พิภพนิรันกาล
เมื่อวาระสุดท้ายของเธอมาถึง
แทนที่ชีวิตเธอจะสิ้นสุดลงด้วยความเจ็บปวดทรมาน
เธอ กลับถูกพลังอำนาจลึกลับดึงร่างสู่มิติอื่น
ณ มิติแห่งความมืดมิดและกาลเวลาที่ไร้ความหมาย
ด้วยคำสัญญาอันเป็นนิรันดร์
สู่เขา... ผู้เฝ้าคอย
แทนที่ชีวิตเธอจะสิ้นสุดลงด้วยความเจ็บปวดทรมาน
เธอ กลับถูกพลังอำนาจลึกลับดึงร่างสู่มิติอื่น
ณ มิติแห่งความมืดมิดและกาลเวลาที่ไร้ความหมาย
ด้วยคำสัญญาอันเป็นนิรันดร์
สู่เขา... ผู้เฝ้าคอย
Tags: โรแมนติก แฟนตาซี
ตอน: คำเตือน
กรุงเทพ...
มหานครแห่งความวุ่นวายและสารพัดมลพิษ
ภาพการทำงานยามบ่ายในออฟฟิสสุดแสนจะน่าเบื่อปรากฏให้เห็นจนชินตา
แต่วันนี้วิลาสินีมีเรื่องให้เซ็งยิ่งกว่า
หญิงสาวเหลือบมองซองสีชมพูที่จ่าหน้าเป็นชื่อตนด้วยความเซ็งจิต
การ์ดแต่งงานของเพื่อนสาวร่วมรุ่นคนสุดท้ายที่เคยปฏิญาณว่าจะอยู่บนคานทองเป็นเพื่อนกัน
แล้วมันก็ใจร้ายทิ้งเธอไปเมื่อเจอฝรั่งสุดหล่อเร้าใจคนนั้น...
ทิ้งให้เธออยู่อย่างหงอยเหงาบนคานทองต่อไป
ที่สำคัญเธอเป็นคนสุท้ายในรุ่นแล้วนะที่ยังหลงเหลือให้เพื่อนถากถางเล่นๆ...
คิดแล้วเครียด
“เป็นไรวะยัยวิทำหน้ายุ่งเชียว”
เนตินี เพื่อนในออฟฟิสเดินถือถ้วยกาแฟหอมกรุ่นสองแก้วมายืนอิงโต๊ะทำงานของเธอด้วยหน้าตาง่วงงุนดูแล้วเหมือนโฆษณากาแฟยี่ห้อหนึ่ง
ก่อนจะยื่นกาแฟหนึ่งแก้วมาวางบนโตีะตรงหน้าเธออย่างมีน้ำใจ
แต่ถ้าเปลี่ยนยัยสาวเตี้ยล่ำดำถึกตรงหน้าเป็นหนุ่มลูกครึ่งหล่อล่ำเหมือนในโฆษณาได้คงน่ามองกว่านี้
เนตินี หรือนี ที่วิลาสินีมักเรียกว่านังชะนีไม่รอฟังคำตอบ
นังดำล่ำเตี้ยถึกและบึกบึนคนนั้นคว้าซองสีชมพูบนโต๊ะมาเปิดอ่านหน้าตาเฉย
"ต๊าย... นึกว่าอะไร เครียดเพราะเพื่อนแต่งงาน
แหมๆอย่าเครียดเลยน่ะชั้นยังอยู่ทั้งคน"
วิลาสินีใจชื้นขึ้นมาหน่อย
แต่ประโยคหลังทำเอาเธอแทบอยากฆ่าคนตรงหน้าทิ้ง
"เมื่อคืน นายมิคที่แผนกโฆษณามาขอชั้นแต่งงานล่ะแก...
ตอบตกลงไปแล้วด้วยเย็นนี้ไปเลือกของชำร่วยเป็นเพื่อนกันหน่อยนะ"
"นังชะนีบ้า... จะไปไหนก็ไปเลยนะนังเพื่อนทรยศ"
วิลาสินีโยนแฟ้มเอกสารเฉียดหัวเพื่อนไปนิดเดียวเพราะมันหลบทัน...
แหมเสียดายอยากเห็นว่าที่เจ้าสาวหัวแตก
"โถ... วิเพื่อนรัก แกก็ออกจะสวยเลิศซะขนาดนี้จะสามสิบอยู่แล้วนะแกหัดทำอะไรให้มันง่ายๆเหมือนชาวบ้านเขาไม่เป็นรึไง ใครชวนไปเดทแกก็ไปด่าเขาว่าเป็นพวกไอ้หื่นซะงั้น"
"อ้าว ก็มันจริงไหมล่ะ
แค่เจอหน้ากันไม่กี่วันก็ชวนไปฟังเพลงในผับตอนดึกๆ
คิดว่าชั้นอายุสิบขวบรึไงถึงไม่รู้ว่าหมอนั่นคิดอะไร
หวังจะแอบมอมยาแล้วพาเขาโรงแรมน่ะสิ
ถ้าไม่เรียกว่าไอ้หื่นแล้วจะให้เรียกว่าอะไร"
"โถแกก็คิดมาก... ไอ้นิสัยห้าว สวย ดุ
ของแกเนี่ยไม่เห็นจะเข้ากับหน้างามๆของแกเลย"
ก็จริงของมัน วิลาสินีเป็นสาวสูงโปร่ง นัยน์ตาคมเข้ม ผิวขาว
ผมยาวสีน้ำตาลอ่อนที่ผ่านการย้อมมาจนจำสีเดิมของมันไม่ได้
แต่ก็นั่นแหละเธอเป็นคนสวยคนหนึ่งที่หนุ่มไทยหนุ่มเทศเห็นแล้วอดเหลียวตามไม่ได้
แต่ด้วยความไม่อยากมีพันธะพูกพันกับใคร
เพราะคิดสะระตะแล้วว่าการอยู่คนเดียวมันสบายกว่าไม่ต้องคอยตามใจใคร
ไม่ต้องคอยห่วงใคร ไม่ต้องคอยคิดถึงใครคิดถึงแต่ตัวเองก็เหลือแหล่
เพราะไอ้ความคิดแบบนี้นั่นแหละเธอจึงอยู่เป็นโสดมาถึงป่านนี้ไง
ตอนที่มาทำงานที่บริษัทนี้แรกๆ
บรรดารุ่นพี่ต่างแวะเวียนมาแจกขนมจีบกันไม่ขาด
แต่แล้วก็ต้องเข็ดขยาดเพราะหญิงสาวมักตอกกลับด้วยฝีปากอันร้ายกาจหาตัวจับยาก
และแล้วหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ก็บอกศาลากันไปเป็นแถว
สุดท้ายแม้แต่ยัยชะนีเนตินีที่มีหน้าตาและรูปร่างอันแสนจะดูไม่ได้ก็ยังประกาศแต่งงานแล้ว
พอรู้ว่าสุดท้ายต้องเหลือตัวคนเดียววิลาสินีก็อดรู้สึกเดือดร้อนขึ้นมาไม่ได้....
แต่ก็ยังฝืนทำปากแข็ง
"ก็...ชั้นไม่ได้เดือดร้อนอะไร แกอย่ามายุ่งกับชั้นไม่ได้รึไงนังชะนี"
"โอเคๆ ไม่ยุ่งแล้ว แต่เมื่อครู่บอสบอกชั้นว่าโบนัสกลางปีออกแล้วนะยะ
ทางบริษัทจะพาแผนกเราไปเที่ยวทะเลล่ะแก..."
"หา เที่ยวทะเลเหรอ ที่ไหน เมื่อไหร่ ฟรีใช่ป่ะ"
วิลาสินีหน้าตาแช่มชื่นขึ้นมาทันที
แหมไปเที่ยวทะเลแบบไม่เสียตังใครจะไม่อยากไป
"ฟรีย่ะ โบนัสไง ก็จะไปหัวหินกันน่ะ แหม...เลิศนะยะ
ช่วงนี้ใครก็ฮิตไปเที่ยวหัวหินกันทั้งนั้น
รถออกเช้าวันเสาร์กลับกลับค่ำวันอาทิตย์น่ะ แต่เอ... แกคงไปไม่ได้
รู้สึกว่าเพื่อนแกแต่งงานคืนวันเสาร์นี้ไม่ใช่เหรอะ"
ก็นั่นแหละที่ทำให้ไม่อยากอยู่ ก็จะอยู่ทำไมให้จิตใจมันหดหู่ล่ะ
"แกลงชื่อชั้นไปได้เลย ชั้นไปด้วย"
..............
กว่าจะฝ่ารถติดมาถึงบ้านได้ก็เกือบสี่ทุ่ม
ภายในบ้านเดี่ยวสองชั้นกลางหมู่บ้านจัดสรรชั้นดีย่านชานเมือง
วิลาสินีแกะข้าวหน้าไก่ในกล่องโฟมกินอย่างเซ็งๆที่โต๊ะอาหารขนาดนั่งได้สิบคน
ใช่... ทั้งบ้านมีเธอคนเดียวเนี่ยแหละแม่บ้านก็ไม่มี
ไม่รู้อยู่เข้าไปได้ยังไง
เธออยู่คนเดียวท่ามกลางผู้คนมากมายในเมืองใหญ่เพื่อหลังพิสูจน์ตนเองว่าอยู่ได้
ในขณะที่บิดามารดาและญาติๆก็อยู่ต่างจังหวัดกันหมด
แม้จะเหงาแต่หญิงสาวก็อดทน
ความเข็มแข็งก้าวร้าว คือเปลือกบางๆที่ห่อหุ้มจิตใจอันอ่อนไหว
ซึ่งไม่มีใครรู้ดีนอกจากตัวเธอเอง
เกือบเที่ยงคืนหญิงสาวนอนหลับไหลบนเตียงนุ่มสบาย
สายลมบางเบา ทว่าหนาวเหน็บจากแอร์คอนดิชั่นพัดผ่านร่างบางอย่างสม่ำเสมอไม่ช้าเธอก็เข้าสู่ภวังแห่งความฝัน
เธอเห็นตนเองยืนอยู่ท่ามกลางหมอกหนาจัดหมอกสีขาวขุ่นหนาจนมองไม่เห็นอะไรก่อนที่สายลมจะพัดพาเอาหมอกหน้านั่นไปหมด
เธอเห็นภาพสิ่งก่อสร้างสึดำล้วนสูงใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า
มันเป็นปราสาทหรือวิหารอะไรซักอย่างที่ใหญ่โตวิจิตรอลังการ
อยู่ท่ามกลางป่าทึบที่มีแต่ต้นไม้ยืนตายซากเป็นสีดำทมึนทั้งป่า
ช่างเป็นป่าที่น่ากลัวยิ่ง
ทว่าภาพปราสาทเบื้องหน้านั้นมันกลับดึงดูดเธอให้มองไม่วางตา
'จงมา... จงมาหาข้า.... ข้ารอเจ้าอยู่'
เสียงบุรุษทุ้มลึกล่องลอยแทรกผ่านมากับสายลม
ก่อนที่หมอกหนาจะกลับมาบดบังทุกสิ่งทุกอย่างไว้อีกครั้ง
"เดี๋ยวสิ นั่นเสียงใคร...คุณอยู่ที่ไหน เรียกชั้นทำไมกัน"
วิลาสินีวิ่งวนอยู่ในสายหมอก มองหาปราสาทแห่งนั้นราวกับเสียดาย
และโหยหาเสียงเรียกอันคุ้นเคยของผู้ที่เธอไม่เคยรู้จัก
............
เช้ามืดวันเสาร์
หญิงสาวแต่งตัวออกมายืนรอรถแท็กซี่หน้าปากซอยตั้งแต่ตีห้า
เพราะรถตู้จะมาจอดรอหน้าบริษัทหกโมงเช้า
อาจเป็นเพราะความอยากเที่ยวจัดจึงทำให้เธอตื่นเร็วได้ขนาดนี้โดยที่ไม่ต้องพึ่งนาฬิกาปลุกเลย
แสงแดดอ่อนๆเริ่มจับขอบฟ้าเป็นสีทอง
บริเวณหน้าปากซอยเริ่มมีผู้คนสัญจรพลุกพล่านเพราะฝั่งตรงข้ามเป็นตลาดสด
เธอเห็นพระสงค์หลายรูปเริ่มออกมาบิณบาตรในบามเช้า
ทั้งที่ไม่ใช่คนฝักใฝ่ธรรมมะ และไม่ค่อยถูกโรคกับวัดซักเท่าไหร่
แต่วันนี้หญิงสาวกลับรู้สึกอยากตักบาตรขึ้นมาเฉยๆ
เธอเหลือบมองนาฬิกาข้อมือ... ยังพอมีเวลา
จึงตัดสินใจข้ามถนนไปซื้ออาหารคาวหวานสำหรับใส่บาตรที่แม่ค้านำมาวางขายก่อนจะเดินไปหยุดหน้าหลวงตาท่านหนึ่งที่กำลังเดินมาทางนี้
"นิมนต์ค่ะท่าน"
เมื่อหลวงตาเปิดบาตรเธอจึงนำอาหารในถุงใส่ลงไปแล้วนั่งคุกเข่าพนมมือรับพร
"อายุ วรรณโณ สุขัง พะลัง"
"สาธุ"
หญิงสาวยกมือไหว้ท่วมหัวก่อนจะลุกขึ้นยืนและเดินจากไป
"เดี๋ยวโยม"
"คะ"
วิลาสินีหันมาตามเสียงเรียกของหลังตาอย่างงงๆหรือเธอทำอะไรผิดขั้นตอนไปรึเปล่าไม่ค่อยได้มาใส่บาตรกับเขาด้วย
"ถ้าจะเดินทางไกล ก็ให้ระวังตัวไว้ให้มาก...
หากสิ่งใดที่จะเกิดกับเราจงถือว่า เป็นเรื่องของบุญทำกรรมแต่งเถิดนะ
จงอย่ายึดมั่นถือมันเลย รู้จักปล่อยวางเสียบ้าง"
ท่านกล่าวเตือนแค่นั้นก่อนจะเดินจากไป
ทิ้งให้วิลาสินีมองตามตาปริบๆ
ใจหนึ่งก็อยากจะถามท่านให้รู้เรื่องว่าหมายความว่าอย่างใรเพราะที่ท่านกล่าวมานั้นราวกับต้องการกล่าวเตือนถึงเรื่องบางอย่างที่สำคัญยิ่ง
แต่อีกใจหนึ่งก็บอกว่าช่างเถอะขืนคุยนานเดี๋ยวได้ตกรถอดเที่ยวทะเลกันพอดี
พอดีว่ามีรถแท็กซี่มาจอดหน้าตลาด
ดังนั้นหญิงสาวจึงรีบวิ่งไปขึ้นรถและด้วยความรีบร้อนในการเดินทาง
ในที่สุดเธอก็ลืมดับสิ่งที่หลวงตารูปนั้นได้กล่าวเตือน
ซึ่งมันเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมากทีเดียว
......................
เม้นให้มั่งนะคะ ดีไม่ดียังไงบอกหน่อย แฮะๆ
ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ...ขอบคุณค่า

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 8 ก.ค. 2554, 22:09:41 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 8 ก.ค. 2554, 22:09:41 น.
จำนวนการเข้าชม : 1529
การเดินทางสู่ (ความตาย) 1 >> |

ปูสีน้ำเงิน 9 ก.ค. 2554, 23:30:09 น.
จะรออ่านตอนต่อไปนะคะ
จะรออ่านตอนต่อไปนะคะ

Pat 10 ก.ค. 2554, 08:03:01 น.
น่าติดตามตอนต่อไป
น่าติดตามตอนต่อไป