สาปหฤหรรษ์
แนะนำเรื่องแบบย่อๆ
เสียงเล่าลือกล่าวขานถึงนางอัปลักษณ์ในตำนานผู้แสนเหี้ยมโหดชั่วร้ายเกินใครแต่อำนาจทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับนางเช่นกัน เจ้าชายผู้สูงศักดิ์ต้องยอมมอบกายถวายชีวันแลกความอยู่รอดของแผ่นดินด้วยการเป็นสามีของนาง

หมายเหตุ.- เปลี่ยนชื่อเรื่องจาก 'นางเงา' เป็น 'สาปหฤหรรษ์' นะคะ
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 3

เพิ่งจะเกลาเนื้อหาสำนวนแบบว่าสดๆ ร้อนๆ เลยเจ้าข้า ไปละ รีบไปปั่นต่อ เพราะของเดิมที่เขียนมาโดนโละไปเก็บเอาไว้ แล้วนำมาประกอบชิ้นส่วนใหม่เป็นตอนนี้ ดังนั้นหากท่านพบคำผิด เนื้อหากระโดด หรือมีส่วนใดบกพร่อง คนเขียนต้องขออภัยอย่างมากนะคะ แต่ถ้ามาช้าก็จะไม่ทันใจกันอีก อิอิ

ขอขอบพระคุณทุกๆ คอมเม้นท์ที่เขียนไว้ให้อ้อยได้ชื่นใจด้วยนะคะ ขอบพระคุณมากมายค่ะ

ขอใช้พื้นพี่โปรโมทงานเรื่องล่าสุด "ทิพย์เทวี" จะวางแผงทั่วประเทศแล้วนะคะ ตอนนี้สามารถสั่งจองกับ สนพ. ได้แล้ว ที่ลิงก์นี้เลยจ้า http://www.satapornbooks.co.th/Book/BookDetail.aspx?id=2904

หรือจะสั่งตรงกับผู้เขียนก็ได้นะคะ รายละเอียดตามลิงก์นี้ค่ะ https://www.facebook.com/Suchacriya0/photos/a.167207680131279.1073741828.162040383981342/331133240405388/?type=1&theater





--------------------------------------



ตอนที่ 3



ตอนที่ 3


ค่ายพักที่โภไคยว่าเริ่มเห็นอยู่ไม่ไกล เป็นกลุ่มกระโจมสีขาวตั้งอยู่ภายในรั้วไม้กั้นให้รู้ว่าห้ามเข้าแต่ก็ใช่จะเป็นสิ่งปลูกสร้างแข็งแรงแน่นหนา

ผู้คนในเกวียนต่างร้องไห้ระงม เพียงเท่านี้น้ำตาของบุญรักษาที่เริ่มจะไหลก็หยุดโดยพลัน ไม่มีประโยชน์กับการนั่งร้องไห้คร่ำครวญ แค่เสียงของพวกเพื่อนร่วมชะตากรรมก็ทำเอาหดหู่มากพอแล้ว อย่าเพิ่มเธออีกคนน่าจะดีกว่า สู้เอาเวลามาคิดหาทางรอดว่าจะหนีอย่างไรยังดูมีประโยชน์ แม้ความจริงแทบไม่เห็นทางรอดก็ตาม

แต่ถึงจะไม่รอดก็ยังมีเพื่อนร่วมหลุมสักคนสองคนกระมัง คงไม่เหงานักหรอกเมื่อต้องลงไปอยู่ในก้นหลุมนั่น อย่างดีก็แค่เจ็บๆ จุกๆ สักพักแล้วคงเหมือนหลับไป

บุญรักษาอดสงสัยไม่ได้ พวกเขาสร้างเมืองใหม่กันหรือ เพราะประเพณีประเภทนี้พอรู้มาบ้างจากหนังสือที่เคยอ่าน เช่นประวัติศาสตร์ของพม่าตอนย้ายเมืองจากอมรปุระมาตั้งใหม่ที่มัณฑะเลย์และมีพิธีฝังคนทั้งเป็นใต้เสาหลักเมืองหรือฝังไว้ใต้พระราชบัลลังก์สีหาสนะเพื่อให้เป็นผีเฝ้าเมืองที่เรียกว่า ‘นัต’ แต่ที่นี่จะเข้าข่ายไหนก็ไม่ทราบได้

‘เฮ้อ...จะตายทั้งทีให้ข้อมูลมากกว่านี้หน่อยก็ไม่ได้นะ จะถามก็ไม่มีเสียงอีก’ คิดแล้วก็เกิดอาการอยากปลงตก

เกวียนทั้งสามเล่มจอดอยู่ตรงหน้าประตู คนในขบวนที่เพิ่งมาถึงไม่มีใครเยื้องกรายเข้าไป พวกเขาเปลี่ยนคนขับเกวียนเป็นชายแต่งกายคล้ายพราหมณ์นุ่งผ้าขาวเหมือนในละครพื้นบ้านไม่มีผิด พวกทหารที่เฝ้าขบวนเกวียนตั้งแถวอยู่นอกรั้วอย่างเป็นระเบียบ

เกวียนเคลื่อนผ่านประตูค่ายพักเข้าไป

บุญรักษาเพิ่งสังเกตเห็นว่ากระโจมแต่ละหลังต่างเป็นสีขาวล้วน รูปทรงกระโจมเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า หลังคาทรงหมาแหงน แต่ละหลังใช้ผ้าเป็นวัสดุหลักในการคลุม เนื้อผ้าค่อนข้างหนา ลักษณะของผ้านั้นคล้ายผ้าใบแต่ไม่มีสารเคมีเคลือบ เป็นการนำผ้าหลายผืนมาเย็บต่อกัน จะว่าคล้ายกระโจมของพวกมองโกเลียก็เข้าเค้า แต่เป็นทรงสี่เหลี่ยมไม่ใช่ทรงกลมอย่างที่เคยเห็น

กระทั่งมาถึงจุดหนึ่งของค่าย เกวียนของผู้ชายแยกไปทางหนึ่ง ผู้หญิงแยกมาทางหนึ่ง ไม่นานก็หยุด

“เร่งเถิดพวกเจ้า ท่านราชครูรอนานแล้ว” หญิงร่างใหญ่คนหนึ่งส่งเสียงดัง ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้า หล่อนแต่งกายด้วยผ้าขาวทั้งตัว ลักษณะการแต่งกายคล้ายโขลนของเมืองไทยยุคโบราณ คือมวยผมต่ำไว้ที่ต้นคอเอียงมาทางด้านซ้าย ห่มผ้าแถบปิดหน้าอก นุ่งผ้าถกเขมรหรือมีลักษณะคล้ายโจงกระเบนแต่กะทัดรัดสั้นเหนือเข่า

ผู้ดูแลในส่วนนี้ล้วนเป็นหญิงรูปร่างสูงใหญ่ ดูแข็งแรงกว่าผู้หญิงทั่วไป คนเป็นหัวหน้านั้นยืนสั่งการ

บุญรักษามองตามผู้หญิงในเกวียน พวกหล่อนทยอยลงไป แต่ละคนจะมีหญิงตัวโตนุ่งผ้าขาวประกบซ้ายขวา ตั้งแถวเรียงหนึ่ง ส่วนเธอยังนั่งอยู่ตรงนี้ไม่ได้ขยับไปไหน

“พาแม่หญิงผู้นี้ลงมา” คนเป็นหัวหน้าเอ่ย หันหลัง ยืนรอ

ผู้ดูแลหญิงสองคนเดินเข้ามา หิ้วปีกพาเธอลงจากเกวียนอย่างง่ายดาย

บุญรักษาถูกแยกตัวออกมาอีกทางหนึ่ง เธอมองไปทางผู้หญิงกลุ่มนั้น บางคนกำลังมองเธอเช่นกัน แววตาที่เห็นต่างให้กำลังใจทั้งที่ก่อนนี้ไม่เคยพูดคุย อาจเพราะร่วมชะตากรรมก็เป็นได้ ความเอื้ออาทรจึงมอบให้โดยอัตโนมัติ

“ชำระเนื้อตัว ผลัดผ้าใหม่โดยไว” หัวหน้าผู้ดูแลสั่งการ

บุญรักษาย้ายสายตาตนเองกลับมา หัวหน้าผู้ดูแลเปิดผ้าด้านหน้ากระโจมขึ้นอำนวยความสะดวก เมื่อถูกพาเข้ามาด้านใน พื้นของกระโจมปูด้วยไม้ ตรงกลางกระโจมมีถังไม้ขนาดใหญ่บรรจุน้ำเกือบเต็ม มีกลีบดอกไม้นานาชนิดลอยอยู่ในนั้น

เธอแอบมองหัวหน้าผู้ดูแลหญิง สังหรณ์ใจลึกๆ ว่าน่าจะไม่สวยนักกับสิ่งที่หล่อนมาอยู่ตรงหน้า ผู้ดูแลอีกสองคนยังคงจริงจังกับการหิ้วปีกบุญรักษาเอาไว้ไม่ขยับเขยื้อน ไม่ทันจะได้นึกผวามากกว่านั้น หัวหน้าผู้ดูแลก็ปลดผ้าผ่อนของเธอเร็วไว บุญรักษาร้องห้ามแต่ก็ไม่ได้ผล ขัดขืนก็ไม่มีเรี่ยวแรง

หญิงสาวได้แต่หลับตา ตัวสั่น ในใจตะโกนร้องห้ามอย่างบ้าคลั่ง แต่เมื่อหนีไม่ได้...ห้ามไม่ได้ เธอจึงเลือกจะไม่เห็นเหตุการณ์นี้เสียเอง ตั้งแต่โตเป็นสาวและอายุล่วงเข้ามาป่านนี้ยังไม่เคยแก้ผ้าต่อหน้าใคร ยิ่งมีคนมาอาบน้ำให้ยิ่งไม่เคย ทว่าสภาพถูกหิ้วปีกและไร้แรงต่อต้านช่างยากจะพ้นได้ จึงจำใจกัดฟันไม่รู้ไม่เห็น

ดวงตายังปิดลงเพราะไม่อยากเห็นหน้าพวกหล่อน บุญรักษาไม่อยากจดจำเหตุการณ์ตอนนี้หรือหลังจากนี้ รู้เพียงผ้าผ่อนหลุดออกไปหมดแล้ว และถูกพาตัวลงไป

ที่นี่มีมนตร์แปลกประหลาด แน่ชัดอย่างหนึ่งว่าทำให้พูดไม่ได้ สองคือทำให้ไร้เรี่ยวแรงต่อต้าน ไม่ว่าจะทำให้ตัวอ่อนปวกเปียกหรือแค่ให้เจ้าตัวไม่ขัดขืนโดยยังมีสติดีอยู่ก็ทำได้ทั้งนั้น แต่ตอนนี้เธออยากโวยวายให้ดังลั่นเมื่อถูกขัดสีฉวีวรรณ

ทุกอย่างเกิดขึ้นและจบลงอย่างรวดเร็ว บุญรักษาตัวสั่น ขนลุกขนพองกับฝ่ามือของพวกหล่อนไม่หยุด เธอไม่เคยถูกกระทำแบบนี้มาก่อน การถูกใครก็ไม่รู้มาลูบเนื้อลูบตัวล้วงเข้าไปทุกสัดส่วนประหนึ่งจะให้สะอาดสุดๆ ทำให้อยากจะอาเจียน ผมเผ้าก็ไม่เว้น แม้สภาพไม่ต่างจากลูกหมาที่พวกเขาช่วยอาบน้ำขัดถูให้ก็ตาม แต่ในใจก็ยากจะยอมรับอยู่ดี

บุญรักษาถูกยกขึ้นจากถังน้ำโดยง่ายดายราวกับว่าไม่มีน้ำหนัก ทั้งสามจัดการเช็ดตัวเช็ดผมให้เร็วไว เช็ดผมแปรงผมจนแห้งกันเลยทีเดียว ผมสีดำของเธอถูกปล่อยให้ยาวเคลียสะโพกไม่รวบเก็บเช่นนั้น ถูกจับแต่งตัวไปพร้อมกันโดยให้นุ่งผ้าแบบจีบหน้านาง ใช้เชือกผ้าสีขาวคาดเอวแทนเข็มขัด สไบนั้นเป็นแบบเรียบไม่พับจีบ ทุกอย่างล้วนเป็นสีขาวทั้งหมด

บุญรักษารู้ว่าอย่างน้อยคนเฝ้าหลุมของที่นี่ก็ยังได้รับการดูแลอย่างดี แต่จะดีกว่านี้ถ้าหาอะไรให้เธอกิน ทว่ากลิ่นบางอย่างลอยมา กลิ่นหอมอ่อนๆ แต่กลับชวนให้เข้าใกล้น่าหลงใหลอย่างแปลกประหลาด กลิ่นนั้นหอมอวลลอยวนอยู่ในกระโจมนี้ ซึ่งแน่นอนว่าตอนเข้ามาเหมือนจะไม่มีสักนิด

หญิงสาวพยายามสูดกลิ่น และแน่ชัดว่ามาจากตัวของเธอเอง น่าจะมีตั้งแต่เธอขึ้นมาจากถังไม้อาบน้ำนั่น พลันสายตาก็เหล่มองไปยังถังดังกล่าว คนที่นี้ไม่เสียดายดอกไม้หรืออะไรก็แล้วแต่สำหรับการดูแลสักนิด ดูเนื้อผ้าที่นุ่งอยู่นี่ก็รู้ เพราะเรียบลื่น ทออย่างประณีต ดูมีราคา และคิดว่าคนอื่นก็คงจะเหมือนกัน แตกต่างจากคนเฝ้าหลุมของเมืองในแถบเอเชียอาคเนย์สมัยโบราณตามประวัติศาสตร์ที่เคยรู้มา หวังว่าออกไปแล้วคงจะหาอะไรให้เธอได้กินอิ่มก่อนก็ดีนะ เธอยังไม่อยากทรมานเพราะหิวในช่วงเวลาก่อนตาย

“ไป” หัวหน้าผู้ดูแลเอ่ยเมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว

บุญรักษาสังเกตเห็นรอยยิ้มที่ดูเป็นมิตรมากขึ้นของหัวหน้าผู้ดูแลก็พอทำให้อุ่นใจ คงมีเวลาให้เธอได้หายใจสักครู่หนึ่งกระมัง ทว่าก็รู้สึกถึงบางอย่างที่แปลกๆ โดยเฉพาะแววตาที่มองมายังสร้อยของโภไคยที่ติดอยู่กับคอของเธอ ไม่มีใครแตะหรือถอดออก

เธอถูกหิ้วปีกมายังกระโจมพักหลังใหญ่ที่สุดและอยู่ตรงกลางของค่าย ดูแข็งแรงแน่นหนากว่าทุกหลังในนี้ เมื่อถูกพาเข้าไปจึงเห็นว่าผู้หญิงที่อยู่ในเกวียนต่างยืนพร้อมกัน ทุกคนแต่งตัวเหมือนกับเธอ แต่ละคนจะมีผู้ดูหญิงตัวใหญ่คอยประกบอย่างละสอง มีเธอเท่านั้นที่มีสาม แถมยังถูกหิ้วปีกตลอดทางไม่ยอมให้เดินเองตั้งแต่เกวียนจนมาถึงตรงนี้ และจอคิวเป็นคนสุดท้าย

กลิ่นที่ลอยติดตัวทำให้สงสัย บุญรักษาพยายามสูดดม สังเกตว่าไม่มีใครมีกลิ่นเหมือนเธอเลย แต่ละคนมีกลิ่นแตกต่างกันออกไป ระหว่างที่กำลังกวาดตามองรอบด้านเพราะขยับตัวไม่ได้ ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่สองคนก็เดินออกมา พวกเขามีรูปหน้าคมคาย ร่างกายสูงใหญ่ มีมัดกล้ามพองาม

ทั้งสองไม่ใส่เสื้อ นุ่งผ้าขาวแบบลอยชายซึ่งก็คือจับจีบหน้านางเหมือนกับผ้านุ่งของเธอ แตกต่างตรงพวกเขามีเข็มขัดและปั้นเหน่งคาดทับให้ดูงามสะดุดตา ศีรษะนั้นเกล้ามวยผมดำขลับไว้ตรงกลางกระหม่อม สวมครอบทองคำที่มีลักษณะเหมือนกำไลวงหนาๆ ที่ฐานมวยผม ปักปิ่นเสียบกับที่ครอบเพื่อยึดทรงเอาไว้ ดูงามแปลกตาจริงๆ

เครื่องประดับของพวกเขาล้วนทำจากทองคำและอัญมณีมีราคา คนเดินนำนั้นสวมสังวาลที่เป็นสร้อยเส้นยาวพาดสะพายแล่งบนบ่าซ้ายพาดตกที่เอวด้านขวา สวมกำไลและแหวน ทว่าคนเดินตามนั้นไม่สวมกำไลและแหวนเหมือนคนเดินนำ

คนเดินตามยังคงก้มหน้าเอาไว้ ในมือทั้งสองประคองถาดสีเงินขนาดไม่ใหญ่อย่างระมัดระวัง บนถาดนั้นมีถ้วยใส่ของเหลวบางอย่างวางอยู่

บุญรักษามองว่าทั้งสองกำลังทำอะไรกันแน่ เพราะคนที่เดินนำเอามือจุ่มน้ำในถ้วยและดีดใส่ผู้หญิงแต่ละคนแบบเรียงตัว จนเมื่อถึงเธอ

“ท่านราชครู” คนเดินตามและถือถาดเอ่ยเบาๆ เขาเงยหน้าขึ้นมองคนที่ถูกเรียกนิดหนึ่งและมองเธอก่อนจะก้มหน้าลง

อั้ยยะหยา! คนที่เดินตามและถือถาดคือโภไคยหรอกหรือ

บุญรักษามองชายหนุ่มตาปริบๆ เหลือบมองราชครูอย่างไม่ตั้งใจ

‘เหวย... ราชครูอะไรหล่อเหลาหนุ่มแน่นปานนี้’ คิดแล้วก็ใจเต้นแรง

บุญรักษาแทบไม่อยากเชื่อสายตา คนเป็นราชครูไม่ต้องแก่หงำเหงือกหรอกหรือ นั่นก็เพราะผู้ชายตรงหน้าหล่อเหลามาก ไม่สิ...ต้องเรียกว่างดงามมากต่างหาก สีหน้าท่าทางดูงามสง่า รูปร่างหน้าตาที่เห็นไม่น่าจะอายุเกินยี่สิบสี่ยี่สิบห้าปีด้วยซ้ำ แต่ท่าทางและแววตาของเขาที่มองเธอช่างเหมือนคนที่ผ่านโลกมานานมาก

เดิมทีนั้นเธอก็ว่าโภไคยหน้าตาดีเข้าขั้นดีมากอยู่แล้ว แต่เพราะถูกเขาจับมาเลยยากจะมองเห็นความหล่อเหลาเพราะถูกความเกลียดโกรธกลบมิด แต่เมื่อพูดตามความจริงและลองคิดเปรียบเทียบความหล่อของโภไคยกับท่านราชครู แน่ชัดว่าราชครูคนนี้หล่อเหลาชนิดกินขาดไปเลย

‘อ๊ากซ์’

สาวกนวนิยายอย่างเธอแทบเลือดกำเดาไหล ร่ำร้องในใจเท่านั้น เพราะความจริงคือมองอีกฝ่ายนิ่งๆ ใบหน้านิ่งเฉยของท่านราชครูทำให้ดูน่าเกรงขาม ยิ่งเห็นการแต่งกายที่ส่งเสริมให้ดูงามสง่าทำให้ยิ่งน่ามอง

อดคิดไม่ได้ว่าผู้ชายที่ว่าหล่อแสนหล่อ งามแสนงามในนวนิยายนั้นจะเทียบกับท่านราชครูที่เธอเห็นตอนนี้หรือไม่ เพราะแน่ใจว่าทั้งนายแบบ นักแสดง นักร้องชายคนใดในโลกที่เธอรู้จักแทบจะเทียบไม่ติดกับท่านราชครูคนนี้

เธออยากจะเป็นลมซบอกแน่นๆ ของพวกเขาจัง

‘ไม่! จะตายแล้วก็สำนึกไว้เยอะๆ บ้าง มีศักดิ์ศรีหน่อย’ เสียงหนึ่งในหัวดังขึ้นทันที ขัดจังหวะความคิดอันมีค่าและพาเธอไปพ้นความกลัวซึ่งมีอยู่น้อยนิดอย่างไม่น่าอภัย

‘มีศักดิ์ศรีก็ไม่พ้นที่ตายนะเฟร้ย!’ นึกตอบด้วยอารมณ์แอบแค้นที่ถูกขัด

นั่นก็เพราะหากเป็นภาวะปกติเธอก็คงทำได้แค่ก้มหน้าเท่านั้น ที่ผ่านมาเคยกล้าสู้สายตาของผู้ชายเสียที่ไหน แต่เพราะความตายที่ไม่รู้ว่าใกล้เข้ามามากเพียงไร อีกทั้งมีแนวโน้มว่าอาจไม่พ้นภัยนี้ ย่อมทำให้เธอไม่อยากทิ้งอาหารตาก็เท่านั้น ไหนๆ มีมาให้ดูแล้วก็ขอเก็บไปจินตนาการนิดหนึ่งเถอะ ที่ผ่านมาก็ไม่เคยได้มองใครอยู่แล้ว ขอแค่คิดนิดๆ หน่อยๆ พอให้ได้กระชุ่มกระชวยก็ยังดีกว่าตายทั้งอารมณ์ห่อเหี่ยวนะ

ท่านราชครูหันไปมองโภไคยนิดหนึ่งก่อนจะหันมามองเธอช้าๆ ความสูงของคนตรงหน้าเธอกะไม่ถูก รู้แค่สูงมากจนเทียบได้เพียงไหล่ของอีกฝ่าย จนทำให้เมื่อใดที่ราชครูมอง ก็ประหนึ่งว่าเขากำลังมองด้วยหางตา

‘ไม่เมื่อยคอบ้างหรือนั่น’

‘ก็เรื่องของเขานี่ จะไปยุ่งทำไม’ ถามเองตอบเองเสร็จสรรพ เพราะความจริงเธอก็เป็นแค่หนึ่งในงานของเขาเท่านั้น ไม่จำเป็นจะต้องให้ความสำคัญกับใคร

‘เฮ้อ... หมดกันอารมณ์อยากเป็นนางเอก’ คิดแล้วก็แอบเซ็งและหมดอาลัยตายอยากอีกรอบ

โภไคยยังคงก้มหน้าเช่นเดิม บุญรักษาแอบถอนหายใจ โภไคยไม่พูดสักคำแล้วเธอจะรอดได้หรือ ความตายที่ใกล้เข้ามาทำให้เธอเริ่มสติแตก อาจเป็นเพราะใบหน้าของราชครูดูสงบ ไม่บ่งบอกว่าคิดอะไรก็เป็นได้ จึงทำให้เธอยิ่งกลัว คิดไปต่างๆ นานา

ราชครูหันไปมองผู้หญิงแต่ละคนยืนเรียงเป็นหน้ากระดานตรงนี้ ผู้ดูแลนั้นไปอยู่ด้านหลัง ราชครูนั้นโบกมือออกไปครั้งหนึ่งซึ่งมีความหมายถึงผู้หญิงที่ยืนถัดจากเธอไปจนถึงหัวแถว...

“แยกพวกนางตามกลิ่นกำหนด ประจำไว้ยังหลุมหลักเมืองทั้งแปดทิศ อีกสามนางจำแนกตามกลิ่น...ประจำหลุมใต้ประตูเมืองทิศเหนือ ทิศตะวันออก แลทิศใต้ อย่าได้ผิดเพี้ยน” เสียงของราชครูทุ้มนุ่มน่าฟัง เหมือนเสียงดนตรีที่อ่อนโยนเป็นจังหวะจับใจ แต่สำหรับบุญรักษากลับรู้สึกว่านี่คือเสียงของดาบที่กำลังแหวกอากาศฟาดลงมาถึงคอเพื่อเชือดเธอชัดๆ

หญิงสาวใจเต้นกระหน่ำ ตัวสั่นขึ้นมาทันทีทันใด ความหล่อเหลาของท่านราชครูหายไปในพริบตา เหลือบแลผู้หญิงทั้งสิบเอ็ดคนที่ผู้ดูแลประกบซ้ายขวาอย่างรวดเร็ว หันหน้าไปยังทิศทางหนึ่งด้วยความพร้อมเดรียง หิ้วปีกบรรดาสาวก้นหลุมออกไปทันใด แน่ชัดแล้วว่าไม่มีเสียงร้องไห้โอดครวญ มีแต่สีหน้าหวาดกลัวและน้ำตารินไหลออกมาเงียบๆ ให้บุญรักษาได้เห็นก่อนจะเหลือแค่แผ่นหลัง พวกนั้นคนโดนมนตร์เช่นเธอเข้าให้เสียแล้ว

บุญรักษาเกร็งไปทั้งตัวเลยคราวนี้ กลั้นหายใจเมื่อราชครูขยับเข้ามาใกล้ เขาไม่พูดอะไรนอกจากมองเข้ามาในดวงตาของเธอ

“นี่นะรึ แม่หญิงใบ้ของเจ้า...โภไคย” ท่านราชครูเอ่ยโดยไม่หันไปมอง

โภไคยยังก้มหน้าเช่นนั้น และตอบ “เจ้าข้า ท่านราชครู”

“พวกเจ้าทั้งหมดออกไป” ราชครูสั่ง

ผู้ดูแลทั้งสามออกไปทันที โภไคยยกถาดในมือขึ้นเหนือศีรษะนิดหนึ่ง ไม่เงยหน้า เมื่อราชครูเอามือจุ่มน้ำในถ้วยนั้นเรียบร้อย โภไคก็ถอยหลังออกไป

น้ำเย็นๆ กระเซ็นโดนหน้าบุญรักษา หญิงสาวเบนสายตากลับมา ราชครูคนนี้ขยับเข้ามาใกล้เธออีกนิดหนึ่ง เขายังคงมองด้วยแววตาเครียดเขม็ง แม้ใบหน้านิ่งสงบกลับรับรู้ได้ จนเมื่อเหลือเธอกับเขาสองคนในกระโจมนี้ กริยาระมัดระวังตัวก่อนนั้นหมดไป ราชครูหรุบตามองสร้อยของโภไคยโดยไม่ก้มหน้าลงมา และกิริยาแบบนี้เริ่มทำให้เธอจิตตกมากกว่าเดิม

ราชครูโบกมือผ่านหน้าเธอไปครั้งหนึ่ง บุญรักษาจ้องมองเขา กะพริบตาปริบๆ ก็ยังไม่กล้า เผลอกลั้นหายใจ ไม่อยากให้เขาได้กลิ่นอะไรจากเธอเลย เผลอเอนหลังหนีเมื่อราชครูก้มลง และนั่นทำให้รู้ว่าการโบกมือเมื่อครู่คือยอมให้เธอขยับเนื้อขยับตัวได้แล้ว

เชื่อหรือไม่... ว่าถึงแม้ตอนนี้จะขยับตัวได้แต่เธอกลับก้าวขาไม่ออก เกร็งไปหมด กลั้นหายใจจนไม่รู้ว่ากลั้นหายใจนานหรือยัง หรือหายใจไปกี่ครั้งก็ไม่กล้าจะนับ มองอีกฝ่ายเงียบๆ ไม่กะพริบตา หวังว่าเขาจะไว้ชีวิตและพิจารณาว่าเธอไม่มีลักษณะตรงตามตำราคนเฝ้าเมืองอะไรนั่น เพิ่งสังเกตว่านัยน์ตาของราชครูเป็นสีเทา

เขามองเธอราวกับจะให้ทะลุถึงเนื้อหนังและกระดูกของเธอยิ่งทำให้เกร็ง มองมาด้วยความสงบนิ่งยิ่งไม่กล้าขยับ พริบตาเดียวเขาก็เผยรอยยิ้มร้ายกาจออกมา สะกดสายตาของเธอให้ตะลึงงันกับรอยยิ้มของเขาเพราะทำให้โลกสดใสขึ้นมากมายทั้งที่การยิ้มเช่นนั้นไม่ได้ให้ความรู้สึกปลอดภัยสักนิด

“มนตร์ของตาเฒ่าทับทิมช่างหาญกล้านัก” ราชครูพึมพำ

หญิงสาวเริ่มรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล เธอชอบคนหล่อก็จริงอยู่ แต่พวกหล่อแล้วเหี้ยมแบบนี้ก็ไม่อยากยุ่งเกี่ยวด้วยสักเท่าไหร่ ยิ่งพวกหล่อทว่ามีความน่ากลัวโอบล้อมยิ่งไม่น่าเข้าใกล้ และในขณะที่ไม่คาดคิด คนตรงหน้าขยับเพียงก้าวเดียวก็ถึงตัว ประชิดเธอเลยคราวนี้ บุญรักษาถอยหลังอย่างไม่ตั้งใจ เอนหลบอีกฝ่ายจนเกือบหงายหลัง

เขาจับแขนของเธอเอาไว้

ไฟช๊อต!

บุญรักษารู้สึกอย่างนั้นจริงๆ ตัวสั่นเทาอย่างไม่มีสาเหตุทันทีทันใด ร่างกายเหมือนมีไฟประหลาดแล่นพล่านไปทั่ว หัวใจหยุดเต้นฉับพลัน มือของราชครูนั้นเย็นมากจนทำให้เธอขนลุก ไหนว่าที่นี่ชายหญิงไม่ให้แตะเนื้อต้องตัวกันอย่างไรเล่า ไฉนราชครูนี่มาจับแขนเธอเสียอย่างนั้น ไม่ต้องไปเป็นอนุซ้ำซ้อนหรอกหรือ

ราชครูสะบัดมือทิ้งในทันที ท่าทางเช่นนี้ทำให้ความคิดทั้งหลายของบุญรักษามลายไปในพริบตา ดูเหมือนอีกฝ่ายจะถูกไฟดูดเช่นกัน สีหน้าท่าทางของเขาที่มองเธอมานั้นจะว่าขยะแขยงก็ไม่ใช่ ตกใจเหมือนกับไม่คิดว่าจะเจอก็ไม่เชิง แววตาของเขาดูสับสน มองเธอราวกับไม่อยากจะเชื่อสายตา แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดจึงรู้สึกว่าอีกฝ่ายน่ากลัวมากกว่าเดิม ไม่สมควรเข้าใกล้อย่างยิ่ง

“โภไคย” ราชครูเรียก

พริบตาเดียวโภไคยก็ปรากฏ

“นำสร้อยของเจ้ากลับมา นำแม่หญิงผู้นี้ประจำเสาหลักเมืองกลาง นางต้องลักษณะยิ่งนัก ก่อนเช้าตรู่วันพรุ่งจัดการให้สิ้น กลบดินอย่าให้ผู้ใดรู้เห็นทุกหลุม พิธีฝังเสาจักดำเนินยามเช้าเมื่อแสงตะวันแรกฉายตามกำหนด” พูดจบก็โบกมือผ่านหน้าบุญรักษาหนึ่งครั้ง เดินหลังตรงสง่าผ่าเผยออกไปทันที ราวกับว่าก่อนนี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

‘เวร!’ นึกคำด่าได้แค่นี้จริงๆ

บุญรักษาอยากขยับตัวแต่ก็ทำไม่ได้เสียแล้ว โภไคยเดินเข้ามา เขายิ้มให้เธออย่างเมตตาสงสาร ก้มหน้าลงนิดหนึ่งเหมือนกับจะขอโทษ เขาแตะสร้อยเส้นนั้นเบาๆ ทว่ากลับปล่อยมือตกข้างตัว หันหลังเดินจากไป ไม่มีถ้อยคำใดออกมา ซึ่งแน่ชัดแล้วว่าก้นหลุมหลักเมืองอะไรนั่นจะเป็นที่อยู่ของเธอจริงๆ

เธอยังไม่อยากตาย

- * - * - * - * - * - * - * - * - * - *- * - * - * - * - * -



สุชาคริยา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 ธ.ค. 2557, 23:00:44 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 17 ธ.ค. 2557, 03:35:12 น.

จำนวนการเข้าชม : 1460





<< ตอนที่ 2 (มาเป็นตอนไปก่อนนะคะ)   ตอนที่ 4-5 >>
แว่นใส 16 ธ.ค. 2557, 23:37:56 น.
เอ้า ไหงเป็นงั้นล่ะ


สุชาคริยา 17 ธ.ค. 2557, 00:47:07 น.
@คุณแว่นใส = เดี๋ยวมีเฉลยจ้า


rungdao 17 ธ.ค. 2557, 09:38:13 น.
พระเอกหยู่หนายยย


สุชาคริยา 17 ธ.ค. 2557, 16:19:36 น.
@rungdao = พระเอกอยู่นี่~ (ข้างตัวคนเขียน - พระเอกฝากตอบมาคร้าาา อิอิ)


omelate 17 ธ.ค. 2557, 20:58:52 น.
เวรกำ ลงหลุมแน่ๆๆๆ ฮือๆๆๆ


Zephyr 17 ธ.ค. 2557, 21:38:38 น.
อ่าว กำๆๆๆๆๆ คิดได้แค่นี้
หึยยย หล่อ แต่โหด เค้าก็ขอลาขาดดดดด
ลุ้นจุงๆๆๆๆ


mhengjhy 17 ธ.ค. 2557, 21:39:42 น.
T^T


แล่นแต๊ 17 ธ.ค. 2557, 23:59:52 น.
อ่านแล้วเหมือนได้เข้าไปอยู่ในเหตุการณ์จริง บรรยายได้อารมณ์มากค่ะ


สุชาคริยา 18 ธ.ค. 2557, 17:41:45 น.
@คุณ omelate = งานนี้ลงแน่ๆ ไม่มีขึ้นมาเลยจ้าาาา
@คุณ Zephyr = อิอิ มาลุ้นตอนต่อไปนะคะ อ้อยกำลังเขียนใหม่เลยเพื่อให้รับกับฉากนี้ อีกสองสามวันคงได้มาลงให้อ่านกันแล้วค่ะ
@คุณ mjengjhy = (^.^)
@คุณ แล่นแต๊ = ดีใจที่รู้สึกเหมือนร่วมอยู่ในเหตุการณ์กับบุญรักษาค่าาา จุ๊บๆ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account