ทัณฑ์ดอกรัก
เนิ่นนานกว่าร้อยปี โชคชะตาจึงชักพาเธอมาพบเจอกับเขาอีกครั้ง เธอถูกหว่านล้อมลวงหลอกด้วยเล่ห์กะเท่ห์มารยาของหนุ่มนักเลงกลอนอายุร่วมร้อยปีที่แสนน่ารัก โรคใจอ่อนกำเริบจนอ่อนใจ น่ากลัวว่า เธอจะเผลอตัวเผลอใจยอมตกห้วงรักอันแสนเย้ายวนไปร่วมกับเขาเข้าสักวัน

เพียงแต่คนบางคน หรือจะยอมให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้น!

“ผมไม่สนใจว่าเขาจะเป็นวิญญาณบรรพบุรุษสายไหนของผม ผมรู้แต่ว่าเขาควรอยู่ส่วนเขา ส่วนคุณ...คุณต้องอยู่กับผม!”

(วิญญาณน่าเจี๊ยะ เจ้านายน่าแซะค่ะ ^^ เชิญเลือกหม่ำตามสบาย)
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: กรุ่นกลิ่นความลับที่เย้ายวน

ความคิดของปัญญ์ปรียาคอยวนๆเวียนๆอยู่ที่เจ้าของเพลงปี่โหยเศร้า จะว่าขนลุกก็ลุกละ ขนลุกจริงตั้งจริงทั่วสรรพางค์กายอยู่หลายวินาทีตอนที่ตระหนักว่าเขาหามีชีวิตอยู่ไม่ แต่หลังจากทำใจได้แล้ว มันก็กลายเป็นความสงสัย ข้องใจ อาจเพราะเธอรู้สึกได้ เขาไม่ได้คิดร้ายต่อใครเลย แถมก็คงจะเป็นเขาแหละ ที่ช่วยช้อนรับเธอไว้ไม่ให้ล้มหัวฟาด เธอจึงไม่กลัวเท่าไรนัก
“เป็นไรวะ ถอนใจเฮือกๆ คิดถึงเจ้านายละสิ”

“คิดบ้านแกสิ เขามีเมียมีลูกแล้ว แกจะให้ฉันย้ำอีกกี่ทีเนี่ย” ปัญญ์ปรียาบ่นพลางปิดหนังสือลง แล้ววางไว้ข้างหมอน ขณะเหลียวมองเพื่อนที่นั่งเกลือกอยู่ใกล้ๆในชุดทำงาน

“ฉันเห็นรูปเขาในเน็ต ไม่ถึงกับหล่อใจละลาย แต่ดูเท่ชะมัดเลย เป็นฉันฉันก็คิดนะ แกละ ถ้าไม่มีเมียมีลูกก็แอบคิดเหมือนกันใช่มั้ยละ”

“ไม่คิดย่ะ หยุดเพ้อแล้วไปอาบน้ำได้แล้วไป กลับบ้านมาก่อนฉันอีก แทนที่จะรีบอาบ หมักไว้อยู่ได้”

“กิ๊วๆ แค่นี้เขินจนต้องไล่กันเลยเหรอเนี่ย เอาจริงนะ แกหลงเสน่ห์เจ้านายจนจะยอมทำงานดักดานที่นี่จริงเหรอวะ คิดดูนะ วันๆไม่มีสังคมอะไรกับเขา นั่งเฝ้าห้องสมุด”

“สังคมของฉันก็หนังสือไง ฉันชอบนะ อ่านทั้งชาติคงไม่หมด อีกอย่างนายบอกว่าถ้าทำไปแล้วฉันเบื่อ อยากย้ายไปทำงานที่รีสอร์ตของเขา เขาก็เปิดโอกาสให้เต็มที่ งานดี เงินพอดิบพอดี ไม่มากแต่ก็ไม่ถึงกับน้อย เจ้านายก็ดูโอเคแฟร์ดี นี่นายก็เริ่มเปิดสมัครหาคนมาทำงานเพิ่มอีกคน เขาจะให้ฉันช่วยเลือกด้วยนะ เขาว่าจะได้เข้ากันได้ ฉันว่าชีวิตฉันเท่านี้ก็โอแล้วละ” ปัญญ์ปรียาเล่ายาวถึงฝันที่วาดไว้ในอนาคต รีสอร์ตของเจ้านายอยู่ที่โคราชพอดี หากวันหนึ่ง ‘บ้าน’ เปิดต้อนรับเธออีกครั้ง เธอจะขอนายย้ายไปทำงานที่นั่น

“เออ แม่พอเพียง เมื่อไหร่จะรวยละทีนี้”

“รวยสุขแล้วไง”

“สุขอะไร นั่งเล็งหวยในหนังสือไปถอนใจไปอยู่เมื่อกี้”

“คิดเรื่องโน่นเรื่องนี่นิดหน่อยเอง ไม่มีอะไรหรอก ง่วงจะนอนแล้วเนี่ย”

จอมขวัญหัวเราะหึหึ พลางเดินไปเปิดตู้เย็น ตั้งใจจะหาของไว้กินเล่นระหว่างซักไซ้เรื่อง ‘นิดหน่อย’ ของเพื่อน เธอฟังจากน้ำเสียงแล้ว มั่นใจว่าคงจะไม่หน่อยเท่าไหร่ แต่หลังกวาดตามองบรรดาของกินในตู้เย็นแล้วรอบหนึ่ง ร่างสูงอวบอั๋นก็หันมาเท้าเอว ตาขวางเอาเรื่องคนที่นอนเอกเขนกอยู่ที่เตียง เตรียมเฝ้าพระอินทร์

“แกอะ ขนมหม้อแกงฉันล่ะ”

“ดึกแล้วแกยังกินอีกเหรอ ทียี่สิบห้าเท่าไหร่ก็ไม่พอหรอกแบบนี้” ปัญญ์ปรียานึกถึงโปรแกรมออกกำลังกายรายวันที่เพื่อนบังคับให้เธอลุกทำตามแล้วก็ขำ ผ่านการเล่นไปสามเดือน โปรแกรมนั้นทำให้เธอน้ำหนักลดไปเกือบสองกิโล กล้ามเนื้อกระชับไม่ปวกเปียก แต่คนต้นคิดน้ำหนักขึ้น เพราะมีข้ออ้างในการตามใจปากว่าตัวเองออกกำลังกายแล้ว

“ไม่เกี่ยว แกอย่าเฉไฉ”

“ก็แกบอกเองว่าไม่เอา”

“แหม ฉันก็เล่นลิ้นไปงั้น ไม่รู้เหรอ อยากกินจะตาย กลับมาร้านก็ปิดแล้ว แถมเสาร์อาทิตย์เจ๊เขาก็หนีไปเปิดร้านที่อื่นอีกต่างหาก แกไม่คิดจะซื้อให้ฉันหน่อยเหรอวะ” สาวที่อยากหุ่นดีแต่ชอบกินขนมยามดึกยังโอดครวญไม่เลิก

“โอ๋ๆ เดี๋ยวพรุ่งนี้ซื้อให้นะ”

“เออ อย่าลืมนะ ไม่งั้นงอนจริงด้วย” จอมขวัญออกปากขู่ แถมยังซ้อมงอนตุบป่องเดินหนีไปแปรงฟันล้างหน้า จนลืมไปเสียสนิทว่าเตรียมตัวซักฟอกเพื่อน

ปัญญ์ปรียารอดตัวไปอย่างหวุดหวิด หากโดนถามจริง เธอคงหลุดปากไปจนได้ แล้วหลังจากนั้นก็จะถูกเพื่อนหว่านล้อมเช้ากลางวันเย็นให้ลาออกจากเปรมบุราณ เพราะจอมขวัญนั้นขวัญอ่อนผิดแผกจากชื่อ

ถ้าเขาเป็นผีร้ายๆละ ถ้าวันหนึ่งเกิดนึกอยากโผล่มาแหวกพุงสาวไส้มาม้วนเล่นขึ้นมา
ปัญญ์ปรียาจินตนาการสารพัดคำขู่ของเพื่อนได้อีกพะเรอเกวียน แต่เธอไม่เชื่อว่าเขาจะเป็นอย่างนั้น เสียงปี่แบบนั้น เรียกเขาเป็นผีขี้เหงาน่าจะดีกว่า

หญิงสาวถอนใจเบาๆอีกครั้ง ก่อนข่มตาหลับใหล ปล่อยให้ความง่วงงุนปัดเป่าเสียงปี่แว่วหวานออกจากความคิด

เธอไม่ได้อยากเจอคุณผีขี้เหงาคนนั้น เย็นวันถัดมา อุตส่าห์ออกจากห้องสมุดก่อนสองทุ่มอันเป็นเวลาที่คาดว่าเขาจะโผล่มา แต่ระหว่างทางเดินกลับหอพลันนึกได้ว่า วางถุงขนมหม้อแกงของจอมขวัญไว้ใต้โต๊ะทำงาน เธอต้องมาห้องสมุดอีกทีตอนสองทุ่มหน่อยๆ ได้แต่หวังว่า เขาคงเป่าปี่เสร็จ ไม่สนจะออกมาหลอกมาหลอนใคร

หญิงสาวไขกุญแจย่องกลับเข้าไปในห้องสมุด ใช้มือถือฉายไฟส่องตามทางกลับไปยังโต๊ะ ด้วยเกรงว่าถ้าเปิดไฟสว่างโร่ จะได้รับโทรศัพท์จากเจ้านายอีก แค่โชว์โง่กับนายไปสามครั้งซ้อนก็เกินพอแล้ว เธอไม่อยากกลายเป็นคนดื้อด้านที่ชอบอยู่ดึกๆดื่นๆทำงานทั้งที่นายบอกว่าให้รีบกลับ

ห้องสมุดเงียบเชียบวังเวง เครื่องปรับอากาศที่ตัดปิดไปแล้วตั้งแต่หกโมงตรงเหมือนยังทำงานอยู่ จนยะเยือกผิวกายอย่างประหลาด
ต่อให้ไม่คิดว่าเขาร้าย แต่เขาก็ผี แม้กลัวไม่มาก เธอใช่จะหาญกล้าท้าชนวิญญาณที่ไหน ปัญญ์ปรียาก้าวยาวกว่าปกติด้วยความเร็วคล้ายๆวิ่งไปยังโต๊ะทำงาน พอมือคว้าเอาหูหิ้วของถุงขนมได้ก็เผ่นลิ่วออกมา

แม้ออกมาอยู่ด้านนอกอาคารแล้ว ความกลัวในสิ่งที่ไร้ตัวตนยังกดดันเสียจนมือไม้สั่นทำกุญแจร่วงหล่นพื้นไปทั้งพวง
ไร้สาระน่ะ!...ไม่เห็นอะไรสักหน่อย เสียงแปลกๆนิดนึงก็ไม่มี...

ปัญญ์ปรียาดุตัวเองอยู่ในใจ เรี่ยวแรงค่อยกลับคืนมาพร้อมสติ เธอก้มลงหยิบกุญแจมาปิดล็อกเปรมบุราณดังเดิม แล้วใช้เท้าเขี่ยรองเท้าคัตชูที่ถอดทิ้งไว้ด้านหน้าตามกฎการเข้าใช้งาน ก่อนเสือกเท้าใส่เข้าไป คัตชูคู่ใจที่ใส่สบายหนักหนาวันนี้กลับยัดเท้าใส่ลงยากเย็นเพราะความลนลาน หญิงสาวต้องก้มตัวลงจัดการเอานิ้วเหนี่ยวรองเท้าให้เข้าที่

เสร็จไปเพียงข้างเดียว ความรู้สึกเย็นยะเยือกประการหนึ่งพลันแล่นริ้วไล่ไปตามแนวสันหลังมากระจุกที่ท้ายทอย ประหนึ่งมีใครจับจ้อง ขนคอเธอลุกตั้ง มือคว้ารองเท้าอีกข้างโกยอ้าววิ่งกระหย่งกระโหย่งมาหอบที่นอกกำแพงเปรมบุราณ แค่จะเหลียวกลับไปดูยังไม่กล้า

เหตุนั้นเอง ปัญญ์ปรียาจึงไม่มีโอกาสเห็นว่าประตูกระจกสะท้อนเงาร่างสูงใหญ่ทอดสายตามองตามเธออย่างเศร้าสร้อย เสียงแห่งความสิ้นหวังดังสะท้อนผะแผ่วในตัวตึกหลังงามที่ปิดตาย

“ไยจึงกลัวฉันนักนะ สาวน้อย...”


เธอกลัวงั้นเหรอ...ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก

ปัญญ์ปรียาคือขั้วตรงกันข้ามกับจอมขวัญที่แค่ได้ยินใครแง้มปากว่าจะเล่าเรื่องผีให้ฟังเป็นต้องร้องโวยวาย เธอชอบดูหนังผี ชอบฟังเรื่องเล่าสยองขวัญ สนุกสนานกับความหวั่นผวาน่าตื่นเต้นที่ได้รับ แต่เมื่อประสบเหตุเฉียดผีที่สุดในชีวิตจริง คนที่เคยมั่นใจว่าไม่กลัวผีกลับบอกตัวเองว่า...

อย่าให้ชีวิตต้องตื่นเต้นขนาดนั้นเลย!

นั่นเป็นเหตุให้เธอมักเก็บของปิดคอมพ์เพื่อกลับบ้านพร้อมดิพรมาติดกันหลายวันแล้ว

“วันนี้กลับพร้อมพี่อีกแล้วเหรอ ช่วงนี้มาแปลก ปกติชอบเอ้อระเหยทำอะไรก็ไม่รู้”

“ปี่ติดละครเย็นน่ะค่ะ” หญิงสาวหาข้ออ้างตอบส่งเดช

“กลับก็กลับเถอะ ไม่ต้องอยู่ดึกนักก็ดีแล้ว แต่ไม่ใช่ลนลานกลับจนลืมปิดเครื่องอีกละ” ดิพรว่าแล้วหัวเราะร่วน ระหว่างสะพายกระเป๋าขึ้นไหล่ เดินมายืนรอที่หน้าโต๊ะของปัญญ์ปรียา

เจ้าของโต๊ะที่กำลังเก็บข้าวของส่วนตัวฟังแล้วถึงกับเงยหน้าขึ้นเหรอหรา

“เอ๊ะ ปี่ลืมเหรอคะ ขอโทษค่ะ เมื่อเช้าปี่ยังนึกว่าพี่แดงมาเปิดใช้ หาไฟล์อะไรหรือเปล่า”

“พี่ไม่ได้เปิด มาถึงก็เห็นไฟแดงๆขึ้นอยู่แต่แรก ไม่ได้ซีเรียสอะไรหรอก พลั้งเผลอบ้างนานครั้งก็ไม่เป็นไร แค่เตือนเฉยๆน่ะ”

“ค่ะๆ ปี่ขอโทษนะคะ” คนฟังยังคงรู้สึกผิดจนย้ำคำขอโทษอีกครั้งแม้ยังงงไม่หาย เพราะจำได้ว่าปิดเครื่องเรียบร้อยทุกวัน แต่ก็เป็นไปได้ว่า เธออาจรีบร้อนเกินไปจริงๆ

หญิงสาวยอมรับข้อสรุปง่ายๆนั้น แต่ไม่วายถูกความกังวลที่ไร้รูปร่างก่อกวนไปตลอดทางกลับบ้านจนถึงยามดึก เธอนอนไม่หลับพลิกตัวกระสับกระส่าย ความที่เกรงว่าจะทำให้จอมขวัญตื่นจึงหยิบเอาโทรศัพท์มือถือพร้อมหูฟังออกไปยืนฟังเพลงรับลมที่ระเบียง

ความกังวลไม่ถูกพัดปลิวหายไปกับสายลม ที่หนักข้อไปกว่านั้นคือเมื่อพอแหงนพบท้องฟ้าที่มืดสนิทไร้แสงจันทร์ มันยิ่งทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น เธอจับเล็กผสมน้อยปนเปกันจนสังหรณ์ใจพิกล

เพลงที่เปิดเป็นเพลงป๊อบฟังสบาย หูฟังก็เสียบคาอยู่แท้ๆ แต่เธอจับความไม่ได้สักคำ ใจพะวักพะวนไปถึงท่วงทำนองโบราณที่ได้ยินเพียงครั้งเดียวก็ติดหู

พอนึกถึงเพลงของเขา ก็คิดถึงตัวเขา เป็นความคิดถึงที่แปลกประหลาดอย่างที่สุด เพราะเธอไม่เคยเห็นหน้าค่าตาเขาด้วยซ้ำไป

ความจริง ถ้าได้เจอจังๆกับตัวสักครั้ง คงหายข้องใจ...

ปัญญ์ปรียาสะดุ้งกับความคิดที่น่าตระหนกซึ่งผุดโผล่ขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย น่าโมโหจริงๆที่เธอเป็นพวกช่างอยากรู้อยากเห็น ทั้งที่เรื่องบางเรื่องมันไม่ควรเอาเสียเลยแบบนี้

ลมหายใจหนักๆถูกระบายออก แต่กลับไม่อาจผ่อนความหน่วงกังวลในใจ หญิงสาวเร่งเสียงเพลงให้ดังขึ้น สะกดใจให้จดจ่อไปตามจังหวะหนักแน่นและเสียงร้องของนักร้องชายคนโปรด

แต่สุดท้าย ก็เผลอตัวนำไปเทียบกับเสียงนุ่มๆของหนุ่มปริศนาคนนั้นอีกนั่นเอง!




ความข้องใจที่ค้างคาอยู่ค่อนคืนก่อกวนให้ประสาทเขม็งเครียดจนนอนไม่หลับ ปัญญ์ปรียาอาบน้ำแต่งตัวแต่เช้ามืด ฟ้ายังไม่ทันสว่างดีก็ไขกุญแจเข้าเปรมบุราณ

ใจเธอจดจ่ออยู่กับความใคร่รู้

มันเกิดอะไรขึ้น ใครแกล้ง ใครทำอะไรกับเครื่องคอมพิวเตอร์ของเธอ

หญิงสาวก้าวฉับๆมาที่โต๊ะ เห็นแต่ไกลว่าภาพพักหน้าจอกำลังโดดเด้งไปมา เป็นอันว่า ใครสักคนมาเปิดคอมพ์เธอแน่ และเพียงเอื้อมมือไปขยับเม้าส์นิดหน่อย ก็พบ...

'จมความทุกข์ระทมเศร้าเคล้าน้ำตา หวังพบหน้าอย่าหน่ายหนีพี่ท้อใจ'

นี่มัน...

นี่มันน้ำเน่าไปนะ!

ปัญญ์ปรียาหลุดหัวเราะออกมาหลังจากอ้าปากค้างไปนานหลายวินาที เธออ่านทวนข้อความที่ถูกพิมพ์ทิ้งไว้ซ้ำไปมา ไม่อยากเชื่อสายตาแต่มันก็มีอยู่จริง ขณะทบทวนว่าใครจะลงทุนเพื่อแกล้งเธอขนาดนี้ ก็ฉุกนึกได้ว่าเธอสามารถเช็คเวลาการสร้างเอกสารได้

หญิงสาวขยับเม้าส์เลื่อนเปิดที่เช็คข้อมูลการสร้างงาน แล้วก็พบว่ามันคือเวลาสองทุ่มห้านาทีเมื่อวานนี้!

“หรือว่า...ไม่นะ ไม่จริงน่ะ ที่เป่าปี่นั่นเหรอ ไม่จริงหรอก” เธอบ่นออกมาดังๆ คาดหวังให้ทุกคำเป็นความจริง แต่แล้วลมยะเยือกเย็นพลันแผ่วรดที่ริมหู ฟังคล้ายเสียงถอนหายใจ หน้าจอพลันปรากฏรูปเงาเลือนรางยืนเยื้องไปด้านหลังห่างไปเพียงคืบ!

“อ๊าย!” ปากหลุดร้องออกมาแอะเดียว เสียงที่เหลือหลุดหายไปพร้อมสติ เธอหันขวับตัวกระถดชนชิดกับโต๊ะ ข้าวของหล่นกระจัดกระจาย

“ขะ...ใครบ้ามาแกล้งอะไรกันแบบนี้ ไม่! ไม่จริงอะ ไม่มีใครสักหน่อย ตาฝาดแน่ๆ” ปัญญ์ปรียาพร่ำพูดซ้ำๆเหมือนสะกดจิตตัวเองเมื่อพบว่าด้านหลังว่างเปล่า แต่กระนั้น ส่วนลึกในใจเธอยังคับข้องสงสัย บรรยากาศอึดอัดหนักหน่วงไม่จางหาย

เขาอยู่ แค่เธอมองไม่เห็นเท่านั้น เขาต้องวนเวียน...ลอยล่อง...เท้าไม่ติดพื้น...หรืออาจห้อยหัว...หรือจะขี่อยู่บนคอ...ไม่นะ! แต่เขาต้องอยู่ที่ไหนสักแห่งในห้องเดียวกันกับเธอนี้แน่เลย!!

หญิงสาวกวาดตามองไปรอบบริเวณห้องสมุดที่ไร้ผู้คน ก่อนเค้นความกล้าหาญที่ยังพอมีหลงเหลือส่งคำถามออกไปถึงเขาผู้ดำรงอยู่ในความว่างเปล่า

“คุณต้องการอะไร”

แต่ไม่มีสำเนียงเสียงใดตอบกลับมา




เธอยอมรับก็ได้ว่า ‘กลัว’

กลัวขนาดเผ่นแน่บออกมาตั้งหลักข้างนอก ปักหลักรอที่ร้านข้าวหมูแดงริมถนนฝั่งตรงข้ามห้องสมุด จนกระทั่งเห็นดิพรมาเธอจึงวิ่งตามเข้ามาทำงานพร้อมกัน

ทว่า มันน่าหงุดหงิดนักที่เธอไม่เคยทนกับ ‘ความสงสัย’ ได้เลย ประหนึ่งเวลาเห็นกล่องที่ปิดผนึกใบหนึ่งแล้วเธอจะนึกอยากเปิดมันออกดูสักครั้ง ถ้าเธอเป็นเจ้าชายจันทรโครพผู้ถือผอบนางโมรา หลังจากผละจากฤาษีที่ให้มาไม่กี่ก้าว เธอก็คงอดใจไม่ไหวเปิดออกดูเสียแล้ว

เรื่องของเขาก็เหมือนผอบใบนั้น รู้ทั้งรู้ว่าไม่ควรพาตัวเข้าไปเกี่ยวข้อง แต่มันยังเย้ายวนชวนเชิญให้ชิดใกล้ ไปลูบไปคลำ หรือแง้มแอบดูสักที

ตัวตนอันไร้ตัวตนของชายคนนั้นสะกิดสะเกาหัวใจให้ใคร่รู้ ชายเจ้าของเสียงปี่แว่วหวานและคำพูดเสนาะหู เขาเคยเป็นใครในโลกใบนี้ และบัดนี้เขาอยู่เพื่ออะไร

เธอตั้งใจแล้วว่าจะขวนขวายหาคำตอบเพื่อดับความสงสัยให้สิ้นเรื่องสิ้นราว เมื่อคิดได้เธอจึงเปรยถามความจากดิพรเป็นคนแรก

“อยู่ทำงานดึกๆ พี่แดงเคยเจอเคยได้ยินอะไรแปลกๆตอนกลางคืนมั้ยคะ”

“พี่ไม่ค่อยอยู่ดึกหรอก งานไม่ด่วนนักมาทำตอนเช้าวันใหม่ก็ได้ ทำไมเหรอ” น้ำเสียงที่ตอบกลับมาเรียบเฉยไร้รอยพิรุธ

“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ แค่คิดว่าห้องสมุดตอนกลางคืนมันเงียบๆ เผื่อพี่แดงมีเรื่องเล่าน่าสนใจ” ปัญญ์ปรียาอ้อมแอ้มแก้ตัว พลางนึกหาว่าใครอีกที่พอจะให้คำตอบได้

ความค้างคาใจทำให้ทำงานอย่างไม่ค่อยมีสมาธินัก พิมพ์ชื่อหนังสือผิดๆถูกๆจนลบพิมพ์ใหม่หลายรอบ เหลือบมองนาฬิกาอีกที พบว่าอีกตั้งชั่วโมงจึงจะเที่ยง แต่ยังกดบันทึกงาน ตัวเอนพิงพนักเก้าอี้แรงๆด้วยความหงุดหงิดรำคาญใจ

“พี่แดงคะ วันนี้ปี่ขอไปทานข้าวเร็วนิดนึงนะคะ” เมื่อเห็นทีว่าตัวเองคงทำงานไม่ได้แน่ ปัญญ์ปรียาจึงหันไปขออนุญาตกับดิพร รอจนอีกฝ่ายพยักหน้าจึงกล่าวขอบคุณพลางหยิบกระเป๋าสะพายออกมาค้นหยิบกระเป๋าสตางค์และโทรศัพท์ ครั้นเมื่อมือกระทบกับพวงกุญแจประตูห้องพักและเปรมบุราณที่ห้อยไว้รวมกัน เธอจึงนึกได้ถึงคนคนหนึ่ง

บางทีเขาอาจจะช่วยให้เธอหายหงุดหงิดใจขึ้นมาได้บ้าง




“ลุงไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้นละ”

คนถามถอนใจเฮือก เธอตั้งใจแวะมาหาลุงขจรถึงศาลาอยู่ยามของเขาเพื่อขอคำตอบให้หายข้องใจก่อนกินข้าวเสียหน่อย แต่แค่เกริ่นถึงชายปริศนาที่มักแอบอยู่ในห้องสมุดยามค่ำคืนไปนิดเดียว ลุงขจรเบรกเธอเสียตัวโก่งด้วยเสียงอันดังลั่น

“แต่ลุงยังเคยบอกให้ปี่รีบกลับ วันนั้นลุงก็ไม่ได้เปิดเข้าไปเช็คข้างใน เหมือนลุงรู้...”

หญิงสาวพูดยังไม่ทันจบ ลุงขจรก็โบกไม้โบกมือให้หยุด

“ไฮ้! ไม่รู้ๆ หนูปี่เป็นสาวเป็นนางก็ต้องรีบกลับสิ จะเดินท่อมๆเข้าซอยกลางค่ำกลางคืนมันไม่ปลอดภัยนักหรอก ผีอะไรมีที่ไหนกัน เหลวไหล เด็กๆยังเชื่อเรื่องงมงายแบบนี้อีกเหรอ นี่มันยุคทีวีดิจิตอลแล้ว” เขาอ้างเรื่อยเปื่อย พลางเดินหนีออกจากศาลา ปัญญ์ปรียาก็ปรี่มากางแขนกั้นไว้

“แน่ะ อย่าหนีสิคะ นี่ปี่ยังไม่ได้พูดถึงผีสักคำนะคะ”

“เฮ้ย! จะมาจับผิดอะไรกันนี่ฮึ” ลุงขจรทำเสียงดังกลบเกลื่อน พลางก้าวยาวๆหนีไปอีก แต่ปัญญ์ปรียาสาวเท้าตามไปดักหน้าดักหลังถามย้ำอยู่อีกหลายรอบ ลุงขจรก็พร่ำปฏิเสธไม่มีหลุดอะไรออกมาสักแอะ

แต่แล้ว ทั้งเขาและเธอต่างหยุดกึก ปากปิดสนิท หายใจไม่ทั่วท้องเมื่อเห็นเจ้าของบ้านเดินออกมาจากด้านในบ้าน ภายในมือถือหนังสือติดมาด้วย

“มีอะไรกัน” วรทถามเสียงเบา ใบหน้าเรียบไม่เชิงดุ แต่ยากจะบอกว่าเขากำลังอารมณ์ดี

“คุณวรท...เอ่อ หนูปี่เขามีเรื่องสงสัยนิดหน่อยเท่านั้นละครับ ผมขอโทษที่ทำเสียงดัง” ลุงขจรรู้ตัวว่าโวยวายเสียงดังเกินไปจึงรีบขอโทษขอโพย เขาทำงานกับวรทมาหลายปี รู้ดีว่าอีกฝ่ายชอบความสงบ ยิ่งวันอาทิตย์ซึ่งถือเป็นวันครอบครัวที่เขาใช้เวลาอยู่กับลูกไม่ว่างเว้นยิ่งไม่ควรทำให้ขุ่นใจ

“ไม่เป็นไร ไปทำงานเถอะ” วรทพูดพยักหน้าให้เขาหลบไปทำงานเสีย ด้วยรู้แล้วว่าใครกันที่เป็นต้นเรื่องของความวุ่นวาย
ตัวต้นเรื่องเสียอีกที่ไม่รู้เรื่อง ฟังเขาบอกว่าไม่เป็นไร ก็หมุนร่างเตรียมเผ่นไปพร้อมลุงขจร จนได้ยินเสียงกระแอมเบาๆจากด้านหลัง ตามมาด้วยคำสั่งเฉียบขาด

“ผมไม่ได้หมายถึงคุณ คุณอยู่ก่อน”

“เจ้านาย...ปี่ขอโทษค่ะ” ปัญญ์ปรียาหันทำยิ้มหยี ส่งเสียงอ่อยอ่อนขออภัย แต่เรียกมาได้แค่สายตาตำหนิ

หญิงสาวกลืนน้ำลายหนืดๆลงคอ เหลือบมองชายหนุ่มที่อยู่ในชุดอยู่บ้าน เสื้อยืดสีขาวสะอาดสะอ้านและกางเกงผ้าขายาวลายทางสีขาวสลับน้ำตาลอ่อน รองเท้าแตะคู่เก่าๆไม่เข้ากับมาดไฮโซและน้ำเสียงโคตรดุแล้วก็สะท้านในอก

นี่ขนาดเขาไม่ได้ทรงชุดสูทออร่าน่าเกรงขามยังแผ่บารมีมาข่มกันได้ขนาดนี้ ถ้าเขาจัดเต็มในชุดทำงาน เธอต้องกลัวเขาจนขี้ขึ้นสมองตายแน่ๆ

“อยากรู้เรื่องอะไร ให้ถามกับผมนี่”

“คะ” ปัญญ์ปรียาเงยจากรองเท้าแตะเก่าๆของเขาขึ้นมามองใบหน้าอันหล่อเหลาที่ยังคงไร้อารมณ์เช่นเคย

“คุณถามอะไรกับลุงขจรล่ะ” เขาถามย้ำอีกรอบ

“ไม่มี...ไม่มีค่ะ” ปัญญ์ปรียาลนลานปฏิเสธเสียงตะกุกตะกัก ต่อให้อยากรู้แค่ไหน แต่เธอก็เลือกดูอารมณ์ของคนที่เธอจะถามอยู่เหมือนกัน

“ผมไม่ได้ว่าอะไรคุณสักคำ จะกลัวอะไรนัก คุณอยากรู้เรื่องที่ผมไม่ให้คุณอยู่ดึกใช่มั้ย” เขาพูดดัก ด้วยจับความจากเสียงที่ดังเจื้อยแจ้วไปถึงภายในบ้านได้อยู่หลายประโยค

“ไม่มี ไม่มีจริงๆนะคะ”

“งั้นต่อไปคุณคงกลับบ้านตรงเวลา ผมเข้าใจถูกต้องใช่มั้ย”

“ค่ะ เข้าใจค่ะ”

“คุณเป็นสาวเป็นแส้ไม่ควรอยู่ทำงานดึกนัก ผมไม่ได้เร่งให้คุณต้องโหมทำงานหามรุ่งหามค่ำ แค่ตั้งใจทำงานตามเวลาที่ควรเป็นก็พอ เข้าใจใช่มั้ย”

“ค่ะ” ปัญญ์ปรียารับคำเสียงแผ่ว ได้แต่ยืนตัวลีบเล็กฟังคำสั่งสอนของผู้เป็นนาย หากหดหัวเข้าไปแอบอยู่ในเสื้อได้ เธอคงทำแล้ว

“นี่...” เขาเหมือนนึกอะไรได้ จึงทบทวนเรื่องราวอยู่ในใจส่งผลให้เงียบไปชั่วครู่ ก่อนที่คิ้วหนาจะค่อยๆขมวดเข้าหากัน “นี่มันยังไม่เที่ยงไม่ใช่เหรอ”

ปัญญ์ปรียาสะดุ้งเฮือกอยู่ในใจ แทบลงไปนอนตายดิ้นกระแด่วๆอยู่ตรงนั้น เธอเหลือบมองเขาอย่างกลัวๆกล้าๆ หน้ายับแหยใจเหี่ยวฟีบหดเหลือสักสองนิ้ว

“วันนี้ปี่ออกมาทานข้าวเร็วหน่อยน่ะค่ะ จะรีบกลับ...ปี่...ปี่ขอโทษค่ะ”

“ผมดุนักเหรอ”

“คะ! ไม่ค่ะ ไม่เลย คือ...ไม่ถึงขนาดนั้น” ปัญญ์ปรียายิ่งพูดยิ่งประหม่าลิ้นแทบพันกัน ปอดค่อยได้รับลมหายใจเข้าไปเต็มที่ ตอนที่เขาโบกมือไล่ พลางว่า

“ไปเถอะ ถ้าหิวจะออกก่อนเวลาบ้าง ผมจะไปว่าทำไม เรื่องเท่านี้เอง”

ปัญญ์ปรียายกมือไหว้เขาแล้วรีบก้าวออกมา จึงไม่ทันเห็นวดีเดินอุ้มฟูฟ่องก้าวมากระตุกขากางเกงผู้เป็นพ่อ เรียกให้เขาละสายตาจากเงาหลังของเธอ แล้วทรุดตัวลงนั่งยองๆ ลูบศีรษะเล็กๆอย่างเอ็นดู ขณะถาม

“ว่าไง หนูดี”

“คุณพ่อดุเขาทำไมคะ พี่เขาทำอะไรไม่ดีเหรอ แอบอุ้มฟูฟ่องแล้วไม่ล้างมือเหมือนหนูดีเหรอคะ”

คำถามซื่อๆเรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะจากวรทไปคำรบใหญ่ เขาโน้มตัวลงหอมแก้มยุ้ยใสของลูกรัก ก่อนแก้ตัว

“พ่อไม่ได้ดุสักหน่อย พ่อแค่คุยกับพี่เขาเท่านั้นเอง”

“อ้าวเหรอคะ เสียงคุณพ่อดุ๊ดุค่ะ เขาต้องกลัวแน่ๆ”

“พ่อก็ว่า ลนลานเชียว” เขายอมรับโดยดุษฎี พลางหัวเราะอีกระลอก ภาพเธอตอนก้าวขายาวๆเร็วๆจนคล้ายวิ่งหัวซุกหัวซุนหนีไปยังติดตา

“ระวังพี่สาวกลัวไม่กล้ามาหาอีกนะคะ”

“ฮะ...ลูกว่าอะไรนะ หนูดี”

“เปล่าค่ะ” วดีตอบเสียงเบา หน้าก้มงุดหลบสายตา ดูก็รู้ว่าซุกซ่อนอะไรซุกซนไว้ในใจ

“ไม่เปล่าละ เมื่อกี้หนูดีพูด พ่อแค่ได้ยินไม่ถนัด อย่าโกหกพ่อสิ”

“แค่บอกว่าพี่สาวจะกลัวจนไม่กล้ามาหาคุณพ่ออีก”

“ทำไมหนูดีถึงคิดว่าพ่ออยากให้เขามาหา”

“ก็คุณพ่อยืนส่องดูพี่สาวจากโถงชั้นบนบ่อยๆ หนูดีเห็น หนูดีก็คิดว่าคุณพ่อคงอยากดูพี่สาวใกล้ๆ”

วรทวางหน้าไม่ถูก เขาเพิ่งห้ามลูกโกหก จึงไม่อยากปดลูก แต่ครั้นจะบอกว่าลูกเข้าใจดีถูกต้องทุกอย่าง มันก็ไม่ใช่เสียทีเดียว

“พ่อไม่ได้อยากให้เขามาหา ไม่ได้ส่องดูเขาด้วย”

เขาไม่ได้อยากให้มาหา แค่ดีใจที่เธอมา แล้วเขาก็ไม่ใช่ถ้ำมองเสียหน่อย ถึงจะคอยส่องดูเธอ มันแค่เรื่องบังเอิญที่โถงชั้นสองของบ้านมองลงไปแล้วเห็นเหมือนภาพมุมตัดในเปรมบุราณ พอเขาเดินออกจากห้องนอน ผ่านหน้าต่างตรงโถง จึงมักเห็นเธออยู่บ่อยๆ

รู้ตัวอีกทีเขาก็ชินที่จะหยุดยืนดูเธอสักพักในแต่ละวัน ลุ้นว่าเธอจะทำหนังสือตั้งสูงๆในอ้อมอกหล่นก่อนถึงโต๊ะหรือไม่ ขำขันยามเห็นเธอยืนสำรวมรวบมือที่หน้าตัก ก้มหน้ายืนจ๋อยราวกับเป็นเด็กเล็กๆตอนโดนดิพรดุเรื่องอะไรสักอย่าง ที่ชอบที่สุดก็ยามที่เธอหาทางหลอกล่อให้ชะเอมเล่นด้วย ด้วยขนมสารพัดชนิด จนตอนหลังเป็นเด็กชะเอมที่ต้องแวะเวียนไปหาเธอถึงโต๊ะทุกวี่วัน
บางทีเขาก็สงสัย วดีจะหัวเราะร่าเริงเพียงใดด้วยการอุ้มชูของเธอ

“แต่หนูดีเห็น บางทีหนูดีเรียกคุณพ่อยังยืนยิ้มอยู่เลย ไม่สนใจฟังหนูดี”

วรทหยุดคิดว่าเคยมีด้วยหรือที่เขาอาการพังพาบหนักปานนั้น เหม่อมองสาววัยห่างกันเกือบยี่สิบปีอย่างกับตัวเองเป็นหนุ่มรุ่นกระทง ทั้งที่มีลูกยืนหัวโด่โต้ความได้แจ้วๆอยู่ตรงหน้า

ที่ผ่านมา ความรักระหว่างชายหญิงสำหรับเขาคือเรื่องผลประโยชน์ แม่ของเขาตรวจพบมะเร็งในต่อมน้ำเหลือง ทำใจว่าอยู่ได้อีกไม่นาน คำขอสุดท้ายคือหวังเห็นหน้าหลาน อยากได้หลานที่มีเชื้อมีสกุลที่ดี เขาซึ่งมุทำแต่งานจนละเรื่องส่วนตัวมาแต่ไหนแต่ไร ก็ยอมแต่งงานกับนุชนรี ลูกสาวของเพื่อนท่านโดยไม่อิดออด

ข้างฝ่ายนุชนรีก็ไม่น้อยหน้า การแต่งงานเป็นเรื่องผลประโยชน์ของเธอเช่นกัน เขารับรู้ก็เมื่อวดีคลอดก่อนที่ควรจะเป็นถึงสามเดือน เขาไม่พูด เธอไม่พูด ต่างแจ้งแก่ใจกันอย่างเงียบงัน แม่ของเขาเสียอีกที่ร้องไห้อัดอั้นเสียใจที่คนกันเองไว้ใจไม่ได้มากเท่าที่คิด

วดีอายุยังไม่ทันครบสองเดือน แม่ของเขาก็ทนไม่ไหวจากไปทั้งคับแค้นใจ นุชนรีทนรอจนจบงานเผาอย่างคนที่รู้จักรักษาหน้าตาทางสังคมของตนมาแต่อ้อนแต่ออก เพียงวันรุ่งขึ้น ทนายความของเธอก็จัดการเอกสารทั้งหมดรอเตรียมไว้ให้เขาเซ็นอย่างเรียบร้อย

ไม่มีความลำบากใจในการหย่าร้างสำหรับทั้งสองฝ่าย นุชนรีไม่เคยมีความคิดอยากได้ทรัพย์สินสมรสอะไร เธอไม่ได้ทำงานให้เงินงอกเงย ไม่เคยคิดจะทำเสียด้วย แต่ครอบครัวของเธอร่ำรวยมีเงินใช้ได้ฟุ้งเฟ้อมากพออยู่แล้ว การแต่งงานจำเป็นก็เพราะไม่มีพ่อให้ลูกเท่านั้น ฝ่ายเขาเองก็มีอันจะกินอย่างล้นเหลือ ไม่คิดเบียดเบียนเธอเช่นกัน

ทว่า แม้หย่าขาดเรียบร้อยทางนิตินัย วดียังอยู่กึ่งกลางระหว่างเขาและเธอ แม้ตระหนักดีว่าวดีไม่ใช่ลูกในไส้ แต่เขาทำใจดำไม่ลง ไม่อาจปล่อยให้เด็กที่เห็นมาตั้งแต่ตัวแดงๆและใช้นามสกุลเขามาแต่แรกเกิด ต้องไปผจญชะตากรรมกับแม่ที่รักตัวเองจนเผื่อแผ่ความเมตตาให้คนอื่นเพียงน้อยนิด

นุชนรียินดีและเต็มใจ ‘ฝาก’ ลูกไว้กับเขาอย่างถาวร ตัวเธอเพียงแวะเวียนไปมาหาสู่ตามแต่อารมณ์

“นั่นแน่! คิดถึงพี่สาวอีกแล้วใช่มั้ยคะ คุณพ่อเสียใจที่ดุพี่สาวจนพี่สาวหนีใช่มั้ย ได้แต่แอบส่องพี่สาวอีกแล้วสิ น่าสงสาร”

“เหลวไหลใหญ่แล้วเรานี่” วรทหัวเราะพลางยีกลุ่มผมเส้นเล็กๆบนศีรษะจ้อยอย่างหมั่นไส้ในความแก่แดดแก่ลม ก่อนอธิบาย “พ่อไม่ได้ส่องสักหน่อย พ่อแค่หยุดดูบ้าง ดูว่ามีคนแวะมาใช้ห้องสมุดบ้างมั้ย มันบังเอิญที่พี่เขาอาจอยู่ตรงนั้น หนูดีจะมารู้ได้ยังไงว่าพ่อตั้งใจดูอะไร”

“หนูดีไม่รู้ว่าดูอะไรหรอกค่ะ รู้แต่คุณพ่อดู...ดูแล้วยิ้มทุกทีเลย ถ้าไม่ได้ดูพี่สาว คงดูป้าแดงแน่ๆ เนอะฟูฟ่องเนอะ” เด็กหญิงกล่าวอย่างจริงจัง พลางพยักพเยิดกับฟูฟ่อง แต่เจ้าเหมียวร้องแอ๊วเบาๆทีหนึ่งแล้วถีบตัวออกจากอ้อมแขน ร้อนให้เจ้าของที่อยากลูบขนนุ่มนิ่มของมันต้องรีบวิ่งตามพวงหางฟูๆไป

ฝ่ายพ่อที่เพิ่งถูกลูกสาวตัวเองต้อนจนหลังแทบประชิดชนฝาค่อยๆผ่อนลมหายใจออก ปรามหัวใจที่เต้นโครมครามให้หยุดตีตนไปก่อนไข้

เขาไม่ได้สนใจเธอขนาดนั้นเสียหน่อย

วรทพยายามแก้ต่างให้ตัวเอง แต่พอคิดตามคำลูกแล้ว มันเหมือนจะเป็นอย่างที่ลูกพูดจริงๆเสียด้วย!

นี่ลูกเขายังจับไต๋ได้ แล้วเธอเล่า...

ไม่หรอก เธอหรือจะรู้อะไร แค่ชื่อเขายังอ่านไม่ออก! แถมคิดว่าเขาเป็นพระยาเทครัว ตั้งแต่หวาน แม่ของชะเอม ยันคุณชมพูแม่ครัวคนเก่าแก่ตั้งแต่สมัยคุณพ่อคุณแม่เขาอายุเกือบเจ็ดสิบแล้วเขายังไม่เว้น ป่านนี้ไม่รู้ไปจินตนาการยัดเยียดให้ใครเป็นเมียเขาอีก

นุชนรีไม่เคยได้รับความรักจากเขา มีแต่วดีลูกของเธอเท่านั้นทำได้ เขาครองตัวเป็นพ่อม่ายได้อย่างน่าแปลกใจไม่ เคยโอนอ่อนปันใจให้สาวน้อยสาวใหญ่ที่หมั่นส่งสายตาปิ๊งปั๊งมา

ม่ายสนิทอยู่เกือบเท่าอายุของวดี มันหกปีเชียวนะ พอพบผู้หญิงที่ดึงดูดความสนใจจากเขาได้ กลับกลายเป็นเธอที่ทั้งเกรงทั้งกลัวเขา ไม่มีทีท่าจะสนใจเขาสักนิด แถมไม่รู้ว่าเขาสนใจสักนิดด้วย

ผู้หญิงอะไรไร้เซ้นส์สิ้นดี!





นณกร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 30 พ.ย. 2557, 23:12:29 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 30 พ.ย. 2557, 23:12:29 น.

จำนวนการเข้าชม : 1411





<< กับดักของชายผู้ลึกลับ   การรอคอยที่สิ้นสุด >>
โอชิน 1 ธ.ค. 2557, 03:03:25 น.
มาตามติดคุณวรทกะนู๋ปี่ค่ะ


พันธุ์แตงกวา 1 ธ.ค. 2557, 04:34:23 น.
แอร๊ยยยยยย คุณวรทหนุ่มใหญ่แพ้ทางเด็ก มาแอบยืนส่องเค้าซะงั้น ว่าแต่เงาของพี่ท่านในเปรมบุราณก็น่าสนใจไม่เบา ใยหนูปี่จึงรังเกียจเขาเล่า น่าสงสารหนุ่มผู้นั้นเสียนี่กระไร
ตกลงปี่กลัวใครมากกว่ากันเนี่ย55555 เจ้ก็อยากกลัวๆๆ กลับดึกอยู่ก็ลึกในซอยเปลี่ยว


ดังปัณณ์ 1 ธ.ค. 2557, 10:55:48 น.
ว้ายๆๆๆๆๆ นณกรมามะหร่ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย กรีดร้องต้อนรับ ว่าแต่มะไหร่ คุณพิพัฒน์กุ้งแห้งจะมา ฮี่ๆๆๆๆ


ปรางขวัญ 1 ธ.ค. 2557, 11:44:16 น.
ก็อย่าดุซิคะคุณวรท อิอิ แอบมองนู๋ปี่เหรอ กิ๊วๆๆ


ใบบัวน่ารัก 1 ธ.ค. 2557, 23:42:24 น.
อะอ้าว นี่จะจีบเด็กรุ่นลูกหรือค้า
มีเมียเด็ก ต้องทำใจ ให้เยอะๆนะค้า


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account