สาปหฤหรรษ์
แนะนำเรื่องแบบย่อๆ
เสียงเล่าลือกล่าวขานถึงนางอัปลักษณ์ในตำนานผู้แสนเหี้ยมโหดชั่วร้ายเกินใครแต่อำนาจทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับนางเช่นกัน เจ้าชายผู้สูงศักดิ์ต้องยอมมอบกายถวายชีวันแลกความอยู่รอดของแผ่นดินด้วยการเป็นสามีของนาง

หมายเหตุ.- เปลี่ยนชื่อเรื่องจาก 'นางเงา' เป็น 'สาปหฤหรรษ์' นะคะ
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 9-10




ตอนที่ 9

บุญรักษานั่งยองๆ อยู่ในป่าห่างจากกระท่อมไม่ไกลนัก ห้าวันมาแล้วที่เธอใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ ไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่าวันหนึ่งต้องเข้าสู่วิถีคนโบราณ ไม้ปลายแหลมถูกเธอใช้เกลี่ยพื้นดิน กลบฝังสิ่งปฏิกูลในหลุมให้เรียบร้อยเร็วไว น้ำที่ตักมาและอยู่ใกล้ตัวรีบนำมาล้างทำความสะอาดทันที ลมเย็นๆ พัดมาให้รู้สึกแปลกทุกครั้งที่ออกมาทำธุระเช่นนี้ แต่ก็เลือกไม่ได้

ราชเป็นคนจัดหาน้ำกินน้ำใช้มาให้ เขาบอกว่ามีลำธารสายหนึ่งไม่ไกลนัก เขาเป็นคนตักน้ำมาไว้ให้เธอใช้ ก่อนนั้นไม่รู้ว่าไปหาตอไม้ด้านในกลวงโบ๋มาจากไหน เหมือนครกโบราณก็เข้าเค้าแต่ลึกกว่า คล้ายโอ่งไม้ทรงกระบอก แต่ก็เป็นธรรมชาติ เธอเห็นอีกทีเขาก็แบกมาวางไว้หน้ากระท่อม กระบวยตักก็เหมือนจะมาจากกะลามะพร้าว

ส่วนน้ำกินเห็นว่าตัดเอาจากต้นกล้วยและไผ่ชนิดหนึ่งซึ่งเธอไม่รู้จัก จึงทำให้เกรงใจเขาพอสมควร เวลาใช้น้ำจึงประหยัดมากที่สุด

ราชบอกว่าเธอถอดผ้าคลุมออกได้ตอนอาบน้ำ แต่ต้องอาบให้เร็วเพื่อจะใส่กลับไป จึงเหมือนถูกฝึกให้ทำอะไรรวดเร็วที่สุดและต้องดีที่สุดเช่นกันไม่อย่างนั้นก็เสียวไส้ว่าใครอาจตามตัวเจอ และเมื่อไรที่เธอต้องทำธุระส่วนตัว ราชก็จะออกไปที่อื่น ส่วนอาบน้ำก็อาบตรงหน้ากระท่อมนี่แหละ

อาหารที่กินคือผลไม้ตั้งแต่เย็นวันแรกที่มาถึง กล้วยน้ำว้าคือของกินหาง่ายและเป็นอาหารหลัก นับคูณจำนวนมื้อก็น่าจะสิบสามมื้อติดต่อกันแล้ว เธอกินหมดไปหลายเครือ ใกล้จะเป็นลิงเข้าไปทุกที แต่ทั้งสามเมืองโดยรอบมีความเคลื่อนไหวอย่างแปลกประหลาดโดยเฉพาะทหารของทางการ ราชเองกำลังฤทธิ์ก็ยังไม่ฟื้นเต็มที่ หากเดินทางก็เสี่ยงภัยเป็นที่สุด จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมจึงอยู่ที่นี่ ไม่ได้เดินทางในวันรุ่งขึ้นตามแผนเดิม

ห้าวันเหมือนจะนานแต่ก็ไม่นาน แต่ข้างนอกไม่ปลอดภัย การกบดานอยู่นิ่งๆ ย่อมดีกว่า ให้พวกนั้นเพลาเรื่องการเคลื่อนไหวและพอให้ราชได้ฤทธิ์กลับมาระดับหนึ่งจึงค่อยว่ากัน และเป็นสาเหตุว่าทำไมเจอกล้วยเป็นอาหารหลักหลายมื้อติด

บุญรักษาคิดว่าเป็นเรื่องดีไปอีกแบบ เธอเหมือนจะผอมลง คาดว่าคงหุ่นดีกว่าเดิมทีเดียว ไม่ผอมคราวนี้แล้วจะไปผอมคราวไหนได้นะ นับว่าเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด ถือว่าลดน้ำหนักไปในตัว ขอเพียงท่านราชปลอดภัย กินของในป่านี้ทั้งปีเธอก็ไม่มีปัญหา เวลานอนไม่มีอะไรปูรองเธอก็ยังนอนได้ ซึ่งทั้งหมดที่ว่าก็ดีแล้วสำหรับชีวิตนี้ที่ยังอยู่รอด และถ้าหากมีใบประกาศนียบัตรรับรองว่าเธอผ่านการฝึกอบรมความอดทนอันเป็นเลิศ แน่ใจว่าเธอต้องได้คะแนนเป็นอันดับต้นๆ เชียวล่ะ

คิดแล้วก็ยิ้มออกมานิดๆ คนเดียว ตอนบ่ายเหมือนแดดแรงแต่ไม่ร้อนอบอ้าว เธอมองขึ้นไปบนท้องฟ้า ดูไม่แตกต่างกับโลกที่จากมาเลยสักนิด อาจต่างตรงที่นี่มีอุณหภูมิเย็นสบายกว่า ไม่ร้อนจัด

เส้นทางเดินกลับนั้นคุ้นเคย ใช่ว่าไกลเสียที่ไหนกัน แน่นอนว่าเธอไม่ไปไหนเกินสิบห้าก้าวเพราะกลัวออกนอกกำแพงมนตร์ เดินไปเรื่อยๆ อย่างสบายใจ หญิงสาวเข้าไปในกระท่อม

ราชยังไม่กลับมา เขาบอกว่าจะไปขอแลกผ้านุ่งให้ และจะออกเดินทางทันทีเมื่อกลับมาถึง

เธอได้แต่รอเขา นั่งกับพื้นกระท่อม อยู่ในนี้คนเดียวก็พยายามทบทวนบทฝึกไป แต่เหมือนจะทำได้ไม่ดีเท่าไรนัก เพราะแทบไม่มีความเปลี่ยนแปลงแม้แต่นิด

เธอจำคาถาได้ ท่องได้ แต่กลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ราชบอกว่าคนที่นี่มักฝึกร่ายมนตร์คาถาและฝึกจิตกันตั้งแต่เด็กๆ สมาธินั้นเป็นบ่อเกิดทุกสิ่ง ดังนั้นหากเธอไม่ก้าวหน้า ก็อย่าต่อว่าตนเอง ให้อดทนและหมั่นเพียรฝึกต่อไป

นั่นก็เพราะคนส่วนมากหรือคนทั่วไปของที่นี่ก็เป็นคนธรรมดา มีระดับที่สูงขึ้นมาหน่อยก็ประมาณหัวหน้าหมู่บ้าน แต่ก็เป็นพวกร่ายมนตร์ใช้ฤทธิ์ได้เล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น ส่วนผู้ใช้เวทมนตร์และมีฤทธิ์ระดับแก่กล้าอย่างราชใช่มีมาก จะว่านับหัวก็คงได้ อีกทั้งที่มีอยู่เป็นไปตามสายตระกูล สืบทอดกันเก่าแก่นานมา ทว่าบางคนที่เป็นคนนอกแต่ฝึกได้เก่งและเชี่ยวชาญก็มีเช่นกัน แต่นั่นก็ต้องใช้ความวิริยะอุตสาหะมากกว่าคนทั่วไป จึงมีฤทธิ์แข็งแกร่ง

ราชคือหนึ่งในนั้นที่ประสบความสำเร็จโดยไม่ได้มีพลังใดๆ ติดตัวมาตั้งแต่ถือกำเนิด และไม่ได้เกิดในตระกูลผู้ใช้มนตร์ซึ่งมักประจำอยู่ในฝ่ายพิธีของเมืองต่างๆ ทว่าความพิเศษนี้ของราชได้เป็นภัย เขากลายเป็นผู้ต้องลักษณะคำทำนายของนางในตำนาน เป็นเหตุให้หลบหนี รวบรวมคน และรอวันได้รับอิสระอย่างแท้จริง

บุญรักษาหันไปมองประตูกระท่อม เสียงขลุกทำให้รู้ว่าราชกลับมาแล้ว เธอยิ้มกว้างสดใสให้เขา

“ยินดียิ่งนัก ที่ได้พบกันอีกครา”

เสียงนี้ทำให้บุญรักษาขนลุกชัน หัวใจร่วงไปอยู่ตาตุ่ม เสียวแปลบในอกกับน้ำเสียงทุ้มนุ่มไพเราะเป็นจังหวะ ซึ่งเธอไม่เคยลืม แต่ที่ทำให้ตกตะลึงคือผ้าคลุมสีดำที่ถูกโยนกองไว้ตรงหน้าด้วยฝีมือชายคนนี้

หญิงสาวหยิบขึ้นมา กลิ่นหอมอ่อนๆ นั้นเธอคุ้นเคยเป็นอย่างดี

‘ผ้าคลุมของราช!’

บุญรักษาหน้าเสีย ตัวสั่นเมื่อคนที่ยืนอยู่ตรงประตูก่อนนั้นเหยียบพื้นกระท่อมเข้ามา มองคนคนนี้ที่ยืนตรงงามสง่า คอตั้งหน้าเชิด ไม่เห็นหน้าก็รู้ว่าเป็นใคร เสียงของเขาเธอจำได้ วันนี้แม้ไม่ได้นุ่งผ้านุ่งสีขาวผืนเดียวอย่างที่เคยเห็นวันนั้นเพราะมีเสื้อแขนยาวสีเทามันเลื่อมคล้ายผ้าไหมตัดเย็บอย่างประณีตสวมใส่ นุ่งผ้าลอยชายที่เป็นผ้ายกสีเข้ม สวมเครื่องประดับบ่งบอกฐานะแตกต่างจากวันนั้นที่มีเพียงแหวนและสังวาล ทว่ารัศมีบางอย่างก็บ่งบอกความเป็นเขา...

‘ราชครู!’

ยังไม่ทันได้เอ่ยชื่อ อีกฝ่ายก็โบกมือเล็กน้อยซึ่งดูเหมือนว่าดีดนิ้วแบบไม่มีเสียง บุญรักษานั่งนิ่งกลายเป็นหิน แน่นอนว่าคงโดนมนตร์ของอีกฝ่ายเข้าให้เสียแล้ว

ราชครูก้าวเข้ามา แสงสว่างทำให้ยากต่อการมองย้อนแสง บุญรักษารู้ว่ามีคนเดินตามหลังเขา สวมชุดราชองค์รักษ์ที่เป็นเสื้อสีเข้มแขนสั้น นุ่งสนับเพลาที่เป็นกางเกงขาสั้นเท่าเข่า ดูคุ้นตา

‘โภไคย!’ มาพร้อมกันทั้งคู่เลยทีเดียว



--------------------------------------------



ตอนที่ 10


บุญรักษามองทั้งสองอย่างตระหนก “พวกเจ้าทำอะไรกับ” หยุดคำว่า ‘ท่านราช’ ได้ทันใด

โภไคยชะงักเมื่อได้ยินเสียง หยุดอยู่ที่เดิมไม่ก้าวต่อ มองเธอเหมือนไม่อยากเชื่อสายตา

ราชครูยังยืนอยู่ตรงหน้าเธอนี้ เขาขยับมือไขว้หลัง ความสง่างามผึ่งผายยังมีครบถ้วน ผ้านุ่งลอยชายของราชครูกรีดกรายเป็นริ้วๆ เมื่อชายผ้าร่วงลากกับพื้นขณะเขาย่อกายลง ดวงตาจับจ้องแต่หน้าเธอ เขาชันเข่าลงทีละข้างแบบที่ไม่ยอมก้มหัวหรือค้อมกาย ดูเป็นคนหยิ่งผยอง มากพิธี และระเบียบจัด

ใบหน้าหล่อหลาเกินหาใครเปรียบนั้นมองเธอไม่ละสายตา เขาเลิกคิ้วขึ้นนิดหนึ่งเหมือนจะถามว่าเธอสงสัยอะไร เมื่อเธอมองอีกฝ่ายไม่ละสายตาเช่นกัน

ราชครูยิ้มนิดๆ ท่าทางเชิด หยิ่ง ของผู้ชนะทำให้ยากจะลืมได้ลง สมแล้วที่เป็นคนระดับราชครู และเป็นสามีของนางอมรรตัยอะไรนั่น แต่ที่ว่ามาทั้งหมดคือ ยิ่งเห็นก็ยิ่งทำให้เกลียดจนต้องกัดฟันข่มความรู้สึกนี้เอาไว้ เขาคุกเข่า มือทั้งสองวางไว้ตรงหน้าขาในท่าเทพบุตร

“เจ้าของผ้าผืนนี้” ราชครูปรายตามองต่ำยังผ้าคลุมของราช ซึ่งตอนนี้อยู่ในมือเธอและกอดผ้าไว้แนบอก ท้ายประโยคของเขาลากเสียงยาว ดวงตานั้นเปลี่ยนเป็นมองเธออีกครั้ง “มันผู้นี้กระทำการอุกอาจนัก!” เขาพูดลอดไรฟัน จ้องเขม็ง แววตาแข็งกร้าว นัยน์ตาสีเทาอมฟ้ามองเธอตรงๆ ดูดุดันและน่ากลัวไม่น้อย

บุญรักษาได้แต่บอกตัวเองว่าหมดเวลาอ่อนแอแล้ว แม้จะตกใจ...แต่อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิดเถอะ ให้รู้กันไป อย่ากลัวเขา ไม่มีอะไรจะต้องกลัวเมื่อเธอผ่านความเป็นความตายในก้นหลุมนั่นมาแล้ว หากตอนนี้จะต้องตายเพราะมือเขาอีก ก็ถือว่าเป็นโชคชะตาของเธอก็แล้วกัน จึงเอ่ย “ข้าพเจ้ามีนามว่าบุญรักษา ท่านต้องการสิ่งใดจากข้าพเจ้าเจ้าข้า”

หญิงสาวแปลกใจ เพิ่งสังเกตในตอนนี้ว่าพูดภาษาของพวกเขาได้อย่างน่าอัศจรรย์ แต่เพราะความกลัวจึงไม่แสดงอาการอะไรออกไปนอกจากนิ่งสงบ

ราชครูยิ้มให้นิดๆ นัยน์คู่งามจ้องเข้ามาในดวงตาของเธอราวกับเสาะหาความจริง

บุญรักษาหวาดหวั่น ขลาดกลัว ยิ่งราชครูยิ้มสบายๆ ก็ยิ่งรู้สึกว่าไม่อยากเข้าใกล้อย่างที่สุด

‘เขาเป็นสามีนางอมรรตัยทั้งที ก็คงไม่ธรรมดา’ คิดแล้วก็ตั้งสติเร็วไว

ได้แต่บอกตัวเองว่าอย่าใจสั่นเพราะกลัวเขา ตอนนี้เธอกำลังเผชิญหน้ากับผู้ชายที่ทะนงตน หยิ่ง มีอาคมร้ายกาจ ฐานะของเขาที่เธอรู้ก็ใช่ธรรมดา สิ่งเดียวจะอยู่รอดและใช้กับคน ‘ไม่ธรรมดา’ ได้ คือต้องทำตัวให้ธรรมดามากที่สุด นอบน้อมโอนอ่อนให้มากที่สุด แต่อย่าทำท่าทางโง่ๆ ต่อหน้าเขาเช่นกัน ต้องหมั่นพิจารณาและสังเกตทุกอย่างเกี่ยวกับราชครู สังเกตคนรอบกายของเขาให้มากที่สุดเพื่อความปลอดภัยของตนเอง เมื่อไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอย่างไรหรือจะทำอะไร

ราชครูว่า “พิธีฝังหลักเมืองจบสิ้น ผู้ช่วยเหลือเจ้า...ช่างอุกอาจนัก ล่วงล้ำปราการมนตร์ นำพาผู้เฝ้าเมืองออกจากหลุมหลักเมืองทั้งหมด ลองตรองดูเถิด...คนเยี่ยงนี้ จักเป็นคนประเภทใด เวทใด...มนตร์ใด ช่างแก่กล้านัก” เขาหรุบตามองผ้าของราช ใบหน้านั้นไม่ขยับแม้แต่น้อย จะเชิดไปถึงไหน

“มันผู้นี้มีนามว่ากระไร เป็นชาย...ฤๅหญิง” เขาถามเสียงเรียบ แต่มองเธอจริงจัง

บุญรักษาหนาวเยือกไปถึงหัวใจ บาดจิตกับถ้อยคำของเขาที่แฝงความอำมหิต รู้สึกถึงความอันตราย สมองสั่งการให้สบตาอีกฝ่ายตรงๆ อย่าได้หลบเร้น ตอบด้วยน้ำเสียงมั่นคงที่สุดเท่าที่เคยเป็นมา...

“หากท่านราชครูจะเชื่อคำพูดข้าพเจ้า ข้าพเจ้าย่อมเอ่ยเพียงผู้ช่วยเหลือนั้นเป็นชาย มีนามว่าราชา มากกว่านั้น...ข้าพเจ้ามิทราบเจ้าข้า” พูดไปก็สบตาเขาไป ทั้งที่ความจริงคือใจเต้นตึกตักแทบทะลุอกอยู่รอมร่อแล้ว

ราชครูยิ้มให้เล็กน้อย หลับตาลงช้าๆ ให้รู้ว่าขอบคุณกับคำตอบ ทว่าก็แค่นิดเดียว เพราะใบหน้าหล่อเหลานั้นปรับเป็นนิ่งสงบเช่นเดิม ไม่แสดงความรู้สึกใด แน่ชัดว่าเขาคงไม่เมื่อยคอ อาการคอตั้ง หน้าเชิด เป็นสิ่งที่ราชครูคนนี้ทำเป็นประจำกระมัง

และชัดเจนว่าจุดประสงค์ของราชครูคงตามหาตัวท่านราชเป็นแน่แท้ ท่านราชคงจะหนีไปได้ ไม่อย่างนั้นทั้งราชครูและโภไคยคงไม่พากันถ่อมาถึงที่นี่ ซึ่งคงไม่คิดว่าจะเจอเธอเช่นกัน การตามหาเจ้าของผ้าคลุมย่อมมีความหมายเดียวว่าท่านราชปลอดภัยระดับหนึ่ง ส่วนเธอถ้าเองถ้าให้ความร่วมมือ โอกาสรอดย่อมมีมากกว่าขัดขืน

“โภไคย เจ้าถอดผ้าคลุมของแม่หญิงผู้นี้ออก” ราชครูสั่งขณะสบตาเธอไม่มองไปทางอื่น ซึ่งนั่นทำให้บุญรักษาร้อนวูบวาบไม่หยุดที่แผ่นหลัง

โภไคยทำตามคำสั่ง เขาย่อกายลงก่อนถึงตัว คลานเข่ามาซ้อนอยู่ด้านข้างค่อนไปทางด้านหลังของหญิงสาว นั่นก็เพราะราชครูนั่งประจันหน้ากับบุญรักษาที่กะพริบตาปริบๆ แอบกลั้นหายใจ มีอาการคล้ายจะเป็นลมแม้นั่งนิ่งเป็นหินเพราะถูกมนตร์ของราชครู

เธอได้แต่มอง มองมือของโภไคยที่ยื่นเข้ามา นายกองฝ่ายพิธีเมืองปลดเชือกผูก ดึงผ้าคลุมของเธอออกไปทางด้านหลัง ปล่อยลงไปกองกับพื้นเช่นนั้น ก่อนจะถอยหลัง ห่างออกไป

“นำสร้อยของเจ้าออกไปจากคอของแม่หญิง” ราชครูสั่งเสียงเรียบในจังหวะที่โภไคยจะหมุนตัวกลับ

นายกองฝ่ายพิธีเมืองตักศิลาชะงัก ใบหน้าก้มเอาไว้ เขานิ่งอยู่ในท่านั้นไม่ยอมทำตาม

ราชครูคงมีตำแหน่งใหญ่โตมากจนโภไคยไม่เคยสบตา สองครั้งที่เห็นคือโภไคยต้องก้มหน้าเอาไว้เสมอ ราวกับว่าเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ

ราชครูหันไปมองโภไคย ยิ้มให้นายกองฝ่ายพิธีเมืองนิดหนึ่งอย่างอ่อนโยน บุญรักษารู้สึกถึงคำเตือนกับรอยยิ้มนี้ แม้สีหน้าของราชครูจะบอกว่าไม่เป็นไรที่อีกฝ่ายไม่ยอมทำตามคำสั่งก็เถอะ ทว่าเพียงแค่มือของราชครูขยับเล็กน้อย โภไคยก็ไม่เป็นโภไคยอีกต่อไป เหลือแค่ร่างกายที่แววตาไร้วิญญาณ

นายกองฝ่ายพิธีเมืองขยับเข้ามา ถอดสร้อยออกจากคอของบุญรักษาอย่างง่ายดายโดยไม่โดนเนื้อตัวแม้แต่นิด

ราชครูเอ่ยกับโภไคย “จงสวมสร้อยคู่ชีวีไว้ที่คอของเจ้าเช่นเดิม” และรอ

โภไคยทำตาม จนเมื่อสวมไว้เรียบร้อย...

“เจ้ามิได้พบสตรีใดที่มีลักษณะเยี่ยงแม่หญิงบุญรักษา นามนั้นมิได้ต้องหู ใบหน้ามิเคยพบเห็น เสียงมิเคยได้ยิน หมู่บ้านวังสะไร้วี่แววของเฒ่าทับทิม ที่แห่งนั้นเจ้ามิพบหญิงใด การตามหาเฒ่าทับทิมครานั้นมิได้ประสบผลสำเร็จ เจ้าเดินทางกลับค่ายพักพร้อมผู้ต้องลักษณะคนเฝ้าเมืองที่จัดการเจรจาไว้ก่อนนี้ เมื่อเสร็จสิ้นพิธีฝังเสาหลักเมือง การหาตัวเฒ่าทับทิมกับพวกล้มเหลวอีกครั้ง พวกมันหนีรอดไปได้ ตัวข้าพเจ้าปัทมราชครูจึ่งแยกย้ายกับเจ้าผู้เป็นนายกองฝ่ายพิธีเมือง พำนัก ณ เรือนตนเอง ส่วนเจ้า...กลับเรือนพักตนเช่นกัน จงเดินทางไปกลับในบัดนี้เถิด โภไคย” พูดจบก็โบกมือครั้งหนึ่ง แน่นอนว่าหมายถึงโภไคยไม่ใช่เธอ

นายกองฝ่ายพิธีเมืองลุกขึ้นยืน เดินออกไปจากกระท่อมด้วยสภาพดั่งคนละเมอ ไร้สติ เพียงเท่านี้ก็ยืนยันสิ่งที่คิดว่าราชครูไม่ใช่คนที่เธอควรจะไปต่อกรหรือทำให้เขาโกรธด้วยประการใดๆ

บุญรักษาเบนสายตากลับมา ราชครูขยับนั่งพับเพียบแล้ว การประจันหน้ากับเขาเช่นนี้ ให้พูดว่าไม่กลัวเขาช่างเป็นเรื่องโกหก เพราะตอนนี้เธอกลบฝังความกลัวเท่าไรก็ยังโผล่ออกมาทักทายให้ตัวสั่นอยู่ดี

เขาขยับเข้ามาอีกนิดจนเข่าแทบจะชนกัน ในกระท่อมนี้เหลือเธอกับราชครูเพียงสองคนเท่านั้น และนั่นทำให้ยิ่งเผลอกลั้นหายใจ ได้แต่รอฟังว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไร เกร็งทั้งที่โดนมนตร์ของอีกฝ่ายอยู่แล้ว

“เจ้าคนอุกอาจผู้นี้ ฤทธิ์แก่กล้านัก บังอาจลักตัวคนในพิธี อีกทั้งร่ายมนตร์กำบังความคิดของแม่หญิงไว้ มิแคล้วว่า...ข้าพเจ้า คงพบของล้ำค่าบางประการเสียแล้วกระมัง” เขาพูดเรียบเรื่อยเป็นจังหวะน่าฟัง ยิ้มอย่างน่ามอง ดูงามนักเมื่อรวมกันอยู่บนใบหน้า กิริยา ท่าทางของเขา แต่แทบไม่มีผลต่อบุญรักษาที่มีความกลัวและเกลียดชังอย่างมากมาย

ทว่าความจริงคือการแสดงออกของเธอในตอนนี้คือยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างพองาม แม้ร่างกายขยับไม่ได้ แต่ก็ยังยิ้มได้อยู่ สมองยังคิดได้ดีเช่นกัน จึงย้ำตนเองว่าอย่าทำอะไรโง่ๆ ให้ราชครูอารมณ์เสีย มิฉะนั้นจะหาเรื่องตายได้ง่ายๆ จึงทำให้ตัดสินใจเอ่ยว่า...

“ข้าพเจ้าเป็นเพียงผู้พลัดถิ่น มิใช่ของล้ำค่าใดดอกเจ้าข้า” น้ำเสียงนั้นนอบน้อม แสดงออกว่าเธอพูดจากใจ ก่อนจะค่อยๆ หรุบตาลงมองพื้น กลัวเหลือเกินว่าหากสบตานานเข้า เขาอาจรู้ว่าเธอเสแสร้ง เพราะคนที่กลัวแต่กลับสบตา ย่อมมีความเป็นไปได้สองอย่าง คือโกหกอย่างหนึ่งหรือไม่ก็เสแสร้งเก่งไปจนทำให้ถูกจับได้ ซึ่งไม่เหมาะสำหรับสถานการณ์นี้ ดังนั้นเธอต้องเป็นคนธรรมดาที่เขาไม่คิดระแวงภัย

“อย่ากลัวข้าพเจ้าเลย แต่วาจาเยี่ยงนี้ ย่อมหมายว่าแม่หญิงถ่อมตนนัก” ราชครูว่า

บุญรักษาร้อนวาบที่แผ่นหลัง ไม่สบตาเขา ไม่พูดอะไร ในใจเชื่อมั่นโดยไม่เข้าข้างตนเองว่าราชครูยากจะจับได้ว่าเธอแสดงละคร นั่นก็เพราะการใช้วาทศิลป์ประกอบยิ้มที่เป็นธรรมชาตินั้นเธอถนัดนัก เป็นหลักการเดียวกับปั้นหน้าขายของที่ต้องเอาใจลูกค้า เซลล์ขายปุ๋ยระดับสาลิกาลิ้นทองขายมานักต่อนักยังทำยอดขายสู้เธอไม่ได้ นั่นจึงทำให้แน่ใจว่าอีกฝ่ายยากจะมองออก เว้นแต่ว่าเขาอ่านใจหรืออ่านความคิดได้เหมือนท่านราช ซึ่งนั่นก็คงจะสุดแล้วแต่เวรกรรมนำพา เธอจนปัญญาจะตบตาจริงๆ

ราชครูยังไม่พูดอะไร บุญรักษารู้ว่าอีกฝ่ายนั่งพับเพียบหลังตรงและมองเธออยู่ แน่นอนว่าเธอใช้ความเงียบพักอารมณ์ปะทุของเขาที่พลาดการจับกุมตัวท่านราชจนมาเจอเธออย่างไม่ตั้งใจ

ไม่นานนักที่ต่างฝ่ายต่างเงียบและเห็นว่าเหมาะควร จึงเอ่ย...

“ข้าพเจ้ามิได้ถ่อมตนแต่อย่างใดเจ้าข้า...ท่านราชครู นี่คือเรื่องจริงแท้” และนี่คือเดิมพันที่หนึ่งว่าราชครูจะอ่านใจเธอได้หรือไม่

“แม้นมิใช่ของสำคัญ เจ้าคนอุกอาจนั่นจักกำบังความคิดของแม่หญิงด้วยเหตุใด ฤๅจริงแท้แม่หญิงคือผู้ร่ายมนตร์กำบังดวงจิตตนกระนั้นรึ”

คิดว่าอีกฝ่ายกำลังหยั่งเชิง จึงตอบ “ข้าพเจ้าถูกจับตัวมา ครั้นถึงหมู่บ้าน ทหารของท่านก็โจมตี เหตุการณ์จากนั้นเป็นไปดังท่านราชครูทราบ ข้าพเจ้าถูกนำไปไว้ก้นหลุมหลักเมือง ตกใจสิ้นสติ ครั้นรู้สึกตัวอีกครั้ง ก็พบว่ามีผู้ช่วยเหลือ ชายคนนั้นปรารถนาดีให้ข้าพเจ้ามีชีวิตอยู่ต่อ จะได้ไม่เป็นบาปเป็นกรรมต่อผู้ใด ด้วยผู้ช่วยเหลือหวังใจจะทำบุญ ไถ่ชีวิตของข้าพเจ้าเท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าพเจ้าจักกระทำดั่งท่านราชครูว่าได้รึเจ้าข้า” พูดจบก็ค่อยๆ สบตาเขา และสิ่งที่เห็นยืนยันว่าราชครูมองเธอตลอดเวลาจริงๆ บุญรักษาหรุบตามองพื้นกระท่อมอีกครั้ง และเงียบ

“มีสิ่งใดจักบอกกล่าวแก่ข้าพเจ้ารึไม่...แม่หญิง” เขาถามด้วยเสียงธรรมดา ทว่าให้อารมณ์คาดคั้นไม่น้อย

“ข้าพเจ้ามิทราบได้ ว่าจักบอกกล่าวอย่างไรจึงสมใจท่านราชครู ด้วยมีแต่ความสัตย์ ว่าข้าพเจ้ายังมีกุศลอุ้มชู จึงมีผู้ช่วยเหลือให้พ้นความตาย ผู้ช่วยเหลือเพียงมิได้เห็นชอบกับการสังเวยชีวิตคนไว้ใต้เสาหลักเมือง ด้วยว่าชีวิตมีค่ายิ่ง หากช่วยให้มีลมหายใจ...ย่อมยังประโยชน์แก่ผู้อื่น แต่ถ้าหากปล่อยให้ตายเฝ้าหลุม ความอาฆาตแค้น คำสาปแช่ง ย่อมมีเป็นแน่แท้ แม้เจรจาตกลงไว้ย่อมมีแต่เรื่องอัปมงคล ชีวิตของผู้ใด...คนผู้นั้นย่อมรักและหวงแหนชีวิตตนเป็นแม่นมั่น หากมิช่วยเหลือจึ่งถือว่าเป็นอวมงคลนัก ข้าพเจ้านั้นมิทราบสิ่งใดมากไปกว่านี้ สิ่งที่ได้บอกแก่ท่านราชครู ย่อมหมดสิ้น มิได้ปิดปังเจ้าข้า”

เขาอมยิ้ม กอดอก บ่งบอกทางสีหน้าแววตาว่ามีอะไรจะบอกอีก ให้รีบบอกมา

- * - * - * - * - * - * - * - * - * - *- * - * - * - * - * -



สุชาคริยา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 13 ม.ค. 2558, 19:31:59 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 13 ม.ค. 2558, 19:31:59 น.

จำนวนการเข้าชม : 2481





<< ตอนที่ 8   ตอนที่ 11-13 >>
แว่นใส 13 ม.ค. 2558, 20:07:51 น.
ขยักไว้บ้างนะ


สุชาคริยา 13 ม.ค. 2558, 20:21:27 น.
@แว่นใส = 555555555555555555555 จะขยักไว้หลังจากนี้นะค้าาาา


ใบบัวน่ารัก 13 ม.ค. 2558, 20:28:43 น.
เข้าใจยากจัง สามีใครกัน มาเก็บกลับไปด้วย
เดิมอวบๆๆหรือแม่นาง มาอยู่ได้ถึงเดือนอะยัง
น้ำหนักลดก็ดีจายด้วย ชิชิบอกมานะ ราชอยู่ไหนนนนน
นุ่งเกาะอกหรือแม่นาง มีอกให้เกาะอะเป่า
บางระจันมาแล้ว รีบไปโดยเร็ว พม่ามาแล่ว ใช่อะเปล่าหว่า


Jiab 13 ม.ค. 2558, 21:09:30 น.
อ่านแล้วลุ้น รู้สึกอึดอัดตอนเจอราชครู ยังกะตัวเองเป็นนางเอกซะเอง5555


Zephyr 17 ม.ค. 2558, 00:48:13 น.
หล่อ แต่หลอนแบบนี้ไม่ไหวนะปัทมราชครู
รังสีแผ่เชียว แผะทัลุคอมจนรู้สึกได้ 555


สุชาคริยา 28 ม.ค. 2558, 21:32:03 น.
@คุณใบบัวน่ารัก = 5555555555555555555
@คุณ Jiab = ดีใจมากๆๆๆๆๆ เลยค่ะ มามะ มาเป็นนางเอกกันดีฝ่าเนอะ
@คุณ Zephyr = 55555555555 คนเขียนฮาค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account