พ่ายพรหมลิขิต
พลับพลึงทำงานด้านสถาปัตย์ประจำอยู่ที่เชียงใหม่วันหนึ่งเธอได้รับมอบหมายงานให้ออกแบบบ้านพักของธนดลโดยไม่นึกไม่ฝันว่าวันหนึ่งเธอกลับต้องมารับบทเจ้าสาวของเขาเนื่องจากญาติผู้น้องซึ่งเป็นลูกสาวของป้าหนีออกจากบ้านก่อนวันแต่งงานหนึ่งวัน ด้วยเสียงขอร้องแกมบังคับของป้าและลุงทำให้พลับพลึงไม่สามารถปฏิเสธได้ เพราะหากเธอปฏิเสธป้าก็อ้างว่าหล่อนกับสามีจะต้องถูกอีกฝ่ายฟ้องจนถึงขั้นล้มละลาย เพราะนอกจากธนดลจะเป็นเจ้าบ่าวแล้วยังเป็นเจ้าหนี้อีกด้วย พลับพลึงจำยอมตกเป็นเจ้าสาวสำรองจนกว่าปิติและพิลาวรรณจะนำเงินมาชดใช้หนี้สินได้หมด และนั่นคือจุดเริ่มต้นของความวุ่นวายของคนสองคน....
Tags: รักหวานซึ้ง

ตอน: พ่ายพรหมลิขิต ตอนที่ 19

19

พลับพลึงเดินเข้าไปในครัวเพื่อหาน้ำร้อนเหตุเพราะรู้สึกปวดตาจนเหมือนลูกตาจะทะลักออกมานอกเบ้า อาจเพราะจ้องคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานเกินไป วันหยุดอย่างนี้จริงๆ แล้วเธอควรจะนอนหรือไม่ก็หาอะไรสนุกๆ ทำ แต่ไม่ใช่ที่นี่เพราะที่นี่คงทำอะไรตามใจตัวเองได้ไม่มากนัก เหตุเพราะเจ้าของบ้านหรือสามีจำเป็นนั้นนั่งอยู่ข้างนอกจึงเปิดคอมพิวเตอร์เช็คงานที่ผ่านมาและตระเตรียมงานสำหรับโปรเจคต่อไปดีกว่า นานติดต่อกันเกือบห้าชั่วโมงที่จ้องหน้าคอมพิวเตอร์พกพาอยู่อย่างไม่วางตาจนเกิดอาการปวดตาอย่างที่เห็น สาวผมสั้นจึงละจากหน้าจอเพื่อหาผ้าชุบน้ำอุ่นมาประคบตา ธนดลซึ่งนั่งอ่านหนังสืออยู่นอกระเบียงเห็นหญิงสาวตั้งแต่เดินโสลเสลออกมาจากห้องแล้ว สงสัยว่าเธอเดินเข้าไปในครัวทำไม เมื่อเธอกลับออกมาพร้อมผ้าขนหนูผืนเล็กประคบอยู่ที่ตาสลับไปมาระหว่างสองข้างแล้วเดินกลับเข้าห้องโดยไม่สนใจสิ่งใด ทั้งๆ ที่เวลานี้น่าจะเป็นเวลาที่หญิงสาวควรจะออกมาถามเขาว่าหิวหรือยัง วันนี้จะทานอะไรดีแต่เธอกลับเดินเข้าห้องด้วยท่าทางไม่ค่อยสบาย เขาวางหนังสือที่อ่านค้างอยู่ลงแล้วเดินไปที่หน้าห้องนอนเคาะประตูแล้วเปิดประตูเข้าไปโดยไม่รอคนข้างในอนุญาต ภาพที่เห็นก็คือหญิงสาวนั่งกึ่งนอนอยู่ที่เก้าอี้หวายตัวยาวโดยมีผ้าชุบน้ำประคบอยู่ที่ตาทั้งสองข้างแถมยังมีเสียงครวญครางพึมพำอ่อยๆ

“เป็นอะไรหรือเปล่า” ธนดลเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงห่วงใย
“คุณดล คุณจะใช้ห้องหรือคะ” พลับพลึงยันตัวจะลุกยืน

“ไม่ต้องลุกหรอก ผมเห็นคุณผิดปกติเลยเข้ามาดูแล้วทำไมต้องประคบตาด้วย”
หากประคบที่หน้าผากยังพอจะเดาได้ว่าเธอเจ็บแผลที่กระแทกเข้ากับผนังจนปูดเป็นลูกมะนาว ผ่านมาหนึ่งวันแล้วไม่น่าจะปวดแล้วนะ

“ปวดตาค่ะ สงสัยจะจ้องคอมฯ นานไปหน่อย”
ธนดลเบือนสายตาไปที่โต๊ะทำงานซึ่งหญิงสาวยึดเป็นที่ทำงานของตัวเองชั่วคราว ก่อนหน้านี้เขาบอกกับเธอเองว่าใช้ได้เลยเพราะเขาคงไม่เข้ามาในห้องนี้บ่อยนัก โน้ตบุ๊คส์ยังคงเปิดค้างไว้ ข้างๆ นั้นมีแบบบ้านขนาดกระดาษเอสามวางอยู่ เขาเดินเข้าดูแบบบ้านสวยทีเดียว บ้านสองชั้นหลังใหญ่โตจนเกือบจะเรียกว่าบ้านไม่ได้หากก่อสร้างแล้วเสร็จคงจะสะดุดตาต่อผู้ที่พบเห็นไม่น้อย

“คุณบ้างานแบบนี้ประจำเลยหรือ”
“ลูกติดพันน่ะค่ะ ฉันไม่ได้บ้างานอะไรหรอก ฉันเป็นแบบนี้บ่อยได้ผ้าชุบน้ำอุ่นมาประคบเดี๋ยวเดียวก็หาย ฉันรู้สึกเกรงใจคุณ งานของคุณยังไม่ถึงไหนเลย”

แบบบ้านที่เคยคุยกันไว้ตั้งแต่เดือนที่แล้วจนป่านนี้ยังไม่เป็นรูปเป็นร่างยิ่งธนดลไม่ถามก็ยิ่งรู้สึกเกรงใจ
“แต่ผมว่าคุณควรจะนอนพักซักหน่อยนะ ดูท่าตาคุณจะล้ามากส่วนเรื่องบ้านของผมไม่ต้องรีบก็ได้”
พลับพลึงเลื่อนผ้าขนหนูออกจากลูกตาเหลือบมองดูคนตัวสูง

“อ้าว...”
ตอนแรกเห็นเร่งยิกๆ ตอนนี้บอกไม่รีบซะแล้ว
“พักเถอะ ไหนคุณบอกว่าวันนี้วันหยุดไง วันหยุดก็ควรจะหยุดทุกอย่าง”
พลับพลึงมองคนตัวโตแล้วกระพริบตาปริบๆ

“ผมไม่ใช่สัตว์ประหลาดนะคุณ เอาเป็นว่าเย็นนี้ผมจะเป็นคนทำอาหารเอง” เขาเสนอเมื่อเห็นสภาพอ่อนแรงของอีกฝ่าย
“คุณนี่นะ” พลับพลึงเสียงสูงอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“ใช่ ก็ผมนี่แหละ รับรองว่าดีกว่าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของคุณ”

พลับพลึงเบ้ปากเมื่อถูกแขวะ ธนดลหัวเราะในลำคอแล้วแขวะต่ออีกนิด
“อ้อ แล้วผมก็รอบคอบพอที่จะอ่านฉลากก่อนนำอาหารออกมาทาน รับรองได้ว่าคุณไม่ท้องเสีย”

พลับพลึงค้อนขวับเอาผ้าขนหนูชุบน้ำปิดตาหันหน้าหนี ธนดลหัวเราะในลำคออย่างพอใจ สังเกตได้ว่าวันนี้เขายิ้มและหัวเราะได้ตลอดเวลาที่อยู่กับสาวผมสั้น
“ถึงเวลาอาหารเย็นผมจะมาปลุก”



แล้วจะทำอะไรดีล่ะ ธนดลเดินเอามือไพล่หลังข้างหนึ่งอีกข้างยกขึ้นเกาคางวนไปเวียนมาอย่างใช้ความคิดอยู่นอกชาน โม้ไว้เสียดิบดีว่าจะทำอาหารที่อร่อยไม่ท้องเสียให้สาวผมสั้นทานแต่พอถึงเวลาต้องทำจริงๆ กลับนึกเมนูไม่ออก เอาเถอะ เดี๋ยวเมนูอาหารก็คงนึกออกตอนนี้หุงข้าวก่อนดีกว่า หลังจากหุงข้าวเสร็จได้เกือบหนึ่งชั่วโมงธนดลจึงไปเคาะประตูห้องนอนเพื่อปลุกคนปวดตให้าลุกมาทานข้าว เคาะอยู่นานก็ไม่มีเสียงตอบรับจึงเปิดประตูเข้าไปก็เห็นคนตัวบางนอนคุ้ดคู้อยู่บนเก้าอี้หวาย เขายิ้มเมื่อเห็นผ้าห่มตกอยู่ที่พื้นแทนที่จะพันเป็นรังอยู่กับตัว สองแขนทิ้งดิ่งลงจนเกือบติดพื้น ใบหน้ากับลำตัวบิดเบี้ยวไปคนละทางดูเหมือนจะหลับสนิทหรืออาจจะเพราะพิษของอาการปวดตาก็ไม่รู้ได้

“คุณ...”
เงียบ...

“พลับพลึง” ธนดลเรียกเสียงแผ่วแต่คนหลับไหลก็ไม่กระดิกตัวแม้สักนิดจนต้องเขย่าที่แขนเบาๆ “คุณ...พลับพลึง”
หญิงสาวขี้เซาเริ่มขยับตัวพร้อมเสียงครางอืออาเหมือนขัดใจ

“ลุกเถอะ ทานข้าวกัน” ธนดลเร่ง
หญิงสาวขี้เซาลืมตาบิดขี้เกียจไปหลายทีให้เห็น พลับพลึงเด้งตัวขึ้นนั่งเมื่อเห็นว่าใครที่โก้งโค้งอยู่เหนือใบหน้า กระพริบตาปริบๆ เพื่อปรับสายตาแล้วลุกพรวดขึ้นยืนแต่ขาเจ้ากำกลับไม่แข็งแรงเหตุเพราะสะดุดผ้าห่มที่ลากยาวถึงพื้นโชคดีที่มือใหญ่คว้าตัวไว้ได้ทัน แถมยังดุเสียงเข้มอีกด้วย

“จะรีบไปไหน ค่อยๆ ลุกก็ได้”
ใบหน้าร้อนผ่าวด้วยมือใหญ่ที่แตะอยู่บนท่อนแขน พลับพลึงขืนแขนออกแล้วนั่งลงที่เดิม
“กี่โมงแล้วคะ”

“หกโมงเย็น”
ตายแล้ว! นี่เธอนอนหลับไปตั้งสองชั่วโมง หญิงสาวขี้เซาเบ้หน้าย่นจมูกแก้เขิน
“ไปทานข้าวเถอะ แล้วนี่ตาเป็นไงบ้าง”

“ดีขึ้นมากแล้วค่ะ”
“คงจะไม่มีไข้หรอกนะ”
“ไม่ค่ะ ก็แค่อาการล้าของตาเท่านั้น ได้นอนเต็มอิ่มแบบนี้หายชัวร์”

ธนดลอมยิ้มเมื่อเห็นรอยยิ้มกว้างปนทะเล้นหน่อยๆ หากไม่ใช่คู่สมรสเขาคงนึกว่าเธอเป็นเด็กอายุซักประมาณสิบเจ็ดสิบแปดปีเพราะมีอะไรหลายๆ อย่างที่ยังเด็กอยู่มาก
“ขอบคุณมากนะคะคุณดล”

ธนดลเลิกคิ้วเมื่อได้ยินอย่างนั้นก่อนจะพยักหน้ารับแล้วเอามือล้วงกระเป๋าเพื่อแก้เขินกับถ้อยคำหวานนั้น
“ถ้าอยากขอบคุณผมจริงๆ ก็ช่วยทำตัวเป็นภรรยาที่ดีในช่วงเวลาหนึ่งปีนี้ก็พอ”

พลับพลึงทำปากขมุบขมิบล้อเลียนทันทีเมื่อเขาหมุนตัวเดินออกไปจากห้อง เขาก็ยังคงขี้เก๊กเหมือนเดิมแล้วเดินตามออกไปนอกห้อง อยากรู้เหมือนกันว่าชายหนุ่มจะทำอะไรทานเห็นคุยนักคุยหนาว่ายังไงก็ไม่ท้องเสียและดีกว่าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่เธอทำให้เขาทานเมื่อวันแรกที่มาถึงที่นี่





กลิ่นหอมฉุยลอยแตะจมูก พลับพลึงสูดกลิ่นหอมๆ ของไข่เจียวจานใหญ่เข้าเต็มจมูก แม้หน้าตาไข่เจียวจะแฟ้บและอมน้ำมันไปบ้างแต่ก็นับว่าฝีมือดีกว่าที่คิดไว้ แม้จะเป็นอาหารง่ายๆ แต่ก็ต้องยอมรับว่าไม่เลวเลยเหลือแค่รสชาติเท่านั้นที่ต้องรอการพิสูจน์ก่อน
“ฉันก็นึกว่าจะพิเศษกว่านี้” พลับพลึงเยาะแบบยิ้มๆ

“ของในตู้เย็นมีแค่นี้”
เขาแก้ตัวปนยิ้มพอใจกับน้ำเสียงหยอกๆ ของหญิงสาว

พลับพลึงเลิกคิ้วอย่างไม่อยากจะเชื่อ แต่เอาเถอะ ไหนๆ เขาก็มีน้ำใจก็อย่าได้ซักไซร้ให้มากความเลย พลอยจะทำให้คนตัวสูงเสียความมั่นใจเสียเปล่าๆ เมื่อคิดได้อย่างนั้นจึงหันไปสนใจกับหม้อหุงข้าวแทน
“ไม่ต้อง เดี๋ยวผมตักเอง”

พลับพลึงจึงนั่งลงที่เดิม นึกทึ่งชายหนุ่มอยู่มากขนาดหุงข้าวเป็นด้วย ทั้งๆ ที่เธอเป็นผู้หญิงแท้ๆ ยังหุงข้าวแฉะเลย
“คุณนี่มีอะไรให้ประหลาดใจมากเหมือนกันนะ” เธอเอ่ยชม

แต่บางสิ่งที่แปลกไปแค่ตักข้าวไม่น่าจะนานนัก แต่ธนดลกลับทำยักๆ เยิดๆ เหมือนไม่อยากจะยกจานข้าวมาวาง
“มีอะไรหรือเปล่าคะ”

พลับพลึงเอ่ยถามก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเมื่อเขาหันมาพร้อมจานข้าวที่วางลงตรงหน้า
“ข้าวแฉะ”

พลับพลึงอุทานทั้งเสียงหัวเราะจนน้ำตาเล็ดก่อนจะรีบหุบปากกลั้นหัวเราะจนหน้าแดงก่ำเมื่อสบเข้ากับใบหน้าบูดขรึมของพ่อครัว

“ฉันขอโทษค่ะ จริงๆ แล้วคุณจะทำข้าวต้มใช่มั้ย แบบนี้ก็ทานง่ายดีนะ ข้าวต้มกับไข่เจียว”
“ไม่ต้องพูดเอาใจผมหรอก”
พลับพลึงหยุดหัวเราะแล้วมองหน้าตรงๆ

“ฉันขอโทษที่หัวเราะอย่างนั้น ฉันนี่เสียมารยาทจริงๆ เลย ทั้งๆ ที่ฉันเองก็อาจจะทำไม่ได้อย่างคุณ เชื่อมั้ยคะว่า ฉันไม่เคยหุงข้าวได้เลย ทุกครั้งถ้าไม่เป็นข้าวต้มก็ไม่สุก นี่คุณยังดีนะแค่แฉะเอง”

สาวผมสั้นช่างพูดจาเอาใจคนอื่น
“ทานเถอะค่ะ ฉันหิวแล้ว”

“คุณทานได้แน่นะ”
“โธ่...คุณดล ฉันไม่ใช่คนเรื่องมากนะคะ อะไรๆ ฉันก็ทานได้ทั้งนั้นแหละ คุณต่างหากที่น่าเป็นห่วง”
ธนดลยิ้มเมื่อได้ยินอย่างนั้น

“ผมทานได้แน่นอน ฝีมือผมเองนี่นะ”
“ถ้างั้นก็ทานเถอะค่ะ เดี๋ยวไว้มีโอกาสฉันจะเลี้ยงอาหารอร่อยๆ คุณเอง”
“ขอที่ไม่หมดอายุด้วยละกัน”

พลับพลึงค้อนเล็กน้อยก่อนตอบ
“แน่นอน รับรองว่าคุณไม่ท้องเสียเป็นครั้งที่สองแน่นอน”

แล้วเธอก็ฉีกยิ้มกว้างพลอยทำให้อาหารค่ำวันนี้ที่มีแค่ไข่เจียวกับข้าวสวยแฉะก็สามารถเป็นอาหารที่วิเศษได้ เผลอแผลบเดียวทั้งข้าวแฉะและไข่เจียวก็หมดจาน พลับพลึงอาสาขอเป็นคนล้างจานเพื่อตอบแทนที่ชายหนุ่มเป็นคนทำอาหารให้ทาน ส่วนธนดลนั้นก็ออกไปนั่งรับลมเย็นๆ รอนอกชาน หลังจากจัดการในครัวเรียบร้อยพลับพลึงก็เดินตามออกไปนอกชาน
“ดูเหมือนว่าวันนี้เราจะไม่ได้อาบน้ำ” พลับพลึงเอ่ยขึ้นอย่างขันๆ

“ก็ไม่ได้ไปไหนนี่ ไว้อาบพรุ่งนี้ก็แล้วกัน อีกอย่าง ก็ต่างคนต่างนอนกลิ่นคงโชยไม่ถึงหรอก หรือว่าคุณจะอาบ ก็ได้นะ ผมจะไปเป็นเพื่อน”

“หูย..ไม่ไหวหรอก ค่ำแล้ว ฉันน่ะไม่มีปัญหาหรอก แต่คุณสิ ไม่นึกว่าจะทนได้”
ธนดลหัวเราะหึ หึ
“ก็แค่คุณไม่พูดให้ใครฟัง”

“โอ้ย ฉันไม่พูดหรอก เพราะคุณเองก็เก็บความลับฉันด้วยนี่”
ทั้งสองปล่อยเสียงหัวเราะออกมาอย่างขบขัน สถาปนิกสาวคนนี้แตกต่างจากผู้หญิงคนอื่นๆ จริงๆ ถ้าเป็นคนอื่นนะคงร้องวี้ดว้ายขอให้เขาพาไปอาบน้ำแล้วเพราะทนกับความเหนียวเหนอะไม่ไหว

“แล้วคืนนี้คุณจะเข้าไปนอนในห้องหรือเปล่า”
“แล้วคุณว่าไงล่ะ” ธนดลย้อนถาม
“ก็แล้วแต่คุณสิ”

“คุณสะดวกใจหรือเปล่า”
“คุณอยากรู้จริงๆ”
ธนดลพยักหน้ารอฟัง

“ก็ไม่สะดวกใจนักหรอก แต่ถ้าคุณจะนอนก็ได้ ฉันเสียสละได้”

ธนดลหัวเราะเบาๆ เพราะนั่นเป็นคำตอบที่เขานึกไว้อยู่แล้ว แต่กลับทำให้เขาพอใจมากกว่าจะได้ยินตอบเป็นอย่างอื่น เช่น 'นอนด้วยกันเหมือนเดิมก็ได้นะ ฉันไม่ถือ' ถ้าเธอตอบแบบนั้นสิเขาคงคิดหนัก
“อย่าเลย วันนี้น้อยคงยังไม่กลับหรอก เดี๋ยวผมนอนห้องรับแขกเอง”

“แน่ใจนะคะ”
ธนดลพยักหน้าใบหน้ายังมีรอยยิ้ม ยิ่งได้ยินเสียงถอนหายใจโล่งอกของอีกฝ่ายเขาก็ยิ่งยิ้มมากขึ้น
“คุณยังกลัวผมอยู่อีกหรือเปล่า”

“เปล่า แต่ก็ไม่ถึงกับสบายใจ ฉันไม่ค่อยชินกับการนอนร่วมห้องกับผู้ชาย”
ขนาดไม่ค่อยชินยังนอนร่วมเตียงหลับเป็นตายทุกคืนมาเดือนกว่า...

“ผมไม่กล้าทำอะไรคุณหรอก เสียดายเงินห้าล้าน”
ธนดลเอ่ยขึ้นมาลอยๆ พลอยทำให้พลับพลึงเลิกคิ้วอยากจะยกกำปั้นทุบไหล่เขา นั่นสินะ ถ้าเขายอมจ่ายก็บ้าแล้ว ไม่วายมีเขางอกออกมาเพราะค่าตัวเธอคิดอย่างไรก็ไม่น่าถึงห้าล้านบาท

“คุณคิดได้อย่างนั้นก็ดีแล้ว” พลับพลึงทำเสียงเยาะพร้อมกับยักไหล่แล้วบิดตัวไปมาสองสามที “ฮ้า...ฉันว่าฉันไปนอนดีกว่า”
“คุณจะนอนหลับหรือเพิ่งตื่นเอง”

นั่นสิ จะนอนหลับหรือ พลับพลึงก็ถามตัวเองเหมือนกัน แต่ถ้าไม่เข้านอนแล้วจะให้ทำอะไรล่ะ จนได้ยินคนตัวสูงเอ่ยขึ้นนั่นถึงได้นึกสนุกขึ้นมา
“อยู่เล่นยี่สิบคำถามกันก่อนสิ”

“จะดีหรือ หรือว่าคุณคิดจะหลอกถามอะไรฉันอีก”
“คุณนี่คิดมากจริง ผมก็แค่อยากทำความรู้จักคุณให้มากขึ้น”

“จำเป็นด้วย เพราะอีกไม่นานเราก็จะเหมือนคนไม่รู้จักกันอยู่แล้วนะ”
“นั่นมันเรื่องของอีกตั้งนาน อย่าลืมสิว่าเมื่อกลับจากฮันนีมูนเรายังต้องอยู่ในสังคมอีกพักใหญ่ การได้เรียนรู้ซึ่งกันและกันบ้างก็น่าจะเป็นผลดีกว่าไม่ใช่หรือ”

พลับพลึงคิดตาม สิ่งที่เขาพูดมานั้นก็ถูก แต่เขาพูดผิดอยู่อย่างนั่นคือเธอต้องอยู่ในสังคมของเขาไม่ใช่สังคมของเรา เพราะคงไม่มีโอกาสหรอกที่เขาจะเข้ามาอยู่ในสังคมติดดินของเธอ
“ก็ได้ แต่แหม...อากาศหนาวเป็นบ้าเลยคุณ”

“อืม...จริงด้วย”
ธนดลมองหาอะไรบางอย่าง เขาลุกขึ้นดินหายเข้าไปในบ้านไม่นานก็ออกมาพร้อมกับไวน์แดงขวดใหญ่
“ที่นี่มีของแบบนี้ด้วย?” พลับพลึงตาโต
“มีสิ แต่ไม่ค่อยได้เปิด แต่วันนี้พิเศษ”
เขายื่นขวดไวน์ให้หญิงสาวดู
“คุณจะมอมฉันหรือไง” พลับพลึงหรี่ตามองแต่ก็ยอมรับมาถือไว้ “ว้าว...ไวน์ดีซะด้วย”

ไวน์ดีหรือไม่ดีดูกันที่ปีและแห่งผลิตรวมถึงยี่ห้อซึ่งขวดที่เธอถืออยู่นี้มีวันเดือนปีที่ผลิตน่าสนใจเพราะค่อนข้างจะหมักนานแถมเมืองที่ผลิตยังเป็นต้นกำเนิดเจ้าแห่งไวน์ยิ่งราคาไม่ต้องพูดถึงซื้อเหล้าแดงที่พวกวิศวกรโครงการชอบดื่มได้เป็นลังๆ
“ไม่หรอก แค่รู้สึกครึ้มอกครึ้มใจคุณจะไม่ดื่มก็ได้ผมไม่ว่าอะไรหรอก”

“เรื่องอะไร ของดีแบบนี้ฉันต้องชิม” เธอลอยหน้าลอยตาแล้วยิ้มเผล่
“อย่าเลย คุณเป็นผู้หญิงนะ”

“อ้าว แล้วคุณเอาออกมาทำไมล่ะถ้าไม่อยากให้ฉันดื่มด้วย อ้อ หรือแค่อยากอวดว่ามีของดีราคาแพง ฉันรู้นะว่าคุณไม่ได้คิดแบบนั้น นี่อย่าแอ๊บน่า ก็คิดซะว่าดื่มฉลองความเข้าใจกันระหว่างเราก็ได้”

ธนดลสะบัดเสียงหัวเราะ ช่างพูดซะจริงสถาปนิกคนนี้ เขาก็แค่พูดเล่นเท่านั้นร่ายมาซะยาวเชียว เท่านี้ก็รู้แล้วว่าอยากดื่มมาก
เสียงเปิดไวน์ดังเปาะพอๆ กับรอยยิ้มหวานฉ่ำของคนรอดื่ม ธนดลยื่นแก้วไวน์สีแดงช้ำส่งให้หญิงสาวด้วยท่าทางสบายๆ ต่างจากอีกฝ่ายที่รับมาด้วยความตื่นเต้น
“ว้าว! กลิ่นห๊อมหอม ลาภปากฉันจิรงๆ”
หากเป็นผู้หญิงคนอื่นยามเมื่อยื่นมือมารับแก้วไวน์จากมือเขาคงต้องโปรยเสน่ห์จากดวงตาจนหวานฉ่ำ คงไม่มีโอกาสได้เห็นท่าทางตื่นเต้นกระดี๊กระด๊าว่าอยากดื่มไวน์ราวกับเป็นน้ำทิพย์ที่หล่นลงมาจากฟากฟ้าอย่างนี้ ธนดลมองหญิงสาวอย่างเพลิดเพลิน
“อย่าดื่มมากนะคุณเดี๋ยวจะเมาก่อนจบยี่สิบคำถาม”

“ไม่มีทางหรอก แล้วจะให้ใครเริ่มก่อนดีล่ะ”
ธนดลแทบจะไม่ต้องคิดก็เอ่ย “เลดี้เฟิร์ส”

“ได้เลย” พลับพลึงเบิ่งตา เธอวางแก้วไวน์ลงเอามือถูกันไปมาราวกับกำลังจะลงสนามประลองฝีมือ “ฉันอยากรู้ว่าคุณเป็นคนยังไง” แล้วหรี่ตารอคำตอบ “ขอความจริงนะคุณ”
ธนดลยกยิ้มเมื่อถูกดักคอ “ก็คนดีคนหนึ่ง”

“ฮะ แค่นี้ ขี้โกง…” พลับพลึงต่อว่า เพราะคำตอบนั้นกว้างสุดจะบรรยาย
“แล้วคุณต้องการคำตอบแบบไหนล่ะ”
“ก็อย่างเช่นว่า นิสัย ใจคอ อารมณ์ อะไรประมาณนี้อ่ะ”

“กี่คำถามแล้วเนี่ย”
พลับพลึงถลึงตามอง

“คำถามเดียวสิ แต่ถ้าคุณไม่ตอบก็ได้นะ ฉันจะได้ไปนอน” เธอยิ้มเพราะแค่ได้ดื่มไวน์ราคาแพงไปแก้วหนึ่งก็คุ้มแล้ว แถมยังไม่ต้องถูกถามอีกต่างหาก
“ถ้าคนไม่รู้จักก็อย่างที่คุณเห็น คุณชอบพูดว่าไงนะ ขี้เก๊ก ส่วนอารมณ์ ผมค่อนข้างเก็บอารมณ์ได้ดี ทีนี้ตาผมบ้างละนะ”
“ได้สิ ฉันก็เป็นคน...”

“เดี๋ยว ผมยังไม่ได้ตั้งคำถามเลย”
พลับพลึงอ้าปากค้างกับคำตอบที่กำลังจะเอ่ย

“อ้าว…ก็นึกว่าคุณอยากรู้เหมือนกับที่ฉันอยากรู้”
“เรื่องนั้นผมพอดูออก”

พลับพลึงรู้สึกวูบๆ ไม่ค่อยสบายใจขึ้นมา รู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องระหว่างที่รอคำถาม
“ทำไมคุณถึงยอมแต่งงานแทนพิมพ์พรรณ”
พลับพลึงถอนหายใจเฮือก ที่จริงคำถามนี้เขาก็น่าจะรู้อยู่แล้วตั้งแต่ต้น แต่เมื่อเอ่ยถามอีกครั้งก็จะตอบให้
“ก็อย่างที่คุณรู้ ถ้าฉันไม่ยอมแต่งลุงกับป้าก็ถูกคุณฟ้องล้มละลาย”

“เหตุผลแค่นี้”
“อือ ฮึ”
“คุณกำลังโกหก ก็ไหนคุณบอกว่าจะไม่โกหกไง”

พลับพลึงหน้าบึ้งกระเง้ากระงอดเมื่อถูกจี้ เอาสิ ในเมื่ออยากรู้นักก็จะบอกความจริงให้รับรู้

“ฉันเป็นเด็กกำพร้า ป้าเลี้ยงฉันมาอย่างลูกในไส้ส่งเสียให้เรียนจนจบปริญญาตรี และฉันคงอกตัญญูมากหากจะปล่อยให้ท่านลำบากตอนแก่ อีกอย่างท่านก็เอ่ยปากขอร้องด้วยตัวเอง ตอนนั้นพิมพ์ก็หายตัวไปแล้วถ้าฉันยังไม่ยอมทำตามที่ท่านขอลุงกับป้าฉันคงตรอมใจซึ่งเป็นสิ่งที่ฉันทนดูไม่ได้ ตอนแรกป้าบอกว่าแค่เข้าพิธีหลอกๆ ซึ่งฉันก็คิดว่าคงไม่เป็นไร แต่เมื่อเอาเข้าจริงกลับตกกระไดพลอยโจน” พลับพลึงหยุด เธอช้อนตามองคนตรงหน้าที่กำลังตั้งใจฟัง “คุณจะเชื่อมั้ยว่าถ้าเป็นผู้ชายคนอื่นฉันก็อาจจะค้านหัวชนฝาแต่ก็แปลกนะ เมื่อเห็นหน้าคุณฉันมีความรู้สึกว่า ผู้ชายคนนี้ไม่ใช่คนใจร้ายฉันคงจะไม่เป็นไร อ้อ...และฉันยังรู้สึกอีกว่าคุณไม่ใช่คนมักง่าย”

“อะไรทำให้คุณถึงคิดแบบนั้น”
“นี่เป็นคำถามที่สองใช่มั้ย” พลับพลึงย้อนแล้วก็ตอบคำถามต่อ “ง่ายนิดเดียว ไม่มีผู้ชายคนไหนที่มีความเพียบพร้อมอยากแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รักและไม่รู้จักหรอก ฉันพูดถูกมั้ยคะ”

ธนดลอมยิ้ม
“แล้วทำไมถึงมีข้อตกลงระหว่างแต่งงาน”

“อ้าว…คุณ ถึงแม้จะเป็นคนที่มีลักษณะไว้ใจได้แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นอย่างนั้นเสมอไป ฉันก็ต้องป้องกันตัวเองไว้ก่อนสิ อีกอย่าง นักธุรกิจอย่างคุณคงไม่กล้าลงทุนด้วยเงินตั้งหลายล้านกับผู้หญิงธรรมดาที่ไม่รู้จักมักจี่หรอก ถ้าคุณทำอย่างนั้นคุณก็...” พลับพลึงรีบหุบปากก่อนที่หลุดคำไม่สุภาพออกไปแต่ยกมือชูนิ้วชี้งอๆ ทั้งสองข้างไว้บนหัว

“คุณกำลังจะบอกว่าผมเป็นเจ้าทุย”

“เปล๊า! ” พลับพลึงปฏิเสธหากแต่หัวเราะก๊าก “คุณใช้ไปสามคำถามแล้วนะ”

ธนดลยิ้มยกไวน์ขึ้นขอชนแก้ว อีกฝ่ายก็ไม่ปฏิเสธเพราะพอดื่นไวน์แล้วก็ทำให้ร่างกายอบอุ่นขึ้น
“ฉันขอถามเรื่องส่วนตัวคุณหน่อยได้มั้ย”
ธนดลยักไหล่

“ที่คุณจ่ายเงินยี่สิบห้าล้านให้ลุงกับป้า แถมด้วยการแต่งงานหลอกๆ นี่ เพราะคุณประชดชีวิตหรือเปล่า”
“ส่วนหนึ่ง”
“แค่ส่วนเดียว?”

พลับพลึงมองชายหนุ่มหวังจะได้รู้อะไรมากกว่านี้
“ก็อาจจะจริงอย่างที่คุณว่า ผมกำลังประชดชีวิต”

ธนดลมองเห็นทางออกกับคำตอบ ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ที่ไม่สามารถตอบตามความจริงได้ทั้งหมด เมื่อมองเห็นคำถามยุ่งยากรำไรจึงตัดบทด้วยการยกแก้วไวน์ขึ้นแล้วเลื่อนไปแตะแก้วของหญิงสาวซึ่งยังตั้งอยู่ตรงหน้า เสียงแก้วชนแก้วใสดังกริ๊ง! กังวานแข่งกับเสียงระงมของสรรพสัตว์อย่างเช่นจิ้งหรีด เรไร แล้วพยักหน้าให้หญิงสาวยกแก้วขึ้นตามคำเชื้อเชิญ
“สำหรับมิตรภาพ”

พลับพลึงค้อนเมื่อถูกบังคับให้ดื่มอย่างนั้น จริงๆ จะบอกว่าเขาบังคับก็ไม่ถูกเพราะเธอก็กำลังติดใจไวน์ราคาแพงลิ่วนี้อยู่ ระหว่างไวน์ราคาแพงกับเหล้าขาวผสมน้ำแดงที่กลุ่มวิศวกรและสถาปนิกอย่างพวกเธอดื่มกินกันบ่อยๆ นั้นมันช่างต่างกันลิบลับ ตอนนี้พลับพลึงเข้าใจแล้วว่าทำไมราคาของเครื่องดื่มถึงได้ต่างกัน นอกจากจะเป็นการแบ่งชั้นวรรณะของผู้ดื่มแล้ว ยังแบ่งตามรสชาติที่หอมหวาน บาดลิ้น ต่างกันอีกด้วย ไวน์แดงราคาแพงขวดนี้ ทั้งหอม ทั้งหวาน ทั้งนุ่ม ชวนให้หลงใหลจริงๆ

ด้วยความเจ้าเล่ห์ในแบบฉบับของพ่อค้าธนดลสามารถนำพาบทสนทนาออกจากเรื่องส่วนตัวไปได้อย่างแนบเนียน จากคนเคร่งขรึมเขาสามารถนำพาเสียงหัวเราะด้วยบทสนทนาแปลกใหม่ติดมุขตลกเล็กๆ ชวนให้เคลิบเคลิ้มไปกับเขาได้ไม่ยาก ยิ่งหัวเราะมากเท่าไหร่ก็ยิ่งชนแก้วกันบ่อยมากขึ้นเท่านั้น พอเริ่มมึนๆ เรื่องโก๊ะๆ ของแต่ละคนก็เริ่มเปิดเผย โดยเฉพาะพลับพลึงดูเหมือนว่าเธอจะปล่อยเรื่องส่วนตัวออกมาอย่างไม่ปิดบัง ทำให้ธนดลพอใจกับการสังสรรค์ครั้งนี้ไม่น้อย สุดท้าย…คำถามที่คิดว่าจะถามอีกฝ่ายก็ถูกกลบไปด้วยเรื่องขบขัน

“ฉันไม่ไหวแล้วล่ะ ฉันว่าเราไปนอนได้แล้วมั้ง”
แก้วแล้วแก้วเล่ายิ่งดื่มก็ยิ่งถูกคอมารู้ตัวอีกทีก็เมื่อรอบๆ ตัวเริ่มหมุนติ้วๆ

“เดี๋ยวสิคุณ ไวน์ยังไม่หมดเลย” ธนดลเอื้อมมือไปรั้งแขนไว้ พลับพลึงปรือตามองไวน์เหลืออีกนิดหน่อยจึงพยักหน้ารับ
“ก็ได้ ถ้างั้นก็...”

เธอยื่นแก้วไวน์ไปหาเพื่อให้เขารินไว้ให้แล้วชนแก้วดังกริ๊งแข่งกับเสียงของหรีดหริ่งเรไรที่กำลังร้องระงม
“หมดแก้วนะคุณ”
ธนดลรับคำท้าด้วยความเต็มใจยอมรับว่าตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยมีความสุขกับการดื่มมากเท่าวันนี้เลย





สองร่างโซเซพยุงกันไปนอน แต่ดูเหมือนชายหนุ่มจะมีอาการหนักกว่าเพราะดวงตาปิดสนิทแทบจะไม่เหลือสติรับรู้ พลับพลึงพึมพำได้ศัพท์บ้างไม่ได้ศัพท์บ้าง เธอพาเธนดลข้าไปนอนในห้องแล้วก็ล้มลงที่เตียง
“เฮ้...คุณขยับไปหน่อยสิ”

แล้วผลักคนที่นอนครางอืออาอยู่ข้างๆ ให้เขยิบแต่ก็ไม่เป็นผลเพราะคนตัวใหญ่ไม่ให้ความร่วมมือแถมยังพลิกตัวมาทางเธออีก แต่นั่นยังไม่ร้ายเท่ากับมือที่ควานสะเปะสะปะชวนขนลุกจนต้องยันออก จิตใต้สำนึกของพลับพลึงผุดขึ้นในหัวทันทีเมื่อเจอกับเหตุการณ์อย่างนี้
ต้องป้องกันตัว!

จะมีวิธีใดดีไปกว่าการสวมกางเกงหลายๆ ชั้น นั่นคือสิ่งแรกที่พลับพลึงคิดได้จึงเดินตุปัดตุเป๋ไปที่ตู้เสื้อผ้า รื้อค้นหากางเกงให้มากที่สุดเท่าที่จะหาได้มาสวมทับซ้อนกันให้มากที่สุดเท่าที่จะสวมใส่ได้ แล้วก็คลานขึ้นไปนอนบนเตียงเคียงคู่กับชายหนุ่มซึ่งหลับไหลไปแล้ว ด้วยความหนาวเหน็บที่เย็นยะเยือกขึ้นทุกทีทำให้สองร่างที่ไร้สติควานหาผ้าห่ม แต่นั่นยังไม่สามารถคลายหนาวได้เท่ากับอ้อมกอดของกันและกัน เสียงครางอืออาค่อยๆ อ่อนแรงลงจนเงียบไปในค่ำคืนนั้น

...ผ้าห่มนวมหนานุ่มหรือจะเท่าอ้อมกอดของมนุษย์สุดสวาท...
ต่างยิ้มแก่ความฝันที่เลือนรางอยู่ในอากาศในนิทรารมย์ที่สุขสม นานเท่าใดแล้วหนอที่ไม่เคยฝันหวานอย่างนี้ ยิ่งทำให้อ้อมกอดของทั้งคู่นั้นแนบแน่นจนแทบจะเป็นร่างเดียวกันโดยไม่สนใจเวลาที่เคลื่อนคล้อยของท้องฟ้าที่มืดดำค่อยๆ มีสีสันจากแสงอาทิตย์แต่งแต้มขึ้นจนเหลืองทอง หากแต่สองร่างยังกอดกันกลมอยู่ใต้ผ้านวมผืนหนาซึ่งห่อหุ้มทั้งคู่ไว้ข้างใน

แสงแดดลอดผ่านมาทางหน้าต่างแยงเข้าเต็มตาคนบนเตียงจนหนังตาขยิบแต่ก็ยังไม่สามารถลืมตาได้ด้วยความหนักอึ้งของฤทธิ์แอลกอฮอล์ ต่างจากมือหนาที่มีประสาทสัมผัสเร็วกว่าเริ่มออกแรงลูบไล้ไปตามเนื้อตัวของหญิงสาว ซึ่งไม่ต่างจากอีกฝ่ายที่เริ่มบิดขี้เกียจแต่เมื่อไม่สามารถบิดตัวได้เต็มที่หนังตาก็ค่อยๆ เปิดมือบางที่ลูบไปตามสิ่งแปลกปลอมในรังผ้าห่มทำให้ต้องรีบลืมตาขึ้นเต็มตา ดวงตาสองคู่ลืมขึ้นสบตากันปิ๊งๆ ก่อนจะเบิกกว้างราวกับเห็นเอเลี่ยนปรากฏอยู่ตรงหน้า
“กรี๊ด!!!!”

“อ้าก!!!....”
สองเสียงกรีดร้องต่อหน้ากันด้วยความตกใจ
“คุณมานอนตรงนี้ได้ไงเนี่ย! แล้วนี่คุณทำอะไรฉัน” พลับพลึงเมื่อตั้งสติได้ก็โวยวายยกใหญ่พยายามขืนตัวออกจากรังผ้าห่มแต่ก็ทำได้ยากเย็นเพราะมันพันตูแน่นยิ่งกว่าข้าวต้มมัด
“อย่าดิ้นสิคุณเดี๋ยวก็ตกเตียงหรอก” ธนดลเค้นเสียงสั่งคนโวยวายเมื่อตั้งสติได้

“คุณนี่ไว้ใจไม่ได้จริงๆ ไหนว่าจะไปนอนห้องรับแขกไง แล้วนี่มานอนบนเตียงเดียวกับฉันทำไม ออกไปสิ”
พลับพลึงยังพยายามผลักดันร่างหนาให้ออกห่างและพยายามหาทางออกจากรังผ้าห่มให้เร็วที่สุดแต่ยิ่งดิ้นร่างกายก็ยิ่งมีโอกาสเสียดสีกับร่างหนามากขึ้น
“อย่าดิ้นสิคุณ”

ธนดลดุเมื่อแรงเสียดสีกำลังทำให้เขาประคองตัวและอารมณ์ได้ยากลำบาก
“คุณนั่นแหละที่ดิ้น”

พลับพลึงเองก็ขึ้นเสียงก่อนใบหน้าที่เพิ่งตื่นจะเกิดอาการร้อนผ่าว ยิ่งเห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของคนร่วมชะตากรรมใต้ผ้าห่มก็ยิ่งร้อนผะผ่าวมากขึ้นจนต้องหยุดดิ้นไปชั่วขณะ
“เชื่อผมหรือยัง”

ธนดลเอ่ยเป็นนัยๆ ทำให้สาวไม่โสดแต่ยังสดเข้าใจ เรื่องแบบนี้ไม่ต้องถึงกับมีประสบการณ์ก็พอจะเข้าใจ ใช่ ร่างกายของเธอกำลังทำให้อะไรบางส่วนของธนดลไม่สามารถบังคับให้อยู่กับร่องกับรอยได้
“คุณนี่ลามกที่สุด แล้วนี่จะทำไง”

พลับพลึงต่อว่าแต่ยังไม่ทันได้คำตอบเธอก็ร้องยี๊กรี๊ดออกมาอีกแล้วเริ่มผลักไสคนตัวโตอีกครั้งเมื่อรู้สึกขนลุกเกรียวด้วยเหตุว่าอะไรที่อยู่ใต้ร่มผ้านั้นดุนดัน
“คุณทำอะไรของคุณเนี่ย ออกไปนะ! โอ๊ะ โอ้ย...”

สองร่างที่ยื้อยุดกันอยู่บนเตียงหล่นตุบลงพื้นหลังกระแทกแต่โชคดีที่เป็นหลังของธนดลเป็นเบาะรองรับพลับพลึงจึงไม่รู้สึกเจ็บอะไรนอกจากด้านหน้าของเธอจะกระแทกกับหน้าอกแกร่งและส่วนที่บังคับไม่ได้ของชายหนุ่มก็โดนตัวเธอเต็มเปา เธอเบิกตากว้างท่าทางไม่ต่างคนเสียสติทุบกำปั้นรัวที่อกของคนใต้ร่างไม่ยั้ง

“โอ้ยคุณ ผมเจ็บนะ คุณทำบ้าอะไรเนี่ย แค่ผมเป็นเบาะรองให้คุณนี่ก็เจ็บพอแล้วนะ”

พลับพลึงหน้าแดงก่ำไม่สามารถบอกถึงสาเหตุได้ว่าทำไมเธอถึงต้องหน้าแดงและต้องรัวกำปั้นทุบอกเขาอย่างนี้ ทำได้เพียงสบถในใจเท่านั้น เพราะแรงตกจากเตียงทำให้ตัวเธอกระแทกเข้ากับอะไรบางอย่างที่แข็งแรงเกินปกติจนเกิดอาการวูบวาบขึ้นทั้งตัว พลับพลึงหันซ้ายแลขวาแล้วพยายามพลิกตัวลงจากร่างหนาเพื่อคลี่ผ้าห่มออกจากตัวให้เร็วที่สุด

“บ้าที่สุดเลย คุณนี่มันคนฉวยโอกาสของแท้”
เธอยังสบถพึมพำต่อว่าต่อขานจนธนดลเองก็โมโหจึงยุดร่างบางไว้ไม่ให้ออกไปจากผ้าห่ม
“ผมยังไม่ได้ทำอะไรคุณเลยนะ”

“ใช่ คุณไม่ได้ทำ แต่ไอ้นั่นของคุณทำ ร้ายกาจมาก!” เธอเถียงอย่างเอาจริงเอาจัง
“นี่คุณ เช้าๆ แบบนี้อะไรมันจะตึงมันจะตื่นผมก็ห้ามมันไม่ได้ เพราะมันเป็นของมันเองมันเป็นธรรมชาติคุณเข้าใจหรือเปล่า แล้วเรื่องที่ผมมานอนม้วนต้วนอยู่ในผ้าห่มผืนเดียวกับคุณนี่ผมก็ไม่รู้เรื่องว่ามาได้ยังไง คุณลืมไปแล้วหรือไงว่าเมื่อคืนนี้เราดื่ม ไม่แน่นะ เมื่อคืนคุณอาจจะเป็นคนพาผมเข้ามาในห้องเองก็ได้”

พลับพลึงอ้าปากค้างแล้วภาพที่เลือนรางของเมื่อคืนก็ค่อยๆ ปรากฏ แทบจะกรี๊ดออกมาดังๆ อีกครั้งเมื่อเป็นอย่างที่เขาพูดมาจริงๆ เธอเป็นคนพาเขาเข้ามานอนในห้องนี้จริงๆ
“ฉันคิดผิดจริงๆ ที่ดื่มไวน์กับคุณ”
เพราะเห็นแก่ของแพงแท้ๆ เล้ย พลับพลึงดุตัวเอง

“แต่ผมก็ไม่ได้ทำอะไรคุณ แค่นี้ก็น่าจะพอใจนะ ส่วนไอ้เรื่องผ้าห่มที่พันเป็นหนอนอยู่เนี่ย ผมเข้าใจว่าไม่ใช่ฝีมือผม”
พลับพลึงแทบอยากจะแทรกแผ่นดินหนี นอกจากใบหน้าจะร้อนผ่าวๆ แล้ว ยังต้องเบ้หน้าเบือนหนีหลับตาปี๋ด้วยความอับอาย แน่ล่ะ นอนดิ้นพันผ้าห่มเข้าหาตัวเป็นนิสัยที่เธอกระทำโดยไม่รู้ตัวบ่อยๆ
“ว่าไง แล้วทีนี้จะต่อว่าอะไรผมอีกมั้ย”

“ไม่ก็ได้ ถ้างั้นคุณก็อยู่นิ่งๆ แล้วกัน ฉันจะได้คลี่ผ้าห่มออก”
ธนดลเบ้ปากพยักหน้านอนหงายรอให้อีกฝ่ายหาทางมุดออกนอกผ้าห่มก่อน เมื่อเธอหลุดออกจากผ้าห่มได้เขาก็แทบจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเมื่อเห็นสภาพของหญิงสาวที่กำลังยืดตัวยืนขึ้น

“คุณไม่ต้องห่วงไปหรอก ปราการคุณแน่นหนาซะขนาดนั้นผมคงไม่มีปัญญาทำอะไรคุณหรอก”
พลับพลึงหน้าเหลอเพราะไม่เข้าใจความหมายออกจะโกรธเสียด้วยซ้ำกับเสียงหัวเราะขบขันนั่น ขนาดถลึงตามองเขายังไม่ยอมหยุดหัวเราะเลย จนต้องก้มลงมองตามสายตาขบขันและอีกครั้งที่อยากแทรกแผ่นดินหนีนี่มันชุดอะไรกันยะยายพลับพลึง เธอถามตัวเองด้วยความอับอายกางเกงทั้งสั้นทั้งยาวนุ่งทับซ้อนกันไม่รู้กี่ชั้นต่อกี่ชั้นแถมที่น่าอายไปกว่านั้นเห็นจะเป็นกางเกงตัวนอกสุดซึ่งเป็นผ้าตัวบางสีชมพูอ่อนซึ่งไม่ควรนำออกมาให้ใครเห็น สภาพตอนนี้น่าเกลียดกว่าซุปเปอร์แมนซะอีก

“คุณคงจะมีไอดอลเป็นซุปเปอร์แมน ผมว่าซุปเปอร์แมนแต่งตัวแย่แล้วคุณยังแย่กว่าอีก ดูสิ สวมเข้าไปได้ยังไงตั้งหลายชั้นไม่รู้สึกอึดอัดบ้างหรือไงครับคุณพลับพลึง”
“นี่คุณ! หยุดหัวเราะนะ”
พลับพลึงออกคำสั่งทั้งใบหน้าแดงก่ำ ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยต้องรู้สึกอับอายขนาดนี้เลย

“ก็เพราะคุณนั่นแหละ ถ้าไม่เพราะคุณฉันคงไม่ต้องทำอะไรบ้าๆ แบบนี้” พลับพลึงค้อนขวับแล้วรีบถอดกางเกงตัวที่ไม่จำเป็นออกอย่างกระฟัดกระเฟียด
“แต่ก็น่ารักดีนะ”
พลับพลึงชะงักมือที่กำลังถอดกางเกงตัวที่สองหันไปมองชายหนุ่ม

“ปกติผมไม่เคยชอบผู้หญิงผมสั้นแต่คุณเป็นคนแรกที่ทำให้ผมเปลี่ยนใจ ไปอาบน้ำกันเถอะ ไม่อย่างนั้นคุณกับผมคงเป็นเนื้อหมักแน่”
ขืนซักแห้งอีกวันคงเข้าขั้นซกมกแล้ว





พลับพลึงซึ่งอยู่ในชุดกระโจมอกนั่งแช่อยู่ในน้ำข้างโขดหินเธอวิดน้ำเล่นด้วยอาการเลื่อนลอย บรรยากาศที่เย็นยะเยือกไม่ได้มีผลต่อคนที่กำลังเหม่อ เสียงน้ำไหลกระทบโขดหินหลายๆ ก้อนก็เช่นกันเหมือนเป็นเพียงเสียงลมที่แผ่วเบาเหมือนธาตุอากาศที่ไม่มีตัวตนจนเสียงทุ้มร้องเรียกเธอถึงได้ดึงสติกลับมา

“คะ ฉันอยู่นี่ค่ะ อย่าเพิ่งมา! ฉันยังไม่ขึ้นจากน้ำ”
แล้วรีบร้องบอกเมื่อเสียงทุ้มนั้นใกล้เข้ามาทุกที พลับพลึงรีบขึ้นจากน้ำผลัดผ้า
“หนาวขนาดนี้ทำไมไม่รีบอาบ เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก”

“เรื่องของฉันน่า”
ธนดลแค่นหัวเราะเรื่องของเธอที่ไหนล่ะ เพราะถ้าหากไม่สบายขึ้นมาก็เดือดร้อนเขานี่แหละที่ต้องดูแล
“ขึ้นบ้านเถอะ ดูสิ ผมเผ้าเปียกชุ่มไปหมด”

เขาส่ายหัวอย่างระอากับคนไม่ดูแลตัวเองหันไปเก็บอุปกรณ์อาบน้ำแล้วเดินนำหน้ากลับบ้านแต่ก็ยังไม่วายพึมพำให้ได้ยิน
“วันนี้น้อยคงจะกลับมาแล้วล่ะ”
“แน่ใจหรือคะ”

“ไม่แน่ใจ”
“อ้าว”
“ก็แค่คาดเดาเพราะหลายวันแล้ว”

พลับพลึงพยักหน้าคิดตาม
“อุ๊ย!” คนตกใจเงยหน้าขึ้นมองคนเดินนำหน้าที่หยุดเดินกะทันหัน “จะหยุดก็บอกกล่าวบ้างสิคะคุณ”
“ขอโทษ ไม่ได้ตั้งใจ”

พลับพลึงค้อนเล็กๆ ไม่ได้ตั้งใจของเขาแต่ทำให้หน้าอกของเธอชนกับแผ่นหลังเขาเต็มๆ พอๆ กับใบหน้าที่ยู่เข้าไปหลังเขาเต็มหน้า
“แล้วคุณหยุดทำไมมิทราบ” พลับพลึงเสียงเขียว
“เงียบๆ!”

พลับพลึงเบิกตากับเสียงเข้มหรี่เล็ก เธอเงยหน้าเหลือบตาขึ้นมองใบหน้าหล่อแล้วมองตามทิศทางของสายตาที่แน่วแน่
“ฮะ!”
เสียงอุทานไม่อาจจะลอดออกมาได้เพราะมือใหญ่ปรี่เข้าปิดปาก แต่พลับพลึงก็รับรู้ด้วยสัญชาตญาณว่าเสียงอุทานนั้นชัดเจนอยู่ในใจเธอเพียงไร ร่างบางแข็งทื่อชาไปทั้งตัวเมื่อรับรู้สาเหตุที่ทำไมชายหนุ่มหยุดเดิน

“ไปเถอะ”
ธนดลเอ่ยขึ้นหลังจากที่เงียบอยู่นาน เขาเลื่อนมือออกจากปากบางแล้วออกตัวเดิน
“รอด้วยสิคุณ”

พลับพลึงรีบจ้ำอ้าวเมื่อตามเขาทันเธอก็คว้าแขนเขาเพื่อหาที่พึ่งพิง ธนดลก้มลงมองแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรกลับเดินยิ้มไปจนถึงบ้าน
“ผมนึกว่าคุณกลัวไม่เป็นซะอีก”

“บ้าหรือคุณ ฉันก็คนนะ แถมเป็นผู้หญิง นั่นงูนะไม่กลัวก็บ้าแล้วอย่าว่าแต่ฉันเลยคุณเองก็กลัวใช่มั้ยล่ะ ไม่งั้นไม่ยืนตัวแข็งทื่อเป็นสากแบบนั้นหรอก”
“ใครว่าผมกลัว”

“ก็ฉันนี่ไง ถ้าไม่กลัวแล้วคุณหยุดเดินทำไมล่ะ” พลับพลึงได้ทีถือโอกาสล้อแถมเยาะด้วยดวงตา
“การนิ่งนี่หมายถึงกลัวอย่างเดียวหรือไง”

“ถ้าไม่กลัวแล้วหมายความว่ายังไงล่ะคะคุณชายนายแบงค์” พลับพลึงใช้น้ำเสียงประชดประชัน
“เขาไม่ได้ทำอะไรเราซะหน่อย คุณคิดดูนะ ระหว่างงูกับคนใครกลัวใครกว่ากัน”
“งูสิ” พลับพลึงตอบอย่างไม่ต้องใช้เวลาคิด

“แต่ผมว่าคนนะ” พลับพลึงเบิ่งตาอย่างต้องการคำอธิบาย ธนดลจึงอธิบายให้ฟังตามสิ่งที่เขาคิด “คนเจองูยังมีโอกาสรอด แต่ถ้างูเจอคนงูตายลูกเดียว”
พลับพลึงย่นคิ้วงง ความคิดผู้ชายคนนี้แปลกๆ แต่เมื่อคิดตามมันก็จริงของเขา งูกัดคนก็เพราะตกใจและป้องกันตัว แต่คนถ้าเจองูต้องฆ่าให้ตายเพราะความกลัวและความสะใจ ใช่ คนน่ากลัวกว่าจริงๆ ด้วย

“แสดงว่าเมื่อกี้นี้คุณตั้งใจอยู่นิ่งๆ เพื่อให้งูหนีไป”
“ก็ไม่เชิงหรอก กลัวด้วยส่วนหนึ่ง”

พลับพลึงย่นจมูกค้อนไม่เห็นจะต้องอธิบายยืดยาวให้เธอเขวไปด้วยเลย หญิงสาวเม้มปากแน่นเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอ
ร้ายนักนะคุณชายนายแบงค์ …





แก้วมุกดา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 9 ธ.ค. 2557, 09:58:37 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 9 ธ.ค. 2557, 09:58:37 น.

จำนวนการเข้าชม : 1431





<< พ่ายพรหมลิขิต ตอนที่ 18   
ling 9 ธ.ค. 2557, 12:26:34 น.
ตอนนี้คุณชายน่ารักจัง


โอชิน 9 ธ.ค. 2557, 13:08:47 น.
น่ารักอะ


แว่นใส 9 ธ.ค. 2557, 21:50:48 น.
ช่าย น่ารักอะ


phakarat 12 ธ.ค. 2557, 21:35:42 น.
ชอบๆๆมาต่อเร็วๆนะคะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account