เหนือ...ตะวัน
อารัมภบท เหนือตะวัน

ความแค้นที่เต็มเปี่ยมของชายหนุ่มที่สามารถทำทุกอย่างเพื่อทำลายเป้าหมาย เขามีอิทธิพล ที่มาพร้อม
ด้วยเล่ห์เหลี่ยมอันยอกย้อน พร้อมได้รับการสนับสนุนจากยอดกุนซือที่มีความร้ายกาจ ทั้งเสน่ห์อันยวนเย้า
จิตใจที่อำมหิต เจ้าเล่ห์กลิ้งกลอก อดทนเป็นเลิศ และข้อสำคัญเธอภักดีต่อเขาอย่างยิ่ง พร้อมกวาดล้าง
อุปสรรคทั้งมวลที่ขวางหน้าเขา.....ชายหนุ่มต้องมาเผชิญกับหญิงสาวที่บอบบางแต่จิตใจเข้มแข็ง อย่างที่
เขาไม่เคยพบมาก่อน ไม่เพียงจิตใจที่เข้มแข็งของเธอ แต่ความคิดและการตอบโต้ของเธอก็ย้อนยอก
เหนือชั้นจนเขาเกือบเสียท่ามาหลายครั้ง...และข้อสำคัญเขารักเธอปราศจากเงื่อนไข...ในเวลาต่อมา...
จะทำเช่นไร...เมื่อเป้าหมายของเขาคือทำลายล้างครอบครัวของเธอให้สิ้นซาก...เขาจะทำมัน...ได้หรือไม่
เพราะในใจของเขานั้น ร่ำร้องว่า.....ต้องการเธอผู้นั้นเพียงผู้เดียว...ทางเดียวก็คือ...เขาต้องขึ้นสู่อำนาจ
สูงสุดคือ.....ตำแหน่ง......เหนือตะวัน.....และตำแหน่งนี้ มิใช่เขาเพียงผู้เดียวที่ต้องการ...
Tags: นิยายรัก หักเหลี่ยมเชือดเฉือน

ตอน: เผชิญหน้า...ศัตรู

บทที่ 29 เผชิญหน้า...ศัตรู

เอกไปที่สำนักงานลับของเขา ที่ในวงการเรียกว่า วังสมิง
เป็นตึกแถวขนาดใหญ่ มีพื้นที่อาณาบริเวณกว้างใหญ่
เอกมีลูกน้องดูแลสินค้าผิดกฎหมายหลายชนิด แต่เอกไม่ได้
ใช้ชื่อของตนเองซื้ออาคารแห่งนี้ หน้าฉากของอาคารนี้คือ
โกดังที่เก็บลำใยอบแห้ง เพื่อส่งต่อไปจังหวัดอื่นๆ มีคนสนิท
เป็นคนดำเนินกิจการ ภายในบ้านมีห้องพักผ่อน และห้องนอนของเอก
ที่ตกแต่งอย่างหรูหรา เอกเรียกลูกน้องคนสนิท ชื่อลพเข้ามาหา
เพื่อสอบถาม

"เป็นไง...สินค้าส่งเรียบร้อย ไม่มีปัญหาใช่ไหม..."

"ครับคุณเอก...เรียบร้อยทุกอย่าง เงินสดที่ได้มา
ผมส่งไปเก็บที่เซฟแล้ว..."

"ดีมาก...ข้าไว้ใจคนไม่ผิดจริงๆ
เดี๋ยวเอ็งเอาเงินนั่นไปให้น้องๆ ส่วนของเอ็ง อยู่นี่!..."

เอกโยนเงินสดปึกหนาให้ ลูกน้องรับเงินจำนวนนั้น
ก่อนยกมือไหว้อย่างสำนึกบุญคุณ แล้วเอกโบกมือ
เป็นความหมายให้ลูกน้องคนนั้นออกไปจากห้อง
เมื่อเอกอยู่ลำพังเอกลูบคางอย่างใช้ความคิด ก่อนยกหู
โทรศัพท์หมุนเบอร์ไปหา นฤมล .....

"สสวัสดีครับ...คุณมาริสา ผมเอกเดชครับ..."

'....สวัสดีค่ะ...คุณเอกเดช มีอะไรให้มาริสารับใช้หรือคะ...'

"ครับผม...คือผมได้ยินข่าวมาว่า ลูกศรมาหา อ.สามารถที่มหาวิทยาลัย
เห็นว่าเขาเป็นผู้เชียวชาญด้าน สมุนไพร ที่รักษาได้เกือบทุกโรค
แล้วผมคิดว่า...ลูกศรคงกำลังจะหาทางรักษาอาเจ็กให้หาย
ผมคิดว่า เรื่องนี้น่าจะสร้างปัญหา ให้พวกเรา"

'....คุณเอกขา...ดิฉันมั่นใจว่า...อ.สามารถ อะไรคนนั้น
ไม่มีปัญญาถอนพิษยาสั่ง ของดิฉันอย่างแน่นอน...
แล้วอีกอย่างนะคะ...เรื่องคุณหนูลูกศร มาเชียงใหม่ ดิฉันทราบอยู่ก่อนแล้ว...'

"คุณทราบแล้ว...แล้วทำไมไม่ขัดขวางเธอละครับผมว่าคุณมาริสา
ออกจะประมาทความสามารถของอาจารย์ท่านนี้ไปหน่อยนะครับ..."

'...หึๆๆๆ...คุณเอก...คุณก็รู้ว่าดิฉัน
ไม่เคยประมาทใคร...จริงอยู่ อ.สามารถ
เป็นนักวิทยาศาสตร์การแพทย์ที่เก่งมาก
โดยเฉพาะเรื่องการใช้สมุนไพรบำบัด
แต่...ดิฉันจะไม่คิดจัดการใคร
ถ้ามันไม่มีทางทำอะไรให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
แต่ถ้าคุณเอกไม่สบายใจ จะทำอะไรก็เชิญนะคะ...
แต่ดิฉัน...จะไม่ทำอะไรทั้งนั้น...ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ดิฉันจะทำงานต่อ
สวัสดีค่ะ....'

เอกวางสายอย่างฉุนเฉียว สบถอะไรออกมามากมาย
แล้วสุดท้ายก็คำรามออกมา อย่างเคียดแค้น

"นังจิ้งจอกเจ้าเล่ห์...นึกหรือว่า ข้าไม่รู้ แกเองก็คงกังวลเหมือนกัน
ข้าจะดูสิว่า แกจะทำเก่ง เหนือชั้นไปได้นานแค่ไหน..."

เอกลุกขึ้นถีบเก้าอี้จนกระเด็นไป เอกคิดจะลงมือเอง
แต่ก็กลัวเสียหน้า เพราะเอกคิดว่า ที่เธอทิ้งท้ายไว้คือ
ต้องการให้ตนลงมือ ถ้าเอกลงมือ ก็เหมือนจะเสียเหลี่ยม
แต่ถ้าไม่ลงมือ ก็น่าหวาดเสียวเช่นเดียวกัน จึงเป็น
จุดเกรงใจ ที่ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร....
......................

ดรุณีคิดถึงความหลัง..... เพราะแต่เดิม เธอเข้าเรียนช้าเนื่องจาก
ทางบ้านฐานะไม่ดีนัก จึงส่งให้ดรุณี เข้าเรียนหลังจากอายุ
เข้าเกณฑ์ถึงสองปี เธอจึงดูโดดเด่นกว่าทุกคนในห้องตอนเรียน
ชั้นประถม มันจึงเป็นจุดเริ่มต้น ดังนั้นเธอจึงชอบให้ใครๆมาสนใจ
แล้วอีกอย่างเธอก็เป็นเด็กที่หน้าตาน่ารัก ....

อย่างหนึ่งที่เธอภาคภูมิใจเป็นพิเศษ คือการเรียน
ดรุณีรักการเรียนตั้งแต่เด็ก เธอพยายามเพื่อจะเรียน
ให้ได้คะแนนดีกว่าทุกๆ คน โดยเฉพาะคนที่รวยกว่าเธอ
ดรุณีเรียนได้ที่หนึ่งมาตลอด แล้วเธอจึงเรียน
ข้ามชั้น เพราะความเรียนเก่งมากนั่นเอง มันทำให้เธอ
ภาคภูมิใจที่สุด ...แต่เมืีอ ดรุณี ขึ้นมาเรียนจากชั้น
ประถม 7 ขึ้น ม.ศ.1 (การศึกษาสมัยนั้น จะแบ่งเป็น
ประถม 1-7 มัธยม คือ ม.ศ.1-5) ศิริศรก็เพิ่งย้ายเข้า
มาเรียน ตอนนั้น เด็กหญิง ยังดูเด็กมาก เพราะศิริศร
ก็เรียนข้ามชั้นขึ้นมาเหมือนกัน แถมศิริศรดูโดดเด่น
กว่าด้วยใบหน้าที่สวยงาม กับผมสีแดงเข้ม
ความสนใจของเพื่อนๆ ที่เรียนด้วยกันตั้งแต่ประถม จึงไปอยู่
ที่เด็กหญิงที่ชื่อ ศิริศร กาญจนกิจ......

เมื่อต้องมาเรียนด้วยกัน จากเดิมที่ ดรุณีได้อันดับหนึ่งมาตลอด
แต่ศิริศรเหมือนเกิดมาเพื่อแย่งอันดับหนึ่งจากตนเอง...
ไม่ว่าจะสอบเทส หรือสอบใหญ่ ดรุณีพ่ายให้กับศิริศรมาตลอด
จนศิริศรได้ทุนการศึกษาเรียนดีแทนเธอ... แต่ศิริศรกลับปฏิเสธ
เพื่อให้ ดรุณีได้ทุนแทน ต่อหน้า ดรุณี แสดงความซาบซึ้ง
ต่อเพื่อนรักคนนี้แต่ความจริง เธอเกลียดชังการได้รับของที่มีคน
มายื่นให้ด้วยความสงสาร...ดรุณีเกลียดความรู้สึกเช่นนี้ที่สุด

แม้กระทั่งตอนที่ทางบ้านจะโดนไล่ที่ จากนายทุนที่โกง
เอาโฉนดของพ่อเธอไป จนพ่อเธอช็อคเสียชีวิต
เมื่อศิริศรเข้าไปงานศพ หญิงสาวรับรู้เรื่องความทุกข์
จากความไม่ยุติธรรม เธอจึงขอดูสัญญาแล้วนำเรื่องนี้
ไปให้บิดาช่วย แล้วในที่สุด แม่ของดรุณีก็ได้โฉนดคืน
และเงินทำขวัญจำนวนหนึ่ง ......แต่ แทนที่ดรุณีจะซาบซึ้ง
เธอกลับเกลียดชังศิริศรมากยิ่งขึ้น เพราะที่บ้านของเธอ
ก็จะได้ยินคำสรรเสิญจากมารดาเกี่ยวกับ
เพื่อนรัก ที่เธอไม่เคยรักคนนี้....

แม้แต่รุ่นพี่ ที่เรียนมัธยมปลาย ที่เธอแอบปลื้ม ก็มาหลงรักศิริศร
แล้วข้อสำคัญเธอมองออกว่า เอกที่มีศักดิ์เป็นพี่ชายของศิริศร
ก็แอบรักเช่นเดียวกัน ดรุณีรับรู้ว่า เอกนั้นมีอารมณ์รุนแรง
คือตอนที่ มาดักเล่นงานรุ่นพี่ที่เธอแอบปลื้ม จนสะบักสะบอม
ดรุณีนั้นสะใจอย่างยิ่ง เพราะรุ่นพี่คนนี้เพิ่งปฏิเสธเธอ
อย่างไม่มีเยื้อใย เพราะเขาผูกใจภักดิ์กับศิริศรเท่านั้น
แล้วดรุณีจึงเปลี่ยนเป้าหมายมาแอบชอบ เอกแทน
เพราะความเฉียบขาด และโหดอำมหิตตอนเล่นงาน
เพราะส่วนลึกของดรุณีเป็นคนที่มีความรุนแรงในจิตใจนั่นเอง

ดรุณีมองไปเบื้องหน้า เผยดวงตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง
เธอคิดเพียงในใจว่า ถ้าชาตินี้ยืนอยู่สูงกว่าศิริศรไม่ได้
ก็ต้องให้ศิริศรลงมายืนต่ำกว่า...ต่ำกว่าที่เธอ....ยืน...ดรุณี
จึงเป็นเพื่อนรักของศิริศร ที่พร้อมจะหัก
เหลี่ยมอย่างโหดร้าย....โดยแท้จริง.....
....................

ศิริศรกลับมานั่งที่โต๊ะทำงาน ในห้องพักเธอคุยโทรศัพท์
คุยกับจักรกฤษณ์ ที่เขาไม่ถูกควบคุมตัว เพียงแต่ถูกสอบสวน
แล้วปล่อยตัวกลับ แล้วเขาคือผู้หนึ่งที่ไม่เชื่อว่า
ศิริศรจะทำเรื่องเช่นนั้น จักรกฤษณ์ให้ข้อมูลเรื่องการโยกย้าย
ถ่ายเงินของระบบเงินของเพาวเวอร์อินฟินีตี้ ว่าคนที่จัดการเงิน
คนสุดท้ายคือ...นายชัยณรงค์...เป็นคนจัดการ แถมยังเขียน
จดหมายระบุว่า ถูกผู้บริหารบังคับ จึงต้องทำเช่นนั้น แล้วตอนนี้
ชัยณรงค์ได้เดินทาง หนีไปต่างประเทศแล้ว จากการสืบของตำรวจ
ทราบว่า จุดหมายของเขาคือ ไต้หวัน แต่ไม่ทราบว่าเขาไป
หลบอยู่ที่ไหนของไต้หวัน

ศิริศรวางสาย เพราะยังมีเรื่องที่เธอต้องทำอีกมาก หญิงสาว
ใช้ความคิดอย่างหนัก ว่าใครเป็นผู้บงการ เพราะ
ลำพังแค่ผู้จัดการสาขา จะทำเรืีองแบบนี้ไม่ได้อย่างแน่นอน

'ต้องมีคนอยู่เบื้องหลัง ที่มีความสามารถในการ แปรเปลี่ยนเส้นทางเงิน
นอกจากเรา...ก็มีคุณอติตา...แต่เป็นไปไม่ได้
ที่เธอจะทำเช่นนั้น เพราะถ้าคุณน้า เป็นคนทำ เธอจะเป็นผู้ต้องสงสัย
ใครกันทำเรื่องนี้ แล้วใครก็นึกไม่ถึง...ใครกัน...'

"เดวิด....หยาง...ใช่แล้ว ต้องเป็นเขาแน่ๆ...แต่เขาจะทำไปเพื่ออะไร..."

ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ศิริศรชั่งใจก่อนรับโทรศัพท์
เพราะเธอก็ไม่มั่นใจว่า จะเป็นสายของใคร แล้วเธอก็ยกสายขึ้นรับ

'...คุณลูกศร คะ มีคนมาพบค่ะ...เขาบอกว่า เขาชื่อ บูร์...'

"ค่ะเดี๋ยวดิฉันจะลงไป..."

ศิริศรทั้งดีใจ ทั้งแปลกใจ ที่สิทธิชัยมาหาเธอในขณะนี้ แต่ก็เอะใจ
ว่าเขาทราบได้อย่างไร ว่าเธออยู่ที่นี่ แต่เธอไม่อยากคิดอะไรมาก
ตอนนี้ การมีเพื่อนปรึกษาสักคนหนึ่ง ย่อมดีกว่าอยู่คนเดียว

สิทธิชัยนั่งรอที่เก้าอี้หวาย เขามีชายอีกคนนั่งอยู่ข้างๆ
เธอเดินเข้าไป ยกมือไหว้ตามมารยาท ชายที่นั่งอยู่
ข้างสิทธิชัย ลุกขึ้นยืนโค้งคำนับตอบ สิทธิชัยจึงแนะนำ

"สุภาพบุรุษคนนี้คือคุณจางหลี่ เป็นผู้ช่วยของผม นี่คุณศิริศร กาญจนกิจ"

"ยินดีที่รู้จักครับ...คุณศิริศร.."

"ยินดีที่รู้จักค่ะ คุณจางหลี่..."

"ถ้าเช่นนั้น ผมขอตัวก่อนนะครับ
พอดีเห็นอะไรบางอย่างจะไปดูสักเล็กน้อย...
ขอตัวนะครับ..."

หลังจากจางหลี่เดินจากไปแล้ว สิทธิชัย จึงเอ่ยขึ้น

"ลูกศร ผมยังไม่ได้ทานอะไรเลย
คุณมีร้านอาหารแนะนำให้ผมบ้างไหม..."

"มี...มีค่ะ...แล้วคุณมาที่นี่ได้ยังไงคะ..."

ชายหนุ่มยิ้มกรุ้มกริ่ม ก่อนเอ่ยสวนทันที

"ตอนนี้ผมหิวมาก ทานหมูตัวโตๆ
ได้เลยนะเนี่ยะ เราทานกันไป คุยกันไปเถอะครับ"

ศิริศรท้องร้องขึ้นมาทันใด เพราะเธอก็ไม่ได้ทานอะไรตั้งแต่เที่ยง
สิทธิชัยอมยิ้มเขาได้ยินอย่างชัดเจน แล้วทั้งสองก็เดินจากไป
จากโรงแรม เพื่อไปร้านอาหารใกล้เคียง จางหลี่ เดินตามห่างๆ
เขาเอ่ยออกมาอย่างอารมณ์ดี

"มิน่า...หัวหน้าถึงเป็นเอามาก...เพราะอย่างนี้นี่เอง...หึๆๆ
อย่าว่าแต่หัวหน้าเลย ถ้าผมไปเจอข้างนอก
ผมก็คงเป็นเหมือนหัวหน้า เหมือนกัน..."

จางหลี่ มองไปรอบๆ ก่อนเดินตามไป อย่างห่างๆ....
.................

ธนูถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเชิญไปให้ปากคำ หลังจากให้การเรียบร้อย
เขารีบขึ้นรถออกไปหา นฤมลที่ห้องทันที นฤมลถือน้ำเปล่า
ใส่น้ำแข็งให้เขาดื่ม เพื่อดับความพลุ่งพล่าน
นฤมลอ้อมไปด้านหลัง บีบนวดที่ไหล่อันแข็งแกร่งของธนู
อย่างอ่อนโยน พร้อมปลอบประโลมว่า

"ใจเย็นๆ นะคะ คุณพี่ คุณหนูแกยังเด็ก อาจทำอะไรโดยไม่ยั้งคิด
จึงทำให้คุณพี่หงุดหงิดรำคาญใจ แต่อาผิงคิดว่า
แกคงทำไปด้วยความหวังดี ที่ต้องการให้เพาวเวอร์ฯ
เติบโตอย่างไม่หยุดยั้ง..."

"คิดตื้นๆ นะสิ...ทำแบบนี้มันเท่ากับ เผากิจการทิ้ง
วิธีหาเงินมีตั้งมากมาย ดันมาเลือกวิธีการโกงชาวบ้านชาวช่อง
แล้วต่อไป เพาเวอร์จะยืนที่ตรงไหนได้อีก...สิ้นคิด..."

"แล้วคุณพี่จะยอมให้คุณหนู ต้องติดคุกหรือคะ
มันโหดร้ายเกินไปสำหรับ ผู้หญิง อายุ 20 กว่าๆ
อาผิงคิดว่าคุณพี่ ต้องมีแผนอันแยบยล
เพื่อให้คุณหนูรอดพ้นจากวิบากกรรมในครั้งนี้...ใช่ไหมคะ"

ธนูนิ่งไปครู่ ก่อนถอนลมหายใจ แล้วดึงมือ
ให้นฤมลมานั่งข้างๆ เอ่ยออกมาอย่างท้อแท้

"คงมีวิธีเดียว...ผมจะประกาศขายกิจการ
นำเงินมาจ่ายให้คนที่ต้องเดือดร้อนเพื่อรักษาชื่อเสียงเอาไว้
ผมดูแล้ว น่าจะพอจ่ายให้กับเจ้าหนี้ทั้งหมดได้
รวมทั้งค่าปรับของโกลด์ไลอ้อนที่ทำให้เขาต้องเสียชื่อเสียง
ต่อไป...ผมคงเหลือแต่ตัว ผมก็คงไม่อาจไปคบกับคุณได้อีก
เพราะคุณอาจจะชื่อเสียงมัวหมองไปด้วย...
ผมขอโทษนะ...อาผิง"

"คุณพี่คิดอะไรแบบนั้นละคะ เราเหมือนคนคนเดียวกันแล้ว
ถ้าคุณพี่เดือดร้อน อาผิงก็ต้องช่วยคุณสิคะ เราจะผ่านวิกฤติไปด้วยกัน
แล้วอย่าพูดกับอาผิงแบบนี้อีกนะคะ..."

"ผมรักคุณจัง อาผิง ถ้าไม่มีคุณอยู่ใกล้ๆ ผมคงจะบ้าตายไปแล้ว
แต่ก่อนที่ผมจะล้มละลาย ผมอยากให้อะไรคุณ ก่อนมันจะถูกยึดไป..."

ธนูลงไปบนพื้นคุกเข่าต่อหน้า นฤมล ก่อนล้วงเอากล่องแหวน
ออกมายื่นให้ เขาเปิดฝาออก ที่ปรากฎเป็นแหวนทองคำขาว
เกลี้ยงหนึ่งวง ตรงด้านหน้าสลักด้วยรูบหัวใจคล้องกัน
ต่อหน้า นฤมลนั่งตัวชาไปครู่ น้ำตาของความปิติไหลหลั่งออกมา
มือขวาปิดปากเพื่อไม่ให้ร่ำร้องออกมา ธนูกล่าวต่อ

"คุณอยู่ในวงการเพชรเลอค่า ดังนั้นคุณคงเห็นเพชรเป็นดั่งกรวดทราย
ผมจึงสั่งทำแหวนชนิดพิเศษนี้ให้คุณ เพื่อคุณ แต่งงานกับผมนะ
ไม่ต้องจดทะเบียน เพราะผมอาจทำให้คุณเดือดร้อน ผมแค่อยากให้คุณ
เคียงข้างผมแบบนี้ไปเรื่อยๆ ตกลงนะครับ..."

ความจริง นฤมลอยากตะโกนว่าตกลง หลายๆครั้งแต่เธอ
กลับพูดไม่ออก เพราะทุกคำพูดมันจุกที่ลำคอ
เธอเป็นคนวางแผนให้กิจการของเขาล้มละลาย แล้วเธอจึง
ยื่นมือ ไปปิดกล่องแหวนลง ใบหน้าที่แย้มยิ้มของธนู
ค่อยๆ สลายลง ธนูคิดว่า หญิงสาวอาจจะเกรงการแต่งงาน
กับคนที่กำลังจะล้มละลาย ธนูจึงฝืนยิ้ม แล้วลุก
ขึ้นยืน เอ่ยอย่างแผ่วเบา

"อาผิงผมเข้าใจดี...ว่าสถานะการณ์เป็นอย่างไร ตอนนี้คงไม่เหมาะ
ในการขอแต่งงาน...แต่ถึงอย่างไร ผมก็รักคุณนะ...งั้นผมขอตัว..."

ธนูเดินจากไปโดยไม่หันมามอง หญิงสาว ที่ตกตะลึง
จนพูดอะไรออกมามิได้ นั่นเป็นเพราะเธอเจ็บปวดในอก
จนทำอะไรไม่ได้ ทำอะไรไม่ได้อย่างแท้จริง
เธอได้แต่มองแผ่นหลังที่กว้างใหญ่เดินออกไปจากห้อง
อย่างเงียบงัน.....และนี่เป็นครั้งแรกที่เธอเจ็บปวดในรัก
เพราะที่ผ่านมา เธอเจ็บปวดเพราะความริษยาเท่านั้น....
......................

ศิริศรรับประทานอาหารในร้านข้าวต้มข้างทาง ชายหนุ่ม
สั่งอาหารมาเต็ม ต่างคนต่างทานจนกับข้าวบนโต๊ะ
อันตรธานไปสิ้น ทั้งสองมองหน้ากัน แล้วหัวเราะออกมา
หลังจากนั้น ทั้งสองก็ออกเดินย่อยอาหาร
สิทธิชัยเอ่ยออกมา

"ตอนที่ผมอยู่ไต้หวัน
ได้มีโอกาสติดต่อกับนักธุรกิจชาวอินเดียท่านหนึ่ง
เขาจะบอกเคล็ดลับในการมีชีวิตยืนยาวให้ผมฟัง
ลูกศรอยากรู้ไหม?..."

"อยากสิคะ...ช่วยบอกเคล็ดลับให้ลูกศรทราบด้วย...คุณบูร์"

สิทธิชัย มองไปข้างหน้ายิ้มเล็กน้อยแล้วเฉลย

"เมื่อเราทานอาหารอิ่ม ก็ชวน
คนที่เราอยากเดินไปด้วยตลอดชีวิตเดินไป เดินมา
พูดคุยกัน อย่างสม่ำเสมอ แค่นี้ เราก็จะมีชีวิตที่เป็น อมตะ..."

ศิริศรหน้าแดง ก่อนเปลี่ยนเรื่องทันที

"แล้วคุณบูร์รู้ได้ไง ว่าลูกศรอยู่ที่นี่..."

"ลูกศร จำไม่ได้หรือ ว่าผม...คือหลิวตง
แห่งมังกรไม้ ตำแหน่งไม้ศิลา
ดังนั้นเรื่องข่าวสารอะไรทุกแห่ง ผมรู้หมด...จริงๆ นะ
ถ้าไม่เชื่อคุณลองให้ผม
ตามใครสักคนที่อยู่ต่างประเทศสิ ผมก็ทำให้คุณได้..."

ศิริศรทราบทันทีว่า สิทธิชัย หมายถึงอะไร...เธอหยุดเดิน
แล้วเอ่ยออกมาอย่างเสียงสั่น

"คุณมาที่นี่...เพื่อมาหาลูกศร...
เพื่อช่วยลูกศรไม่ใช่มาปลอบใจหรือคะ....คุณบูร์..."

สิทธิชัย เดินมายืนต่อหน้าหญิงสาว เธอเป็นคนเข้มแข็งที่สุดคนหนึ่ง
ที่เขาเคยพบ แต่ยามนี้ ศิริศรอ่อนแอเกินกว่าจะแสดงความเข้มแข็ง
น้ำตาที่ไหลออกมานั้น มาจากความตื้นตัน ชายหนุ่มยื่นมือมา
เช็ดน้ำตาให้อย่างแผ่วเบา เขากล่าวด้วยน้ำเสียงแน่นหนัก

"ลูกศร...ไม่ว่าต่อไปเราจะเป็นอะไรกัน...ผมนายสิทธิชัย เจริญบูรพา
ขอสัญญาว่า....จะขอปกป้อง ศิริศร กาญจนกิจ ให้ปลอดภัย
ต่ออันตรายทุกรูปแบบ ฟ้า และ ดิน เป็นพยาน..."

ศิริศรใช้ทั้งสองมือของเธอจับที่มือขวาของเขามาแนบกับแก้ม
ก่อนจะเอ่ยออกมาเช่นเดียวกัน

"ดิฉันศิริศร กาญจนกิจ ขอสัญญาว่า
ไม่ว่า คุณสิทธิชัย เจริญบูรพาผู้นี้ จะเคยทำอะไรไว้ หรือในอนาคต
ดิฉันจะให้อภัยเขาในทุกๆ เรื่อง ฟ้าดิน เป็นพยานค่ะ..."

สิทธิชัย รวบดึงศิริศรเข้ามากอดอย่างแนบแน่น
เพราะเขาสะเทือนใจเป็นอย่างมาก เพราะไม่รู้ว่า เธอจะให้
อภัยเขาได้หรือไม่ เพราะคนที่วางแผน และลงมือ
ทำร้ายบิดาของเธอ...ก็คือตัวเขาเอง...ศิริศรก็กอดร่างของ
เขาอย่างแผ่วเบา เธอรู้สึกอบอุ่น และปลอดภัย
เมื่ออยู่ในอ้อมแขนนี้....เธอรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ...

หลังจากไปส่งศิริศรที่ห้องพัก สิทธิชัย
โทรไปขอความช่วยเหลือจาก มังกรไม้ เฉินอี้หลง หัวหน้าของเขา
เพืีอช่วยตามหาใครคนหนึ่ง แล้วส่งกลับประเทศไทยโดยด่วน
พร้อมยังหาสถานที่พักใหม่ให้ศิริศร เพื่อความ
ปลอดภัยมากยิ่งขึ้น เพราะเขาเกรงว่าเอกจะเข้ามาก่อกวน
เพราะที่เชียงใหม่ก็ถือว่าเป็นถิ่นของศัตรู นั่นก็คือ
เอกนั่นเอง ตอนนี้เขาคือศัตรูของ สมิงดำ ผู้อำมหิตที่สุด
ในภาคเหนือ แล้วอิทธิพลของกลุ่มสมิงดำ นับวัน
ยิ่งแก่กล้า.....แผ่ขยายอย่างไม่หยุดยั้ง....
.............................

สี่วันต่อมา ธนูเดินทางมาแถลงผลเรื่องการสอบสวนของคดี
ปั่นราคาตราสารหนี้ แล้วยักยอกเป็นของบริษัท ต่อหน้านักข่าว
หลายสำนัก ผู้ที่ต้องเดือดร้อนจากการเสียทรัพย์ ตัวแทนของ
โกลด์ไลอ้อน จากต่างประเทศ ก็เข้ามาฟังถ้อยแถลงของเขา
นฤมลนั่งอยู่ในกลุ่มผู้เสียผลประโยชน์ เยื้องไปทางคณะผู้บริหาร
ส่วนเดวิดหยาง นั่งอยู่เคียงข้าง ธนูนักข่าวร้องถามถึงศิริศร
ซึ่งเป็นเหมือนตัวต้นเหตุ โฆษกของเพาวเวอร์ จึงตอบว่า

"ตอนนี้คุณศิริศรเธอป่วย จึงไม่สะดวกที่จะมาตอบข้อซักถาม
ผมขอเป็นตัวแทน ตอบข้อซักถามทั้งหมด
เชิญตัวแทน สอบถามได้เลยครับ"

โดยมากจะเป็นคำถามถึงเงินลงทุนของประชาชนที่ลงไว้
จะได้คืนเมื่อไหร่ แล้วบทลงโทษของผูบริหารที่
ทำผิด จะได้รับโทษเช่นใด กิจการของเพาวเวอร์
จะปิดตัวลงหรือไม่ โฆษกตอมออกมาเป็นข้อๆ

"ตอนนี้ทางคุณธนู ท่านประธาน ของเพาวเวอร์อินฟินีตี้
ได้นำทรัพย์สินส่วนตัวออกมาเพื่อจ่ายชดเชยให้กับ
ผู้ร่วมลงทุนที่เสียผลประโยชน์ตามมูลค่าของที่ท่านถือครอง
ส่วนบทลงโทษของผู้กระทำความผิด ก็ขอให้ยึดตัวบทกฎหมาย
ส่วนกิจการเพาวเวอร์ ก็ยังคงดำเนินการต่อ
แต่อาจจะเปลี่ยนผู้บริหารชุดใหม่"

นั่นคือเรื่องของคนที่ถือครองหุ้น และผู้ร่วมลงทุนในรูปแบบทรัสต์
แต่ยังมีปัญหาที่ทางโกลด์ไลอ้อน ที่ได้ฟ้องร้อง ธนูนั้นได้คุยกับ
เดวิดหยางขอให้ช่วยต่อรอง เรื่องค่าเสียหายที่เกิดขึ้น
เดวิดหยางจึงแจ้งให้ธนูทราบว่า ค่าปรับนั้นจะต้องจ่าย
ไม่เกิน 3.5 ล้าน ยูเอสดอลล่า ซึ่งธนูก็จึงวางใจ
เพราะมันจะพอดีกับทรัพย์สินส่วนตัวของเขา เกินอยู่ไม่มาก
ซึ่งเขาพอที่จะหยิบยืมมาก่อนได้ แต่เมื่อตัวแทน
นำใบสัญญามาวางต่อหน้า

ธนูถึงกับ ทำปากกาหลุดมือ เพราะตัวเลขมันเปลี่ยนเป็น
35 ล้านยูเอสดอลล่าร์ หรือเท่ากับ 700 ล้านบาท
โดยประมาณ ธนูหันมามอง เดวิดหยาง เหมือนจะสอบถามว่า
'ทำไมมันมากมายมหาศาล กว่าที่ประมาณไว้ตอนแรก...'
เดวิดหยางแสร้งส่ายศีรษะ แล้วก้มหน้า เหมือนจะบอกธนูว่า
'ผมเสียใจด้วย ผมพยายามแล้ว
แต่ทางโกลด์ไลอ้อน ต้องการเรียกร้องค่าเสียหายเท่านี้...'
แต่เมื่อก้มหน้า เดวิดหยาง ดวงตาเป็นประกาย
พร้อมรอยยิ้มที่เหยียดบนมุมปาก อย่างร้ายกาจ

ธนูมองสัญญาเล่มนั้น มือสั่นอย่างควบคุมไม่ได้
ถ้าเขาไม่เซ็น บุตรสาวก็ต้องโดนเจ้าหน้าที่ตำรวจ ไปตามจับตัว
ตอนนี้เขาได้แต่ ยอมเป็นหนี้จำนวนนี้ เพื่อให้ ศิริศรรอดพ้นคุก
เมื่อสูดลมเข้าปอด เขาก็หยิบปากกามาถือไว้ เขามองไปยัง
นฤมล ที่นั่งใบหน้าเศร้าหมอง เธอผงกศีรษะหนึ่งครั้ง
เป็นความหมายว่า
'...ไม่ว่าจะอย่างไร ดิฉันจะยืนอยู่ข้างคุณ...'
แล้วเขาก็จะเซ็นในช่องลงนาม แต่ทันใดนั้นมีเสียงดังขึ้น

"ท่านประธาน ดิฉันขอคัดค้าน...การลงนามในครั้งนี้...."

แล้วผู้ที่เดินเข้ามา เป็นศิริศร ตามด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจ
เยาวเรศ และ ส.ส.บารมี ที่มาเป็นพยานกิตติมศักดิ์
ธนูเกรงว่าบุตรสาวจะถูกจับตัวจึงลุกขึ้นสั่งอย่างเฉียบขาด

"คุณศิริศร เรื่องนี้ใกล้ยุติแล้ว มีอะไร เราค่อยไปคุยกันที่บ้าน..."

"ไม่ค่ะ เรื่องนี้จะไม่ยุติ ถ้าคนร้ายตัวจริง...
ยังไม่ถูกจับ และผู้บงการยังไม่เผยโฉม..."

ศิริศร มองไปยังเดวิดหยาง ที่สายตาเรียบเฉยยามจับจ้อง
แล้วศิริศร ก็หันมามองที่....นฤมล ด้วยสายตาที่
ดุดันเป็นอย่างยิ่ง...เพราะตอนนี้ เธอรู้สึกเคียดแค้น
ผู้หญิงคนนี้ เป็นอย่างมาก หรืออาจมากที่สุด เป็นเพราะ
เมื่อสามวันที่แล้ว เกิดเรื่องขึ้น ผู้ต้องสงสัยก็คือเธอคนนี้
แล้วเธอก็รู้แล้วว่า ชื่อเดิมของเธอก็คือ ........
นฤมล เจริญบูรพา......

....................สามวันก่อน................

ศิริศรไปพักที่บ้านพักที่สิทธิชัยจัดไว้ เธอนำสมุดโน๊ตมาเขียนชื่อ
ของคนที่เธอเคยได้ยิน ที่คิดว่าเป็นศัตรูของบิดา และมารดา
ของเธอ มาเขียนชื่อไว้ คนที่หนึ่ง คือสมเจตน์ เจริญบูรพา
คนที่สองนฤมล เจริญบูรพา คนที่สามหิรัญ คนที่สี่มาริสา หว่อง
คนที่ห้า เดวิด หยาง คนที่หก สิทธิชัย เจริญบูรพา
ศิริศร ขีดชื่อออก เป็นคนแรกคือ สมเจตน์ คนที่สองหิรัญ
คนที่สาม นฤมล ความจริงเธอจะขีด สิทธิชัยออก
แต่เพราะนามสกุล เจริญบูรพา จึงทำให้เธอไม่สามารถ
ขีดชื่อของสิทธิชัยออกไปได้ ดังนั้น เธอเหลือผู้ต้องสงสัย
เพียงสามคนคือ มาริสา เดวิดหยาง และสิทธิชัย

หญิงสาวโทรไปหาท่านรองสิงห์ เพื่อสอบถามประวัติของ
มาริสา และ เดวิดหยางท่านรองเมื่อรับสาย ก็อด
หัวเราะเสียงดังออกมาไม่ได้

'....ไอ้ตัวแสบ...เดี๋ยวนี้ดังใหญ่เชียวนะ
นี่แกรู้ไหมว่าตอนนี้แต่ดังมากเลยนะ
แล้วไปทำอิท่าไหนล่ะ ถึงกลายเป็นแบบนี้ได้....'

"ลุงสิงห์ขา ตอนนี้ลูกศรต้องการความช่วยเหลือ
ยังมาเหน็บลูกศรอีก"

'....ฮาๆๆ...เอาล่ะๆ....จะให้อาสิงห์ช่วยอะไรก็บอกมา แต่จะให้ช่วย
แกหลุดจากคดี ในตอนนี้ อาคงช่วยแกไม่ได้นะ...'

"ลุงสิงห์คะ คุณพ่อเคยพูดอะไรกับคุณลุงเรื่องมาริสาหว่อง
เจ้าของ ไวท์ฟ็อกซ์บ้างหรือเปล่า
และ คนชื่อ เดวิดหยางว่าเขาเป็นใคร...กันแน่..."

'....อาสิงห์คง...บอกอะไรแกไม่ได้หรอก...
แต่มีคนที่อาสิงห์พอที่จะแนะนำให้
เขาเป็นนักสืบที่ไอ้ฮกมันจ้างให้สืบประวัติของ
มาริสา...หว่อง... ตั้งแต่แรก...'

"อะไรนะ...คุณพ่อเขาให้สืบประวัติของมาริสา...ตั้งแต่เมื่อไหร่คะ..."

'....ตั้งแต่ตอนที่แก...ลงมากรุงเทพ เมื่อปีที่แล้ว
และแกก็ถูกคนของนายหิรัญจะจับตัว
แล้วลุง เอ้ย!..อาสิงห์ก็ตามไปช่วยนั่นแหละ!
ทีนี้ พอจะเห็นภาพอะไรไหม...แม่คนฉลาด...."

"เขาชื่ออะไรคะ...ลุงสิงห์...สุดหล่อของลูกศร"

'....เรียกอาสิงห์ก่อน....'

"อาสิงห์...ขาาาาา...บอกหนูศรหน่อยนะคะ...นะคะ...อาสิงห์"

'....เขาชื่อ ทวี บุญรักษา...นักสืบเอกชนที่เก่งมาก
แล้วเขาเคยเป็นครูฝึก...ของอาสิงห์มาก่อน...'

"ถ้าอย่างนั้นเขาก็ต้องอายุมากแล้วนะสิ เพราะลุง เอ้ย!...อาสิงห์
ก็อายุปูนนี้ แล้วลุงทวีนั่นเขาจะอายุเท่าไหร่กันแน่"

'....อายุเหรอ ก็น่าจะสัก 70 ปีแล้ว เขาอยู่เชียงใหม่ด้วยนะ
แล้วจะเอาเบอร์โทรไหมไอ้ตัวแสบ....'

เมื่อได้เบอร์โทรศัพท์ ศิริศรจึงโทรไปนัด ลุงทวีทันที
เขานัดพบเธอในวันรุ่งขึ้น ทันที ศิริศรขับรถไปหาลุงทวี
ที่บ้านพัก แถว อำเภอหางดง บ้านของลุงทวีเป็นบ้านไม้
เพาะกล้วยไม้ไว้ขาย ภายในบ้านมีรูปถ่ายสมัยเป็น
สายสืบ ปิดคดีมากมาย และเป็นครูฝึกให้นักเรียนตำรวจในหลายๆรุ่น...

"นี่คือประวัติของ มาริสาหว่องในทางตรง..."

หญิงสาวขมวดคิ้วอย่างสงสัย จึงเอ่ยถาม

"ประวัติในทางตรง...ของมาริสาหว่อง...งั้นแสดงว่า
มาริสาหว่องมีประวัติในทางอ้อมด้วยนะสิ...ลุงทวี..."

"ใช่จะแม่หนู...ประวัติของมาริสาหว่อง....มีสองสายที่มาผสมกัน...
มาริสาหว่อง...ในตอนนี้...ก็คือ...นฤมล เจริญบูรพา
ที่มีข่าวว่าเธอตายไปแล้ว แต่ความจริงร่างของนฤมลที่พบ
ในที่เกิดเหตุ ก็คือร่างของ...มาริสาหว่อง
ที่ตายไปก่อนหน้า...ทีนี้ แม่หนูพอเห็นภาพหรือยัง"

ลุงทวี นำหลักฐานที่เขารวบรวม มาอยู่ตรงหน้า ศิริศรพิจารณา
อย่างถ้วนถี่ ทั้งจากภาพถ่ายของศพ นฤมล ที่ฝ่ายพิสูจน์
หลักฐานในที่เกิดเหตุ มาริสาหว่อง ตัวจริง มีไฝที่ต้นแขน
ด้านซ้าย ภาพของศพนฤมล ก็มีไฝ 2 จุดเช่นเดียวกัน
ถ้าเป็นเรื่องจริง เรื่องนี้มันซับซ้อนมากกว่าที่เธอคิด
เธอใช้ความคิดทันที

'นฤมล เจริญบูรพา คุณแม่เคยเล่าให้ฟังเกี่ยวกับผู้หญิงคนนี้
ว่าเป็นคนสวย โฉบเฉี่ยว เฉลียวฉลาด ไม่ยอมแพ้ต่อสิ่งใด
ข้อสำคัญ เธอคนนี้ ภักดีต่อ
สมเจตน์ เจริญบูรพา ผู้ที่ถูกฆ่าตายกลางทะเล
และคุณพ่อ ก็เป็นผู้ต้องสงสัย
สมเจตน์ เจริญบูรพา...ก็คือ พ่อของคุณบูร์....ถ้าเป็นเช่นนั้น
คุณบูร์ ก็อาจจะร่วมมือกับ นฤมล เพื่อแก้แค้น คุณพ่อ...'

ศิริศรจึงเอ่ยถามอีกครั้ง เพื่อความแน่ใจในความสัมพันธ์ของทั้งสอง

"ลุงทวีคะ...นฤมล...เกี่ยวข้องกับ คุณสิทธิชัย เจริญบูรพา
ในฐานะอะไรคะ...."

"อืม...เท่าที่สืบ นฤมล มีศักดิ์เป็น อาหญิง
คือน้องสาวของแม่สิทธิชัย ที่เสียชีวิตในการคลอดเขาออกมา
ผมไม่รู้ว่า ทำไม ไม่ให้สิทธิชัยเรียกว่าเป็นแม่
อาจเป็นไปได้ว่า นฤมลรักพี่สาวของเธอมาก
จึงไม่ยอมมาอยู่ในตำแหน่งนั้น
แต่มันยืนยันความสัมพันธ์ของคู่นี้ได้ดีว่า
ทั้งสองรักกันเหมือนแม่ลูกกันจริงๆ
เธอยอมทำทุกอย่างเพื่อนายสิทธิชัยอย่างแน่นอน"

"ถ้าอย่างนั้น ขอประวัติของนฤมลทั้งหมดให้หนู นำไปศึกษาก่อนนะคะ..."

"ได้สิ...มันเป็นของพ่อหนู ดังนั้น มันก็เป็นของหนูด้วย..."

จากนั้น ศิริศรจึงขอให้ลุงทวีช่วยสืบประวัติของ เดวิดหยาง
แบบเร่งด่วน ซึ่งลุงทวีก็รับปากว่า วันพรุ่งนี้ จะนำ
ไปให้เธอที่ห้องสมุดของมหาวิทยาลัย ในวันพรุ่งนี้...
ศิริศรจึงไปที่มหาวิทยาลัย เพื่อศึกษาประวัติของนฤมล
อย่างละเอียด....แล้วเธอก็ไม่ต้องการให้สิทธิชัยทราบว่า
เธอกำลังสืบประวัติของ นฤมลเพื่อทราบสาเหตุของ
การต่อสู้กันในครั้งนี้......
.......................

ศิริศรใช้เวลาในห้องสมุดมีมุมหนึ่งที่เธอชอบไปนั่งอ่าน
และค้นคว้า เป็นมุนด้านใน เธอค่อยๆอ่านอย่างช้าๆ
เพื่อซึมซับความคิดของผู้หญิงคนนี้ การที่จะรับมือกับใครก็ตาม
คุณต้องรู้ว่าเขาคิดอะไร นี่คือความคิดของศิริศร
แสงที่ส่องผ่านกระจกฝ้า ส่องมายังหญิงสาว มันบังเกิดแสงสว่าง
เป็นประกาย ราวกับว่า มีร่างของหญิงสาวสะท้อนออกมาอีกคน
โอบเธออยู่ด้านหลัง อย่างอ่อนโยน ตอนนี้ศิริศรเหมือนมี
สองวิญญาณ คือวิญญาณที่เข้มแข็งดุจดั่งบิดา และอีกวิญญาณคือ
อ่อนโยนลึกซึ้ง ที่เป็นดั่ง มารดาของเธอคือ...นรี นั่นเอง....

ศิริศรศึกษาประวัติของนฤมลจนเสร็จสิ้น เธอนำเอกสาร
ที่ได้จากลุงทวี มาเก็บในกล่องรับฝาก ที่เธอเคยเป็น
สมาชิก แล้วเธอจึงเดินไปหา อ.สามารถ ที่ห้องทำงาน
ตอนนั้นเวลาประมาณ หกโมงเย็น เนื่องจากเป็นฤดู
หนาว บรรยากาศจึงมืด เธอไปที่ตึกก็ไม่พบ
ผู้ช่วยบอกว่าอาจารย์เดินไปที่ห้องพัก

"พี่ก็ได้ยินไม่ถนัด ...เห็นว่า มีงานวิจัยที่จะนำมาให้ อะไรนี่แหละ
แล้วอาจารย์ก็รีบออกไป...แถมยังบอกด้วยนะว่า 'มีทางรักษาแล้ว'
ท่าทางอาจารย์ดีใจมากเลย...สงสัย จะมีสูตรใหม่...ยินดีด้วยนะ..."

"พี่พูดจริงหรือคะ....ลูกศรดีใจจัง..."

เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า ผ่านไป ทุ่มหนึ่ง แล้วมีรุ่นพี่ที่เป็น
ผู้ช่วยคนที่สองวิ่งหน้าตาตื่น บอกข่าวร้ายให้ทั้ง
สองทราบ อย่างตื่นตระหนก

"อาจารย์ ถูกแทง ตรงทางเดินข้ามถนน ตอนนี้อยู่โรงพยาบาล..."

"อะไรนะคะ...อาจารย์ ถูกแทง เมื่อไหร่..."

"พี่ก็ไม่รู้ มีคนมาบอกพี่ อาจารย์ฝากให้น้องมาบอก ที่นี่ให้
เรียกลูกศรมาหาด้วย...เร็วเข้า เดี๋ยวไม่ทัน..."

ศิริศร เกือบน้ำตาไหลหลั่ง แม้แต่อาจารย์จะเจ็บตัว
ก็ยังคิดถึงคนอื่นอีก เธอรีบตามรุ่นพี่ไปทันที

เมื่อมาถึงที่โรงพยาบาล นายแพทย์แจ้งว่า เขาสิ้นใจแล้ว
เพราะมีดแทงเข้าด้านใต้ราวนม คมมีดแทงเสยเข้า
หัวใจในครั้งเดียว โลหิตตกใน เสียชีวิตในเวลาไม่นาน
โลหิตออกมาจากบาดแผลเล็กน้อย ผู้ที่พบอาจารย์ว่า
ถูกแทง ให้การกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายสอบสวนว่า คนร้าย
ใส่เสื้อสีดำ เดินมาชนอาจารย์ หนึ่งครั้ง แล้วเดินจากไป
เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ส่วน อ.สามารถ
เหมือนไม่รู้ตัวว่าถูกแทง เพราะเขาเดินข้ามถนนอีก
เกือบสิบเก้า แล้วจึงล้มลง พยานคนที่สอง
ที่เป็นนักศึกษาจึงเข้าประคอง เขากระซิบบอกว่า

"ตาม ลูกศรมาหาอาจารย์ ด่วน...!..." แล้วอาจารย์ก็หมดสติ
ก่อนมาสิ้นลมที่โรงพยาบาล ศิริศรได้ยินทุกคำ
เธอทรุดลงไปนั่งยองร้องไห้ออกมาอย่างไม่อายผู้ใด
ผู้ช่วยที่เดินตามมาเข้ามาประคอง แล้วต่างกอดกันร่ำไห้
อย่างไม่อายสายตาของใครๆ....

ศิริศรไม่อาจร่วมงานศพของอาจารย์สามารถได้...
เพราะเธอมีเรื่องต้องทำ เธอไม่แน่ใจว่าที่ เขาต้องสิ้นใจมัน
มาจากการคิดช่วยบิดาเธอหรือไม่...เธอคิดเพียงว่า
ต้องสืบเรื่องการเสียชีวิตของ อ.สามารถ เพื่อลงโทษ
คนร้ายที่ลงมืออย่างเหี้ยมโหด เธอรู้ได้ทันทีว่า
คนร้ายต้องชำนาญการใช้มีดเป็นอย่างมาก เพราะแทงเพียง
ครั้งเดียว เข้าหัวใจโดยมีโลหิตออกไม่มาก นั่นแสดงว่า
มีดที่แทงต้องบาง และคม ความยาวของมีดไม่ควร
เกินหนึ่งฟุต เธอนึกถึงมีดที่พบในที่เกิดเหตุ
ในคดีทำร้ายบิดาอย่างช่วยไม่ได้ หญิงสาวคำรามออกมา

"นฤมล เจริญบูรพา คงไม่ใช่เธอ ที่ทำร้ายอาจารย์
แต่ถ้าเธอเป็นคนทำ...ฉันจะทวงความยุติธรรม....จากเธอเอง...."

ศิริศรโทรศัพท์ถึง ลุงทวี เธอแจ้งว่า ต้องการจะให้เขาสืบคดี
การเสียชีวิตของ อ.สามารถ ว่าใครคือคนลงมือและใคร ...
คือคนบงการ ลุงทวีรับคำ พร้อมแจ้งเบอร์บัญชีที่หญิงสาว
ต้องโอนให้เป็นค่าใช้จ่าย...หญิงสาวจด
ลงในสมุดบันทึก ก่อนวางสาย เธอย้ำอีกครั้ง

"คุณลุงคะ...หนูต้องทราบให้ได้ว่า
ใครเป็นคนลงมือ แล้วใครเป็นคนสั่งการ..."

'....แน่นอนจ่ะหนู...ลุงจะดึงโม่งของคนร้ายให้เอง ไม่ต้องห่วง.....'

เมื่อวางสาย เธอจึงเขียนจดหมายถึงสิทธิชัย แล้วฝากให้
คนที่โรงแรมที่เธอพัก แต่เป็นอีกที่ จากที่พักเดิม
เพื่อส่งไปที่ห้องพักที่สิทธิชัย อาศัยอยู่ ใจความมีอยู่ว่า......

'....ถ้าลูกศรจะวางใจใคร...คงจะวางใจคน ที่เขา
ไม่ใช้ นามสกุล...เจริญบูรพา...ขอบคุณมากนะคะ
ที่กรุณาช่วยลูกศร ขอบคุณ สำหรับความอบอุ่นจากไมตรี....
พบกันครั้งต่อไป เราคงไม่ใช่ศัตรูกัน...ลูกศรหวังเช่นนั้น......
......ลูกศร.......'

นั่นคือสามวันที่ผ่านมา ในตอนนี้ คือการเผชิญหน้า
เป็นครั้งแรกของ นฤมล เจริญบูรพา กับ ศิริศร กาญจนกิจ
นฤมลอมยิ้มเล็กน้อย ดวงตานั้นส่องประกายอย่างเยือกเย็น
ปะทะสายตาที่เจิดจ้า ดุจดวงตะวันของศิริศร......

-------------------------------



ภูวีร์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 17 ม.ค. 2558, 08:29:27 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 17 ม.ค. 2558, 08:29:27 น.

จำนวนการเข้าชม : 1283





<< ฝังเขี้ยว...ขย้ำ   สยบพญากุมภีร์ ในหนองน้ำอันเย็นเยียบ >>
หนอนหนังสือ 18 ม.ค. 2558, 14:40:15 น.
"คิดตื้นๆนะสิ...วิธีการหาเงินมีตั้งมากมาย ดันเลือกวิธีโกงชางบ้านชาวช่องเขา" ฮ่าๆๆ อ่านแล้วคิดภาพมันขำอะค่ะ
โอยย ตัวเองก็ไม่ใช่รู้เรื่องอะไรสร้างแต่ปัญหา ละยังมาว่าน้องลูกศรอีก แบบนี้มันเข้าสำนวนไหนนะคะ อ่อ เข็นครกขึ้นภูเขา ฮ่าๆๆ
รอฉากปะทะกันระหว่างสองสาวสวยค่ะ รุ่นเล็ก vs รุ่นใหญ่


ภูวีร์ 18 ม.ค. 2558, 16:53:20 น.
นั่นนะสิครับ ตนเองสร้างปัญหาให้น้องศรต้องไปแก้ไข ยังมาว่าน้องแบบนั้นอีก...เห้อ!...เข้าสำนวนไทยที่ว่า...เห็นมดเดิน อยากเดินเหมือนมด...(มีหรือเปล่าน๊าาา..)

ตอนหน้า จะเป็นการเชือดเฉือนระหว่างสาวสวยเล็ก กับสาวสวยใหญ่ รับรองว่ เจ้มจ้น..มว๊ากกก ครับ....


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account