ทัณฑ์ดอกรัก
เนิ่นนานกว่าร้อยปี โชคชะตาจึงชักพาเธอมาพบเจอกับเขาอีกครั้ง เธอถูกหว่านล้อมลวงหลอกด้วยเล่ห์กะเท่ห์มารยาของหนุ่มนักเลงกลอนอายุร่วมร้อยปีที่แสนน่ารัก โรคใจอ่อนกำเริบจนอ่อนใจ น่ากลัวว่า เธอจะเผลอตัวเผลอใจยอมตกห้วงรักอันแสนเย้ายวนไปร่วมกับเขาเข้าสักวัน

เพียงแต่คนบางคน หรือจะยอมให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้น!

“ผมไม่สนใจว่าเขาจะเป็นวิญญาณบรรพบุรุษสายไหนของผม ผมรู้แต่ว่าเขาควรอยู่ส่วนเขา ส่วนคุณ...คุณต้องอยู่กับผม!”

(วิญญาณน่าเจี๊ยะ เจ้านายน่าแซะค่ะ ^^ เชิญเลือกหม่ำตามสบาย)
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: กับดักของชายผู้ลึกลับ

หญิงรูปร่างเพรียวในชุดกระโปรงคลุมเข่าสีเหลืองนวลกำลังยืดเหยียดสุดความสูงอยู่บนชั้นบนสุดของบันไดเข็นติดล้อเพื่อหยิบหนังสือออกมาทีละเล่ม ท่าทางเธอลำบากลำบนไม่น้อยเพราะหลายเล่มหนาเกือบเท่าพจนานุกรม ลำพังแขนข้างเดียวรับน้ำหนักของมันแทบไม่อยู่ จึงต้องโอบหนังสือไว้ด้วยแขนทั้งสอง แล้วค่อยสืบเท้าถอยหลังไต่ลงบันไดมา

“โอ๊ะ” หญิงสาวหลุดปากอุทานออกมาด้วยความตกใจ ตัวล็อกล้อเลื่อนหลุดเมื่อไรไม่รู้ บันไดจึงเลื่อนพรืดจากจุดเดิม จังหวะก้าวยิ่งทำให้เสียหลัก ขาฉีกพรวดหยั่งพลาดลงจากชั้นวางเท้าตัวเอนหงาย

“ระวัง” เสียงนุ่มดังแผ่วประชิดที่ริมหู พร้อมกับที่ร่างสูงใหญ่ของใครคนหนึ่งปราดเข้ามาซ้อนตระกองจากด้านหลัง มือหนาใหญ่คว้าหมับที่ต้นแขนทั้งสองข้างของเธอ

หญิงสาวรู้สึกถึงแผ่นอกแกร่งที่น่าชิดใกล้ แต่ไม่กล้าหันมองเขา สายตาหยุดอยู่เพียงเรียวนิ้วที่กำกระชับที่ให้ความอุ่นวาบที่แขน เห็นแหวนพลอยสีน้ำเงินเม็ดโตโดดเด่นเป็นที่จดจำ

“ไม่เป็นไรแล้วนะ” เขากระซิบด้วยคำถามที่คล้ายคำปลอบโยน เสียงเบาจนเหมือนเป็นเพียงลมหวีดหวิวระบายชิดบนจุดที่ช่างอ่อนไหวต่อความรู้สึก ใบหน้านวลร้อนซู่ ความแนบชิดที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันทำให้ตกใจยิ่งกว่าการตกลงมาจากบันได จนมือไม้อ่อนทำหนังสือเล่มยักษ์ร่วงหล่นจากแขนและตกตุบทับเท้าอย่างจัง!

“อ๊าย!” คราวนี้เธอแผดร้องดังยิ่งกว่าทีแรก สันหนังสือกว้างเพียงพอจะทับที่ปลายนิ้วเท้าทั้งห้า กระจายน้ำหนักความปวดหนึบเท่าเทียมเสียน้ำตาแทบเล็ด

เขาปล่อยตัวเธอโดยพลัน เธอทั้งเจ็บทั้งตกใจจึงสะบัดเท้าไปมาหวังสุดใจว่าจะสามารถสลัดความปวดหนึบๆออกไปได้ แต่มันก็ยังคงชาจนต้องระบายออกมาเป็นเสียงครางอืออู้อี้ในลำคอ

“ร้องดังไปถึงที่โต๊ะพี่เชียวปี่ เป็นอะไรน่ะ” คนที่เดินหน้าตาตื่นมาแต่ไกลกระซิบถามเบาๆ ด้วยอยู่ในห้องสมุดอันเป็นพื้นที่ที่รู้กันว่าต้องควบคุมการใช้เสียงโดยมารยาท

“หนังสือตกใส่เท้าปี่น่ะค่ะพี่แดง วันนี้ซวยอะไรอย่างนี้ก็ไม่รู้ นี่ตอนแรกปี่ก้าวพลาดเกือบล้มด้วยนะคะ ดีนะที่มี...” ปัญญ์ปรียาเหลือบมองหา ‘ฮีโร่’ ในเรื่องเล่าที่น่าตื่นเต้นของเธอ แต่ไม่พบใคร “เอ๊ะ ไปไหนแล้วอะ เมื่อกี้ มีคนมาช่วยรับปี่ไว้พอดีเลยค่ะ ไม่งั้นหัวฟาดแน่”

“โชคดีไปนะ ถ้าล้มจริงขึ้นมาจะทำไงฮึ ระวังหน่อยเถอะ ค่อยๆหยิบหนังสือออกมาดีๆ อย่ารีบอย่าลนนัก เรานี่นะ” คนบ่นช้อนตามองลอดผ่านแว่นกรอบเหลี่ยมสีทอง ผมสีเทาที่แซมเกือบทั่วศีรษะทำให้ปัญญ์ปรียารู้สึกเหมือนย้อนวัยไปเป็นเด็กน้อย จนก้มหน้าจ๋อย รีบรับคำเบาๆไปหลายที

จนกระทั่งอีกฝ่ายเดินจากไป ปัญญ์ปรียาจึงเหลียวซ้ายแลขวามองหาฮีโร่ของเธอ

เสียงทุ้มนุ่มชวนสนิทเสน่หา ไหล่กว้างแกร่งที่ได้เอนซบและอุ้งมือหนาใหญ่นิ้วเรียวยาว ทำให้เธอมั่นใจว่าฮีโร่ของเธอเป็นผู้ชายแน่ๆ ส่วนสูงเขาต้องมากกว่าร้อยแปดสิบ เพราะเธอสูงเกือบร้อยเจ็ดสิบยังเตี้ยกว่าเขาอยู่เป็นคืบ

ทว่า เพียรเดินมองหาเท่าไรก็ไม่พบชายที่มีลักษณะตรงกับที่คิด เขาอาจจะออกจากห้องสมุดไปแล้ว เธอจึงได้แต่นึกเสียดายที่ยังไม่ทันได้กล่าวขอบคุณเขาสักคำ

ตู้หนังสือที่วางแอบมุมกำแพงซ้ายสุดของห้องสมุดนามเปรมบุราณแห่งนี้ไม่เหมือนตู้อื่นๆเอาเสียเลย

ปัญญ์ปรียาแปลกใจอยู่บ่อยครั้ง เหตุใดเจ้าของเปรมบุราณจึงไม่เก็บหนังสือในนั้นไว้ที่บ้าน จำเพาะต้องเอามาแอบไว้ตู้ของห้องสมุด แล้วคล้องกุญแจตัวยูดอกโตอย่างแน่นหนา

ตัวตู้ทำจากไม้แดงมีหน้าบานเป็นกระจกสีขุ่นเหลืองเล็กน้อย บ่งบอกผ่านการใช้งานมานมนาน หนังสือส่วนหนึ่งในนั้นเป็นจำพวกบทประพันธ์ กวีนิพนธ์ต่างๆ บางเล่มเป็นภาษาอังกฤษ เล่มหนึ่งสอดอยู่อย่างเอียงกระเท่เร่เป็นที่น่าหงุดหงิดเมื่อพบเห็น ซ้ำยังมีแผ่นกระดาษแทรกโผล่เลยขอบออกมาให้เป็นที่สะดุดตา ครั้นจะเป็นธุระจัดการเก็บแอบให้เรียบร้อยก็ติดที่ไม่มีกุญแจ

ข้างเคียงกันเป็นตั่งขาสิงห์สีออกแดงมีหมอนสามเหลี่ยมวางประดับอยู่ใบหนึ่ง โดยปกติไม่ค่อยมีใครมานั่งนอนเล่น แต่มันยังสะอาดเอี่ยมด้วยถูกปัดกวาดเช็ดถูอย่างสม่ำเสมอ คะเนเหลี่ยมมุมจากสายตา ถ้าเมื่อครู่ไม่มีคนมาช่วยไว้ ไม่แคล้วหัวคงฟาดเอากับตั่ง เลือดอาบนองเป็นแน่

หญิงสาวห่อไหล่ขนลุกพองเมื่อนึกถึง ก่อนจะรีบเคลื่อนรถเข็นหนังสือเต็มคันจากมันไปเพื่อทำงานต่อ

หนังสือนับหลายพันเล่มในเปรมบุราณถูกจำแนกประเภทไว้อย่างชัดเจน รอนำลงระบบสารสนเทศอย่างจริงจัง เพื่ออำนวยความสะดวกในการค้นหาแก่ผู้ใช้บริการ ปัญญ์ปรียาถูกจ้างมาจัดเก็บรายนามหนังสือเข้าระบบเป็นหลัก หน้าที่รองลงมาคือช่วยงานทั่วไป ระหว่างเจ้าหน้าที่อีกผู้หนึ่งอยู่ระหว่างการลาคลอด

“พี่แดงคะ” คนที่เธอเรียกมีชื่อจริงว่าดิพร วันแรกที่พบกันคือเธอเข้ามาสัมภาษณ์ ต่างฝ่ายต่างเรียกคุณปัญญ์ปรียา คุณดิพรกันอย่างเป็นงานเป็นการและห่างเหิน แต่ต่อมาเมื่อเข้างานแล้ว ดิพรก็ให้ปัญญ์ปรียาเรียกว่าพี่แดงเพราะถือเป็นรุ่นพี่ที่ทำงาน ทว่ายังต่อท้ายแถมให้เสร็จสรรพว่าลูกของตนอายุมากกว่าปัญญ์ปรียาเสียอีก ทำเอาเธอเกร็งทำตัวไม่ถูกไปหลายวันด้วยความเกรงใจ
ดิพรเป็นหญิงโครงใหญ่ ผิวสีทองแดง หน้าคมดุ ผมหยิกตามธรรมชาติถูกขมวดเป็นปมอยู่ด้านหลัง เธอมักแต่งชุดเสื้อผ้าไทย ตัดจากผ้าไหมบ้าง ผ้าโขมพัดบ้าง คอเสื้อปิดมิดชิด กระโปรงก็คลุมเข่ายาวเลยไปเกือบครึ่งแข้ง เห็นแล้วชวนให้นึกถึงคุณครูสมัยก่อน

ยิ่งเดินคู่กับปัญญ์ปรียาที่เพิ่งสอบวิชาสุดท้ายจบหมาดๆ ยังไม่นับว่าจบปริญญาตรีแล้วด้วยซ้ำ แถมบางวันยังใส่ชุดนักศึกษามา เพราะซักกระโปรงทำงานไม่ทัน จึงดูราวกับครูกับลูกศิษย์

ที่จริง ปัญญ์ปรียาจะเรียกดิพรว่าครูก็ใช่ ด้วยความที่อีกฝ่ายเป็นบรรณารักษ์ที่แก่ประสบการณ์และรู้จักหนังสือทุกเล่มในเปรมบุราณจนเหมือนระบบค้นหาข้อมูลเคลื่อนที่ ปัญญ์ปรียาจึงพึ่งและถามเธออยู่บ่อยครั้งทั้งการทำงานทั่วไปและเรื่องหนังสือ ส่วนใหญ่มักได้รับคำตอบที่ดีอย่างปรานีประหนึ่งกำลังสอนลูกสอนหลาน แต่ก็มีบางทีที่ถูกรำคาญจนไล่ให้ไปหาข้อมูลเอาเอง

“กล้าซักกล้าถามมันก็แสดงออกถึงความใคร่รู้ใคร่เรียนอยู่หรอก แต่อะไรที่มันได้มาง่ายๆจะจำจดกันสักเท่าไหร่เชียว ไปหาเองบ้างไป๊”

หรือเวลาดิพรรำคาญหนักเข้า เสียงจะดังขึ้นพร้อมคำบ่นมากกว่าคำสอน

“ที่ถามน่ะ เล่นง่ายกันเท่านั้นหรอก พี่ไม่ใช่อากู๋ญาติเธอนะ ถามได้ถามดี เด็กสมัยนี้นี่!”

โดนดุอยู่ครั้งสองครั้ง ปัญญ์ปรียาค่อยคิดได้ว่าควรจะพึ่งตัวเองให้หนักเสียก่อน ให้แน่ใจจริงๆว่าทำเองไม่ได้แล้ว จึงไปกวนดิพรสักที บางทีมะงุมมะหราอยู่นาน งานไม่เดิน ดิพรจึงเข้ามาถามไถ่เสียเอง ซึ่งแปลว่าคนถามไม่ติดงานอะไร แต่ลงถ้าดิพรปล่อยให้ความเงียบกดดันปัญญ์ปรียาอยู่อึดใจ กว่าจะยอมเงยหน้าจากหนังสือที่เธอกำลังซ่อมแซมอยู่อย่างวันนี้ เห็นทีจะได้รับคำตอบดีๆยาก
แต่ปัญญ์ปรียาก็อยากรู้จนต้องถามอยู่ดี

“ตู้ที่อยู่ด้านหลังน่ะค่ะ กุญแจอยู่ไหนคะพี่แดง จะให้ไขเข้าไปทำความสะอาดมั้ยคะ หนังสือในนั้นดีๆก็หลายเล่ม เห็นแล้วกลัวจะผุพังปลวกกิน”

“ตู้นั่นไว้อย่างนั้นแหละ นายไม่ชอบให้ไปวุ่นวาย บอกให้ทำแค่ไหนก็ทำเถอะ ทำไมต้องคอยมาถามอีก” เสียงดิพรค่อนไปทางดุอยู่แล้ว แถมเจ้าตัวยังรู้สึกว่าถูกขัดจังหวะด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง จึงน่ากลัวไปใหญ่ เธอพูดจบก็ส่ายหน้าน้อยๆ แล้วก็หันกลับไปประคบประหงมหนังสือบนโต๊ะทำงานอีกรอบ

“ค่ะ ขอโทษค่ะ” ปัญญ์ปรียารับคำเสียงอ่อย ไม่กล้าเซ้าซี้หาเหตุผลไปมากกว่าที่ได้รับ จึงตัดใจกลับไปนั่งโต๊ะตัวเองที่อยู่ข้างกัน หยิบหนังสือออกจากรถเข็น เริ่มพิมพ์ชื่อทดเลขรหัสเข้าระบบและติดบาร์โค้ดให้แต่ละเล่ม

เท่าที่สังเกต เปรมบุราณมีคนมาใช้บริการวันหนึ่งไม่เคยเกินสิบคน แต่ละคนเข้ามาก็แยกย้ายอ่านหนังสือตามมุมต่างๆ ไม่ค่อยซักถามอะไรมากมาย ถ้าเป็นเช่นนี้ไปตลอด เธอประมาณดูแล้วอาจไม่ถึงครึ่งปีตามสัญญาจ้าง งานหลักที่รับมอบหมายมาก็น่าจะเสร็จเรียบร้อย

หลังจากนั้น ก็ภาวนาให้เธอได้งานประจำดีๆ และเพื่อนร่วมงานที่ช่วงวัยไม่ห่างกันมากนัก

อีกสิบห้านาทีจะปิดทำการ คนเริ่มทยอยออกจนหมด ป้าอารีถึงพาร่างอ้วนแบบสองคนโอบ หิ้วถังน้ำใบเล็กเดินช้าๆเข้ามาเช็ดทำความสะอาด ด้านหลัง ตามมาด้วยชะเอมหลานสาวตัวน้อยผู้เริงร่า เธอเดินก้าวหนึ่งหมุนรอบหนึ่ง สนุกสนานกับการที่กระโปรงเรียนสีน้ำเงินซีดบานเป็นวงเหมือนชุดเจ้าหญิงในการ์ตูนเรื่องโปรด

พอมาถึงกลางห้อง ตากลมโตของชะเอมค่อยกวาดมองไปทั่วส่อเค้าว่าจะหาที่เล่นซุกซนประสาเด็ก แต่พอดิพรลุกจากโต๊ะ เด็กน้อยก็เหมือนหนูเจอแมว รีบวิ่งไปคว้าผ้าเช็ดโต๊ะผืนเล็กทำท่าขัดๆถูๆ แล้วส่งยิ้มหยีเข้าสู้ แสร้งทำตัวเรียบๆร้อยๆขึ้นทันตา

ดิพรหัวเราะหึหึด้วยความเอ็นดู โดยหารู้ไม่ว่ามันเป็นเสียงขู่ในความรู้สึกเด็กหญิง ดิพรเดินผ่านร่างเล็กที่พยายามยืนตัวลีบที่สุดเท่าที่จะทำได้ไปเก็บหนังสือที่ซ่อมเสร็จกลับชั้น ป้าอารีเห็นแล้วยังหลุดหัวเราะหลานตัวเองแต่ไม่พูดอะไรซ้ำยังหันมาพยักพเยิดให้ปัญญ์ปรียาร่วมขำเสียด้วย

คล้อยหลังดิพร เด็กหญิงค่อยวิ่งหน้าเริดเอาผ้าขี้ริ้วมาเช็ดถูโต๊ะปัญญ์ปรียาให้ น้ำเปียกๆยังไม่ทันแห้งดี มือเล็กจ้อยก็เกาะหนึบที่ขอบโต๊ะ เจ้าตัวค่อยเขย่งเอาคางเกยโต๊ะ ตาแป๋วๆจ้องตรงมาแทนการเรียกร้องออดอ้อนโดยไร้เสียง

แม้รู้ว่าเริ่มทำให้เสียเด็ก แต่คนถูกจ้องด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความหวังก็อดใจไม่อยู่ ต้องเปิดลิ้นชักควักเอาลูกอมมอบให้เม็ดหนึ่ง

“ขอบคุณค่า” ชะเอมได้ของรางวัลก็ยิ้มกว้าง เอื้อมมือมาคว้าของหมับ ก่อนยกมือไหว้พร้อมกล่าวเสียงใส แล้วค่อยวิ่งกลับไปอวดผู้เป็นยาย

ปัญญ์ปรียาเอ็นดูชะเอมเป็นพิเศษ ด้วยเจ้าตัวเป็นเด็กมีสัมมาคารวะ พูดจามีหางเสียงน่าฟัง แม้จะซนบ้างทโมนบ้าง แต่ยังตามติดมาช่วยงานป้าอารีไม่เคยขาด

ยามหลานชายของเธออายุเท่าชะเอม ไม่มีหรอกที่จะเคารพใคร ซนก็เท่านั้น เอาแต่ใจตัวเองเป็นที่หนึ่ง ถ้าไม่ได้ดั่งใจก็ร้องไห้งอแง หนักที่สุดคือวิ่งมาฟาดหน้าเธออย่างจังตอนที่เธอบอกให้เก็บของเล่นให้เรียบร้อยก่อนไปกินข้าว ตอนนั้น เธอทั้งเจ็บทั้งตกใจ ความโมโหกรุ่นแม้ไม่ระบายออกเพราะรู้ว่าหลานยังเป็นเด็กไม่รู้ความ เธอยังไม่ทันได้สั่งสอนดั่งใจคิด พี่สะใภ้กลับเข้าข้างลูก บ่นเธอว่าทำไมต้องสั่งหลานให้ทำโน่นทำนี่ หลานหิวต้องกินข้าว มิหนำซ้ำยังปลอบเอาใจลูกด้วยไอศกรีมหนึ่งถ้วยโต

พี่ชายพยายามประนีประนอมในทีแรก แต่เมื่อลูกชายตะเบ็งเสียงร้องไห้จ้า ลงท้ายจึงกลายเป็นว่าเธอผิดที่ไปสั่งแบบนั้น แค่ของเล่นก็เก็บให้หลานไม่ได้ เขาไม่ต้องการให้ใช้คำว่าหวังดีของ ‘คนนอก’ อย่างเธอไปก้าวก่ายเรื่องของ ‘ครอบครัว’

ไม่นานหลังจากเหตุการณ์นั้น เขาก็เริ่มมีความคิดที่ว่า บ้านเล็กเกินไปสำหรับครอบครัวเขา...และตัวเธอ

เขาหว่านล้อมให้เธอเลือกสอบกับมหาวิทยาลัยที่กรุงเทพฯ แทนที่จะเข้ามหาวิทยาลัยประจำจังหวัด ปัญญ์ปรียาเข้าใจความอึดอัดของพี่ชาย นอกจากบ้าน พ่อแม่เหลือทิ้งเงินทองไม่มากนักเอาไว้เบื้องหลัง ซึ่งพี่ชายก็แบ่งปันมาฝากเข้าบัญชีไว้ให้แต่แรก เขาต้องทำงานตัวเป็นเกลียวเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของเมียและลูก จะให้เขาคอยดูแลจัดการให้ทั้งหมดปรองดองกันอีกก็ไม่ไหว เขาต้องเลือกฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

หญิงสาวยอมออกจากบ้านที่เคยอยู่แต่อ้อนแต่ออก มาสิงสู่อยู่หอคับแคบในเมืองกรุงตั้งแต่ปีหนึ่งยันเรียนจบ ระหว่างนั้นยังทำงานพิเศษเพราะรู้ดีว่าลำพังเงินเก็บอาจไม่เพียงพอสำหรับอนาคต

สี่ปีแล้วสินะ...ที่เธอไม่กลับไปเยือนบ้านอีก บ้านที่เหลือสายใยร้อยรัดผูกพันเธอไว้น้อยเต็มทีหลังจากพ่อแม่เสียชีวิตลง

หญิงสาวดึงหนังยางรัดผมออก สางผมอยู่สามสี่ครั้งราวกับจะใช้นิ้วทั้งสิบรูดสลัดความคิดความทรงจำอันไม่โสภาทิ้ง ก่อนจะรวบกลุ่มผมสีน้ำตาลออกแดงยาวระบ่าไปรัดไว้ที่กลางท้ายทอยใหม่ แล้วดึงสมาธิกลับมาก้มหน้าก้มตาทำงานอีกครั้ง เมื่อดิพรย้อนมาถึงโต๊ะจึงเห็นว่าเธอยังติดพันอยู่กับกองหนังสือในรถเข็น

“ทุ่มกว่าแล้ว เก็บของกลับเถอะ เดี๋ยวพี่ขับเข้าไปส่งที่หน้าหอให้” แม้ดิพรจะเป็นประเภทดุเฮี้ยบและหงุดหงิดง่าย แต่ข้อดีคือความเอื้อเฟื้อเมตตาที่มอบให้เสมอ

“หมดคันนี้ค่อยกลับดีกว่าค่ะ อยากเคลียร์ให้เสร็จๆไป จะได้ไม่งง พี่แดงกลับเถอะค่ะ ไม่ต้องห่วง”

“ตามใจนะ อยู่คนเดียวก็อย่าดึกนักละ โจรขโมยเยอะแยะสมัยนี้ ไม่เอาของเปล่า เอาอย่างอื่นเสียด้วย”

“ค่า ไม่ดึก” ปัญญ์ปรียายิ้มรับ ไหว้ดิพรกับป้าอารี ก่อนโบกมือลาหนูชะเอม แล้วจัดการหนังสือในรถเข็นต่อ กว่าจะเสร็จก็เกือบสองทุ่ม

ความที่ยังเข็ดกับบันไดล้อเลื่อนเมื่อเย็น หญิงสาวจึงเลือกหยิบบันไดพับมาคล้องกับแขนข้างหนึ่ง แล้วค่อยเข็นรถเข้าไปจัดเก็บหนังสือเข้าชั้น

เธอกางบันไดพับออก หยิบหนังสือออกจากรถเข็นแล้วปีนขึ้นไปวางหนังสือเข้าชั้นจนหมด หูพลันแว่วเพลงบรรเลงแผ่ว

เสียงปี่...ปี่อะไรสักอย่าง คนที่ได้ชื่อเล่นว่าปี่พอเดาได้ว่าคือปี่ใน เธอเงี่ยหูฟังทำนองอันไพเราะแต่หวานเศร้าจับใจด้วยความสงสัย

เสียงนั้นจะว่าไกลก็ไม่ไกล จะใกล้ก็ไม่ใกล้นัก ปัญญ์ปรียาลงจากบันได สงสัยว่าดังมาจากตรงไหนแน่ อาจมีใครมัวแต่จมอยู่กับตัวอักษรจนลืมว่าเลยเวลาปิดทำการไปแล้วใครคนนั้นคงเปิดเพลงนี้ขึ้นมา หรืออาจจะนึกครึ้มทำเท่ตั้งเสียงริงโทนเป็นเสียงปี่ครวญหา นานแล้วที่ปัญญ์ปรียาไม่ได้ฟังท่วงทำนองไทยเดิมเช่นนี้ สมัยเรียนมัธยม เธอเคยเรียนดนตรีไทยก็จริง แต่ตอนนั้นครูให้เลือกเรียนระหว่างซออู้ ขลุ่ย ขิม และจะเข้ เธอเลือกเรียนขิมประสาสาวที่อยากเป็นอังศุมาลินของโกโบริสักครั้ง แต่นั่นก็เป็นเพียงการเรียนตีขิมอย่างงูๆปลาๆพอให้สอบผ่าน เนื่องด้วยเวลาถูกทุ่มเทกับการสอบเสียหมด ตอนนี้ จึงเรียกได้ว่า เรียนมาน้อยแถมยังเอาที่เรียนมาคืนครูไปเกือบหมด ไม่เช่นนั้นอาจพอรู้จักว่าคือทำนองอะไร

“คำหวาน”

เสียงปี่หยุดไปแล้ว แต่มีเสียงชายหนุ่มคนหนึ่งตอบข้อสงสัยให้ น้ำเสียงเขาให้ความรู้สึกหวานล้ำขึ้นในใจอย่างไม่ทราบสาเหตุ
อาจเป็นเพราะเสียงเหมือนพ่อฮีโร่ที่เพิ่งช่วยเธอไว้เมื่อตอนเย็น

หญิงสาวชะเง้อหาด้วยความหวัง แต่แล้วโทรศัพท์ก็แผดลั่นขัดขึ้นในความเงียบงัน

“คุณคะ ในห้องสมุดเราขอความกรุณาปิดเสียงเครื่องมือสื่อสารนะคะ แล้วเราปิดทำการตั้งแต่หกโมงครึ่งแล้วค่ะ นี่สองทุ่มแล้ว” เธอร้องบอกทั้งที่ไม่รู้ว่าเขายืนอยู่จุดไหน ก่อนจะเดินกลับไปที่โต๊ะ แปลกใจอยู่ไม่น้อยว่าใครโทร.เข้าเบอร์ห้องสมุดในยามนี้
เดินแกมวิ่งไปรับสาย ยังไม่ทันที่เธอจะพูดทักทาย อีกฝ่ายก็กรอกเสียงถามมา

“คุณแดงยังอยู่อีกเหรอ”

เสียงคนพูดทุ้มลึกฟังดูแล้วน่าจะอยู่ในวัยสักสี่สิบเป็นอย่างมาก ปัญญ์ปรียาได้แต่คาดเดาขณะถามกลับไป “คุณแดงกลับไปแล้วค่ะ สะดวกฝากข้อความไว้มั้ยคะ”

“คุณปัญญ์ปรียาสินะ ทำไมคุณยังไม่กลับ”

คนฟังอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะนึกได้ว่าผู้ที่โทร.มาคือใคร

“เจ้านายหรือคะ ปี่เคลียร์งานค่ะ กำลังจะกลับแล้ว มีอะไรให้ปี่ช่วยได้มั้ยคะ”

“ผมเห็นไฟยังเปิดอยู่ นี่ดึกแล้ว คุณควรกลับ”

“อ๋อ ค่ะ” ปัญญ์ปรียากะพริบตาปริบๆ รู้ว่าบ้านของเจ้านายอยู่รั้วชิดติดกับห้องสมุด ไม่แปลกที่เขาจะสามารถสอดส่องมองเห็น เพียงแต่เธอไม่ค่อยแน่ใจนักว่าปกติ เจ้านายจะต้องโทร.มาไล่ลูกน้องกลับบ้านหรือเปล่า เธอก็ไม่คิดเอ่ยปากขอค่าทำงานล่วงเวลาสักหน่อย

“เก็บของ และกลับได้แล้ว” เขาย้ำอีกครั้ง ราวกับกลัวเธอจะไม่เชื่อฟัง

“มีคนนอกยังค้างอยู่ในห้องสมุดอยู่อีกคนน่ะค่ะ เดี๋ยวปี่จะดูให้แน่ใจว่าเขาออกไปแล้วก่อนปี่กลับ”

“ไม่ต้อง” เสียงเขาสั่งเฉียบขาด ทว่าเมื่อคำนึงถึงหลักเหตุผลแล้ว ปัญญ์ปรียาจำเป็นต้องรวบรวมความกล้าแย้งไป

“แต่ปี่ต้องล็อกประตูนี่คะ”

“ดึกแล้วเก็บของกลับบ้านเถอะ มีกุญแจสำรองอยู่ทางนี้อีกดอก เดี๋ยวผมจะให้ลุงขจรไปปิดเอง”

สั่งจบเขาก็วางสายฉับ ปล่อยให้ปัญญ์ปรียาตีความเองว่าเขาถือสาอะไรนัก เธอโตแล้ว อยู่หอจนเคยชิน เดินย่ำต๊อกเข้าซอยดึกๆดื่นๆหลังจากทำงานพิเศษก็ออกบ่อย แล้วเปรมบุราณก็อยู่ใกล้หอของเธอมาก เดินไม่ถึงสิบนาทีก็ถึง เรื่องนี้เขาก็น่าจะรู้ถ้าได้เห็นที่อยู่ของเธอในใบสมัคร

“คุณคะ ฉันจะกลับแล้วนะคะ เดี๋ยวจะมีรปภ.มาดูแลแทนค่ะ”

หญิงสาวคว้ากระเป๋าสะพายแล้วตะโกนบอกชายเจ้าของเสียงหวาน นึกเสียดายที่ไม่ได้พบหน้าเขา

“ถ้า...คุณเป็นคนช่วยฉันไว้เมื่อเย็น ฉันขอบคุณมากนะคะ” เธอร้องบอกแล้วรั้งรออยู่ชั่วครู่ ก่อนจะนึกได้ว่าขณะนี้เธออยู่กับเขาเพียงสองต่อสองในที่รโหฐาน

หรือเจ้านายเธอจะกลัวเธอประสบเหตุร้าย



ปัญญ์ปรียาเก็บความปลาบปลื้มไว้ในใจจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้น วางกระเป๋าไว้ใต้โต๊ะเสร็จ เปิดใช้คอมพ์เครื่องยังไม่ทันร้อน เธอก็เริ่ม ‘เห่อนาย’

“พี่แดง...เจ้านายเรานี่ดีจังเนอะคะ” น้ำเสียงที่เกริ่นขึ้นมา เหมือนเพิ่งผ่านเหตุการณ์มาสดๆร้อนๆ ความตื่นเต้นและกระหยิ่มยินดีพวยพุ่งออกมาจากทุกคำ แถมยังสะท้อนผ่านดวงตากลมสวย

รุ่นพี่สูงวัยหันมาเลิกคิ้วมอง ปากตอบอือเบาๆแสดงการรับรู้ ไม่มีอารมณ์ร่วมด้วยเลยสักนิด

ปัญญ์ปรียาไม่ทันสังเกตอารมณ์ของอีกฝ่าย จึงไถเก้าอี้เข้าไปหาถึงโต๊ะหวังประจบ เพื่อตอดถามข้อมูล

จอมขวัญเพื่อนสนิทของเธอมักบ่นว่า นิสัยดั้งเดิมเธอก็ไม่ค่อยจะสังสรรค์เฮฮากับใครอยู่แล้ว งานที่เธอทำจะพานให้เธอมุดเข้าถ้ำ จำศีลไม่ได้ติดต่อพบปะผู้คนเข้าไปใหญ่ เพื่อนร่วมงานมีเพียงท่านส.ว. หรือท่านพี่แดงผู้สูงวัยและคุณลักษณ์ คุณแม่ลูกอ่อนที่ไม่เคยมีโอกาสพบหน้า

เธอฟังเองยังรู้สึกว่า มันช่างเป็นชีวิตที่จืดชืดน่าห่อเหี่ยว แต่ถ้าจอมขวัญได้รู้ว่า นอกจากเมื่อวานเธอจะเจอฮีโร่ผู้ลึกลับ เธอมีเจ้านายที่แสนดีน่ารักเพิ่มมาอีกหนึ่งคน คงเลิกค่อนขอดไปบ้าง

“จะว่าไปปี่ยังไม่รู้เลย เจ้านายชื่ออะไรอะคะ”

“นี่เธอไม่รู้จริงเหรอ” ดิพรขมวดคิ้ว เริ่มชักสีหน้าแถมยังถอนใจหนักๆให้ได้ยิน

“แหม จริงสิคะ พี่แดงเรียกเจ้านายๆ ปี่ก็เรียกตามไปด้วย” เธอยอมรับหน้าซื่อ ตอนเธอมาสมัครงานก็เจอเพียงดิพรเท่านั้น อย่าว่าแต่หน้าเคยเห็นหรือไม่ แค่เสียงเธอก็เพิ่งได้ยินเมื่อคืนนี้

“เคยอ่านสัญญาจ้างบ้างมั้ย สักแต่เซ็นหรือไง จะไม่รู้ได้ยังไงกัน แล้วใครๆเขาก็รู้จักเจ้าของเปรมบุราณทั้งนั้น มีแต่คนบอกว่าเขาเป็นคนดีทั้งนั้นละ ไม่ต้องสงสัยความดีของเขาหรอก หัดตามข่าวบ้าง ลูกน้องทำงานอยู่ข้างบ้านกันแค่นี้ มีหน้ามาบอกไม่รู้จัก โอ๊ย เด็กนี่นะ ไม่เอาละ ไม่พูดด้วยแล้ว พี่ไปคุยธุระของพี่ดีกว่า” บ่นเสร็จ ดิพรก็คว้าโทรศัพท์มือถือลุกหนีไปออกไปด้านนอก ไม่เปิดโอกาสให้ซักไซ้เพิ่มเติมอีก

ปัญญ์ปรียาโดนบ่นไปหนึ่งกระบุง ชักรู้ว่าตอดข้อมูลมากกว่าไม่ได้แน่ จึงเลื่อนทั้งตัวทั้งเก้าอี้กลับโต๊ะทำงาน แล้วเริ่มค้นหาข้อมูลทางอินเตอร์เน็ต ลองเจ้านายเด่นดังอย่างที่ดิพรว่าก็คงมีข่าวในในเว็บไซต์ต่างๆบ้าง

เพียงพิมพ์ว่าเปรมบุราณลงไปแล้วกดค้นหา ไม่นานข้อมูลที่เธอต้องการก็เสิร์ฟมาถึงตรงหน้า

ข่าวการเปิดตัวห้องสมุดเปรมบุราณของนักธุรกิจหนุ่มฮอตเจ้าของเรือนบุราณ รีสอร์ตย้อนยุคสุดคลาสสิกเน้นกลุ่มลูกค้าไฮเอนด์ เนื้อข่าวที่ชมเชยว่าเขารักษาความเป็นไทยและส่งเสริมการเรียนรู้ของคนในชุมชนโดยไม่แสวงหาผลกำไร

เว็บไซต์แสดงภาพเดี่ยวของเขา ยืนอยู่ในหน้าเปรมบุราณ ในวันเปิดตัวเมื่อสิบปีก่อน คิดดูจากที่เขาเป็นหนุ่มฮอตในพ.ศ.นั้น แปลว่าเขาอายุห่างจากเธอมากทีเดียว

ชายหนุ่มมีโครงหน้าผอม ผิวขาว รูปร่างสูงใหญ่ ขอบบนของป้ายชื่อห้องสมุดที่สูงเท่าระดับสายตาเธออยู่แนวเดียวกับคอของเขา หน้าผากกว้าง คิ้วหนาวางเกือบเป็นเส้นตรง จมูกโด่งสวย ริมฝีปากที่หนาไปสักหน่อยฉีกยิ้มกว้างอยู่ใต้หนวดเคราที่ทำให้เขาดูดิบเถื่อนและเท่มากมายในสายตาของเธอ

ปัญญ์ปรียาไล่สายตาอ่านความสำเร็จของนายจ้างอย่างเคลิบเคลิ้ม ปลาบปลื้มที่รู้ว่าชายผู้ได้ตำแหน่งนักธุรกิจหนุ่มฮอตเมื่อสิบปีก่อนคือเจ้านายของเธอ นายคนเดียวกับที่ใส่ใจโทร.มาสอบถามความเป็นไปของพนักงานสัญญาจ้างที่เพิ่งทำงานกับเขาแค่เดือนเดียวอย่างเธอเมื่อคืนนี้

แค่คิด มุมปากก็แทบฉีกไปถึงรูหู

เพียงแต่ชื่อเขาอ่านยากจัง...

“วอ รอ ทอ” เธอพยายามสะกดชื่อนายจ้างคาดเดาว่ามันต้องออกเสียงว่าอย่างไร จะอ่านว่า วะ-ระ-ทะ ก็ไม่น่าจะใช่ จะออกเสียงให้ตัวรอเป็นตัวควบกล้ำว่า วรด ก็คงฟังดูแปร่งไปสักหน่อย

“วะ-รด”

“อ๋อ” หญิงสาวลากเสียงอ๋อยาว ก่อนจะเสียวสันหลังวาบ สังหรณ์ใจอย่างไรพิกล

“ข่าวนั่นมันนานมากแล้ว”

ชัดแล้ว! คราวนี้ ใจหล่นวูบถูกน้ำย่อยในกระเพาะเล่นงานแล้วกระมัง ท้องจึงปั่นป่วนนักเพราะเสียงนี้ เธอปล่อยมือจากเมาส์แล้วหันไปหาเจ้าของเสียง...

มั่นใจว่าเป็นคนเดียวกับที่โทร.มาให้ปลื้มใจเมื่อคืน!

เขาพาร่างอันสูงใหญ่มายืนดูเธอที่ด้านข้างตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ ชายหนุ่มเอี้ยวคอเล็กน้อย สองมือไพล่อยู่ด้านหลัง ใบหน้าเฉยชาผิดจากรูปในเว็บไซต์จนเดาไม่ออกว่าโกรธอยู่หรือไม่

ปัญญ์ปรียาใช้กลยุทธ์เดียวกับน้องชะเอมทำใส่ดิพรคือยิ้มสู้ไว้ก่อน แต่เจ้านายไม่ยิ้มตอบสักนิด ไม่ช่วยให้เธอใจชื้นขึ้นบ้างเลย

“สวัสดีค่ะ เจ้านาย...” เธอทักเขาเบาๆ พร้อมกับลุกขึ้นพนมมือไหว้ เรี่ยวแรงหดหายจนยืนแทบไม่อยู่ ถ้าไม่ฝืนไว้ เข่าคงอ่อนพับกลับลงไปนั่ง คิดว่าดิพรมีรังสีอำมหิตมากแล้ว ชายตรงหน้ากลับน่ากลัวยิ่งกว่า สมแล้วที่เป็นเจ้านายลูกน้องกันมาตั้งสิบปี

“เรายังไม่เคยเจอกันเลยสินะ”

“ค่ะ”

“วันนี้ผมว่าง กลางวันไปที่ตึกใหญ่นะ จะเลี้ยง”

“คะ” ปัญญ์ปรียาร้องเสียงดังลั่น

แปลกใจ ตกใจ...แต่ไม่ใช่ตกลงใจ!

ให้เขาบอกไล่เธอออกยังไม่เหวอเท่านี้ เธอไม่ทันบอกว่าตนเองมีนัดกับเพื่อน เขาก็เดินออกไปไม่รอคำปฏิเสธ ฝีเท้าเร็วและเบาไม่ต่างจากขามา

หญิงสาวยืนงงทำอะไรไม่ถูกจนสาวรุ่นพี่เดินกลับมาจากห้องน้ำ แล้วทัก

“เป็นอะไรไปน่ะปี่”

ปัญญ์ปรียาสะดุ้งหลุดจากความงงงวย เห็นว่าดิพรมายืนแทนที่เจ้านาย พานนึกไปว่าเมื่อครู่อาจเป็นฝัน แต่ยังไม่ทันไร เธอก็ถูกดิพรดับฝันอย่างง่ายดาย

“เมื่อกี้ นายเข้ามาหาปี่ใช่มั้ย เขาว่ายังไงบ้าง”

“นายมา” น้ำเสียงเธอออกจะเลื่อนลอยไปสักหน่อย สมองที่รวนอยู่พยายามจัดระบบความคิดเสียใหม่ “ใช่ค่ะใช่ นายมา นายชวนพวกเราไปทานข้าวด้วยนะคะ”

พูดออกไปแล้วใจคอค่อยกลับมาอยู่กับร่องกับรอย มั่นใจว่าใช่แน่ เจ้านายคงจะเลี้ยงอาหารเธอกับดิพร เธอเพิ่งเข้าทำงานไม่นาน ไม่รู้ธรรมเนียมปฏิบัติอะไร แค่เขาชวนไปกินอาหารกลางวันก็เลยตื่นตกใจเกินเหตุ เจ้านายรวยๆหล่อๆอย่างนั้น คงไม่สนใจจะชวนสาวกะโปโลอย่างเธอไปเสวนาสังสรรค์ด้วยหรอก

“ชวนพวกเราเหรอ เหลวไหล พี่เพิ่งคุยกับนายเสร็จก่อนนายเข้ามาหาปี่ นายไม่เห็นว่าอะไร ไหนนายพูดว่าอะไรบ้าง เล่าซิ”

“นายบอก...กลางวันไปที่ตึกใหญ่ จะเลี้ยง...แบบนี้น่ะค่ะ” หญิงสาวทวนคำได้อย่างไม่ผิดเพี้ยน เจ้านายพูดกระชับสั้น เสียงมีอำนาจเหมือนเป็นคำสั่งเสียทุกคำจนจำได้ขึ้นใจ

“นายเขาชวนปี่ ไม่ได้ชวนพี่”

“แต่...”

“นายรู้ว่ากลางวันพี่ไม่ค่อยกินข้าว พี่ไม่เคยไปกินข้าวกลางวันกับนายสักที เขาชวนปี่!”



“อ้าว ไหงหักหลังกันอย่างนี้อะ ฉันออกจากออฟฟิศมาแล้วนะแก แกเป็นคนบ่นเองว่าไม่มีเพื่อนกินข้าว นี่นัดไว้แล้วนะเว้ย” เสียงเพื่อนสาวที่โอดลั่นมาทางโทรศัพท์ทำให้ปัญญ์ปรียาต้องถือตัวเครื่องออกห่างหูไปสักหน่อยเพื่อลดเสียง

ปกติดิพรมักหอบหิ้วผลไม้มาทานแทนอาหารกลางวัน ปัญญ์ปรียาจึงต้องเหงาหงอยไปสั่งข้าวแกงกินลำพังทุกมื้อไป บางวันจึงนัดจอมขวัญเพื่อนสนิทที่แชร์ค่าห้องร่วมกันมาตั้งแต่ปีหนึ่งแถมได้งานไม่ไกลกันนักมาเจอกันครึ่งทาง

“ฉันขอโทษนะจุ๊บ สุดวิสัยจริงๆอะ ไว้เย็นนี้กลับหอจะซื้อหม้อแกงของโปรดไปให้แกเลยอะ” ปัญญ์ปรียาขอโทษขอโพยเพื่อน แถมเซ่นด้วยขนมหม้อแกงเจ้าอร่อยที่ตั้งแผงขายอยู่ฝั่งตรงข้ามเปรมบุราณ

“ไม่ต้องเลย เห็นว่าฉันเห็นแก่กินหรือไง สุดวิสัยจริงๆของแกนี่มันเรื่องอะไรไหนบอกฉันมาซิ”

“ฉันมากินข้าวกับเจ้านาย”

“เจ้านาย...พี่แดงน่ะเหรอ”

“เปล่า คนนี้เป็นเจ้าของเปรมบุราณ เขามาหาที่ห้องสมุด บอกให้ฉันมากินข้าวด้วย” หญิงสาวเดินพลางอธิบาย ครู่เดียวก็ถึงหน้ารั้วบ้านเจ้านาย ด้วยห้องสมุดกับบ้านของเขาอยู่ห่างกันเพียงกำแพงกั้น เธอเพียงเยี่ยมหน้ามาถึง ลุงขจรก็ก้าวกระฉับกระเฉงออกจากศาลาเล็กๆที่ใช้หลบแดดขณะเฝ้ายามออกมารับโดยไม่ต้องเอ่ยปากสักคำ คงเพราะนายบอกเขาไว้แล้ว

“เจ้าของเปรมบุราณอะไร แกไม่เคยเล่าให้ฉันฟังนี่ เขานี่ผู้ชายใช่มั้ย โอ๊ย! เขานึกยังไงวะ นี่แกจะได้ตกถังข้าวสารหรือเปล่าวะนี่” จอมขวัญเฮลั่นจนน่ากลัวว่าเสียงจะลอดออกมาให้ลุงขจรได้

“นายรออยู่ด้านหลังนะครับ” ลุงขจรชี้บอกหลังเปิดประตูให้ ใบหน้าคล้ำเข้มเป็นจริงเป็นจังนั้นไม่เปลี่ยนไปจากเคย จนปัญญ์ปรียาลอบผ่อนลมหายใจเบาๆ สรุปเอาว่าเขาคงไม่ได้ยินอะไร เธอค้อมหลังเล็กน้อยก่อนกล่าวขอบคุณแล้วรีบแจ้นเดินออกห่าง กลัวเพื่อนจะแผดเสียงขึ้นมาอีก

หารู้ไม่ แค่คล้อยหลังลุงขจรก็ยิ้มและส่ายหน้ากับจินตนาการของสาวๆ ไม่ว่าใครต่อใครมาบ้านนาย บางทีแค่ได้รับคำสั่งให้หอบแฟ้มเอกสารมาให้ กี่รายต่อกี่รายก็คิดฝันไปไกล มาทีละทำตาวิบๆวับๆวาดหวัง หารู้ไม่ ในหัวนายคิดเป็นแต่เรื่องงานเสียแล้วเดี๋ยวนี้

สมภารวัดอื่นจะกินไก่สาวๆหรือไม่ไม่รู้หรอก แต่เจ้านายวัยฉกรรจ์ของแกนี้ เหล้ายาปลาปิ้ง ผู้หญิงไม่แตะอย่างกับบวชพระ ตั้งแต่หัวยังดำหล่อเฟี้ยวจนตอนนี้เริ่มมีผมหงอกแซมมาหน่อยๆ

“แกจะบ้าเหรอ พูดแบบนี้คนอื่นได้ยินละ อายเขาตาย” พอปัญญ์ปรียาห่างจากลุงขจรออกมาได้ ก็บ่นเพื่อนเสียงค่อย ทว่าจอมขวัญยังไม่วายเพ้อฝันแทนเธอไปไกล

“เจ้าของเปรมบุราณนี่เขารวยใช่มั้ยวะ ต้องรวยสิ ที่แถวนั้นแพงจะตาย ยังไม่เสียดายเอามาเปิดห้องสมุดให้คนเข้าใช้ฟรีๆ...แล้วนี่ไปกินกันที่ไหน ไฮโซหรือเปล่า เขาจะให้ดอกไม้หรือของขวัญรับขวัญอะไรแกมั้ยวะ โอ๊ย น่าอิจฉาจริง” จอมขวัญสรุปเอาเองแล้วก็ตื่นเต้นไปกับจินตนาการอันบรรเจิดของตนเข้าไปใหญ่

“กินที่บ้านเขา แกนี่! ข้างๆห้องสมุดนี่เอง แค่กินข้าวธรรมดาๆ ไม่มีอะไรหรอก” ปากกล่าวปราม แต่หน้าร้อนซู่ ใจหวิวๆเพราะคิดถึงร่างสูงสมาร์ทของเจ้านายที่พบเมื่อเช้า

ถ้าเขาสนใจเธอจริงล่ะ แต่มันจะเป็นไปได้เหรอ...

“เฮ้ย! ไปบ้านเขาแล้วเขาจะรวบหัวรวบหางแกป่าววะนี่ แกต้องระวังพวกเจ้านายหัวงูนะเว้ย เขาอาจทนอึ๋มน้อยๆของแกไม่ไหวก็ได้”

“บ้า! ใครเขาจะคิดแบบนั้น” แม้จะบ่นว่าจินตนาการเลื่อนเปื้อนของเพื่อน แต่เมื่อจอมขวัญเสนอตัวว่าจะถือสายสอดแนมตลอดมื้อกลางวัน ปัญญ์ปรียากลับโล่งใจจนก้าวเท้าได้อย่างหนักแน่นขึ้นยามเลาะไปตามทางเดินเล็กแคบที่ปูไว้ด้วยแผ่นหินแกรนิต
กำแพงรั้วระหว่างบ้านเจ้านายกับเปรมบุราณถูกก่อขึ้นภายหลัง แม้ว่าจะใช้อิฐลักษณะเดียวกันทั้งหมด แต่ยังพอเห็นร่องรอยการต่อเติมที่ขอบมุม แนวรั้วที่ขนานไปกับตัวบ้านมีไม้ระแนงตีปิดห้อยด้วยกระถางต้นไม้เล็กๆ ปลูกพืชใบเพิ่มความสดชื่นผ่อนคลาย
จากทางที่เธอเดินอยู่ มองเลยไปจะเห็นหลังคาเปรมบุราณ ซึ่งอยู่ห่างกันไม่ถึงสิบเมตร เธอเพิ่งสังเกตว่าเธออยู่ใกล้ชิดกับนายมากก็ตอนนี้ ถ้ามองจากชั้นสองของบ้าน เธอเดาว่าน่าจะพอเห็นความเคลื่อนไหวภายใน ด้วยลักษณะอาคารเปรมบุราณเหมือนกล่องใบหนึ่ง สามด้านของกล่องเป็นผนังปูนเปลือย แต่ด้านที่ติดกับบ้านเจ้านาย คือกระจกใสสูงเต็มบานที่เปิดรับแสงตลอดวันไม่เคยปิดม่าน เพราะได้ร่มเงาของต้นมะม่วงสามสี่ต้นที่ปลูกเป็นแนวขนานไปกับตัวตึก

หรือเจ้านายจะเฝ้ามองเธอมาตลอด และทนอึ๋มน้อยๆของเธอไม่ได้จริงๆ

ปัญญ์ปรียาตระหนกกับความคิดที่ผุดขึ้นมา ส่วนหนึ่งเธอปฏิเสธ เข้าข้างเจ้านายสุดเท่ว่าเป็นไปไม่ได้ ทว่า อีกส่วนก็หวาดหวั่นไม่มั่นใจ ก็คำกวียังเตือนไว้

‘แล้วสอนว่าอย่าไว้ใจมนุษย์’

พอรู้ตัวว่าอีกไม่กี่ก้าวก็จะถึงด้านหลังตึก ใจจึงยิ่งสั่นผวา ท้องมวนๆ ด้วยเรื่องร้อนใจร้อนไปถึงตัวเสียแล้ว หญิงสาวหยุดเดินแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือออกมากระซิบถาม

“ยังอยู่หรือเปล่า”

“อยู่...ปอดขึ้นมาแล้วสิแก”

“แกแหละ ทำฉันกลัว ฉันกำลังเดินเข้าไปหานายแล้วนะ ถ้าเกิดอะไรขึ้นแกแจ้งตำรวจเลยนะ” ปัญญ์ปรียาบรรยายสดเสียงเบาหวิว ก่อนลดโทรศัพท์ลงข้างตัว แต่ไม่หย่อนกลับลงกระเป๋า เพราะกลัวว่าเพื่อนจะได้ยินเหตุการณ์ไม่ถนัด

คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ ควรอยู่แล้วที่เธอจะระวังตัวไว้บ้าง

ก้าวพ้นแนวกำแพงออกไป สายตาจึงเสาะพบเจ้าบ้านนั่งไขว้ห้างอ่านหนังสืออยู่บนเก้าอี้สีขาว โต๊ะท็อปกระจกเบื้องหน้าเขา วางด้วยอาหารสักสามสี่อย่างรอท่า

“ขอ...ขอโทษนะคะ” ปัญญ์ปรียาเอ่ยเสียงแผ่ว เรียกให้เขาเหลือบตาขึ้นมอง แล้วปิดหนังสือลง หน้าปกหนังสือเป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษตัวใหญ่ เกี่ยวกับการตลาดอะไรสักอย่าง ความหนาของหนังสือภาษาอังกฤษทั้งเล่มขู่เธอให้กลัวหงอได้พอๆกับความเอาจริงเอาจริงเคร่งขรึมของเขาเลยทีเดียว

“นั่งสิ” เขากล่าวเสียงเรียบ ฟังดูแล้วไม่ได้พิศวาสเธอเป็นพิเศษสักนิด ตายังสบตาเพียงแวบเดียวแล้วเขาก็เหลียวมองหนังสือที่อ่านค้างไว้ ราวกับคิดว่ามันน่าสนใจกว่าหนังหน้าของเธอเป็นกอง

ปัญญ์ปรียายิ่งแปลกใจไปยกใหญ่ว่าเหตุใดจึงได้รับเชิญมาร่วมโต๊ะ ก่อนจะได้ยินเสียงเล็กเจื้อยแจ้วดังมา

“อ๊ะ พี่สาวมาแล้วเหรอค้า”

หญิงสาวเหลียวหาไปตามเสียง ค่อยเห็นเด็กหญิงวัยสักหกหรือเจ็ดขวบสวมชุดกระโปรงสีชมพูหวานมีระบายพองฟู ที่หน้าอกเป็นด้ายปักลายดอกไม้หลากสี วงหน้าเล็กๆไม่ค่อยมีเค้าโครงของเจ้านายเธอสักเท่าไร ตาเรียว ปากกระจุ๋มกระจิ๋ม และพวงแก้มยุ้ยนั้นคงได้มาจากแม่ ซึ่งยืนคุมอยู่ด้านข้าง มีเพียงผิวขาวราวหยวกเท่านั้นที่คงได้มาจากฝั่งพ่อ

“หนูดีหิ๊วหิว” เด็กตัวน้อยผุดลุกขึ้นจากก้อนปุกปุยสีขาวบนพื้น เจ้าก้อนปุยค่อยพลิกตัวขึ้นยืนเห็นตัวชัดว่าเป็นแมวเปอร์เซียขนขาวสะอาดตา มันผละเดินเข้าบ้านไประหว่างที่เด็กหญิงเอามือลูบๆตบๆกระโปรงเบาๆ ทั้งปัดเศษฝุ่นและเช็ดมือที่เพิ่งละเลงกับขนแมวไปด้วยในตัว จนกระทั่งเจอสายตาดุๆของพ่อ หนูน้อยจึงยิ้มแห้ง กล่าวอย่างรู้ความ “แต่หนูดีต้องไปล้างมือก่อน...พาหนูดีไปล้างมือนะคะ เล่นฟูฟ่อง ฟูฟ่องไม่สะอาด”

สองสาวต่างวัยจับจูงหายเข้าประตูหลังบ้านไปทางเดียวกับแมวนามฟูฟ่อง เหลือแค่ปัญญ์ปรียาประจันหน้ากับเขา แขกที่หวั่นเกรงเจ้าของบ้านยิ่งนักละล้าละลังอีกชั่วครู่จนนึกรำคาญตัวเอง ต้องรวบรวมความกล้าที่มีอยู่หยิบมือเดินเข้าไปนั่งร่วมโต๊ะ

“เป็นยังไงบ้าง”

“คะ ลูกเจ้านายก็น่ารักดีนะคะ” นั่งก้นยังไม่สนิทแนบกับเก้าอี้ดีก็โดนถาม ปัญญ์ปรียาตั้งหลักไม่ทันจึงตอบเสียงสั่น หัวเบลอไปหมด แถมหายใจไม่ทั่วท้อง เพราะเสียงดุๆของเขา

“ผมไม่ได้หมายถึงวดี”

เธอรีบจดจำไว้ในใจ เจ้านายชื่อวรท อ่านว่าวะรดไม่ใช่วรด มีลูกชื่อวดี ชื่อเล่นว่าหนูดี เลี้ยงแมวชื่อฟูฟ่อง พร้อมกันนั้น เธอก็พยายามประมวลหาคำตอบใหม่ให้กับคำถามเดิมของนาย

“ภรรยาเจ้านายก็...ก็ดีนะคะ” ปัญญ์ปรียาตอบอย่างลำบากใจ แปลกใจไม่น้อยว่าเขาจะจี้ถามเรื่องภรรยาเขาทำไม ภรรยาเจ้านายหน้าตาน่ารักอยู่เหมือนกันแต่แต่งหน้าเข้มไปนิดเมื่อคิดว่าอยู่บ้าน แต่งตัวก็ไม่เนี้ยบดูดีเท่าไรนัก เสื้อยืดตัวนั้นสกรีนลายเหมือนที่เห็นได้ทั่วไปในตลาดนัด กางเกงยีนสีดำซีดขาสั้นกุดยิ่งไม่เสริมสง่าราศีเข้าไปใหญ่
พอเห็นเขาถอนใจเบาๆจึงได้รู้ว่าตอบผิดไปอีกรอบ

“หวานเป็นพี่เลี้ยง หลานป้าอารีกับลุงขจร” เขาอธิบายสั้นๆ

ขณะที่ปัญญ์ปรียานึกทึ่งที่ครอบครัวป้าอารีทำงานกับเขาครบวงจร ตัวป้าอารีเป็นแม่บ้าน สามีอย่างลุงขจรเป็นรปภ. แถมยังเอาหลานมาเป็นพี่เลี้ยง เจ้านายก็ ‘กรุณา’ ถามยาวๆ ให้เข้าใจได้ถนัดถนี่

“คุณทำงานที่เปรมบุราณมาครบเดือนแล้วใช่มั้ย เข้าที่เข้าทางดีหรือยัง รู้สึกยังไงบ้าง”

“อ๋อ...ทำงานก็ดีนะคะ ทำได้เรื่อยๆ เสร็จทันที่เจ้านายกำหนดแน่” ปัญญ์ปรียาที่ประสานมือไว้บนตัก เริ่มลูบๆคลำๆโทรศัพท์อย่างเป็นกังวล อยากได้ยินเพื่อนบอกให้ใจชื้นว่าตอบได้ดีพอใช้

เธอโชว์โง่ไปสองรอบแล้ว คำตอบที่สามคงไม่โชว์โง่เหนือผู้เหนือคนประเภทที่จะโดนไล่ออกแน่ภายในวันนี้ใช่หรือเปล่า เธอชักไม่แน่ใจว่าเขาเรียกตัวเธอมาทำอะไร แล้วพนักงานสัญญาจ้างแค่หกเดือนอย่างเธอก็มีช่วงทดลองงานด้วยเหรอ

“คุณจบอะไรมานะ”

“เจ้านายเรียกปี่ว่าปี่ก็ได้ค่ะ ปี่จบวารสารค่ะ” หญิงสาวพยายามจะสร้างความเป็นกันเอง หวังจะได้ผ่อนลมหายใจออกบ้าง ไม่ให้บรรยากาศมันน่าอึดอัดเท่าที่เป็นอยู่ ทว่าเขาไม่รับลูกด้วย ยังทำหน้าเฉยๆ รับคำทีหนึ่งแล้วนิ่งไป คล้ายหมดเรื่องจะชวนคุยไปเสียดื้อๆ

ปัญญ์ปรียานั่งกลืนน้ำลายเหนียวๆลงคอ ไม่ได้หิวอะไรนัก แต่มันอึดอัด อยากให้มื้อกลางวันสุดแสนประหลาดนี้จบลง ถึงกับเฝ้ารอให้หนูดีกลับมาไวๆ

“ถ้าหมดสัญญาแล้วคุณ...คุณปี่ตั้งใจจะไปทำงานอะไรต่อ” เขาเรียกชื่อเธออย่างยากเย็นเหมือนไม่เต็มใจเท่าไร เธอยิ่งใจแป้วหนัก

“ก็...” หญิงสาวคว้าง มืดแปดด้านไปกับคำถามง่ายๆที่เขาโพล่งออกมา ความจริงเธอเตรียมคำตอบดีๆไว้เป็นกระบุงสำหรับการสัมภาษณ์งาน แต่ภายใต้สายตาดุเข้มของเขาแล้ว เธอกลับนึกถึงคำตอบสวยหรูที่มดเท็จเหล่านั้นไม่ออก สิ่งที่หลุดปากตอบไปจึงเป็นไปตามความเป็นจริงทุกประการ “ยังไม่รู้เลยค่ะ”

โง่สิ้นดี อนาคตตัวเองแท้ๆ

แวบหนึ่งเธอคิดว่าเขาจะดุกลับมาแบบนั้น แต่เจ้านายของเธอกลับพยักหน้ารับ สีหน้าเรียบเฉยไม่ต่างจากปกติ

“ถ้าไม่มีแผนอะไรเป็นพิเศษ...” เขาพูดค้างไว้แค่นั้น เสียงประตูเลื่อนที่ดังขึ้นก็ดึงความสนใจไป

“หนูดีมือห๊อมหอมแล้วค่ะคุณพ่อ” วดีเดินแกมวิ่งออกมาหาเขา พลางยื่นมือให้ดม

เขาชะโงกหน้ายื่นจมูกไปสูดดมมือน้อยๆ สีหน้าสดชื่นแจ่มใสขึ้นราวกับต้องมนต์หอมวิเศษ ปากคลี่ยิ้มกว้าง

“หอมจ้ะ ดีมากจ้ะ หนูดี”

น้ำเสียงอ่อนโยนที่ทอดให้ด้วยความรักแสนรักทำให้เขาดูเป็นอบอุ่นน่ารักมากขึ้น ปัญญ์ปรียาพลอยยิ้มไปกับภาพตรงหน้า เกือบจะหุบยิ้มไม่ทันตอนเขาหันกลับมามอง แล้วพูดกับเธอต่อด้วยน้ำเสียงที่ต่างออกไปราวกลับหน้าเป็นหลังมือ

“เมื่อกี้ผมยังพูดค้างอยู่”

“ค่ะ” ปัญญ์ปรียารีบรับคำ สีหน้าจริงจังน้ำเสียงขึงขังเป็นงานเป็นการตามเจ้านายโดยอัตโนมัติ

“คุณลักษณ์ เจ้าหน้าที่ที่ลาคลอดเขาเปลี่ยนใจจะขอลาออก อยากเลี้ยงลูกอยู่ที่พิจิตรถาวร คุณแดงเกริ่นกับผมว่าคุณตั้งใจทำงานดี มีใจบริการ หน่วยก้านพอให้เขาฝึกกวดขันได้ ต้นปีหน้า ตัวเขาก็ถึงอายุจะเกษียณได้พอดี เขาเหนื่อยอยากพักยาวเต็มทีแล้ว คุณสนใจทำที่นี่เป็นงานประจำ รับช่วงต่อดูแลเปรมบุราณมั้ย”

เขาพูดทียืดยาว ขณะปัญญ์ปรียาได้แต่เงียบฟัง แถมฟังจบแล้วก็เงียบไปอีก หรืออาจจะใช้ศัพท์แสงวัยรุ่นหน่อยว่า ‘เงิบ’ ไปอึดใจ
แหม เรียกมาเรื่องนี้อะนะ!

ปัญญ์ปรียาขำตัวเองที่คิดเพ้อไปไกลตามคำเพื่อน มือคลำหาปุ่มโทรศัพท์มือถือรุ่นถึกและทนเพื่อตัดสายทิ้ง ขณะพยายามกลั้นไม่ให้ความดีใจเผ่นออกนอกหน้าจนน่าเกลียด ยามตอบรับคำชวนของเขาอย่างกระตือรือร้น

“สนใจสิคะนาย ยินดีมากเลยด้วยค่ะ”

“คุณพ่อขา กินข้าวกันได้หรือยังคะ หนูดีหิวค่ะ” เด็กหญิงวดีกล่าวแทรกขึ้นมาเบาๆ วาจาฉะฉานแต่ไม่ถึงกับก้าวร้าวไม่เกรงใจผู้ใหญ่

“ได้สิจ๊ะ ไว้พ่อค่อยคุยธุระต่อก็ได้” เขาพูด พร้อมกับเอาใจลูกด้วยการตักกุ้งทอดซอสมะขามใส่จานให้ตัวหนึ่ง และทำให้ปัญญ์ปรียาแปลกใจด้วยการเผื่อแผ่ตักมาให้เธออีกตัวหนึ่ง “กินก่อนเถอะ แล้วค่อยคุยรายละเอียดกัน อร่อยนะ สูตรเด็ดฝีมือคุณชมพูเขา”

ปัญญ์ปรียายิ้มแก้มแทบปริ ไม่รู้ว่าเพราะข่าวดีที่ได้งานประจำหรือเพราะความเอื้อเฟื้อที่เขามีให้ หรือรสมือคุณชมพูดีสมคำโฆษณา พอตักกุ้งเข้าปาก เธอจึงรู้สึกว่ามันอร่อยล้ำถูกปากอย่างที่สุด อดไม่ได้จนต้องปากป้องเอ่ยชมทั้งที่ยังเคี้ยวไม่ทันกลืน
“ภรรยาเจ้านายนี่ทำอาหารเก่งจังนะคะ”

ชายหนุ่มหลุดเสียงเหมือนสำลักออกมาเบาๆ สีหน้าปูเลี่ยน ขณะที่วดีหัวเราะคิกคัก พอเจอสายตาดุๆของพ่อเธอจึงเอามือปิดปาก พยายามเคี้ยวกุ้งอย่างสำรวมกิริยา

คนที่ปรานีอธิบายขึ้นมาเสียงกลั้วหัวเราะคือพี่เลี้ยงสาวที่ยืนดูแลอยู่ข้างเก้าอี้ของวดี

“คุณชมพูคือแม่ครัวของที่นี่ค่ะ”



“โอ๊ย! ไอ้เราก็ลุ้นซะ! นึกว่าเพื่อนจะได้แฟนรวย นี่เป็นไงละ หายไปเลย กินเสร็จแล้วก็ไม่โทร.มา” เสียงจอมขวัญแหวลั่นมาทันทีที่ปัญญ์ปรียารับสาย หญิงสาวเหลือบดูนาฬิกาเห็นว่าตนทำงานเพลินจนใกล้จะสองทุ่มแล้วก็ตกใจ

“เออ โทษที พอกลับมาทำงานแล้วก็ลืมโทร.หา ฉันต้องเรียนงานจากพี่แดงตลอดบ่ายเลยแก งานตัวเองนี่ไม่ได้แตะเลย คืนนี้ว่าจะกลับดึกหน่อยนะ แต่ไม่น่าเกินสามทุ่มหรอก”

“อะไร๊ จะไปค้างบ้านนายหรือเปล่า แหมๆ”

“ไอ้บ้านี่! ฉันจะเคลียร์งานย่ะ ไหนๆก็ขยันเข้าตานายแล้วก็ต้องทำตัวให้มันดียิ่งๆขึ้นไปสักหน่อย”

“เออ แม่พนักงานสัญญาจ้างดีเด่น ไหนๆนายก็จะจ้างประจำแล้ว อ้อนขอขึ้นเงินเดือนด้วยละ นายคะนายขา...”

“เมียนายจะได้แล่นมาฉีกอกฉันสิ!” ปัญญ์ปรียายกภรรยาเจ้านายขึ้นมาเล่นมุก แม้ยังคงไม่รู้ว่าเธอผู้นั้นชื่ออะไรเพราะไม่กล้าถาม กลัวจะเป็นการโชว์โง่เหนือๆอะไรออกไปอีก

สองสาวหัวเราะร่วนให้กันก่อนวางสาย แล้วปัญญ์ปรียาจึงได้หมกตัวอยู่กับกองงานของตนต่อ งานไม่มากไม่มายนักในความรู้สึก วันนี้ยิ่งได้รับคำชมมาด้วยแล้วเธอยิ่งทำงานอย่างเบิกบานใจเป็นที่สุด รู้ตัวอีกคราก็ยามได้ยินเสียงเพลงบรรเลงแว่วอันโศกซึ้งดังขึ้นทำลายความเงียบอันศักดิ์สิทธิ์ในเปรมบุราณ

เพลงที่ใครคนหนึ่งแย้มพรายให้ทราบว่าชื่อ ‘คำหวาน’

ปัญญ์ปรียากดบันทึกงานอีกครั้งก่อนลุกขึ้นเดินหาด้วยความคับข้องใจ

ก่อนปิดไม่ให้คนนอกเข้า ดิพรมักเดินตรวจตราว่ามีใครลืมของวางไว้หรือไม่ วันนี้เธอก็เดินตามไปด้วย เรียกว่าทุกซอกมุมในห้องสมุดที่ไม่เล็กแต่ก็ไม่ใหญ่มากมายนักนี้ ไม่หลุดรอดจากสายตา

เวลานั้น ไม่มีใครเล็ดรอดอยู่ แล้วเวลานี้ จะมีใครเข้ามาโดยที่เธอไม่รู้ตัวได้เชียวเธอ

เสียงกริ่งโทรศัพท์แผดร้องขัดจังหวะเพลงหวานขึ้นเหมือนเมื่อวาน เพลงปี่ค่อยหยุดชะงักลง ปัญญ์ปรียาสองจิตสองใจแต่ด้วยคิดว่า ถ้าชายเจ้าของเสียงเพลงไทยเดิมหวานหยดจะออกจากเปรมบุราณ อย่างไรเสียก็ต้องเดินผ่านหน้าโต๊ะเธออยู่แล้ว ปัญญ์ปรียาจึงเลือกเดินกลับไปรับสายที่โต๊ะ

“กลับบ้านเถอะ ดึกแล้ว เดี๋ยวจะให้ลุงขจรไปปิดให้เอง”

เจ้านายบอกกล่าวสั้นๆ แถมดักคอราวกับรู้ว่าเธอมีปัญหาเรื่องเดิมอีก

ปัญญ์ปรียาเก็บของช้าๆ คอยเงี่ยหูฟังเพลงที่อาจหวานแว่ว คำของใครที่อาจหลงลอยมาตามสายลม ทว่า กระทั่งลุงขจรมาเคาะประตูกระจกเรียกอยู่ด้านหน้า เธอยังไม่ได้ยินเสียงอื่นใดนอกจากเสียงลมหายใจเข้าออกของตัวเอง

“ลุงขจรคะ เมื่อคืน ลุงเจอเขามั้ยคะ”

“เขาไหน” ลุงขจรถามพลางหยิบกุญแจประตูของเปรมบุราณออกมาจากกระเป๋ากางเกงเตรียมไว้

“ก็คนที่ยังไม่กลับบ้านคนนั้น ที่ลุงว่าเดี๋ยวจะเข้าไปดูให้ วันนี้เขาก็ยังอยู่อีก”

“เหรอๆ...ทีหลังทุ่มนึงก็กลับเถอะ ไม่ต้องขยันอยู่ดึกนักหรอก กลับบ้านได้แล้วไป”

ปัญญ์ปรียายังรู้สึกติดใจไม่คลาย เพราะลุงขจรไม่ตอบคำถามดีๆ แถมยังเหลือบมองเธอด้วยสายตาประหลาดก่อนให้คำแนะนำแบบแปลกๆ พอเดินพ้นประตูรั้วเปรมบุราณมาได้หน่อย เธอเหลียวกลับมาดูลุงขจรอีกครั้งด้วยสังหรณ์ใจ เห็นเขาล็อกประตูเสียหน้าตาเฉย ไม่มีวี่แววจะเข้าไปตรวจหาคนด้านในสักนิด

ฉับพลันหญิงสาวก็ขนลุกซู่ด้วยนึกได้...

เขาที่ว่า คงไม่ใช่ ‘คน’ เสียแล้ว



นณกร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 23 พ.ย. 2557, 23:28:10 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 24 พ.ย. 2557, 23:32:09 น.

จำนวนการเข้าชม : 1380





   กรุ่นกลิ่นความลับที่เย้ายวน >>
พันธุ์แตงกวา 24 พ.ย. 2557, 06:17:26 น.
มาลงชื่อไว้ก่อนน้า เจ้ออกจากวังแล้วจามาอ่าน จองๆๆ


ใบบัวน่ารัก 24 พ.ย. 2557, 10:02:23 น.
คุณพระเอกมีลูกแล้ว!!!
แถม อายุเยอะแล้ว!!!
หลักไหน 4 หรือ 5 หละคุณพระเอก
หลอกหลานหรือค้า


นณกร 24 พ.ย. 2557, 23:36:17 น.
คุณพันธุ์แตงกวา--แล้วเจอกันนะคะ ขอบคุณที่มาเจิมให้ค่า

คุณใบบัวน่ารัก--อ๊าาาาา คุณวรทเพิ่งจะเหยียบเข้าหลักสี่ค่ะ อย่าเพิ่งด่วนแปะยี่ห้อเขาว่าเป็นเจ้านาย-ม่าย-แก่ แบบนางเอกนะคะ ^^


Pat 26 พ.ย. 2557, 22:51:47 น.
น่าสนุก


นณกร 30 พ.ย. 2557, 23:13:42 น.
ขอบคุณค่ะ คุณ Pat ฝากด้วยนะคะ :)


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account