อยรู้เรื่องพี่จิตรินเท่าไรหรอก พี่เขาเป็นคนเงียบๆ นิ่งๆ ไม่ค่อยมาเล่นที่บ้านฉันเหมือนพี่ดีน่า เวลาเราเจอกัน ก็ไม่ค่อยได้คุยกันนัก แต่รู้ว่าเขาเรียนเก่งมากล่ะ ได้ที่หนึ่งของชั้นปี แล้วก็บ้าบอลค่อนข้างมาก คือฉันเจอพี่จิตรินกี่ทีๆ ก็ใส่แต่กางเกงบอลน่ะ
พี่ดีน่าหัวเราะ ขนาดหัวเราะยังสวย...”ตรินน่ะเหรอ รายนั้นเขาเป็นพวกจริงจังกับชีวิต แข่งฟุตบอลมาทุกปี ยิงประตูชนะทุกปี ปีนี้เลยได้เลื่อนเป็นกัปตันทีม เหมือนธิปไง ธิปไม่เคยเล่าเหรอจ๊ะ จริงๆเขาก็สนิทกันพอสมควรนะ"
ฉันกรี๊ดในใจเบาๆ ขนาดพี่ตรินที่ดูเงียบๆ เรียบๆ ยังมีหน้ามีตาในสังคม เป็นบุคคลสำคัญ มีเป้าหมายที่ต้องทำในชีวิต แล้วฉันล่ะ เด็กสาวอายุ 16 ปี สอบอาขยานสองรอบถึงจะผ่าน และมีหมาต้องเลี้ยงดู ออกงานสังคมตามคำสั่งคุณย่า ฉันมีค่าแค่นี้จริงๆหรือ ทำไมชีวิตมันเศร้าจังแฮะ ฉันเลยคิดว่าจะเข้าไปคุยกับพี่แก้ว ประธานงานกีฬาสีของปีนี้ ว่าฉันจะขอทำอะไรสักอย่าง แต่จะเป็นอะไรดีล่ะ...
อ้อ มีอีกเรื่องหนึ่งที่พี่ดีน่าเล่าให้ฟัง ก็คือเรื่องที่ว่าปีหน้าพี่จะไปเรียนต่อที่อังกฤษล่ะ จะไปเรียนเกี่ยวกับงานดีไซน์ เหมือนคุณน้าหนูเล็กเลย พี่ดีน่ากลัวว่าจะเหงา และกลัวว่าจะปรับตัวในช่วงแรกไม่ได้ เลยอีเมลไปหาพี่ซันขอคำแนะนำ และฝากตัวเป็นรุ่นน้องนักเรียนอังกฤษ...
ชีวิตพี่ดีน่า นี่มีอะไรไม่ดีไม่งามบ้างน้า...เป็นดรัมเมเยอร์ เป็นนักเรียนอังกฤษ...เหมือน...พี่ซัน...
....ฉันคงต้องไปคุยกับพี่แก้วให้เร็วที่สุด
ปล. คุณแม่หายไปไหนทั้งวันไม่รู้ เพิ่งกลับมาเมื่อกี้ ซึ่งมันก็ดึกมากแล้ว กลับมาก็ดูเพลียๆ หน้าตาหมองๆพิกล แล้วก็ขึ้นห้องนอนไปโดยไม่พูดไม่จากับใคร ส่วนคุณพ่อเหรอ ตอนนี้ยังไม่กลับเลย คุณปู่กับคุณย่าไปออกงานการกุศล พี่คนโตอ่านหนังสือสอบ พี่คนรองหลับแต่หัวค่ำ เพราะซ้อมบาสหนัก เหลือฉันกับวิดเจี้ยน ที่ทานข้าวเย็นพร้อมกัน...แล้วก็พี่ส้มเช้งที่มาช่วยเตรียมอาหารให้หมาของฉัน น่าเบื่อที่สุด!!!
โอ๊ะ นั่นเสียงคุณแม่มาเรียกฉันที่หน้าประตูนี่นา...มาทำไมนะตอนนี้....จะมาขอนอด้วยรึเปล่านะ...แค่นี้ก่อนนะสมุดบันทึก
สิดาริน
Reply: Consul Sun
Re: ถึงน้องริน
สวัสดีค่ะพี่ซัน
อากาศที่นี่เย็นกำลังดีค่ะ ปีนี้หนาวนานกว่าเคยค่ะ แต่รินชอบอากาศหนาวๆค่ะ ชอบฝันว่าตัวเองอยู่ในช่วงเทศกาลคริสต์มาสอย่างในหนังเรื่อง Bridget Jone's Diary ค่ะ พี่ซันรู้จักไหมคะ? เรื่องโปรดของรินเลย เรื่องสอบของริน รินเอาตัวรอดได้ดีในวิชาคณิตศาตร์ สังคม วิทยาศาสตร์ แบบฉิวเฉียด เพราะช่วงนี้ไม่มีใครติวให้ แต่รินดันสอบตกท่องอาขยานค่ะ ต้องสอบสองรอบ แต่ตอนนี้สอบผ่านแล้วค่ะ เหลือรอสอบปลายภาค
วิดเจี้ยนกินเก่งมากเลยค่ะ รินไม่อยากให้มันกินอาหารเม็ด ไม่รู้ว่ามันดีหรือเปล่า เลยให้พี่ส้มเช้งช่วยเตรียมอาหารสดให้ค่ะ แหะๆ ตอนนี้ก็เริ่มขับถ่ายเป็นที่เป็นทางแล้ว แต่ยังชอบกัดอะไรไปทั่ว คุณย่าปรี๊ดแตกตอนวิดเจี้ยนกัดพรมเปอร์เซีย อิอิ แต่รินว่าตลกดี
พี่ซันคงเรียนหนักมากสิคะ แต่ดีแล้วค่ะ คนเรามีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ มีอะไรสำคัญๆในชีวิตให้ทำ คงสนุกและดูเป็นคนมีค่าดีออกค่ะ ไม่เหมือนรินตอนนี้....
ได้ข่าวว่าพี่ดีน่าจะไปเรียนที่อังกฤษ ไปเป็นรุ่นน้องพี่ซัน ดีจังนะคะ พี่ซันคงไม่เหงาแล้วมั้งคะปีหน้า ดีจังเลยค่ะ
สิดาริน
Email sent
“พร้อมยังเธอ คุณจิทัศน์ ออกจากที่ทำงานแล้ว" หนูเล็กโทรมาแจ้งฉันตามแผนที่เรานัดแนะกันไว้
ฉันกำลังเก็บอึของวิดเจี้ยนที่ยังเรี่ยราดอยู่บ้างเป็นบางที หน้าก็มัน ผมก็ยุ่งเหยิงจากการทำอาหารกลางวันให้คุณแม่
“พร้อมๆ ขอเวลาสิบนาที"
หนูเล็กกรีดร้องออกมาจากโทรศัพท์ "สิดี หล่อนยังไม่แต่งตัวอีกเรอะ สายของฉันจากที่ทำงานคุณนรินทร์ บอกว่าคุณนรินทร์ออกจากบริษัทแล้วเหมือนกัน เดี๋ยวฉันขับตามคุณจิทัศน์ไปก่อน แล้วเธอค่อยตามมานะ แค่นี้ล่ะ"
ฉันเลยรีบโกยอ้าวไปแต่งตัว สวนกับคุณแม่ที่หอบเครื่องเพชรออกมาจากห้องนอน
“สิดี มาช่วยแม่เลือกเครื่องเพชรซิ แม่ต้องไปออกงานการกุศลน่ะ"
ฉันละล่ำละลัก "เอ่อคุณแม่คะ...หนูมีธุระด่วนค่ะ ขอตัวก่อนนะคะ" แต่แล้วคุณแม่ก็คว้าแขนฉันไว้ "ไม่นานหรอกสิดี แม่จะใส่กับชุดสีเขียวมรกต ลูกคิดว่าสร้อยเส้นไหนดีจ๊ะ”
ฉัน “...เอ่อ...คุณแม่คะ"
“สิดีลูก นี่เป็นสูทตัวโปรดของพ่อเลย ชายแขนมันลุ่ยน่ะ จัดการให้พ่อหน่อยสิ คนอื่นๆในบ้านสายตาฝ้าฟางไปกันไปหมดแล้ว สอยเข็มไม่เข้า ฮ่าๆๆๆ" คุณพ่อโผล่มาขอความช่วยเหลืออีกคน ฉันเลยน้ำท่วมปาก พูดไม่ออก โอ๊ยยยย อุปสรรคมันมีตั้งแต่เริ่มเลยเหรอเนี่ย ฉันเลยก้มหน้าก้มตาทำหน้าที่ลูกสะใภ้ที่ดีให้เสร็จ แล้วเริ่มปฏิบัติหน้าที่ของเมียหลวง เอ๊ะ อะไรนะ ไม่ใช่สิ ฉันยังไม่รู้แน่เลย ว่าคุณนรินทร์มีอีหนูจริงหรือเปล่า นั่นล่ะ กว่าฉันจะเรียกแท็กซี่แล้วไปหาหนูเล็กตรงจุดที่หล่อนจอดรถสะกดรอยตามสามีทั้งสองของเราไว้ ก็เป็นเวลาร่วมชั่วโมง พอไปถึงฉันก็เห็นหนูเล็กในชุดทันสมัยเปรี้ยวจี๊ดลืมอายุตามเคย กับแว่นกันแดดยี่ห้อแพงรุ่นล่าสุด ยืนด้อมๆมองอยู่ตรงเสาไฟฟ้าหน้าปากซอยหนึ่ง มีรถหรูราคาแพงของหล่อนจอดอยู่ไม่ห่าง เอ่อ...คือนี่สะกดรอยตาม หล่อนยังทำตัวเด่นเช่นเคย พอเห็นฉัน หล่อนก็เอ็ด
“ยัยสิดี นี่หล่อนมัวทำอะไรอยู่ ช้าอย่างนี้ พวกเสือสิงกระทิงแรด ก็คาบสามีหล่อนไปกินจนเหลือแต่กระดูกหรอกย่ะ ชั้นรอเธอจนเหงื่อท่วมตัวแล้วนะ"
ฉันรีบจ่ายเงินแท็กซี่แล้วเดินไปหาหล่อน "เอาเถอะน่า ได้ความว่าไงบ้างล่ะ นี่ก็จะเย็นแล้ว ฉันต้องรีบไปเตรียมอาหารเย็นให้ลูกๆ" ฉันพูดเสียงอ่อย ฉันคิดไปคิดมาตอนอยู่บนแท็กซี่ ว่าการที่ฉันเอาเวลามาคอยสะกดรอยตามสามีแบบนี้ มันไร้สาระ และเสียเวลามากๆ ฉันเอาเวลาคุณภาพแบบนี้ไปเลี้ยงดู และให้กำลังใจลูกๆในสิ่งที่พวกเขาต้องทำไม่ดีกว่าหรือ ฉันไม่อยากทำตัวแบบพวกผู้หญิงที่เกาะติดสามีไปตลอดหรอก สามีเราจะเป็นอย่างไรก็ช่างเขาเถอะ ถ้าเรารักและซื้อสัตย์กับเขามาอย่างดีที่สุดแล้ว แต่สิ่งสำคัญและมีค่าที่สุดอีกอย่างหนึ่งของผู้หญิงก็คือลูกๆนั่นเอง พวกเขาขาดแม่ ไม่ได้หรอก
หนูเล็กท้าวสะเอว "นี่เธอเพิ่งมา ก็จะกลับเสียแล้ว อะไรของเธอ ยัยสิดี นี่แหละซอยนี้ ที่คุณจิทัศน์กับคุณนรินทร์ขับรถเข้าไป แต่ฉันตามมาไม่ทันดูว่าจอดที่บ้านหลังไหน เลยไม่กล้าเสี่ยงเดินเข้าไปหา"
แล้วเราสองคนก็สวมแว่นตาดำพร้อมกัน พยักหน้าให้กัน ก่อนจะจูงมือเข้าไปตามล่าหาสามีของตัวเอง นี่ฉันมาทำบ้าอะไรเนี่ยยยยยยย ซอยที่เราเดินเข้าไป เป็นซอยตัน ขนาบไปด้วยบ้านทาวน์เฮ้าส์ขนาดเล็ก ดูน่าอึดอัดเป็นที่สุด บริเวณหน้าบ้านเพียงพอแก่การจอดรถเก๋งแค่หนึ่งคันเท่านั้น แต่ส่วนมาก็เอาไว้จอดรถมอเตอร์ไซค์ และตากผ้ากันเต็มหน้าบ้าน เราดินหารถของสามีเราทั้งสองจนสุดซอยก็หาไม่พบ
“เป็นไปได้ยังไง รถของสองคนนั้นออกจะคันใหญ่ขนาดนั้น จอดตรงไหนฉันต้องเห็นสิ นี่ไม่มีเลย" หนูเล็กระเบิดอารมณ์
ฉันมองนาฬิกาข้อมือ เกือบจะหกโมงเย็นแล้ว เด็กๆคงกลับมากันหมดแล้ว ไม่รู้พี่ๆในครัวหาอะไรให้ทานกันบ้าง
“เธอจำผิดซอยหรือเปล่า ดูรถไม่ผิดคันแน่นะ"
หนูเล็กหน้านิ่วคิ้วขมวด จริงๆหนูเล็กเป็นคนอารมณ์ดี และเป็นคนมองโลกแง่บวกมากนะ ถึงแม้เธอจะเหวี่ยงอะไรที่มันไม่น่าพอใจก็ตาม แต่ตอนนี้ฉันรับรู้ได้เลยว่าหล่อนขี้หงุดหงิดและอารมณ์รุนแรงขึ้นมากหลายเท่า
“คือฉันข้บตามรถคนนึงที่คิดว่าเป็นของคุณจิทัศน่ะ แล้วขับตามไม่ทันตรงหัวโค้ง แต่เห็นแว่บๆว่าเข้ามาซอยนี้ หรือ ฉันจะดูพลาดไป...”
ฉันถอนหายใจ พอเถอะ เราสองคนอาจจะไม่เหมาะกับอะไรแบบนี้ก็เป็นได้ ปล่อยพวกเขาไปเถอะ สามีเราน่ะ ให้เขาได้คิดเองว่าอะไรถูกและอะไรผิด
ฉันลูบมือเพื่อนเรา "กลับกันเถอะ ลูกๆรอเราอยู่ ถ้าไม่มีเรา ลูกๆยิ่งไม่มีใครดูแลนะ ปล่อยพวกผู้ชายไปเถอะ" แต่ขณะที่ฉันกำลังพูดเตือนสติ รถคุณจิทัศน์ก็ขับผ่านซอยที่พวกเรายืนอยู่ออกไปต่อหน้าต่อตา หนูเล็กตาโต ตัวแข็งทื่อ
“ทะเบียนนี้ล่ะ ชัดเจน ตามไปกันเถอะสิดี หนอย...ตาแก่..." หล่อนกระชากแขนฉันขึ้นรถ แล้วหล่อนก็ขับทะยานออกไปจนฉันคิดว่าตัวเองกำลังอยู่ในหนัง สปีด ที่มีคีอานู รีฟ เป็นพระเอก ฉันแทบจะลืมหายใจ และได้แต่สวดมนต์เพราะกลัวเอาชีวิตไม่รอด ส่วนหนูเล็ก็กระเหี้ยนกระหือรือในการขับตามรถสามีมาก...ฉันเห็นจากระยะไกล ว่ามีผู้ชายอีกคนนั่งอยู่ที่เบาะข้างหน้า แล้วฉันก็สะดุดใจอะไรบางอย่าง
“หนูเล็ก...” ฉันอุทานเสียงแหบห้าว เริ่มกังวลว่าสิ่งที่ตัวเองคิดจะเป็นจริง "เขาสองคนเป็นเกย์กันหรือเปล่าน่ะ!”
หนูเล็กโหยหวนเสียงดัง นี่หบ่อนกลายเป็นชะนีไปแล้วจริงๆ "จะบ้าเหรอสิดี เธอจะบ้าไปใหญ่แล้ว เป็นเกย์เนี่ยนะ!!!”
หล่อนด่าว่าฉันบ้า โดยที่ไม่ดูตัวเองเลยเนี่ยนะ "แล้วเขาสองคนจะไปไหนล่ะ งงมั้ เขาสองคนนัดมาเจอกันที่ซอยหนึ่ง แล้วขับรถออกไปสองคน เหมือนเสี่ยขับพาอีหนูออกไป...” ฉันพูดยังไม่จบ เราสองคนก็ต้องอึ้ง พูดกันไม่ออก อ้าปากหวอกันไปนานเลยทีเดียว เงียบจนฉันแทบจะได้ยินเสียงน้ำลายหยดออกจากมุมปากของหนูเล็ก เมื่อเห็นว่าคุณจิทัศน์ขับรถเลี้ยวเข้าไปในร้านที่ติดป้ายใหญ่โตว่า "อาบ อบนวด" กว่าจะรู้สึกตัว ก็ต้องรอให้รถคันหลังบีบแตเสียงดังระเบิดหู
หนูเล็กขับรถผ่านร้านไปแบบเลื่อนลอย เราสองคนนิ่งเงียบกันไปนานแสนนาน ฉันก็ไม่รู้จะพูดะไร แล้วน้ำตาก็เริ่มตกใน มันเป็นความรู้สึกร้องไห้ออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจที่ไม่สามารถบรรยายออกมาได้จริงๆ หนูเล็กขับรถไปไหนก็ไม่รู้ได้ ตอนแรกเหมือนเธอจะขับวนเป็นวงกลม พอได้สติ เธอก็หยิบโทรศัพท์หาลูกสาวกับลูกชาย บอกว่าวันนี้จะกลับบ้านช้า แล้วพาฉันไปที่ร้านเสื้อผ้าสุภาพบุรุษร้านหนึ่งซึ่งมีเพื่อนสนิทในวงการแฟชันของเธอเป็นเจ้าของ
“ใส่ของพวกนี้ซะ นี่เบลล่า ฉันของยืมวิกด้วย เร็วเข้าอย่าชักช้า" หนูเล็กเรียกเจ้าของร้านร่างสูงชะลูด ดูสำอางค์ และมีหนวดเคราเซอร์ๆ ว่าเบลล่า ซึ่งมารู้ที่หลังว่าจริงๆชื่อ เบน มาก่อน
“ปลอมตัวงั้นเหรอ จะเอาจริงๆเหรอเนี่ย" ฉันยังลังเล แต่ก็อยากเห็นเหมือนกันว่าสองคนนัน้นเข้าไปนั่งเฉยๆ หรือไปทำอะไร
“ตอนนี้ฉันโมโหสุดขีดแล้วนะสิดี ไม่มีใครยับยั้งฉันได้ ถ้าเธอไม่อยากเข้าไป ก็รออยู่นี่กับเบลล่าแล้วกัน อย่าให้ฉันพ่นไฟออกมาได้นะ ฉันพ่นออกไปนานแล้วโว้ยยยยย อีตาจิทัศน์ ตาคนไม่รู้จักพอ คุณนรินทร์ของเธอก็พอกันนั่นแหละ หยุดมองโลกแง่ดีได้แล้วยัยโลกสวยสิดี! นี่เบล่ลา หล่อนไม่ต้องถามอะไรฉันทั้งนั้น เอาของมาให้ แล้วกลับไปทำงานเงียบๆไป๊"
ฉันได้แต่ฟังหนูเล็กพล่ามอะไรไม่รู้ หัวสมองฉันมึนตึ้บไปหมด เพื่อนฉันเสียสติไปแล้ว ส่วนฉันอีกไม่นานก็คงอาการเดียวกัน มารู้ตัวอีกที ฉันก็นั่งอยู่บนโซฟาตัวหนึ่ง ใส่ชุดสูทผู้ชาย วิกผมสั้น และติดหนวด (เบลล่ายืนยันให้ฉันติดหนวด ไม่อย่างนั้นฉันจะเหมือนตุ๊ดเด็ก อันนี้เธอบอก) เบื้องหน้าคือตู้กระจกที่มีสาวๆหน้าสวย หุ่นอวบอัด นั่งเรียงกันติดเบอร์ที่หน้าอก แต่สิ่งที่เราสองคนมองกลับไม่ใช่สาวๆพวกนั้น แต่เป็นตาแก่ไม่รู้จักพอสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาอีกมุมหนึ่งของห้องเช่นกัน อย่างน้อย ฉันก็ยังดีใจที่สองคนนั้นไม่ได้เรียกผู้หญิงไปนั่งกินเหล้าด้วย และไม่ได้เลือกผู้หญิงคนไหนในตู้กระจกแล้วหิวขึ้นชั้นบนไป แต่นี่ฉันกับหนูเล็กก็มานั่งที่นี่เกือบจะสองชั่วโมงแล้ว สองคนนั้นก็ยังคงนั่งรากงอกไม่ไปไหนสักที ได้แต่ดื่มเบียร์แล้วมองซ้ายมองขวา และมองในตู้กระจกบ้างบางครั้ง
“มาทำบ้าอะไรกันเนี่ย ตาแก่เอ๊ย เสียเวลาชะมัด จะทำอะไรก็ทำสักทีสิ จะได้จัดการให้มันเสร็จๆไป อยู่นานฉันชักจะอึดอัดแล้วนะ" หนูเล็กพูดรอดไรฟัน
ฉนมองนาฬิกา โอ๊ย จะสี่ทุ่มแล้ว ฉันมานั่งทำหอกหักอะไรที่นี่เนี่ย "นั่นสิ ยัยแม่เล้าก็เดินมาเทียวไล้เทียวขื่อจะให้เราเรียกเด็กอยู่ได้ ฉันให้เวลาอีกครึ่งชั่วโมง ไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็เดินเข้าไปประชิดตัวเลยแล้วกัน"
หนูเล็กหันหน้าขวับมามองฉันทันที "ใจร้อนไม่เบานะหล่อน เอาเถอะ ฉันตบ เธอกระชากผม โอมะ" หล่อนพูดแล้วจิกตาร้ายๆใส่
“ตบผู้หญิงน่ะเหรอ"
“สามีเราสิยะ" แล้วหล่อนก็หัวเราะแบบชั่วร้าย "หรือไม่ก็ทั้งหญิงและชายนั่นแหละ ให้มันรู้กันไป"
“ไม่เอาน่าหนูเล็ก เราเป็นสุภาพชนนะ เรามีการศึกษา ผู้หญิงพวกนี้เขาไม่ผิดอะไรหรอก เขาไม่มีเงินและไม่มีทางเลือก เลยต้องมาทำงานแบบนี้ คนที่ผิดจริงๆ คือสามีเราต่างหากละ แต่ฉันว่าอย่าใช้กำลังดีกว่านะ พูดดีๆ ให้พงกเขาสำนึกแล้วกัน"
แต่ไม่แล้ว หนูเล็กไม่ฟังฉันอีกต่อไป หล่อนตาโต หน้าซีดเผือด และชี้นิ้วไปที่โซฟามุมห้อง ซึ่งตาแก่ตัณหากลับสองคนนั่งอยู่ ฉันมองตามไป และได้เห็นว่ามีเด็กสาวรูปร่างเอ็กซ์แตก ทรงสะบึม ใส่ชัดเกาะอกต่ำรัดรูปจนเห็นเนินขาวๆ กระโปรงสั้นเสมอหู ยืนอยู่ต่อหน้าสามีของเรา พูดอะไรกันสักอย่าง และทันใดนั้น คุณนรินทร์ สามีสุดที่รักของฉัน และพ่อที่แสนดีของลูกๆ ก็จับข้อมือของเธอกระชากตัวเกือบมาแนบชิดกัน และแล้วฉันก็.....
“สิดี! ไม่นะ! รอฉันด้วย"
“เฮ้ย!!!!! สิดี!!!! คุณหนู....โอ๊ยยยยยยยย อ๊ากกกกกกกก สิ.....”
“ว้ายยยยย ช่วยด้วยค่่า โอ๊ยยยยย อย่านะ ยัยบ้า!!!!! โอ๊ยยยย"
“หนูเล็ก หยุดก่อน ฟังผมก่อน ฟะ.........อ๊ากกกกกกกกกกกก"
จากนั้นฉันก็ได้ยินแต่เสียง ผัวะ ตุ้บ ตั้บ และผัวะ ตุ้บ ตั้บ สลับกันไปนาน จนมีใครไม่รู้มาแยกฉันออกจากตัวคุณนรินทร์ ส่วนหนูเล็ก โดนแม่เล้ามาแยกตัวออกจากสาวนุ่งสั้นคนนั้น วิกของเราสองคนหลุดไปกองที่ผื่น สูทราคาแผงที่ยืมมาก็หลุดหลุ่ย สามีเราสองคนหน้าเป็นรอยข่วน บวมช้ำ ผมกระเซิง ขณะนอนกุมเป้าอยู่ที่พื้น ฉันสะบัดตัวหนีออกจากคนที่มาจับตัวฉัน ฉันกรีดร้องดังสุดเสียง ถ้าพื้นดินหรือแก้วน้ำแตกจากเสียงได้จริง มันก็คงเกิดขึ้นไปแล้ว แล้วฉันก็วิ่งออกไป วิ่ง วิ่ง และวิ่ง...ไม่รู้จะวิ่งไปจบลงตรงไหนของค่ำคืนนี้....
Reply : Darin Thermopolis
Re re : ถึงน้องริน
รู้จักสิ Bridget Jone's Diary อย่าบอกนะว่ารินฝันว่าอยากเจอผู้ชายแบบ มาร์ก ดาร์ซี่ คนชื่อมาร์ก ดาร์ซี่ นี่เป็นอะไร จะต้องสภาพเงียบขรึม และเป็นที่ใฝ่ฝันของสาวๆ ตั้งแต่เรื่อง Pride and prejudice แล้ว รินรู้จักไหมเรื่องนี้? ตอนเรียนปริญญาตรี พี่ก็มีเพื่อนชื่อ มาร์ก ดาร์ซี่ ชื่อแบบนี้เป๊ะเลยนะ แล้วหมอนี่ก็ผมหยักสก น้ำตาลเข้ม สุภาพ เงียบขรึม และหล่อ เหมือนในนิยายไม่ผิดเพี้ยน แต่พี่ว่า คนชื่อซัน ก็ไม่ได้หลุดออกไปจากกรอบของ Mr Darcy เท่าไรหรอกจริงไหม ชีวิตจริงไม่เจอ ดาร์ซี่ ก็เจอ กงสุล แทนแล้วกัน พอไหวไหม?
ยินดีกับเรื่องสอบท่องอาขยานด้วยนะครับ นี่ถ้าพี่อยู่ใกล้ๆ พี่จะช่วยติวแทนพี่ชายของน้องริน เสียดายที่เราไกลกันเกินไป
เรื่องวิดเจี้ยน พี่ดีใจนะ ที่มันเริ่มมีระเบียบวินัยแล้ว แต่ช่วงนี้ฟันอาจจะเริ่มขึ้น อะไรในบ้าน มันก็คงเอาไปขย้ำหมดละต้องระวังหน่อย อย่าลืมล่ะ พี่อยากดูรูปวิดเจี้ยนตอนโตขึ้นกับเจ้าของ อย่าลืมส่งมาด้วย
ดีน่า อีเมลมาบอกพี่แล้วเหมือนกัน ฃเรื่องนั้น แล้วน้องรินล่ะครับ อยากจะเรียนอะไร มีไว้ในใจบ้างหรือยัง ถ้าจะมาเรียนที่นี่ พี่ก็ยินดีจะดูแลเต็มที่เลยทีเดียว
น้องรินมีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า เรื่องเป้าหมายในชีวิตหรือ? มีอะไรคุยกับพี่ บอกพี่ได้นะ คิดเสียว่าพี่เป็นพี่ชายอีกคนหนึ่ง มีอะไรจะระบาย ก็ลองบอกพี่ดูได้นะ ถ้าได้พูดให้ใครฟัง พี่ว่ามันน่าจะดีขึ้นนะครับ และพี่คงจะดีใจมาก ที่ได้รับโอกาสเป็นคนที่น้องรินวางใจ
คิดถึงเสมอ
ซัน
Email sent
Reply : Dina Sitra
Re : พี่ซัน ^^
สวัสดีครับน้องดีน่า
พี่ยินดีครับ จะมาเรียนที่ไหน เมื่อไร บอกพี่ได้เสมอเลยครับ ไม่ต้องเกรงใจหรอก คนกันเอง ถ้าจะมาเรียนที่อังกฤษไม่ต้องกลัวเหงาหรือไม่มีเพื่อน เพราะมีคนไทยมาเรียนเพียบ น้องดีน่าจะมีเพื่อนเยอะแน่นอน
ยินดีครับ
ซัน
Email sent
ลายเส้น
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 พ.ย. 2557, 19:53:25 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 24 ม.ค. 2561, 19:54:11 น.
จำนวนการเข้าชม : 1304
<< (11)หลักฐาน |
ใบบัวน่ารัก 16 พ.ย. 2557, 21:43:07 น.
พี่ซันค้า เด๋วบรรยากาศเหงาๆในอังกฤษก็พาไปรักกะ ดีน่า
หนูรินก็แบ้วๆๆ ยังไม่รู้เลย มันอะไรหรือเนี่ย
พี่ซันค้า เด๋วบรรยากาศเหงาๆในอังกฤษก็พาไปรักกะ ดีน่า
หนูรินก็แบ้วๆๆ ยังไม่รู้เลย มันอะไรหรือเนี่ย
goldensun 16 พ.ย. 2557, 23:03:47 น.
เอาละสิ จะบ้านแตกแล้วสิ สิดี จับได้จะๆเลย จะไปใจเย็นรอให้อธิบายคงยาก
เอาละสิ จะบ้านแตกแล้วสิ สิดี จับได้จะๆเลย จะไปใจเย็นรอให้อธิบายคงยาก
konhin 17 พ.ย. 2557, 07:36:12 น.
อ้าว นึกว่าสินีกับหนูเล็กคิดไปเอง แต่แบบนี้ก็แย่อ่ะ นอกใจหรือนอกกายผู้หญิงคนไหนก็เสียใจ
อ้าว นึกว่าสินีกับหนูเล็กคิดไปเอง แต่แบบนี้ก็แย่อ่ะ นอกใจหรือนอกกายผู้หญิงคนไหนก็เสียใจ
oolong 19 พ.ย. 2557, 10:37:54 น.
คิดถึงครอบครัวนี้จังค่ะ(คิดถึงคนเขียนด้วยนะคะ)
คิดถึงครอบครัวนี้จังค่ะ(คิดถึงคนเขียนด้วยนะคะ)
ลายเส้น 23 พ.ย. 2557, 20:53:55 น.
คิดถึงเหมือนกันค่าา
คิดถึงเหมือนกันค่าา
Kapoh 9 พ.ค. 2558, 09:00:07 น.
รอตอนต่อไปนะคะ
รอตอนต่อไปนะคะ
sunflower 20 ก.ค. 2558, 14:52:14 น.
คิดถึงจังค่ะ
คิดถึงจังค่ะ