หลังม่านเมฆ

Tags: สืบสวน โรแมนติก

ตอน: ---- (1) ----



แดดจ้าตอนบ่ายแก่ๆ ทำให้คนที่กำลังขับรถต้องหยีตา แม้จะสวมแว่นกันแดดอยู่ก็ตาม รถยนต์คันเล็กที่แล่นมาด้วยความเร็วสูงตามถนนใหญ่ค่อยๆ ชะลอความเร็วก่อนเลี้ยวเข้าสู่ถนนเส้นเล็กซึ่งสองข้างทางเป็นหมู่บ้านจัดสรรค์เรียงรายปลูกกันแบบรั้วชนรั้ว บรรยากาศอันคุ้นชินตั้งแต่เกิดทำให้ปณาลีขับรถอย่างเชื่องช้าเพื่อซึมซับกลิ่นอายเดิมๆ เข้ามาสู่หัวใจอีกครั้ง บ้านทุกหลังในละแวกนี้ล้วนเคยเป็นที่วิ่งเล่นของเธอและพี่สาว แต่ก็นานเหลือเกินที่เธอต้องจากบ้านไปเรียนหนังสือในกรุงเทพฯ นานจนเกือบลืมไปแล้วว่าความอบอุ่นแบบบ้านนอกมันเป็นอย่างไร

หลังจากขับรถกินลมชมวิวทะเลอยู่พักใหญ่ หญิงสาวค่อยๆ นำรถเข้ามาจอดที่หน้าบ้านสองชั้นหลังหนึ่ง บ้านดูใหม่ขึ้นเมื่อเทียบจากครั้งหลังสุดที่เธอกลับมาเยี่ยมบ้าน คงเป็นเพราะการทาสีและปรับปรุงบ้านตามที่ปวิตรา พี่สาวของเธอเล่าให้เธอฟังทางโทรศัพท์เมื่อสองสามวันก่อน ปณาลีอมยิ้มเล็กน้อยเมื่อนึกไปว่าพ่อกับแม่ของเธอพยายามอุบเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ เพราะต้องการเก็บไว้เป็นของขวัญวันกลับบ้านของเธอ ทั้งที่เธอเพิ่งจะเจอกับท่านทั้งสองเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา หลังจากที่ท่านเดินทางไปกรุงเทพฯ เพื่อร่วมในงานรับพระราชทานปริญญาบัตรของเธอ

ปณาลีมองไปรอบๆ ก่อนจะสะดุดเข้ากับบ้านหลังใหญ่รั้วติดกับบ้านของเธอ บ้านนั้นยังคงครึ้มไปด้วยดอกไม้และใหม่และสะอาดอยู่เสมอ ตามประสาเจ้าของบ้านที่รักดอกไม้และความสะอาด เห็นทีต้องไปเยี่ยมเจ้าของบ้านสักหน่อยหลังจากจัดการกับข้าวของของตัวเองให้เรียบร้อย คงต้องไปขอบคุณด้วยตัวเองที่จริยากับจารีพรเจ้าของบ้านหลังนั้นอุตส่าห์ไปแสดงความยินดีกับเธอถึงที่มหาวิทยาลัย รวมถึงของขวัญที่เธอเพิ่งมีโอกาสแกะเมื่อวาน ตุ้มหูเพชรอันจิ๋วที่เธอรู้ว่าราคาไม่ได้จิ๋วตามแน่ๆ
หญิงสาวค่อยๆ ก้าวลงจากรถก่อนจะได้ยินเสียงโวยวายดังมาจากในบ้าน คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันก่อนจะยิ้มกว้างเมื่อเห็นเด็กชายฝาแฝดวัยสามขวบกว่าแข่งกันวิ่งมาที่เธอ แขนเรียวอ้ากว้างก่อนที่เด็กชายทั้งสองจะโถมตัวเข้ามากอดเธอไว้จนปณาลีที่อยู่ในท่านั่งยองๆ แต่แรกลงไปนั่งกองอยู่กับพื้น

“น้าน้ำ สวัสดีครับ” ทั้งสองคนเปล่งเสียงเซ็งแซ่จนคนเป็นน้าอยากจะจับโยนลงบนที่นอนแล้วฟัดให้หายมันเขี้ยว

“ทำไมวันนี้ไม่ไปโรงเรียน หืม?”

“พี่อิชย์ไม่สบาย” คนเป็นน้องรีบตอบ พร้อมทั้งชี้นิ้วไปที่คนที่ถูกเรียกว่าพี่

“น้องอัณณ์ก็เลยอู้ด้วยเหรอ” ปณาลีถามด้วยความมันเขี้ยว เด็กชายคนน้องไม่ตอบแต่กลับยิ้มอายๆ

“แล้วนี่อยู่บ้านกับใคร?”

“กับยายครับ” แข่งกันตอบเหมือนเคย เด็กแฝดต้องทำอะไรเหมือนกันไปหมดทุกอย่าง แม้กระทั่งเสื้อผ้า พี่สาวของเธอก็ยังจับทั้งคู่แต่งตัวเหมือนกัน ปณาลีเคยสงสัยว่าเป็นความต้องการของเด็กจริงๆ หรือเป็นผู้ใหญ่ที่เห็นว่าเด็กน่ารักจึงพยายามเล่นแต่งตัวตุ๊กตา แต่ปวิตรายืนยันกับเธอมาว่าหากคนใดคนหนึ่งมี แต่อีกคนไม่มีแล้วละก็ เรื่องใหญ่แน่นอน

“น้าน้ำขนของมาเต็มเลย มีใครจะช่วยน้าน้ำได้บ้างเอ่ย” เพราะจะย้ายกลับมาอยู่ที่บ้าน ทำงานกับที่ทำงานใกล้บ้าน หญิงสาวจึงตัดสินใจขนของทุกอย่างใส่รถมาด้วย ตอนนี้รถของเธอจึงเต็มไปด้วยข้าวของทั้งกระโปรงหลังรถ เบาะที่นั่งด้านหลัง รวมทั้งเบาะที่นั่งข้างคนขับ

“น้องอัณณ์กับพี่อิชย์ช่วยได้” ตอบเสียงแข็งขัน

“ตาก็ช่วยได้ พ่อก็ช่วยได้ ลุงวินก็ช่วยได้” ชื่อสุดท้ายทำให้ปณาลีขมวดคิ้วด้วยความสงสัย

“ลุงวินมาเหรอ”

“ครับ ลุงวินมาหาพ่อ อยู่บ้านด้วย เดี๋ยวน้องไปตามมาช่วยน้าน้ำนะครับ” พูดจบอัณณ์ก็วิ่งออกไปตามด้วยอิชย์ ทั้งสองมุดเข้าไปทางประตูเล็กๆ ที่เชื่อมระหว่างสองบ้านไว้ด้วยกัน ปณาลีไม่มีปัญญาจะรั้งสองคนไว้ได้ทัน เธอไม่ได้อยากเจอกวินภพสักหน่อย แค่พ่อของเธอกับกวีวัธน์ผู้เป็นพี่เขยก็น่าจะเพียงพอสำหรับช่วยเธอจัดการข้าวของพวกนี้
แปลกเหลือเกินที่เขาอยู่บ้าน ร้อยวันพันปีเธอไม่เคยจะพบเขากลับมาบ้านสักครั้ง ครั้งสุดท้ายที่เจอเขาก็น่าจะงานแต่งงานของปวิตรากับกวีวัธน์เมื่อสี่ปีที่แล้วกระมัง นับจากวันนั้นทุกครั้งที่เธอกลับมาเยี่ยมบ้าน เธอก็ไม่เคยพบเจอเขาอีกเลย
เสียงโหวกเหวกของเจ้าแฝดดังมาอีกหน ครั้งนี้มีเจ้าโกลเด้นรีทรีฟเวอร์ตัวโตวิ่งตามหลังมาด้วยเมื่อเหลือบตามองเลยไปอีกนิดก็เห็น ‘ลุงวิน’ ของแฝดทั้งสองเดินหน้านิ่งๆ มาเหมือนอย่างที่เคย

“สวัสดีค่ะพี่วิน” กวินภพรับไหว้ก่อนจะกวาดตามองไปยังข้าวของทั้งหลายที่สุมไว้ในรถ

“ย้ายบ้านหรือไง” ปณาลีถอนหายใจเบาๆ ก็ใช่นะสิ เขาจะไปรู้อะไร บ้านช่องไม่เคยอยู่ ทั้งแม่และป้าของเขาต่างก็รู้ว่าเธอจะย้ายกลับมาอยู่ที่นี่ ดีไม่ดีรู้ไปถึงยามหน้าหมู่บ้านแล้วกระมัง เมื่อวันรับปริญญาของเธอทั้งครอบครัวของเธอและเขาต่างเดินทางไปกรุงเทพฯ เพื่อแสดงความยินดี ก็คงมีเพียงเขาคนเดียวที่ไม่ได้ไป และเธอเชื่อว่าเขาไม่รู้

“ค่ะ ย้ายกลับมาอยู่กับพ่อกับแม่ที่นี่” คราวนี้กวินภพเลิกคิ้วสูงเป็นเชิงบอกให้รู้ถึงความประหลาดใจ เขาแค่เย้าแหย่เพราะเห็นข้าวของมากมายเหลือเกิน แต่กลับเป็นจริงไปเสียได้

“ยินดีด้วยนะ ข่าวว่าเพิ่งรับปริญญา” มหาบัณฑิตหมาดๆ ยิ้มน้อยๆ ก็ยังดีที่เขารู้ นึกว่าจะยังเข้าใจว่าเธอเรียนมัธยม กวินภพไม่พูดอะไรต่อ เขาตรงเข้าไปเปิดประตูรถก่อนจะช่วยขนของเข้าบ้านตามที่ได้รับคำสั่งมาจากสองแสบที่ตอนนี้พยายามจะช่วยกันหิ้วกระเป๋ากันคนละใบที่ดูเหมือนจะมีขนาดโตไปกว่าที่เด็กสามขวบจะยกไหว

“เดี๋ยวน้าน้ำถือไปเอง มันใหญ่ไป น้องอัณณ์มาหิ้วตะกร้านี้ ส่วนพี่อิชย์มาถือกระป๋องอันนี้” ปณาลีจัดการกับสองแสบก่อนจะเหลือบตามองอีกคนที่จัดการแบกของตัวปลิวเข้าบ้านไปแล้ว ไม่นานเขาก็กลับออกมาอีกรอบทั้งที่เธอเพิ่งจะเดินไปได้ครึ่งทาง

“พี่วินคะ แค่กระเป๋าใบใหญ่กับลังหนังสือก็พอแล้วค่ะ เดี๋ยวที่เหลือน้ำจัดการเองค่ะ” เขาพยักหน้าไม่พูดว่าอะไร และจัดการตามที่เธอขอ ก่อนจะไปเปิดก็อกน้ำล้างมือแล้วกลับบ้านไปในที่สุด ปณาลีส่ายหน้าเบาๆ เธอเองก็แปลกใจเหลือเกินว่าทำไมเธอจึงไม่สนิมสนมกับกวินภพเหมือนเช่นที่เธอเป็นกับกวีวัธน์น้องชายของเขา ผู้ชายที่ในที่สุดกลายมาเป็นพี่เขยของเธอและพ่อของเจ้าแฝดที่กำลังวิ่งเข้าๆ ออกๆ บ้านหลังเล็ก

กวินภพมีโลกส่วนตัวที่เธอเข้าไม่ถึง แม้จะเติบโตขึ้นมาด้วยกันโดยมีเพียงรั้วเตี้ยๆ กั้นกลาง แต่เขากลับแตกต่างและไม่ค่อยจะเข้ามาพูดคุยเล่นหัวกับเธอมากนัก จนนานๆ ไปก็กลายเป็นความห่างเหินที่ปณาลีเองก็คร้านจะใส่ใจ การเจอะเจอกับเขาในวันนี้จึงเป็นเรื่องเหลือเชื่ออย่างที่สุด

“แม่ มาแล้วค่ะ อยู่ไหนเนี่ย ไม่ออกไปรับน้ำเลยนะ” ปณาลีเดินตะโกนลั่นบ้านพร้อมๆ กับสัมภาระที่ยังอยู่ในมือ

“อยู่ในส้วมจ้า กำลังจะออกไปพอดี ไหนๆ ขนหมดหรือยัง” ปรียาโผล่ออกมาจากห้องน้ำพร้อมกับตั้งใจจะเดินออกไปช่วยลูกสาว

“หมดแล้วค่ะ พี่วินมาช่วย”

“หืม? วินน่ะเหรอ อยู่บ้านเป็นกับเขาด้วยเหรอคนนี้” แม้กระทั่งแม่ของเธอยังแปลกใจ แสดงว่าช่วงเวลาที่เธอไม่ได้อยู่ที่นี่ กวินภพก็คงไม่ได้แวะมาเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นคนข้างบ้านคงไม่ทำหน้าประหลาดใจเช่นนี้

“พี่วินเขาทำอะไรคะแม่ แล้วเขาอยู่ที่ไหน?” ปณาลีทิ้งตัวลงนั่งด้วยความเหนื่อย และปล่อยให้อัณณ์กับอิชย์วิ่งหายไปทางบ้านหลังใหญ่อีกครั้ง

“เขาทำรีสอร์ตแล้วก็ธุรกิจนำเที่ยวอะไรทำนองนี้แหละ เท่าที่แม่ฟังป้าจุ๋มเขาเล่ามาน่ะนะ ใหญ่โตพอตัวเชียวละ เลยยุ่งๆ ไม่ค่อยได้กลับบ้าน”

“เขาไปจับธุรกิจทางนี้ได้ยังไงคะ ทำไมเขาไม่ทำร้านอาหารกับพี่วัธน์ละคะ?”

“ก็พ่อเขาทำมาก่อน แล้วขายกิจการให้วิน ไม่ได้ให้ฟรีนะ ขายให้เพราะอยากให้วินหัดสร้างตัวเอง แต่ราคาย่อมเยาว์แล้วก็ผ่อนไปเรื่อยๆ วินเขาก็เอามาทำใหม่หมด เปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนวิธีการทำงาน แล้วก็มีเพื่อนสนิทเขามาลงหุ้นอีกสองสามคน” ปณาลีพยักหน้าช้าๆ กวินภพคงจะสนิทกับทางพ่อ ผิดกับกวีวัธน์ที่อยู่กับแม่และป้ามากกว่า

“ป้าจุ๋มกับสามีเขาดีกันไหมคะ แล้วพี่วินไปเข้าทางพ่อมากกว่าไม่มีปัญหาเหรอคะ?”

“ตอนหย่ากันเขาก็ไม่ดีกันเท่าไหร่หรอก แต่หลังจากนั้นก็คงเย็นลง อายุก็มากขึ้นด้วย หลายปีแล้วนี่นะ ตอนนี้เวลาเจอกันตามงานแม่ก็เห็นเขาพูดกันนะ แต่ก็ไม่เยอะ แล้วป้าจุ๋มเขาก็ไม่ได้กีดกันลูกกับพ่อมาตั้งแต่แรก วินเขาจะสนิทสนมกับพ่อก็คงไม่เป็นไร อีกอย่างคือพ่อวินเขาแต่งงานใหม่ แต่ไม่ได้มีลูก เลยยังเอ็นดูลูกจากบ้านนี้เหมือนเดิม” ปณาลีพยักหน้าช้าๆ ก่อนจะเดินออกไปรับลมที่ประตูด้านหลังบ้าน ใบหน้าสวยค่อยๆ หันไปช้าๆ ก่อนจะสะดุดตากับราวตากผ้า

“แม่ ทำไมเสื้อผ้าพี่หนึ่งมาตากอยู่ที่นี่เต็มเลยละคะ?” ปกติปวิตราอาศัยอยู่บ้านหลังใหญ่กับกวีวัธน์และครอบครัวของเขา แต่ทำไมเสื้อผ้าของพี่สาวจึงมาตากเต็มราวอยู่ที่บ้านนี้

“บางวันพี่เขามาค้างที่นี่ อาบน้ำที่นี่ ก็ถอดผ้าทิ้งไว้ แม่ก็เลยรวมๆ มาซักน่ะ ไม่อยากปล่อยไว้ มันจะเหม็น” ปณาลีหันกลับมามองหน้าแม่แต่ก็ไม่เห็นความผิดปกติใดๆ จึงเข้าไปจัดการกับข้าวของของตัวเองเงียบๆ

“เดี๋ยวน้ำจัดการของพวกนี้เสร็จ ว่าจะไปสวัสดีป้าจุ๋มกับป้าจ๋าหน่อยนะคะแม่ จะไปขอบคุณด้วยที่ขึ้นไปกรุงเทพฯ งานรับปริญญาของน้ำ”

“ไปเถอะ เดี๋ยวแม่รื้อให้ เดี๋ยวพี่เขากลับมาตอนเย็นจะได้กินข้าวพร้อมกัน”

“อ้าว...แล้วพี่หนึ่งไม่ได้กินข้าวกับบ้านพี่วัธน์เหรอคะ?”

“ก็...กินบ้างไม่กินบ้าง เขาว่าบางครั้งเขาต้องรีบไปเข้าเวร หรือว่าเพิ่งออกเวรมาก็ไม่อยากวุ่นวาย เลยมากินที่บ้านเราง่ายกว่า”

“แต่บ้านสามีก็เหมือนบ้านเรานะคะแม่” ปณาลีเปรยแล้วก็เลี่ยงออกมาด้านนอกก่อนจะค่อยๆ มุดประตูเล็กเข้ามายังบ้านของกวีวัธน์ เมื่อก่อนพี่สาวของเธอเป็นเช่นไรเธอไม่รู้ เพราะไม่ค่อยได้อยู่บ้านมากนัก แต่การที่ปวิตราใช้ชีวิตเป็นคนสองบ้านทั้งๆ ที่แต่งงานแล้วนี่มันแปลกสำหรับเธอ คิดไปคิดมาก็สะบัดหัวไล่อาการฟุ้งซ่าน บางทีเธออาจจะคิดมากไปเอง เธอมันคนไม่มีครอบครัวนี่นา การกระทำของปวิตราอาจจะไม่ใช่เรื่องแปลกก็ได้

“เป็นอะไรน้ำ เดินสั่นหัวดิกๆ อยู่ได้” เสียงทักทายจากกวีวัธน์ทำให้ปณาลียิ้มหวาน ก่อนจะชะงักไปนิดหน่อยเมื่อเจอว่าตรงข้ามกวีวัธน์คือกวินภพที่กำลังมองมาที่เธอนิ่งๆ เหมือนเคย

“ไม่มีอะไรค่ะพี่วัธน์ จะมาหาป้าจุ๋มกับป้าจ๋าค่ะ แล้วก็มาต่อว่าพี่วัธน์นิดหน่อยที่ไม่ไปช่วยขนของเลย เดี๋ยวก็เอาพี่สาวคืนซะเลยนี่”

“ช้าไปมั้ง ลูกสองแล้ว คงเอาคืนได้หรอก” เมื่อเห็นการตอบโต้ของกวีวัธน์ ปณาลีก็เบาใจว่าทั้งพี่สาวและพี่เขยของเธอยังคงเป็นปกติ

“แน่ไปเหรอ ถ้าพี่วัธน์หล่อน้อยลงๆ พี่หนึ่งอาจจะเปลี่ยนใจ” พูดจบก็หัวเราะคิกคัก ก่อนจะเดินผ่านทั้งสองเข้าไปในบ้านที่เธอคุ้นเคยเป็นอย่างดี ปณาลีไม่มีโอกาสได้เห็นใบหน้าของกวีวัธน์ที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย

“เชื่อยัยน้ำหรือไง ทำหน้าเหมือนเมียจะทิ้ง” กวินภพหยั่งเชิง

“น้ำมันขี้เล่น มันก็พูดไปเรื่อย ผมไม่คิดอะไรหรอกพี่วิน”

“ก็ดีแล้ว แต่งงานกันมาตั้งสี่ปี ลูกเต้าก็มีด้วยกัน จะเกิดอะไรขึ้นต้องนึกถึงลูกไว้ ถ้าพลาดไป วันหน้าเด็กมันจะมีปมด้อย น่าสงสาร”


เข้าสัปดาห์ที่สองที่ปณาลีกลับมาอยู่ที่บ้านกับครอบครัว อีกสองวันจะถึงกำหนดสัมภาษณ์งานที่โรงเรียนอนุบาลที่เธอไปสมัครงานเป็นครูไว้ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกอย่างจะไม่มีปัญหา แม้ตอนนี้จะยังมีเงินเลี้ยงตัวเองจากงานเขียนที่หญิงสาวเริ่มเขียนมาตั้งแต่ตอนใกล้จบปีสี่ แต่การมีงานประจำก็ทำให้เธอรู้สึกมั่นคงกับชีวิตมากกว่า

“อ้าว พี่หนึ่ง” ปณาลีอุทานงงๆ เมื่อเห็นปวิตราสะพายกระเป๋ากลับเข้ามาในบ้านแทนที่จะไปบ้านของสามี

“มีกับข้าวมั้ย หิวจัง”

“แล้วพี่ไม่ได้ไปกินบ้านพี่วัธน์เหรอคะ?” ผ่านมาสองสัปดาห์แล้วที่ปณาลีรู้สึกว่าพี่สาวของเธอทำตัวประหลาด

“เอ่อ...ไม่ได้ไล่นะคะ ถามเพราะสงสัยเฉยๆ” เมื่อปวิตราขึงตามอง คนเป็นน้องก็รีบปฏิเสธเป็นพัลวัน

“ก็มีคนมากินมากมายที่บ้านนั้น ขาดพี่ไปสักคน เขาก็ไม่เห็นจะพูดอะไรนี่”

“แต่พี่หนึ่งเป็นคนในครอบครัวเขานะคะ ถ้าพี่หนึ่งไม่ได้โกรธเคืองอะไรพี่หนึ่งก็ไม่น่าทำอย่างนี้ มันไม่ถูก เพราะจากที่ไม่โกรธจะกลายเป็นโกรธ แต่ถ้าพี่หนึ่งกำลังโกรธหรือไม่พอใจอะไร น้ำก็อยากให้พี่หนึ่งเคลียร์ค่ะ การหนีหน้าแบบนี้ไม่ใช่ทางแก้ไขนะคะ แล้วพี่หนึ่งก็รู้ว่าพี่วัธน์เขาจะไม่ง้อ” ปณาลีพูดตรงเผง ตรงจนปวิตราต้องหันหน้านี้ เธอรู้ดีเชียวละ แม้กวีวัธน์จะเป็นคนใจดี ใจเย็น ขี้เล่น แต่เขาเป็นคนไม่งอนง้อใคร ถ้าเขาผิด เขาจะขอโทษ แต่ถ้าไม่ฟังกัน ก็ไม่มีอะไรจะพูดอีก ในทางกลับกัน ถ้าเขาไม่ผิดแล้วละก็ ต่อให้อะไรมาฉุดเขาก็จะไม่มีวันง้อใคร แม้แต่ผู้หญิงที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยา

“พี่แค่รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นส่วนเกิน”

“ยังไงคะ?” ปวิตราเหลือบมองปณาลีแวบหนึ่งก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาแรงๆ

“คงเพราะพี่วัธน์เขาไม่ง้อ ไม่สนนี่แหละมั้ง พี่เลยรู้สึก บางทีพี่ก็อยากให้เขาสนใจครอบครัวมากกว่าคนอื่น แต่เขาก็ไม่ พี่เลยรู้สึกเหมือนพี่เป็นส่วนเกินที่เขาไม่จำเป็นต้องใส่ใจหรือแคร์ก็ได้”

“คนอื่น?” ปณาลีไม่รู้ว่าคนอื่นที่ว่าคือใครกัน เธอไม่ค่อยมีเวลาอยู่บ้านมากนัก จึงไม่ค่อยรู้เรื่องพวกนี้

“ช่างเถอะ พี่อาจคิดมากไปก็ได้ พี่จะลองปรับตัวใหม่แล้วกันนะ เจ้าแฝดอยู่บ้านโน้นแล้วใช่ไหม พี่ไปละ” ว่าแล้วก็ลุกขึ้นจากโซฟา พยายามทำตัวกระฉับกระเฉง

“พี่หนึ่งคะ บ้านนี้ต้อนรับพี่หนึ่งเสมอนะคะ น้ำไม่เคยผลักไสพี่เลย พ่อกับแม่ก็เหมือนกัน แต่เราก็ไม่อยากให้พี่หนึ่งต้องมีปัญหา พี่วัธน์เป็นคนดี พี่หนึ่งก็มีลูกตั้งสองคน อะไรที่มันไม่ได้เหลือบ่ากว่าแรงก็คุยกันเถอะค่ะ น้ำเชื่อว่าพี่วัธน์ยังรักพี่หนึ่งเหมือนเดิม เพียงแต่เขาฟอร์มเยอะตามประสา พี่หนึ่งยอมอ่อนลงสักนิด เพื่อรักษาครอบครัวไว้ ไม่มีอะไรเสียหายหรอกค่ะ”

“พี่เข้าใจจ้ะ”

ปณาลีนอนคิดถึงเรื่องของพี่สาวทั้งคืน เธอรู้ดีว่ากวีวัธน์กับปวิตรารักกันมากแค่ไหน ยิ่งไปกว่ารักคือความผูกพันที่ทั้งคู่ถักทอร่วมกันมาตั้งแต่ลืมตาขึ้นมาดูโลก เธอยังเคยคิดว่าเรื่องราวความรักของพี่สาวและพี่เขยมันช่างน้ำเน่าสิ้นดี บ้านติดกัน เดินไปโรงเรียนด้วยกันตั้งแต่เด็กจนโต และวันหนึ่งก็มาแต่งงานมีลูกด้วยกัน ไม่ใช่เพราะไม่มีใคร ไม่ใช่เพราะบังเอิญ แต่เพราะทั้งคู่รักกันมานานและรักกันมาก คงไม่ง่ายที่จะแยกสองคนนี้ออกจากกัน แต่ทำไมปวิตราจึงมีท่าทางเช่นนั้นกันเล่า


ปณาลีหมุนซ้ายหมุนขวามองตัวเองอยู่หน้ากระจก ออกจะไม่คุ้นเคยเท่าไหร่กับการสวมชุดทำงานที่เป็นทางการเช่นนี้ ในที่สุดทางโรงเรียนก็รับเธอเข้าทำงานและวันนี้เป็นวันแรกของการเริ่มทำงาน แม้จะรักเด็กและรู้ตัวเองดีว่ามีความสามารถในการจัดการกับบรรดาวายร้ายตัวน้อยๆ ได้ แต่กับสิ่งที่ไม่เคยก็ทำให้วันแรกของการทำงานเป็นวันที่ตื่นเต้นได้จริงๆ

“แฝดไปโรงเรียนแล้วเหรอคะแม่ ทำไมไปเช้าจัง” ปณาลีถามหาหลานชายฝาแฝดสุดแสบที่เมื่อคืนมานอนอยู่กับมารดาของเธอ

“ไปแล้ว แม่แต่งตัวให้เสร็จก็วิ่งแจ้น บอกว่าจะให้ลุงวินของเขาไปส่ง ออกไปกันเมื่อครู่นี้เอง”

“ไหนแม่ว่าพี่วินไม่ค่อยมาบ้านไงคะ ทำไมดูเจ้าแฝดสนิทกับพี่วินจัง”

“ที่บ้านเจอกันนานๆ ครั้ง แต่วัธน์เขาพาไปเจอกันบ่อยๆ ที่ทำงานของวิน หรือบางทีวินก็มาหาวัธน์ที่ร้านตอนที่เด็กๆ เขาไปเล่นกับพ่อเขาที่นั่น” ปณาลีพยักหน้ารับรู้

“แม่คะ พี่วัธน์เขาเฮฮานอกบ้านบ่อยไหมคะ หรือว่าพาเพื่อนฝูงมาเที่ยวที่บ้านบ่อยหรือเปล่า”

“เท่าที่รู้เขาก็อยู่ที่ร้านอาหารนั่นแหละ ไม่ได้ไปเฮฮาที่ไหน ส่วนเพื่อนก็มีหลายคน แต่ที่สนิทมากๆ มาที่บ้านประจำก็ติกับมุก สนิทกันมาตั้งแต่สมัยเรียน หนึ่งก็รู้จักดีเหมือนกัน” ปณาลียังมองไม่ออกเลยว่าแล้วพี่สาวของเธอจะต้องงอนอะไรกวีวัธน์มากมาย ในเมื่อดูเหมือนกวีวัธน์ก็ไม่ได้ทำตัวผิดแผกไปจากเดิม หนำซ้ำเพื่อนของกวีวัธน์ก็เพื่อนของปวิตราเช่นกัน

“น้ำไม่กินข้าวนะคะแม่ ตื่นเต้น เดี๋ยวค่อยไปหากินที่โรงอาหารที่โรงเรียนค่ะ” ปรียาพยักหน้าก่อนที่ปณาลีจะเดินออกมาหน้าบ้าน

“อ้าว ไหนว่าไปโรงเรียนกันแล้ว” ปณาลีร้องถามด้วยความงุนงง เมื่อภาพที่เห็นคือกวินภพกำลังอุ้มแฝดทั้งสองไว้ในอ้อมแขนและยืนคุยผ่านรั้วเตี้ยๆ อยู่กับภามบิดาของเธอ

“ไปกับน้าน้ำไหม ลุงวินจะได้ไม่ต้องเสียเวลาขับรถไปทางโรงเรียน”

“ไปส่งหลาน ไม่ได้ทำให้ผมเสียเวลาหรอกนะ” ปณาลีอ้าปากค้าง นี่เขาจริงจังขนาดนี้เชียวหรือ เธอไม่ได้จะกล่าวหาอะไรเขาสักหน่อย

“น้ำไม่ได้ว่าอะไรพี่วินนะคะ แค่เสนอให้ว่าถ้าพี่วินจะรีบไปที่อื่น แต่ถ้าพี่วินต้องการจะไปส่งหลานจริงๆ ก็แค่บอกมาดีๆ เท่านั้นเอง”

“ก็นี่ไง กำลังบอกดีๆ” ปณาลีเอียงคอมองอีกครั้ง เขาเป็นอะไรของเขาอีกเล่า หรือเธอผิดเองที่พูดจาไม่รู้จักเวลา

“เมื่อคืนนอนไม่พอเหรอคะ” กวินภพขึงตาใส่อย่างเอาเรื่อง แต่ปณาลีกลับเฉยเสีย

“เจ้าตัวแสบนี่มันอยากนั่งรถซิ่งของลุงน่ะน้ำ” ภามรีบแก้ไขสถานการณ์ แต่ปณาลีก็ยังไม่สบอารมณ์อยู่ดี

“น้ำไม่ได้ว่าอะไรเลยค่ะพ่อ แค่ถามเฉยๆ แต่ทำไมบางคนถึงไม่พอใจน้ำก็ไม่ทราบ”

“ผมไม่ได้ไม่พอใจ แค่บอกให้คุณรู้ว่าเรื่องหลาน ไม่ใช่เรื่องที่ทำให้ผมเสียเวลา” หญิงสาวเม้มปากแน่นก่อนจะบอกลาภามและเดินไปที่รถของตัวเองทันที ก่อนจะออกรถมาเธอเหลือบเห็นว่ากวินภพเองก็บอกลาบิดาของเธอก่อนจะจับเจ้าแฝดยัดเข้าไปในรถเช่นเดียวกัน

นี่กระมังเหตุผลว่าทำไมเธอถึงไม่สนิทสนมกับเขา ทั้งที่เธอก็เข้ากับคนอื่นในบ้านเขาได้เป็นอย่างดี เขามีโลกส่วนตัวที่เข้าถึงยาก และเธอก็ไม่อยากจะเข้าถึงด้วย จริยาแม่ของเขาเป็นเพื่อนร่วมรุ่นกับภามที่โรงเรียน แต่พ่อของเธออายุน้อยกว่าหนึ่งปี ปณาลีจึงเรียกจริยาว่าป้าจุ๋ม เหมือนๆ กับที่เรียกจารีพรว่าป้าจ๋า คุณป้าทั้งสองรักใคร่เอ็นดูเธอมาก กวีวัธน์ซึ่งสนิทสนมกับมารดาและป้าจึงพลอยเอ็นดูเธอไปด้วย
หรือกวินภพจะเหมือนบิดาของเขา ปณาลีเองก็ไม่รู้ว่าบิดาของกวินภพเป็นคนเช่นไร เธอรู้เพียงว่าจริยาหย่ากับสามีเมื่อกวินภพอายุได้สิบขวบ ซึ่งตอนนั้นเธอเองก็เพิ่งสองขวบเท่านั้น เธอไม่สามารถจำหน้าพ่อของกวินภพได้ด้วยซ้ำ
หญิงสาวถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะค่อยๆ เคลื่อนรถออกไป เขาจะเป็นอย่างไรก็ช่างเขา หวังเพียงว่าเธอคงไม่ต้องเจอเขาบ่อยๆ เรื่องน่ารำคาญใจเช่นนี้ก็คงไม่ต้องมารบกวนใจเธอ

ปณาลีนำรถเข้ามาจอดในเขตรั้วโรงเรียนอนุบาลจันทนา ซึ่งมีขนาดไม่ใหญ่มากนัก ตอนนี้มีเพียงนักเรียนจากชั้นอนุบาลหนึ่งถึงอนุบาลสาม แต่หญิงสาวพอรู้มาว่าผู้อำนวยการซึ่งมีชื่อเดียวกับโรงเรียนกำลังเตรียมจะเปิดสอนชั้นประถม และตั้งใจจะต่อเติมอาคารไปทางด้านหลังของโรงเรียนที่ยังมีพื้นที่อีกมากโข
รถยนต์คันโตจากค่ายแลนด์โรเวอร์แล่นมาจอดหน้าโรงเรียนตามหลังเธอมาติดๆ ปณาลีปิดประตูรถของตัวเอง ส่ายหน้าเบาๆ ฝาแฝดเรียนอนุบาลหนึ่งอยู่ที่นี่เช่นกัน และนั่นเป็นสาเหตุที่เธอเสนอจะเป็นฝ่ายพาเด็กๆ มาเอง แต่กวินภพกลับรวนใส่เธอด้วยเหตุผลที่เธอก็ยังไม่เข้าใจจนบัดนี้ ปณาลีเลือกจะเดินเข้าไปด้านใน ปล่อยหน้าที่รับอัณณ์กับอิชย์เป็นของครูเวร หญิงสาวยังไม่อยากมองหน้ากวินภพ


“วันนี้ป้าจุ๋มเขาชวนไปกินข้าวที่บ้านเขาแน่ะลูก” ปณาลีเหลือบมองหน้ามารดาเล็กน้อย ก่อนจะวางกระเป๋าและถอดรองเท้าเข้าชั้นวางรองเท้า

“ไม่ไปได้หรือเปล่าคะ”

“เอ้า...ทำไมล่ะ วินเขามาค้างที่บ้าน นานๆ ที ป้าจุ๋มเขาเลยอยากชวนไปกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตา หนึ่งก็ไม่ต้องเข้าเวรด้วยนะวันนี้”

“เพราะพี่วินนั่นแหละ เลยไม่อยากไป เมื่อเช้าเขาขึ้นเสียงใส่น้ำ แค่น้ำบอกว่าจะพาแฝดไปโรงเรียนเอง เขาจะได้ไม่ต้องเสียเวลา” ปรียาถอนหายใจ

“อย่าไปถือสาวินเขาเลย เขาเป็นคนจริงจังมาก แม่ไม่เคยเห็นเขาพูดเล่นสักคำ หน้านิ่งๆ แบบนั้นตลอดเวลา คนละขั้วกับวัธน์เลยก็ว่าได้ เห็นพอจะคุยกันถูกคอก็พ่อเราน่ะแหละ”

“แต่เขาก็ไม่มีสิทธิ์มาว่าน้ำแบบนั้นนะคะ เพราะน้ำเองก็ไม่ได้ว่าอะไรเขาเลย ถ้าน้ำไปแขวะเขาก่อนก็ว่าไปอีกเรื่องหนึ่ง วันแรกที่เจอกันก็ยังดีๆ อยู่เลย
น้ำขออนุญาตไม่ไปนะคะแม่ น้ำไม่อยากไปแล้วต้องนั่งอึดอัด แล้วน้ำจะแวะไปกินกับป้าจุ๋มวันหลังแล้วกันค่ะ ถ้าป้าจุ๋มถาม วานแม่ช่วยบอกหน่อยนะคะว่าน้ำทำงานวันแรก มีการสอนต้องเตรียมนิดหน่อยค่ะ” ปณาลีเป็นคนที่รู้จักตัวเองดีว่าเธอเป็นคนที่ความอดทนต่ำ และหากต้องเจอกวินภพทำกิริยาแบบเมื่อเช้า เธอคงอดไม่ได้ที่จะทะเลาะกลางโต๊ะอาหาร ดังนั้นการเลือกจะเลี่ยงจึงน่าจะเป็นสิ่งที่ดีกว่า

ดังนั้นบนโต๊ะอาหารในค่ำคืนนั้นจึงมีแต่คนถามหาปณาลีกันให้เซ็งแซ่ จริยากับจารีพรบ่นเสียดายใหญ่โตที่อุตส่าห์คิดเมนูอาหารเพื่อปณาลีโดยเฉพาะ ฉลองการไปทำงานวันแรก แต่หญิงสาวกลับไม่ปรากฏตัว

“เขาโกรธผมเหรอครับน้าภาม” กวินภพโพล่งขึ้นมาจนภามทำหน้าไม่ถูก

“เมื่อเช้าคงใช่ แต่ตอนนี้คงหายแล้ว แต่ที่เขาไม่มาเพราะกลัวมาเจอแบบเมื่อเช้าแล้วเขาจะฟิวส์ขาด” ปรียาเป็นคนตอบแทน แม้ตอนแรกเธอจะโกหกตามที่ลูกสาวขอร้องมาก็ตาม แต่เมื่อกวินภพพูดออกมาเอง จึงไม่มีอะไรต้องปิดบังกันอีกต่อไป

“น้ำเขาเป็นพวกโมโหง่าย ความอดทนต่ำน่ะ เขาก็รู้ตัวของเขาดี เขาจึงพยายามเลี่ยง ถ้าเขารู้ว่าสถานการณ์มันล่อแหลม” ภามช่วยเสริมภรรยาขณะที่กวินภพหน้านิ่งมากขึ้นทุกที

“เขาเหมือนอาของเขา แต่ก็ไม่มีอะไรหรอก ประเดี๋ยวเดียวก็กลับมาเหมือนเดิม ไม่ได้จำฝังใจอะไร อย่าไปคิดมากเลยนะ”

“ผมขอตัวสักครู่นะครับ ทานกันไปตามสบายก่อนเลย น้าภาม น้าปุ้มครับ ผมขออนุญาตเข้าไปที่บ้านนะครับ” ท้ายประโยคหันไปพูดกับภามและปรียาก่อนจะออกไปจากโต๊ะอาหาร ทิ้งให้ทุกคนมองตามโดยไม่มีใครทันที่จะทัดทาน

“ที่ไม่ห้าม ไม่ใช่ไม่อยากนะ แต่รู้ว่าห้ามไม่ได้” จริยารีบบอกเมื่อทั้งภามและปรียาหันมามองหน้าเธอ

“ไม่มีอะไรหรอก วินอาจรู้ตัวว่าทำไม่ดี คงจะไปปรับความเข้าใจ เขาเป็นผู้ใหญ่แล้ว คงไม่หาเรื่องอะไรน้ำหรอก กินข้าวกันเถอะ”

คนที่ปฏิเสธการร่วมโต๊ะอาหารกลับกำลังนอนเกลือกกลิ้งอยู่บนพื้นพรมกับเจ้าโกลเด้นรีทรีฟเวอร์ตัวโต แม้จะมีหนังสือหลายเล่มวางอยู่บนโต๊ะ รอให้เธอไปอ่าน แต่หน้าตาออดอ้อน และเว้าวอนของเจ้าหมาน้อยก็ทำให้ปณาลีใจดำไม่ลง

“กินข้าวหรือยัง?” เสียงทุ้มดังมาจากด้านหลัง ทำให้คนที่กำลังปล้ำกอดกับหมาอยู่สะดุ้งโหยง หญิงสาวรีบหันกลับไปมองด้านหลัง นึกโทษตัวเองว่าเธอน่าจะเอะใจกับปฏิกิริยาของเจ้าปีโป้ที่กระดิกหางฟาดพื้นเปาะแปะ ที่แท้ก็เพราะมันเห็นกวินภพนี่เอง

“ยังค่ะ”

“ยัง? แล้วทำไมไม่ไปกินที่บ้านผม แม่ชวนคุณแล้วไม่ใช่เหรอ” กวินภพค่อยๆ หย่อนตัวลงนั่งบนโซฟาไม่ไกลจากบริเวณที่ปณาลีนั่งพับเพียบอยู่กับพื้น

“น้ำไม่ว่างค่ะ ฝากแม่ไปบอกป้าจุ๋มแล้ว”

“น้าปุ้มบอกว่าคุณโกรธผมเรื่องเมื่อเช้า และกลัวจะห้ามตัวเองไม่ได้ถ้าผมยั่วคุณอีกที่โต๊ะอาหาร เลยตัดสินใจไม่ไปร่วมโต๊ะ” ปณาลีถอนหายใจพรืด อุตส่าห์แต่งเรื่อง เอาเรื่องงานมาอ้าง สุดท้ายโดนจับได้ตั้งแต่อ้าปากโกหก

“ค่ะ ตามนั้น”

“ผมขอโทษแล้วกันเรื่องเมื่อเช้า ที่หงุดหงิดเกินไป แต่ผมแค่อยากจะให้คุณรู้ว่าผมมีเวลาให้หลานและคนในครอบครัวเสมอ ผมไม่เคยมีข้ออ้างของการไม่ดูแลคนในครอบครัว ไม่ว่าผมจะทำงานหนักแค่ไหน หรือเวลาน้อยยังไงก็ตาม ผมก็อยากจะทำให้ทุกเวลานาทีมันมีค่า อิชย์กับอัณณ์อยู่ในวัยที่กำลังน่ารัก ผมอยากใกล้ชิดเขา จดจำช่วงเวลาดีๆ พ้นจากนี้ไปแล้ว เวลาก็ไม่อาจหวนคืน ต่อให้มีเงินแค่ไหนก็ซื้อไม่ได้ ผมเลยอาจไม่พอใจเมื่อมีใครมองข้ามหรือไม่เข้าใจการกระทำของผม”

“น้ำขอโทษค่ะ” ปณาลีเอ่ยออกมาเบาๆ เธอเข้าใจสิ่งที่เขาอธิบายมาอย่างชัดแจ้งทีเดียว ผู้ชายคนนี้คิดอะไรลึกซึ้ง ละเอียด อ่อนโยนมากกว่าที่เธอคาดไว้นัก

“แต่น้ำก็อยากจะบอกพี่วินเหมือนกันว่า ไม่ใช่น้ำไม่เข้าใจ ไม่อย่างนั้นน้ำคงไม่ตัดสินใจกลับมาอยู่บ้าน ทั้งที่ความจริงน้ำหางานในกรุงเทพฯ อยู่กับเพื่อนฝูงสนุกสนานก็ได้ แต่เพราะน้ำรู้ว่าเวลามันมีแต่จะผ่านไป ช้าไปกว่านี้น้ำก็อาจจะไม่ได้มีเวลาร่วมกับครอบครัวแบบนี้แล้วก็ได้
ที่น้ำพูดเมื่อเช้า ไม่ใช่แค่ปากพล่อยพูดไปเรื่อย น้ำแค่เกรงใจ เพราะยังไงน้ำก็ต้องไปสอนที่นั่น ก็เอาเจ้าแฝดติดรถไปด้วย ก็เท่านั้น แต่หากพี่วินต้องการเหมือนที่อธิบายกับน้ำเมื่อครู่ น้ำก็เข้าใจค่ะ” แววตาของกวินภพที่มองปณาลีเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาเคยคิดว่าหญิงสาวที่ไม่ค่อยได้กลับมาบ้านคนนี้จะถูกสังคมเมืองกลืนไปจนลืมรากเหง้าของตัวเองเสียแล้ว แต่จากสิ่งที่เขาได้เห็นและได้ฟัง ปณาลีมีความคิดมากกว่านั้น

“งั้นไปกินข้าวไหม?”

“ไม่ละค่ะ เอาไว้วันหลังแล้วกัน เดี๋ยวน้ำทำอะไรง่ายๆ กินที่บ้านนี่แหละ”

“ถ้าอย่างนั้นก็ทำให้ผมด้วย เพราะผมลุกออกมาจากโต๊ะ ยังไม่ได้กินอะไร ป่านนี้เขาคงเกือบอิ่มกันแล้วมั้ง”

“พี่วินคะ” กวินภพเลิกคิ้วเมื่อคนที่เรียกชื่อเขากำลังจ้องหน้าของเขาอย่างจริงจัง

“มีอะไรติดขัดเหรอคะ ถึงแทนตัวเองว่าพี่กับน้ำไม่ได้ ทั้งที่น้ำก็เรียกพี่ว่าพี่มาตลอด”

“ไม่ชิน” ตอบกลับพร้อมกับจ้องหน้าเธอเช่นกัน ปณาลีคร้านจะพูดด้วยจึงขยับตัวลุกขึ้นเพื่อเข้าไปทำอาหารในครัว

“แต่จะลองดู” เสียงที่ดังตามหลังมาทำให้เธอต้องลอบยิ้ม แต่มิได้หันกลับไปมองหน้าคนพูดแต่อย่างใด แม้ใจจะสงสัยใคร่รู้นักว่า ณ เวลาที่พูดประโยคนี้ออกมานั้นกวินภพจะมีสีหน้าเช่นไรหนอ

.............................................................................................................................................

สวัสดีค่ะ หายไปนานแสนนาน ยังจำกันได้ไหมคะ ตอนนี้เอาเรื่องใหม่มาแล้วนะคะ ตามเคยค่ะเรื่องนี้ยังเขียนไม่จบ เขียนไปลงไป แต่ก็จะลงจนจบเหมือนเคย อาจมีช้าไปบ้าง ต้องขออภัยนะคะ งานประจำยุ่งมากค่ะ

ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับกำลังใจและคอมเม้นนะคะ :)



น้ำแอปเปิ้ล
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 พ.ย. 2557, 22:37:19 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 16 พ.ย. 2557, 22:37:19 น.

จำนวนการเข้าชม : 3037





   ---- (2) ---- >>
Jiab 16 พ.ย. 2557, 23:19:04 น.
เรื่องใหม่มาแล้วดีจัง กำลังคิดถึงอยู่พอดีเลยค่ะ


คิมหันตุ์ 16 พ.ย. 2557, 23:44:17 น.
กริ้บกริ้ววววววว คิดถึงๆ ค่ะ เป็นกำลังใจให้นะคะ


กาซะลองพลัดถิ่น 17 พ.ย. 2557, 01:26:54 น.
จำได้เสมอคะและก็รอว่าเมื่อไหร่จะมีเรื่องใหม่มาให้ได้อ่านกันอีก รอตอนต่อไปแบบใจจดใจจ่อเรื่องนี้คงเบาๆน่ารักๆ ใช่ป่ะคะ


ribbin 17 พ.ย. 2557, 05:37:05 น.
เย้ เรื่องใหม่มาแล้วววว


mhengjhy 17 พ.ย. 2557, 09:53:49 น.


Pat 17 พ.ย. 2557, 20:17:34 น.
เรื่องใหม่


โอชิน 18 พ.ย. 2557, 16:17:15 น.
มาตามด้วยคน^_^


sugar 19 พ.ย. 2557, 01:39:25 น.
จำได้ค่ะ เห็นชื่อก็รีบกดเข้ามาเลย :)


Zephyr 23 พ.ย. 2557, 21:22:26 น.
ความสัมพันธ์ดูซับซ้อน น่าสนใจ อิอิ


agentaja 24 พ.ย. 2557, 22:11:15 น.
รอดูต่อไปค่า


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account