สาปหฤหรรษ์
แนะนำเรื่องแบบย่อๆ
เสียงเล่าลือกล่าวขานถึงนางอัปลักษณ์ในตำนานผู้แสนเหี้ยมโหดชั่วร้ายเกินใครแต่อำนาจทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับนางเช่นกัน เจ้าชายผู้สูงศักดิ์ต้องยอมมอบกายถวายชีวันแลกความอยู่รอดของแผ่นดินด้วยการเป็นสามีของนาง

หมายเหตุ.- เปลี่ยนชื่อเรื่องจาก 'นางเงา' เป็น 'สาปหฤหรรษ์' นะคะ
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 8




ตอนที่ 8


ผืนดินแดงโล่งกว้างเต็มไปด้วยเลือด ภูเขาลูกย่อมอยู่เป็นฉากหลัง ฝุ่นสีแดงและเงาทะมึนเมฆหมอกก่อนนั้นค่อยๆ เลือนหาย เหลือสองร่างปรากฏใกล้ตีนเขาที่เห็น หนึ่งในสองมีผ้าสีดำสนิทคลุมมิดชิดไว้ตลอด ร่างนั้นลอยเหนือพื้น อีกร่างหนึ่งที่รู้ว่าเป็นผู้ชายยืนอย่างองอาจ ตัวของเขาโชกไปด้วยเลือด

“ตอบรับคำขอ นครแลคนของท่านจักพ้นภัย ว่าที่สามีของข้า”

เสียงของหญิงชราดังมา เย็นเยือกเข้าไปถึงวิญญาณ บุญรักษาเตือนตัวเองว่าอย่าไปยุ่งเรื่องของคนอื่น ไม่อย่างนั้นจะพลอยซวย ทว่าเท้าเจ้ากรรมกลับไม่เชื่อฟัง ความอยากรู้แย่งพื้นพี่ความกลัวจนหมด ยิ่งเสียงหัวเราะน่ากลัวชวนผวา บ่งบอกเป็นนัยว่าเจ้าของร่างที่คลุมผ้าสีดำนั้นไม่ควรเข้าใกล้อย่างยิ่ง ทว่าเพียงแค่ ‘คิดว่าอยาก’ ความอยากรู้อยากเห็นก็ตอบสนองทันใด

เธอได้ประจันหน้ากับเจ้าของร่างที่ใส่ผ้าคลุมสีดำนั่นตามความอยากรู้แล้วในตอนนี้

มือเหี่ยวย่นของคนที่ยืนฝั่งตรงข้ามยื่นออกมา ทว่าในใจกลับไม่นึกกลัว แม้ความรู้สึกโดยรอบดั่งมีเสียงโหยหวนยิ่งกว่าเสียงภูตนรกผุดพรายฉุดรั้งให้ดำดิ่งลงไป แต่ความปีติยินดีที่บ้านเมืองพ้นภัย ประชาราษฎรไม่ต้องถูกนำไปเป็นทาส ไม่ต้องพรากจากครอบครัว ญาติ...พี่น้อง...ไม่ต้องตาย คนที่รักปลอดภัย เท่านี้ก็เป็นสุขอย่างที่สุด

เลือดเหนอะหนะและกลิ่นคาวนั้นไม่อาจกลั้นรอยยิ้มที่ผุดขึ้นตรงมุมปาก แม้เพียงเล็กน้อยแต่ก็แสดงออกถึงความยินดีอย่างยิ่งที่ได้รับการตอบรับ เต็มใจมากขณะยื่นมือออกไป น้อมรับทุกสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ ในส่วนลึกบอกว่าทหารทั้งหลายได้กลับบ้านกันแล้ว กลับไปอยู่กับลูก เมีย แม่ พ่อ และจะถูกสร้างความทรงจำใหม่ มนตราของนางในตำนานมีอำนาจมากมาย ง่ายนักกับเรื่องเพียงเท่านี้ ส่วนตัวเขา...จะติดตามนางไปดั่งสัญญา ยินดีเป็นทาสรับใช้และทำทุกอย่างตามคำบัญชาที่นางต้องการ

ทันทีที่มือสัมผัสกัน ความเย็นที่เย็นจัดจนหนาวสะท้านแผ่ซ่านเข้ามา เข็มนับล้าน...นับสิบล้านเล่ม ปักทิ่มแทงเข้าเนื้อฝังลึกจนถึงกระดูก เข็มแต่ละเล่มบิดเกลียวให้เจ็บปวดทรมาน บด...จี้...ให้ร่างกายราวกับถูกป่นให้เป็นผุยผง เจ็บสุดแสนทรมานแต่กลับไม่ตาย ยังรับรู้ถึงความเจ็บปวดทุกเสี้ยววินาทีไม่มีหยุดหย่อน ศีรษะปวดหนึบเหมือนจะระเบิด เจ็บและทรมานจนแทบด่าวดิ้นสิ้นใจ ได้แต่กัดฟันไว้แน่นไม่เปล่งเสียง กลั้นแม้ร่างกายเจ็บจนสั่นเทา อีกฝ่ายดึงรั้งให้เข้าหา ทว่านั่นกลับไม่แตกต่างจากการถูกกระชากวิญญาณให้หลุดลอย

เฮือก!

บุญรักษาผุดนั่ง ตัวสั่นระริก กุมหน้าอกจับผ้าคลุมที่ราชให้ไว้จนไว้แน่น มือเกร็ง ใจเต้นตัว...แรง...กระหน่ำเสียจนเหมือนจะทะลุออกจากอกกับภาพและความรู้สึกเมื่อครู่

เธอมองไปรอบด้าน ความมืดอำพรางทุกสิ่ง เธอยังอยู่ในกระท่อมนี้ไม่ได้เดินทางไปไหน ราชบอกว่ามีบางอย่างที่ไม่ปลอดภัย การอยู่ที่นี่ซึ่งราชร่ายมนตร์เอาไว้ และทำไว้ก่อนจะเข้าช่วยเหลือเธอ ซึ่งตอนนั้นกำลังของเขาแข็งแกร่งมากกว่าตอนนี้มากมาย อีกทั้งเป็นป่าระหว่างรอยต่อของสามเมือง จึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับการซ่อนตัว

บุญรักษาเชื่อเขา เพราะถ้าไม่เชื่อราชแล้วจะเชื่อใคร เธอไม่รู้จักอะไรเกี่ยวกับที่นี่เลย ตอนนี้เธอคิดถึงราช เขาออกไปหาข่าวตั้งแต่หัวค่ำ เธอรออยู่นานจนทนไม่ไหว เผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่ทราบได้ทั้งที่ตั้งใจว่าจะรอแท้ๆ จนกระทั่งที่ฝันเมื่อครู่ จึงตกใจตื่น

เธออยากให้เขาอยู่ใกล้ๆ ในความมืดยิ่งทำให้หวาดกลัว บุญรักษาคู้เข่าขึ้น กอดตัวเอง ทบทวนถึงความฝัน เธอเคยเห็นฉากการรบนี้ จำได้ถึงเสียงโหยหวนของแม่ทัพฝ่ายรุกรานที่ดังก้องอย่างเคียดแค้น จำได้ถึงการประจันหน้าระหว่างคนสองคนท่ามกลางผืนดินโล่งกว้าง ซึ่งพื้นนั้นนองไปด้วยเลือดแดงฉาน แต่ที่ผ่านมาก็เป็นแค่ความฝันเพราะมักลืมเลือนเมื่อตื่นลืมตา

เธอรู้เพียงว่ามีภาพเลือนรางแต่ไม่เคยจำได้สักนิด เพิ่งมีวันนี้ที่แจ่มชัด ชัดเจนมากจนความเจ็บปวดเมื่อมือแม่ทัพฝ่ายปกป้องบ้านเมืองได้สัมผัสมือเหี่ยวๆ ของนางในตำนาน เป็นความเจ็บปวดชนิดเดียวกับโรคประจำตัวของเธอ เจ็บอย่างที่ไม่ผิดกันเลยแม้แต่น้อย

บุญรักษาสะดุ้งเมื่อหันไปถึงมุมหนึ่ง

“นางอมรรตัยกำลังเรียกหาแม่หญิง” เสียงที่ได้ยินทำให้ผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก

“ฉันนึกว่าท่านไม่อยู่เสียอีกค่ะ นี่ถ้าท่านไม่พูด ฉันคงวิ่งป่าราบแน่ๆ” ยิ้มให้เขาอย่างโล่งใจ เป่าลมหายใจออกมา “ท่านได้นอนบ้างหรือยังคะ”

“พักผ่อนแล้วดอก ข้าพเจ้ามาถึงเมื่อครู่ก่อน เห็นแม่หญิงหลับสบายจึ่งมิใคร่ขัด จึงนอนพักตรงนี้ ขอบใจแม่หญิงยิ่งนักที่เป็นห่วงเจ้าข้า” ราชว่า

เขาลุกขึ้น แรงสั่นไหวของพื้นกระท่อมทำให้รู้ว่าเดินเข้ามา ผ้าสีดำยากต่อการมองเห็นในความมืด แต่จากความรู้สึกบ่งบอกว่าเขานั่งลงตรงหน้าเธอแล้ว

ราชเอ่ย “นับแต่ฟ้าสางของวันนี้ แม่หญิงจงเร่งฝึกฝน ระหว่างแม่หญิงหลับ ข้าพเจ้าออกไปสำรวจ ทหารฝ่ายพิธีเมืองตักศิลาออกลาดตระเวนยามวิกาล ย่อมผิดปกตินัก ด้วยว่าพิธีฝังเสาหลักเมืองจบสิ้นไปแล้ว หาควรได้ออกเพ่นพ่านเช่นนี้ไม่”

“แล้วพวกนั้นจะมาถึงที่นี่ไหมคะ”

“เป็นตำแหน่งรอยต่อ ยากจักเข้าถึง อีกทั้งข้าพเจ้าร่ายมนตร์ไว้แต่ก่อนช่วยเหลือแม่หญิง เตรียมการไว้แต่เนิ่น จึ่งคุ้มครองได้ กำลังฤทธิ์ขณะนั้นย่อมแข็งแกร่งกว่าบัดนี้ ข้อสำคัญเดียวคือแม่หญิงอย่าได้ห่างจากกระท่อมในรัศมีสิบห้าวา หากแม่หญิงพ้นไป ย่อมเป็นภัยนัก”

“ฉันไม่ไปไหนไกลแน่นอนค่ะ สัญญาว่าไม่ออกนอกเขตด้วยค่ะ” ตอบอย่างกระตือรือร้นเร็วไว เขาพูดเท่านี้เธอก็พอจะรู้ว่าอย่าดื้อ อย่าซน มนตร์ของเขาอาจถูกทำลายเพราะเธอ ก็ในนวนิยายจีนมีให้อ่านเยอะแยะนี่นา เธอจะไปหาเรื่องลองของหาภัยให้ตนเองทำไม

“ดีแล้วเจ้า” ราชชม

บุญรักษายิ้มกว้าง แต่ขอคิดนิดหนึ่ง สิบห้าวานี่เท่าไหร่นะ...

หนึ่งวาเท่ากับสองเมตร สิบห้าวาก็สามสิบเมตร ได้...สามสิบเมตร แต่ก็ยังสงสัยอยู่ดี

“ท่านราชคะ สิบห้าวาของท่านนี่นับรวมทั้งหมด หรือว่านับแค่ซีกใดซึ่งหนึ่งจากกระท่อมคะ”

“สิบห้าวา คืออาณาเขตโดยรอบกระท่อมนี้”

“ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดค่ะ” พูดขึงขังแต่ก็แฝงอารมณ์ขี้เล่นไปด้วย เธอจะนับก้าวเดินสักสามสิบก้าวไม่ให้เกินนี้ ประมาณคร่าวๆ สามสิบก้าวก็น่าจะยังไม่เกินสองในสามของรัศมีที่ว่าแต่ก็มีบางอย่างที่สงสัย “ท่านราชคะ” อ้ำอึ้งเล็กน้อย แต่สุดท้ายความอยากรู้ก็มีแรงผลักมากกว่า “ท่านฟังฉันรู้เรื่องทุกคำเลยเหรอคะ”

เขาตอบมาด้วยอาการเรียบเรื่อย สบายๆ “ข้าพเจ้าฟังรู้ความก็ด้วยมนตรา ภาษาที่แม่หญิงเอ่ย หากว่าเจรจากับผู้คนในดินแดนนี้ ย่อมยากจักหาผู้ใดเข้าใจ ส่วนมนตร์ของข้าพเจ้านั้นจักใช้น้ำคำแลจิตใจของแม่หญิงยามเอ่ยถ้อยเป็นที่ตั้ง ประกอบส่วนกันแปลเป็นถ้อยคำให้รับรู้”

“อ๋อ...เหมือนคุยกันด้วยจิตอย่างนี้หรือเปล่าคะ”

“แต่แม่หญิงก็ยังกล่าวน้ำคำมิใช่ฤๅ เช่นนั้นเล่าข้าพเจ้าจึ่งรู้ได้” เหมือนราชจะยิ้มให้ แต่นั่นก็แค่ความรู้สึก เพราะน้ำเสียงของเขานั้นทุ้มนุ่มแต่ก็ให้ความรู้สึกเข้มขรึม ฟังแล้วจิตใจสงบและอบอุ่นเช่นเดิมไม่เปลี่ยน

บุญรักษาพยักหน้าเข้าใจ “ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่า หากไม่ใช่ท่านราช คนอื่นก็ฟังฉันไม่เข้าใจอยู่ดี แบบนี้ถูกต้องไหมคะ”

“จักว่าจริงแท้แล้ว...ผู้ทรงฤทธิ์ ย่อมสื่อสารกับแม่หญิงได้โดยมิต้องใช้ภาษา กล่าวเช่นนี้จึงถูกต้องกว่าดอก”

เป็นอันว่าเข้าใจ สรุปคือถ้าพูดภาษาไทยกับพวกเขา ไม่มีใครคุยกับเธอรู้เรื่องแน่ แต่ถ้ามีคนที่เก่งๆ เหมือนท่านราช ก็คุยแบบโทรจิตได้ หรือเธอพูด...เขาก็สามารถแปลได้โดยใช้น้ำเสียง ถ้อยคำ ความรู้สึก ประกอบกันขึ้นมาเป็นภาษาของเขา

ดีจังกับเครื่องแปลแบบนี้

บุญรักษายิ้มให้แม้รู้ดีว่าอีกฝ่ายมองไม่เห็น ที่นี่มืดมาก มืดราวกับว่าไม่มีดวงจันทร์เลย หรืออาจเป็นเพราะอยู่กลางป่าก็ได้ จึงทำให้มืดมากกว่าที่ควรเป็น และถึงแม้ไม่ได้เห็นหน้ากัน ก็ให้ความรู้สึกแปลกไปอีกแบบ แต่ก็ยังมีอีกอย่างหนึ่งที่สงสัย

“ท่านราชคะ”

“ว่ากระไรรึเจ้า”

“เมื่อกี้ท่านว่า...นางอมรรตัยกำลังเรียกหาฉัน”

“ถูกต้อง”

“ท่านเห็นว่าฉันฝันอะไรด้วยหรือเปล่าคะ”

“มิได้เป็นเช่นนั้น แต่จากสัมผัสของแม่หญิงที่แผ่มาถึง แลฤทธิ์บางอย่างที่ร้องเรียก” ราชพูดเท่านั้นก็ลุกขึ้น เดินไปเปิดประตูกระท่อม “แม่หญิงมานี่เถิด”

บุญรักษาลุกขึ้น กระชับหมวกให้ครอบศีรษะมิดชิดเร็วไว เดินไปหยุดอยู่ข้างๆ ราช เธอเตี้ยในระดับหัวไหล่ของอีกฝ่ายเท่านั้น

“นั่น” ราชเอ่ย

บุญรักษามองตามมือของชายหนุ่มที่ชี้และโบกผ่านเบาๆ

มือของเขาสวยจริงๆ ตรงนี้หรือนอกกระท่อมพอมีแสงพอให้เห็น แต่ผิวของราชขาวจนเหมือนจะเรืองแสงได้ รัศมีอ่อนๆ ขาวนวลลออยิ่งทำให้ยากจะถอนสายตา แม้ว่าตอนนี้เขาจะเก็บมือไว้ใต้ผ้าคลุม แต่เธอก็ยังมองมือเขาไม่มองไปทางอื่นอยู่ดี

“แม่หญิง”

“ห...หือ... คะ” เผลอจ้องมือราชนานไปหน่อย แฮ่ๆ

ราชก้มหน้ามองเธอ หมวกนั้นยังปิดใบหน้าส่วนบนของเขาเอาไว้ และเมื่อเขาหันหน้าออกไป บุญรักษาจึงเห็นบางอย่างบนท้องฟ้า ขอบใสๆ เลื่อมพรายที่บ่งบอกว่าเป็นอะไร

“นี่คือกำแพงมนตร์ เมื่อใดมีผู้ฝ่าฝืน ข้าพเจ้าย่อมรับรู้ ด้วยว่าเป็นผู้สร้าง”

“ค่ะ” พยักหน้าเข้าใจ

บุญรักษารู้สึกเหมือนว่าตนเองกำลังอยู่ในลูกแก้วกลมใสขนาดใหญ่ราวสามสิบเมตรโอบล้อมรอบ โดยมีกระท่อมเป็นจุดศูนย์กลาง เพราะวิถีโค้งที่ได้สมมาตรและเหมือนจะทะลุเข้าไปถึงพื้นดินก็คงไม่ผิดไปจากที่เห็นและจากที่คิดเท่าไรนัก

“แม่หญิงมีเพลามิได้มากนัก แม้ว่ากำแพงมนตร์ร่ายเพื่อปกป้อง ผู้ใดยากจักมองเห็น ฤๅค้นพบว่ามีสิ่งใดอยู่ตรงนี้ แต่ก็ใช่ว่าจักวางใจ เมื่อมีผู้ทรงฤทธิ์ฝ่ายหนึ่ง อีกฝ่ายหนึ่งก็ย่อมมีเช่นกัน” ราชก็โบกมือเล็กน้อย กำแพงใสที่ครอบอยู่ก็หายวับไปทันที

แต่เชื่อไหม...สายตาของบุญรักษาดันมองแต่มือของราชเสียอย่างนั้น

‘อ๊ากซ์’ ให้ท่านราชใช้มือนั่นขยุ้มคอเธอเถอะ ทำไมมือถึงได้สวย นิ้วถึงได้เรียว ผิวถึงได้สว่างขนาดนั้นกันนะ เขาทำให้เธอละลาย สมาธิแทบไม่หลงเหลือ

โอย... เพิ่งรู้ตัวว่าแพ้ผู้ชายมือสวยจัดนี่เอง

มิน่าล่ะ... ที่ไม่เคยมีแฟนเพราะไม่เจอผู้ชายมือสวยสินะ

คนช่างจินตนาการคิดแล้วก็เขิน ก้มหน้าเดินเข้าไปในกระท่อม นั่งที่เดิมเงียบๆ

นั่นก็เพราะถึงเธอจะชอบมือของราช แต่ก็กลัวว่าราชจะรู้ว่าเธอคิดอะไร แม้ว่าผ้าคลุมผืนนี้จะช่วยป้องกันไม่ให้ใครรู้ความคิดของเธอได้อย่างที่เขาบอก แต่บางทีเธอก็ละอาย

เฮ้อ... เป็นช่วงเวลาแห่งความอ่อนไหวสินะ

เธอสงสารท่านราชจริงๆ ที่ต้องมาช่วยคนอย่างเธอ แม้ส่วนลึกนั้นก็ไม่ได้อยากทำให้อีกฝ่ายลำบากใจ แต่ใจคน...ความคิดคน...ก็เร็วจนตามไม่ทันจริงๆ

เธอมองราชที่กำลังปิดประตู เขาเดินเข้ามา นั่งอยู่ข้างๆ พิงผนังไม้ไผ่ที่เป็นฝาขัดแตะ

“ล่วงเลยมาถึงเพลานี้ ข้าพเจ้ายังมิได้ทราบนามแม่หญิง”

เธอลืมไปเสียสนิท “ฉันชื่อบุญรักษาค่ะ จริงๆ แล้วเรียกแค่รักก็ได้” หันไปพูดกับเขาด้วยรอยยิ้มสดใส

“นามนี้ประเสริฐนักแล”

“ขอบคุณค่ะ” ตอบไปในใจก็อบอุ่นไม่น้อย

ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่าว่าราชกำลังยิ้มให้มาเช่นกัน เป็นรอยยิ้มที่ไม่ได้มีมากมาย แต่ก็เป็นรอยยิ้มที่อบอุ่น

อันที่จริงเธอจัดเป็นประเภทแฟนคลับที่ดีนะ ขอเป็นแฟนคลับท่านราชก็ได้ เพราะนอกจากท่านราชสมควรแก่การยกย่อง เชิดชูบูชา ทั้งเสียง ทั้งกิริยาท่าทาง ทั้งการกระทำ เพียงที่เห็นและรับรู้ก็สมควรให้เธอเป็นสาวกของเขาจริงๆ

‘แค่มือสวย จะถวายตัวเป็นสาวกเลยเรอะ’

แหม... ความคิดนี้น่าตีจัง คนเขาเขินนะจ๊ะ

เธอก็รู้อยู่หรอกว่าอะไรเป็นอะไร และรู้ดีว่าที่ผ่านมาก็แค่จินตนาการ แต่บางครั้งแค่ความคิดที่มีความสุขเล็กๆ น้อยๆ คงไม่เป็นไรกระมัง อีกทั้งการเป็นแฟนคลับท่านราชใช่จะเสียหายตรงไหน ดีด้วยซ้ำที่มีคนน่ารักอย่างเธอคอยเชื่อฟัง ไม่ทำอะไรเอาแต่ใจ เพราะอย่างไรก็ต้องคิดถึงใจท่านราชเป็นหลัก

เฮ้อ...

แต่ก็นะ เธอรู้ว่าชีวิตนี้อย่างไรก็ต้องเป็นไปตามหลักพื้นฐานความจริง เป็นไปตามเหตุและผล แต่เวลาอ่านนวนิยายเรื่องไหนจบแล้วถูกใจมากๆ ก็เกิดอารมณ์เพ้อแบบนี้ทุกทีนี่นา ยิ่งเจอท่านราชแล้วไม่เพ้อสิจะแปลก แต่ถึงจะเพ้อก็ไม่ได้ไปหักคอใครมาจิ้มน้ำพริกหรือเก็บไว้กินเองจริงๆ เสียหน่อย เพราะฉะนั้นอนุญาตให้จินตนาการได้และอนุญาตให้เป็นแฟนคลับท่านราชอย่างเป็นทางการ

ฮู้เร่! น่าดีใจจริงๆ

“แม่หญิงหนาวรึไม่เจ้าข้า” น้ำเสียงของเขาโอบอ้อมอารีไม่น้อย

บุญรักษาส่ายหน้าที่ยังยิ้มกริ่มนิดๆ นั้น นั่นก็เพราะเขาไม่รู้นี่ว่าเธอกำลังยิ้มหรือคิดอะไรนี่นา ยิ้มหวานๆ ให้เขาอย่างสุขใจ หรือจะตอบด้วยเสียงที่สดชื่นแจ่มใสกว่าที่เป็นสักนิดก็ไม่แปลกหรอกเนอะ “ผ้าคลุมผืนนี้... กันร้อนกันหนาวได้ดีมากๆ เลยค่ะ”

ราชหัวเราะออกมาเล็กน้อย

- * - * - * - * - * - * - * - * - * - *- * - * - * - * - * -



สุชาคริยา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 8 ม.ค. 2558, 15:49:12 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 8 ม.ค. 2558, 15:49:12 น.

จำนวนการเข้าชม : 1591





<< ตอนที่ 7   ตอนที่ 9-10 >>
แว่นใส 8 ม.ค. 2558, 20:09:04 น.
น่ารักเชียว


ใบบัวน่ารัก 8 ม.ค. 2558, 20:38:29 น.
เพลาอย่างนี้ นางยังเพ้อ ได้ขนาดนี้
ไม่เก็บกริยา มารยา ญ ที่มีเลยนะ
อย่าไปดักตีหัว ท่านราชแล้วลากเข้ากระท่อมนะ
สงสารราชบ้าง มาเจอ แม่ญ หื่นๆๆอย่างแม่นางรัก


เดือนมีนา 10 ม.ค. 2558, 05:14:55 น.
มาปูเสื่อรอ กำลังสนุกเชียวค่ะ


Zephyr 10 ม.ค. 2558, 19:29:46 น.
กันความหื่นด้วยค่ะ อิอิ
เหม่ นางลวนลามท่าราชตลอดๆๆๆ


สุชาคริยา 28 ม.ค. 2558, 21:22:35 น.
@คุณแว่นใส = คนเขียนชิมิค้าาาา อิอิ
@คุณใบบัวน่ารัก = 555555 นั่นสิคะ
@คุณอมีนรา = ขอบพระคุณมากๆ ค่ะ ดีใจมากๆ ที่ติดตามผลงานเรื่องนี้ของอ้อยนะคะ
@คุณ Zephyr = 55555 นางบอกขอนีสสสสหนึ่งจ้าาา


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account