ทิพย์เทวี
เธอลงมาช่วยเหลือผู้มีพระคุณให้พ้นภัย แต่เรื่องดันวุ่นเพราะใช้ฤทธิ์เดชไม่ได้

นางฟ้าเคยเลิศเลอในแดนสรวงกลับไม่ต่างจากวิญญาณง่อยเปลี้ย

ไม่รู้ว่างานนี้นางฟ้าต้องช่วยมนุษย์หรือมนุษย์ต้องช่วยนางฟ้ากันแน่
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ 8




บทที่ 8

ปฐมบทก่อนข้าพเจ้าจำต้องลงจากสวรรค์แดนปรนิมมิตวสวัตดีภูมิเพื่อตามหามนุษย์ผู้หนึ่ง...อดีตเทพผู้ทรงธรรมนาม ‘ปัณรสีเทพบุตร’ ผู้เคยให้ความช่วยเหลือข้าพเจ้าจากเหตุร้าย แลเหตุครั้งนั้นทำให้ผู้มีพระคุณของข้าพเจ้าต้องจุติก่อนสิ้นอายุขัย แม้เป็นเพลาเพียงอึดใจเดียวจากสวรรค์ชั้นสูงสุด แต่เมื่อเทียบกับเพลาในมนุษยโลกก็นับว่าน้อยนัก จึ่งเป็นเหตุผูกมัดข้าพเจ้าให้เร่งติดตามช่วยเหลือ ก่อนทุกอย่างจะสายเกินไป

แต่อนิจจา...ภพภูมิเดิมที่ข้าพเจ้าเคยสร้างบารมีจนอุบัติในวิมานแดนสรวงกลับเปลี่ยนแปลงจนน่ามึนงง ราชรถฤๅ...ก็มิใช่โคเทียมเกวียน ความเขียวขจีมากไปด้วยไม้พรรณน้อยใหญ่กลับกลายเป็นความแห้งแล้ง เต็มไปด้วยสิ่งปลูกสร้างแปลกประหลาดละลานตา

ทางคดเคี้ยวที่เห็นก็มิใช่ทางน้ำของแม่น้ำอีกต่อไป มีบางอย่างขวักไขว่วิ่งบนเส้นทางนั้นด้วยความรวดเร็ว รอบด้านฤๅ...ท้าวเธอผู้อารักษ์สถานที่ต่างๆ แทบไม่มีให้เห็น พวกท่านเหล่านั้นหายไปยังที่แห่งใดกันหนอ

‘ฤๅเราลงมาผิดจุดอุบัติปัณรสีเทพบุตรกัน’ มธุรสเทวีครวญกับตนเอง

เธอพยายามชะเง้อชะแง้มองหา กิริยานั้นนุ่มนวลงดงาม ลอยอยู่เหนืออาคารสูงทั้งหลาย ในใจหวังพบอากาศเทวาสักองค์หนึ่งก็ยังดี อย่างน้อยจะได้สอบถามว่าที่นี่ใช่มนุษยภูมิแห่งชมพูทวีปหรือไม่ หรือเป็นปุพพวิเทหทวีป หรืออมรโคยานทวีปกันแน่ ส่วนอุตรกุรุทวีปแทบเป็นไปไม่ได้เลยทีเดียว เพราะมนุษยภูมิแห่งทวีปนั้นล้วนเต็มไปด้วยความสุข ไม่รู้จักความทุกข์แม้แต่นิด

เช่นนั้น...สถานที่แห่งนี้ควรเป็นมนุษยภูมิแห่งทวีปใดในแผนที่มงคลจักรวาล อายตนะ[1] แห่งความทุกข์และกิเลสมีมากเหลือเกิน ละอองสีดำลอยล่องเต็มไปหมด พานทำให้เธออ่อนกำลัง แม้มนุษย์ส่วนมากไม่อาจมองเห็น แต่ก็มีบางคนที่สัมผัสและเห็นได้ด้วยอภิญญาญาณ

และละอองสีดำเหล่านี้ล้วนเกิดจากทุกข์ เกิดจากกิเลสทั้งหลาย มากกว่านั้นคือเป็นเครื่องขัดขวางการมองหาผู้มีพระคุณของเธอ ยากต่อการค้นตัวปัณรสีเทพบุตร และทำให้สับสนว่าที่นี่คือแห่งใดกันแน่

ทว่านั่นก็นอกเรื่อง เมื่อจริงแท้ควรโทษตนเองกับการหลงทาง เพราะนับแต่ได้อุบัติในปรนิมมิตวสวัตดีภูมิ เธอก็ไม่ได้ออกไปเกินขอบเขตสวรรค์ชั้นหกแม้แต่ครั้งเดียว สวรรค์ชั้นห้าที่ว่าอยู่ใกล้สุดก็ไม่เคยเหยียบย่าง มนุษยภูมิฤๅ...ยิ่งไม่ต้องคะนึงถึง

การเดินทางผิดทวีปย่อมมีความเป็นไปได้สูง แม้ส่วนลึกในใจขัดแย้งว่าไม่น่าเป็นไปได้ การเดินทางของเหล่าทวยเทพทั้งหลายล้วนเป็นไปด้วยจิต กำหนดว่าไปที่ใดย่อมไปยังที่แห่งนั้น อาจมีบ้างที่ผิดเป้าหมาย แต่ก็ไม่ควรไกลคนละทวีปเช่นนี้

มธุรสเทวีค่อยๆ ลดระดับลงมา อย่างสง่างามและทรงภูมิ ล่องลอยวนเวียนอยู่เหนือสิ่งปลูกสร้างประหลาดตามิได้หยุด ลอยไปทางนั้น ลอยมาทางนี้

บ้านเรือนที่เห็นมีทั้งลักษณะรูปทรงคล้ายเสา เต็มไปด้วยรูพรุน สูงต่ำคละกันไป บ้างเป็นเรือนปลูกรวมกันเป็นหย่อมๆ หลังคาหลากสี ที่น่าสงสัยคือสิ่งปลูกสร้างที่เหมือนเสาชิ้นโตมโหฬารตรงหน้านี้

นี่พวกมนุษย์ในดินแดนอยู่กินเช่นไรกันหนอ ผลหมากรากไม้ไปแสวงหายังแห่งหนใด เพราะเห็นได้ชัดโดยรอบคือความแห้งแล้งเหลือคณา พรรณไม้ใหญ่น้อยช่างรางเลือน มิได้คล้ายชมพูทวีปอันอุดมไปด้วยเหล่าไพรพฤกษ์ที่เคยอุบัติมาก่อน

“ข้าแต่เทวีแห่งฉกามาพจรสวรรค์ ขอสักการะองค์ท่านแห่งปรนิมมิตวสวัตดีภูมิ องค์ท่านประสงค์สิ่งใด ขอให้ข้าพเจ้าได้รับใช้ให้เป็นกุศลเถิดเจ้าข้า”

มธุรสเทวีหันมอง ดวงตาของเธอสดใสเป็นประกาย ประหนึ่งดวงดาวสว่างไสวในเดือนมืด รูปหน้างดงามเลอลักษณ์ดั่งมีรอยยิ้มเสมอยิ่งงดงามเกินจะพรรณนาเมื่อยิ้มกว้าง

อากาศเทวาผู้หนึ่งอยู่ในท่าเทพพนม คุกเข่าประนมมือเอาไว้ แววตาชื่นชมยินดี เขาอยู่ห่างจากมธุรสเทวีราวสามศอก

เธอเดินเข้าไปหา แม้เพียงแค่สองก้าวที่ไปอยู่ตรงหน้าอากาศเทวา การเยื้องย่างก็งดงามเกินบรรยาย กรีดกรายงามสง่า เอวองค์อ้อนแอ้นบอบบางน่ามอง ปลายเท้าสัมผัสอากาศประหนึ่งแตะพื้นอย่างนุ่มนวล รัศมีเรืองรองแผ่ซ่านกำจายแฝงไปด้วยความอ่อนหวาน หอมหวน...ที่มิใช่เพียงกลิ่น แต่เป็นสัมผัสทั้งหมดตามบุญกุศลที่สั่งสมและบ่งบอกว่ามธุรสเทวีนั้นมาจากที่ใด จึงไม่ยากสำหรับการรู้ภพภูมิประหนึ่งสัญลักษณ์ที่รู้กัน

มธุรสเทวีไหว้กลับ อีกฝ่ายลุกขึ้นยืน

เธอยิ้ม...และกล่าวว่า “องค์ท่านโปรดเมตตา แถลงไขแก่ข้าพเจ้าเถิด ว่ามนุษยภูมิอันปรากฏนี้ ใช่มนุษยภูมิแห่งชมพูทวีปฤๅไม่เจ้าข้า”

รอยยิ้มของอากาศเทวาหายวับไปฉับพลัน เขามองซ้ายมองขวาเชื่องช้า สีหน้าอ่อนใจ สูดลมหายใจเข้าลึก มองเธอตรงๆ “องค์เทวีแห่งแดนสรวง มนุษยภูมิแห่งนี้ ย่อมเป็นมนุษยภูมิแห่งชมพูทวีปมิได้ผิดเพี้ยนเป็นอื่นใดแน่แท้เจ้าข้า”

รอยยิ้มของมธุรสเทวีหายวับไปทันทีเสียแล้ว หาได้แตกต่างจากอากาศเทวาสักนิด เธอมองซ้ายมองขวาอย่างช้าๆ งงงันเหลือแสน “เหตุใดจึ่งทรามไปด้วยกิเลส โลภะ โทสะ โมหะ แลความทุกข์ล้นเหลือมากถึงเพียงนี้เล่าเจ้าข้า” เธอตกใจจนตาโตปิดไม่มิดเลยทีเดียว “ข้าพเจ้ามิอาจสัมผัสอายตนะแห่งบุญกุศลได้ดั่งควรเป็นเลย...องค์ท่าน” แล้วก็ปรารภดั่งเทพละเมอ

อากาศเทวายิ้มให้เล็กน้อยแต่ก็แฝงด้วยความอ่อนใจ “องค์เทวีมิได้เยือนมนุษยภูมิในเพลาหนึ่งร้อยห้าสิบปีมนุษยภูมิให้หลังนี้กระมังเจ้าข้า จึ่งมิพบเห็นความเปลี่ยนแปลง” จากที่ยิ้มเล็กน้อยกลายเป็นยิ้มเศร้า เขาถอนหายใจออกมา “ทุกข์หนักหนา กิเลสมากเสียจนเหล่าเทพแลเทวีฝ่ายกุศลทั้งหลายต่างกลับคืนสู่วิมานแห่งตน มิอาจเยือน...ฤๅสร้างบารมีแก่เหล่ามนุษย์ได้มากดังเก่าก่อนเจ้าข้า ช่างเป็นทุกขภาวะของเหล่าเทพนัก ที่มิอาจสร้างกุศลได้ แต่กลับเป็นสุขภาวะ อำนวยแก่เทวมารฝ่ายอกุศลมากกว่าเจ้าข้า” เขาว่าพลางชี้มือลงไปยังจุดหนึ่ง

มธุรสเทวีมองตาม ภาพเบื้องล่างมีแต่ละอองสีดำขมุกขมัว เธอค่อยๆ เพ่งฝ่าละอองหมอกสีดำนั้นเข้าไป ภาพจึงปรากฏขยายชัดขึ้นเรื่อยๆ จากจุดนี้

เธอเห็นชายหญิงหลายคนจับคู่กันอยู่ในวัด บ้างจับมือ บ้างจูบปากกันใต้ต้นไม้โดยไม่สนใจใคร บ้างก็แต่งกายจนแทบเห็นทุกสัดส่วน กางเกงขาสั้นกุดจนเห็นขาอ่อน เสื้อตัวเล็กรัดติ้วไม่ปิดบังเนื้อหนังในวัดวาอาราม ไม่สนใจว่าจะทำให้พระท่านคิดอย่างไร แม้ว่าพระรูปใดก็มิได้สนใจฤๅมีจิตวิปริตให้อาบัติ แต่นั่นย่อมนำมาซึ่งความเสื่อมแห่งตน ด้วยมิคำนึงถึงมารยาท มิคำนึงถึงบาปอกุศล แม้นน้อยนิดก็จำต้องระวัง บางคนเดินเข้าไปหลอกลวงหากินกับผู้มาทำบุญ หนักที่สุดคือผู้ห่มผ้าเหลืองแต่มิได้อยู่ในจริตเช่นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ แลดำเนินตามรอยพระบาทขององค์พระบรมศาสดา สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างเหมาะควร จนอายตนะที่สัมผัสได้มีแต่ความเสื่อมทราม

“พระพุทธองค์ช่วย!” มธุรสเทวีอุทานอย่างตกใจ มือทาบอกทันที ไม่เคยคิดว่าจะพบเห็นอะไรเช่นนี้ หันหน้าเหวอของตนเองไปยังอากาศเทวา

เขาพยักหน้าเศร้าๆ ให้เธอ “แลมีอีกหลายเหตุนักเจ้าข้า บ้างเสพสังวาสใกล้ไกลเขตวัดมิได้ละอาย สมสู่มิรู้เดือนรู้ตะวันเยี่ยงเดรัจฉาน แลอีกมากมายหลายเหตุนัก ภาวะแห่งอกุศลนี้แลที่ทำให้เทพฝ่ายกุศลอยู่อย่างยากลำบากนัก เทวมารแลยักษาฝ่ายอกุศลปกครองอวิชชาก็กร่างเหลือหลาย มิได้อยู่ในขอบเขตของตน ด้วยว่ามนุษย์มากนักมิได้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ บรรดาเทวมารแลพวกอกุศลจึ่งสร้างความทุกข์ให้มนุษย์ได้ถ้วนทั่ว...มีมากขึ้นทุกขณะ แต่มนุษย์เองก็ล้วนทำร้ายตนนักเจ้าข้า วิ่งหาความเดือดร้อนทั้งสิ้น องค์เทวีดูวิมานนี่เถิด”

เขาชี้อาคารที่เธอลอยเหนืออยู่ “เหล่ามนุษย์ทั้งหลายเรียกว่าคอนโดมิเนียม แออัดอยู่ในสิ่งปลูกสร้างนี้ เทพฝ่ายกุศลก็ประจำกับผู้มีบารมีธรรมบ้าง แต่ก็น้อยนัก รุกขเทวดาก็น่าอดสู มิได้มีไม้ใหญ่ให้ได้อาศัย แม้นสถิตได้ก็ถูกเทวมารฝ่ายอกุศลรังแกเจ้าข้า”

แล้วภาพภายในสิ่งปลูกสร้างที่มธุรสเทวีลอยเหนืออยู่ได้แสดงให้เห็น ในนั้นมีคนอยู่กันอย่างแออัด มีหลายห้องในแต่ละชั้น รุกขเทวดา เจ้าที่ หรือเทพประจำตัวฝ่ายกุศลก็ต้องอยู่แบบแออัดในนั้นด้วย แต่ก็นับว่าน้อยนิดหากเทียบกับบรรดาห้องที่มีละอองสีดำ

การอยู่กันอย่างแออัดเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่หากเป็นสรวงสวรรค์ เพราะต่างก็มีวิมานแห่งตน อยู่อย่างสุขสบาย พื้นที่เป็นไปตามภูมิบารมี แต่ที่เป็นเรื่องใหญ่คืออากาศสีดำขมุกขมัวรอบๆ คล้ายกรงขังทรงสี่เหลี่ยมที่ซ้อนเรียงกันจนแทบมองไม่เห็นความเป็นไปใดๆ ต่างหาก ซึ่งหากห้องไหนเป็นคนดี มธุรสเทวีก็พอเห็นได้ชัด แต่ห้องไหนเป็นคนชั่ว ห้องนั้นๆ ก็มีความดำทะมึนรายรอบ ไม่มีสีใสๆ อันเป็นเครื่องยืนยันความสงบ ความสุขใจ ตามการกระทำของสัตว์โลกทั้งหลายที่แสดงออกมาเป็นอายตนะของตน น่ากลัวที่สุดคือส่วนมากเป็นสีเทาค่อนไปทางสีดำราวเก้าในสิบส่วน

ยิ่งเมื่อเห็นซ้อนกันเช่นนี้ ก็เหมือนก้อนสี่เหลี่ยมหลากสีที่วางซ้อนกันขึ้นมา บ้างดำทมิฬ ดำธรรมดา บ้างดำโปร่งแสง บ้างดำทึบและมีแสงประกายจ้าแสบตา บ่งบอกว่าเจ้าของห้องนั้นชั่วช้าเลวทรามมากเพียงใด ต่างคละกันอยู่ในคอนโดมิเนียมตามชื่อเรียกที่ได้ยิน

มธุรสเทวีถอนหายใจออกมา ‘เหตุใดมนุษย์จึงถูกปกครองโดยฝ่ายอกุศลเสียมากถึงเพียงนี้ ฝ่ายพระนั้นแทบเทียบปริมาณมิได้เลย มิน่าเล่า...บรรยากาศทั่วมนุษยภูมิจึงเต็มไปด้วยละอองสีดำ’

ช่างไม่เหมือนมนุษยภูมิในกาลก่อน จนอดคิดไม่ได้ว่าเมื่อถึงวันหนึ่งที่รัศมีสีดำปกคลุมไปถ้วนทั่ว มืดมัวจนแทบไม่เห็นคุณความดีใดๆ ไม่มีความใสสว่างให้เห็น ก็คงมิแคล้วว่ากาลล้างโลกด้วยไฟกรด น้ำกรด ลมกรด อากาศกรด หรือไฟบรรลัยกัลป์ คงบังเกิดขึ้นสักวันเป็นแน่แท้

มธุรสเทวีกล่าว “ข้าพเจ้าคาดว่ามาผิดทวีปเสียแล้วในคราแรกเจ้าข้า มิได้คิดเลยว่ามนุษยภูมิแห่งชมพูทวีป จักกลายเป็นเช่นนี้ไปได้”

อากาศเทวาพยักหน้าเศร้าๆ ตอบรับ “เหล่าเทพฝ่ายกุศลจึงมิอาจอยู่ได้อย่างไรเจ้าข้าองค์เทวี ส่วนตัวข้าพเจ้าก็ด้วยมีหน้าที่จำต้องอยู่...แต่เมื่อถึงเพลาฤๅเกินกำลัง คงต้องกลับวิมานเช่นกันเจ้าข้า รอให้สภาวะเป็นคุณมากขึ้น มิได้เป็นภัยแก่ตนเยี่ยงเพลานี้ จักลงมาสร้างบารมีใหม่ก็มิสายดอก ว่าแต่...องค์ท่านลงมายังมนุษยภูมิด้วยเหตุใดฤๅเจ้าข้า”

ได้ยินคำพูดนี้มธุรสเทวีจึงยิ้มออกมาได้นิดหนึ่ง ความดีใจเข้าแทนที่ “ข้าพเจ้ากำลังตามหาดวงจิตของเทพองค์หนึ่ง นามปัณรสีเทพบุตรเจ้าข้า ในนิมิตก่อนองค์เทพจุติ ปรากฏชัดว่าจักปฏิสนธิ แลอุบัติในมนุษยภูมิแห่งชมพูทวีป ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ นามแผ่นดินว่า ‘สยาม’ อยู่ ณ ใจกลางของแคว้นนี้เจ้าข้า”

อากาศเทวาทำหน้าปั้นยากทันที แววตามึนงงยิ่งกว่าเดิม “องค์เทวีเจ้าข้า” ดูเหมือนเขาพยายามเรียบเรียงถ้อยคำ “บัดนี้...แคว้นสยามได้เปลี่ยนชื่อเป็นไทย ดินแดนนี้สถาปนาได้สองร้อยกว่าปีหากนับจากเพลาที่องค์เทวีว่ามา ใจกลางแคว้นหรือเมืองหลวง บัดนี้คือที่นี่...กรุงเทพมหานคร อมรรัตนโกสินทร์ มหินทรา อยุธยามหาดิลกภพ นพรัตน์ราชธานีบุรีรมย์ อุดมราชนิเวศน์มหาสถาน อมรพิมานอวตารสถิต สักกะทัตติยวิษณุกรรมประสิทธิ์” แล้วชื่อนครแห่งนี้ก็ถูกร่ายยาวจนครบถ้วนกระบวนความ

มธุรสเทวีกะพริบตาปริบๆ เมื่อรู้ข้อมูล ห้วงเวลาในปรนิมมิตวสวัตดีภูมิเพิ่งผ่านไปเพียงลมหายใจ จุดมุ่งหมายก็ได้รับรู้และติดตามมาด้วยความรวดเร็ว แต่แค่คลาดกันเพียงเสี้ยวลมหายใจพาดผ่าน เวลาก็ล่วงไปถึงสองร้อยกว่าปีเชียวหรือ แม้รู้ดีว่าหนึ่งวันของปรนิมมิตวสวัสดีภูมิจะเท่ากับหนึ่งพันหกร้อยปีโลกมนุษย์ แต่การขาดการติดต่อเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องดีแน่ ไม่รู้ว่าป่านนี้ปัณรสีเทพบุตรจะไปอยู่ที่ไหน เกิดเป็นชนเหล่าใด ดวงจิตของเขาจะพิสุทธิ์มากพอให้เธอได้ช่วยเหลือเพื่อกลับไปยังภพภูมิเดิมหรือไม่ ก็น่าหนักใจนัก อีกทั้งสภาพแวดล้อมก็เต็มไปด้วยละอองสีดำจนไม่อาจตามหาได้ง่ายเช่นนี้อีก

แล้วนี่...ดวงจิตของเขาไปอยู่ ณ ที่แห่งใด จะมิแก่ชรา หรือเข้าสู่อีกภพภูมิหนึ่งไปแล้วหรือนั่น

“องค์เทวีอย่าได้วิตกไปเลยเจ้าข้า ข้าพเจ้าจักเร่งตามหา ขออาสารับบุญครานี้จากเทวีเถิด” พูดจบอากาศเทวาก็หายวับไปทันที

การสร้างกุศลจนได้อยู่สวรรค์ชั้นหกก็ดีอย่างนี้ คือหากเทวดาหรือนางฟ้าองค์ใดผู้กำเนิดในปรนิมมิตวสวัตดีภูมิประสงค์สิ่งใด ก็จะมีทวยเทพเป็นผู้อาสา ด้วยต้องการทำบุญแก่ผู้มีบารมีธรรม แม้บางองค์จะมีวิมาน มีบริวารของตนเองแต่ก็ยินดี อากาศเทวาผู้นี้ก็ไม่แตกต่าง

และการที่เขายังอยู่ที่นี่ย่อมมีความหมายนั้น คือต้องการสร้างบุญกุศลไม่ว่าจะให้แก่ใคร คงไม่มีทวยเทพองค์ใดอยากหมดบุญก่อนสิ้นอายุขัย หรือไม่หาบุญเพิ่มเติมเพื่อเป็นเสบียงของตนเองเอาไว้ใช้ในภายภาคหน้าเป็นแน่

หรือไม่...เขาอาจจะอยู่ที่นี่เพื่อช่วยเหลือใครคนหนึ่งซึ่งเคยมีบุญคุณต่อเขาเช่นเดียวกับเธอก็เป็นได้

- * - * - * - * - * - * - * - * - * - *- * - * - * - * - * -

สถานที่แห่งใหม่ที่เธอมาถึงและกำลังลอยเหนืออยู่ ทำให้มธุรสเทวีเพ่งมองด้วยความสนใจ อากาศเทวาผู้นั้นจากไปเมื่อส่งเธอถึงจุดหมาย เจ้าที่เจ้าทางล้วนไม่ยุ่งวุ่นวายหากเธอไม่ต้องการความช่วยเหลือ อีกทั้งพวกเขาก็มีกิจธุระของตนที่ต้องปฏิบัติ เธอจึงไม่อยากรบกวนสักเท่าไร และหากเรื่องเท่านี้เธอจัดการด้วยตนเองไม่ได้ ก็คงขายหน้าไม่น้อย

ภายนอกอาคารสูงห้าชั้นตรงนี้...

ตามคำบอกเล่าของอากาศเทวาแจ้งว่านี่คือบริษัทผลิตรถยนต์ เธอเองก็ไม่ค่อยเข้าใจว่าคืออะไร มีเพื่อสิ่งใด เป็นแบบไหน สร้างประโยชน์ใดก็มิทราบได้ รู้เพียงมีอาคารสูงๆ บนเนื้อที่โดยรอบค่อนข้างกว้างขวาง แต่นั่นไม่ใช่สาระสำคัญสำหรับเธอ

มธุรสเทวีลอยอยู่ตรงชั้นสูงสุด ก้าวเดินบนอากาศนั้น มือเกาะชิดติดหน้าต่าง หน้าผากแนบติดไว้กับกระจก มองหาสิ่งที่อยู่ภายใน คนจำนวนหนึ่งนั่งก้มหน้าก้มตา มีแผงบางอย่างกั้นไว้เป็นส่วนๆ อันเป็นพื้นที่ของแต่ละคนไม่ยุ่งเกี่ยวกัน บ้างก้มหน้าลงขีดเขียน บ้างก็สนใจแต่สิ่งที่อยู่ในมือจิ้มๆ กดๆ บ้างก็เดินมาคุยกัน

อากาศเทวาบอกว่าปัณรสีเทพบุตรอยู่ในนี้แน่นอนตามข้อมูลที่ได้รับมาจากเทพองค์อื่นๆ ซึ่งพบปะกันได้ยากนัก เพราะมีละอองดำอันเป็นพิษ อีกทั้งเทวมารอยู่กันเต็มไปหมด หากเจอก็จะถูกทำร้ายได้ โดยเฉพาะพวกที่มีกำลังฤทธิ์มากกว่า แม้แต่ขณะมาที่นี่ก็ยังต้องหลบหลีกน่าดู ถึงเธอจะยังไม่ได้พบเห็นหรือพบเหตุการณ์ปะทะกับเหล่าเทวมารโดยตรง การฟังผู้รู้เอาไว้ก็มิได้เสียหายแต่อย่างใดนี่นา

มธุรสเทวีเพ่งมอง ไม่อาจระบุว่าใครเป็นใครเสียทีเดียว อายตนะของแต่ละคนแตกต่างกันไป สัมผัสแห่งกุศลมีไม่มากเท่าที่ควร บางคนก็มีรัศมีสีดำรายรอบอย่างน่ากลัว จึงเป็นอุปสรรคในการมองหาปัณรสีเทพบุตรไม่น้อย

สุดท้ายจึงตัดสินใจเดินผ่านผนังทะลุเข้าไป มองผู้คนไล่เรียง

ความอึดอัดเริ่มมีมากขึ้นเมื่อเข้าใกล้บางคนที่มีละอองสีดำ เธอเริ่มหายใจไม่ค่อยสะดวกนัก พะอึดพะอมกับกลิ่นที่โชยออกมา เหม็นและอึดอัดเหลือเกิน พวกเขาจะรู้หรือเปล่า...ว่าการได้เกิดมาเป็นมนุษย์นั้นส่วนมากล้วนแต่จุติจากสวรรค์ชั้นฟ้าแทบทั้งสิ้น ส่วนน้อยมาจากการเป็นเดรัจฉานหรือนรกภูมิ หรือจากมนุษย์กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้ง ทว่าในส่วนน้อยนั้นก็มีเหล่าเทวมารถือกำเนิดเป็นมนุษย์ด้วยเช่นกัน

และหากมนุษย์ได้ทราบความจริงว่าตนล้วนมาจากภพภูมิที่ดี จะย่นระย่อไม่บากบั่นหรือละทิ้งการสร้างบุญกุศลทั้งหลายหรือไม่ เพราะอย่างน้อยหากรู้ว่ามีโอกาสกลับวิมานชั้นฟ้า คงไม่มีใครอยากตกต่ำเป็นแน่แท้

ทว่าพวกเขาไม่เคยรู้ ไม่มีใครบอกถึงสิ่งสำคัญนี้จนกระทั่งหมดเวลา จึงไม่มีเสบียงบุญของตนไว้ในชาติภพต่อไป สุดท้ายก็ถดถอย อุบัติไปในเดรัจฉานภูมิหรืออบายภูมิเสียเป็นส่วนมาก ก็ด้วยไม่รู้ความจริงข้อนี้แล

และจากอายตนะของแต่ละคน ทำให้มธุรสเทวีถอนหายใจ เสียดายที่พวกเขาหลายคนส่อแววจะลงข้างล่างมากกว่าได้ขึ้นข้างบนซึ่งก็คือสวรรค์ แม้อายุยังไม่มากแต่ก็ดูไม่ง่ายนักที่จะส่งเสริม เทพฝ่ายกุศลผู้อยู่ประจำตัวก็หนีหาย บางองค์ไร้กำลัง หรือไม่บางองค์ก็อาจหลงทางหรือยังหาผู้อยู่ในความดูแลไม่พบเหมือนกับเธอ

แต่จากประวัติที่ทราบมา ก็น่าจะมีเธอคนแรกนี่แหละที่เป็นเช่นนั้น

มธุรสเทวียิ่งถอนหายใจหนักขึ้นเมื่อระลึกถึงปัณรสีเทพบุตร ไม่รู้ว่าป่านนี้จะเป็นเช่นไรบ้าง อาการจะหนักหนาสาหัสจนกระทั่งไม่อาจฉุดขึ้นสู่ภพภูมิที่ดีได้หรือไม่ ก็ย่อมเป็นกังวลไม่น้อย

คิดไปก็ตรวจสอบอดีตชาติของแต่ละคนไป ไล่ดูทีละคนจากฟากหนึ่งของห้อง เฟ้นหาเจ้าของดวงจิตที่ต้องการ แรงสัมผัสบางอย่างบอกว่าปัณรสีเทพบุตรอยู่ในนี้จริงๆ กระนั้นสัญญาณก็ขาดๆ หายๆ ละอองสีดำมลายเมื่อเธอเดินผ่านไม่ว่าจะไปที่แห่งใดก็ตาม ทว่าก็มิใคร่สะดวกนัก เพราะยังอึดอัดกับภาวะขมุกขมัวเช่นนี้ โชคดีว่าพันธะช่วยเหลือระหว่างเธอกับปัณรสีเทพบุตรยังพอทำให้หาเขาง่าย แต่ก็ยังยุ่งยากและทำให้อ่อนกำลังมากถึงเพียงนี้

แล้วเบื้องหน้าเล่า...จะเป็นอย่างไร ย่อมน่าหวั่นใจไม่น้อยทีเดียว อีกทั้งสภาพแวดล้อมไม่เอื้ออำนวยแก่เทพฝ่ายกุศลเช่นนี้อีก กำลังฤทธิ์จึงถูกตัดทอนเช่นที่เป็น ย่อมน่าวิตกนัก เธอจะตามหาปัณรสีเทพบุตรได้ทันเพลาฤๅไม่หนอ

แล้วนี่...เทวมารฝ่ายอริจะทราบความเคลื่อนไหวใดของปัณรสีเทพบุตรมากน้อยกัน พวกเขาหาผู้มีพระคุณของเธอพบแล้วหรือยัง

แล้วหากพวกนั้นเจอตัวปัณรสีเทพบุตรเจอแล้วล่ะ...พวกเขาจะจัดการสิ่งใดไปบ้าง ก็น่าวิตกกังวลเหลือเกิน น่ากลัวเหลือเกิน เพราะนับตั้งแต่เธอมาถึงก็แทบไม่เห็นเทวมารฝ่ายอกุศลเลย

ส่วนการที่ไม่เห็นย่อมมีความหมายสามทาง ทางหนึ่งก็ด้วยว่าพวกนั้นมีอิทธิพล มีอิทธิฤทธิ์ที่สามารถซ่อนกาย กระทำการใดๆ ได้ง่ายตามสภาวะเอื้ออำนวยแห่งละอองสีดำ ยากนักที่เธอจะมองเห็น ประหนึ่งโจรร้ายซุ่มอยู่ในที่มืด ส่วนเธออยู่ในที่สว่าง หรืออีกทางก็อาจเป็นเพราะพวกนั้นยังไม่รู้ว่าเธอตามผู้มีพระคุณพบแล้ว หรืออีกทางหนึ่ง ก็ด้วยบารมีของเธอซึ่งยังพอป้องกันตนได้ และมีรัศมีเป็นละอองใสสว่างกระจายรอบตัวที่ยังพอคุ้มครอง ขจัดละอองร้ายสีดำไม่ให้ถึงตัว และละอองใสสว่างนี้จึงได้ช่วยตัดสัญญาณมิให้ฝ่ายอกุศลได้รู้ความเคลื่อนไหวของเธอได้เร็วนัก

“เฮ้ย! เลิกงานแล้ว ไปหาไรกินกัน ต่อโพไซดอนเลย” เสียงพูดค่อนข้างดังเรียกความสนใจของมธุรสเทวี เธอหันขวับ กระแสคลื่นบางอย่างบอกว่าคนที่ตามหาอยู่ตรงนั้น

ผู้ชายตัวสูง ผิวไม่ขาวนัก กำลังยืนพิงตรงขอบผนังกั้นตรงอีกฟากหนึ่งของห้อง ห่างจากจุดที่เธอยืนอยู่ไม่ไกล มธุรสเทวีเดินเข้าไป

โต๊ะ เก้าอี้ ผนังกั้นทั้งหลายไม่เป็นอุปสรรคเมื่อเธอเดินทะลุผ่านไปอยู่ตรงหน้าเขา เธอเพ่งมองชายคนนี้ เขากำลังรอคำตอบจากเพื่อน หน้าตาของชายคนนี้ดูงามใช้ได้ ตาคมคิ้วเข้มไม่น้อย การแต่งกายเรียบร้อยเช่นเดียวกับผู้ชายทุกคนที่เห็นในสถานที่แห่งนี้ แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับการตรวจสอบอดีตชาติว่าเป็นใคร ใช่คนที่ต้องการหรือไม่ต่างหาก

“ไปเหอะ อยากพัก” ทว่าเจ้าของเสียงด้านหลังกลับทำให้เธอหันขวับอีกครั้งหนึ่ง

เขาคนนี้นั่งเอนตัวพิงเก้าอี้ตรงโต๊ะทำงาน มองเพื่อนด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่าย อายุน่าจะประมาณไม่เกินสามสิบ ผมสีเข้มตัดสั้น สวมแว่นตา ใบหน้าจัดว่างามน่ามอง ผิวขาวกว่าอีกคนที่ยืนอยู่ด้านหลังของเธอ แต่ก็นับว่าดูดีทั้งคู่

ชายใส่แว่นขยับบิดตัวไปมา เมื่อลุกขึ้นจึงรู้ว่าตัวสูงใหญ่ไม่น้อยทีเดียว น่าจะพอๆ กับคนที่อยู่ด้านหลังของเธอซึ่งเธอกำลังรอตรวจสอบ

มธุรสเทวียืนอยู่ตรงกลางระหว่างชายสองคนนี้ อายตนะของปัณรสีเทพบุตรส่งถึงค่อนข้างรุนแรง เธอมองทั้งคู่สลับไปมา ทว่าสิ่งน่ากลัวคือละอองสีดำซึ่งรายรอบพวกเขา

โดยเฉพาะคนที่ใส่แว่นนั้นละอองดำหนาแน่นเสียจนน่ากลัว ยังดีที่ไม่มีรัศมีแห่งฝ่ายมารที่มีกำลังฤทธิ์ คือมีแสงจ้าบาดตา ซึ่งแตกต่างจากรัศมีของฝ่ายพระที่จะเป็นแสงนวลลออตา ดูเย็นสบาย

และไม่ว่าหนึ่งในสองคนนี้ใครที่คือปัณรสีเทพบุตรกันแน่ สิ่งหนึ่งที่มธุรสเทวีรู้แน่ชัดคืออุปสรรคอันหนักหนาที่จะต้องเจอ

สภาพแวดล้อมไม่เอื้ออำนวยยังไม่น่ากลัวเท่าตัวบุคคล ซึ่งมีแนวโน้มว่าน่าจะช่วยได้ยากเอาการ ความหนาแน่นของละอองบาปที่ติดตัวเป็นเกณฑ์พอให้เดาได้ หวังใจว่าปัณรสีเทพบุตรจะเป็นชายที่ไม่ใส่แว่น แต่หากเป็นชายใส่แว่นล่ะ เธอจะช่วยผู้มีพระคุณนี้ได้อย่างไร จะทันเวลาได้หรือนี่ โอกาสจะพาเขากลับสู่วิมานแดนสรวงได้นั้นจะเป็นไปได้มากเพียงใดหรือ...ก็น่าหนักใจยิ่งนัก

‘คงมิง่ายดายเป็นแน่แท้’

- * - * - * - * - * - * - * - * - * - *- * - * - * - * - * -

[1] อายตนะ แปลว่า ที่เชื่อมต่อ, เครื่องติดต่อ หมายถึง สิ่งที่เป็นสื่อสำหรับติดต่อกัน ทำให้เกิดความรู้สึกขึ้น แบ่งเป็น 2 อย่างคือ (1) อายตนะภายใน หมายถึง สื่อเชื่อมต่อที่อยู่ในตัวคน บ้างเรียกว่าอินทรีย์ 6 มี 6 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทั้งหมดนี้เป็นที่เชื่อมต่อกับอายตนะภายนอก (2) อายตนะภายนอก หมายถึง สื่อเชื่อมต่อที่อยู่นอกตัวคน บ้างเรียกว่า อารมณ์ 6 มี 6 ทาง คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และธรรมารมณ์ ทั้งหมดนี้เป็นคู่กับอายตนะภายใน เช่น รูปคู่กับตา หูคู่กับเสียง เป็นต้น








สุชาคริยา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 7 ธ.ค. 2557, 14:26:12 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 7 ธ.ค. 2557, 14:26:12 น.

จำนวนการเข้าชม : 1556





<< บทที่ 7   
นักอ่านเหนียวหนึบ 7 ธ.ค. 2557, 15:43:55 น.
อ่อออ นี่สินะ ที่มาที่ไป


สุชาคริยา 7 ธ.ค. 2557, 16:28:22 น.
@คุณนักอ่านเหนียวหนึบ = ม๊วฟๆ คิดถึงจังเลยค่าาาาา


แว่นใส 7 ธ.ค. 2557, 16:45:00 น.
ใส่แว่น จะช่วยทันไหม


คิมหันตุ์ 9 ธ.ค. 2557, 16:53:29 น.
โอ้ววววละอองดำมาเชียว


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account