ฝนพรำกลางทะเลทราย
ยังไม่มี
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ ๑


ณ สนามบินขนาดเล็กแห่งอาคาเซีย

พอผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองมาได้ ร่างระหงในชุดสีขาวลายดอกไม้กับผ้าฮิญาบคลุมศีรษะสีเดียวกัน ก็ก้าวลงสู่บันไดเลื่อนเร่งติดตามขบวนของเจ้าหญิงฟาติยะที่นำเสด็จอยู่เบื้องหน้าอย่างกระฉับกระเฉง แม้เกือบไม่ได้นอนมาทั้งคืนบนเครื่องบิน แต่ก็ไม่ได้ทำให้หญิงสาวรู้สึกอิดโรยแต่อย่างใด ตรงกันข้ามเธอกับรู้สึกตื่นเต้นจนยากจะระงับ เมื่อก้าวมาสู่ดินแดนแห่งทะเลทรายเป็นครั้งแรก บรรยากาศภายในอาคารสองชั้นของสนามบินเย็นฉ่ำแสนสบาย หากเมื่อมองผ่านกระจกใสออกไปสู่เบื้องนอกหญิงสาวเห็นประกายเต้นระยิบระยับของผืนทรายและเปลวแดดกรุ่นยามเมื่อต้องแสงสะท้อนอันเจิดจ้าของดวงอาทิตย์



ทรายทะเล.....ดินแดนแห่งความแห้งแล้งและร้อนแรง หากเต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์ยวนใจให้เธอและผู้คนมากหลายอยากลองมาสัมผัสสักครั้งในชีวิต...



และเมื่อเจ้าหญิงฟาติยะแห่งอาคาเซียผู้เป็นทั้งเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัยและเพื่อนสนิทที่รู้จักกันผ่านทางบิดา ซึ่งเป็นนักการทูตของเธอตั้งแต่สี่ปีที่แล้ว ได้ออกปากชวนเธอมาเป็นเพื่อนเจ้าสาวคนหนึ่งในงานแต่งงานของท่าน ความที่อยากมาสัมผัสดินแดนที่เป็นต้นกำเนิดของเทพนิยาย และวิชาการหลายแขนง โดยเฉพาะวิชาการแพทย์ที่เป็นเธอพึ่งจบมาหมาดๆ หญิงสาวจึงไม่ลังเลที่จะตอบตกลง ดวงตาของหญิงสาวเต้นระริกด้วยความตื่นตา จิตนาการยามอ่านนิทานเกี่ยวกับทะเลทรายในวัยเด็กยังคงโลดแล่นอยู่ในหัว หากความคิดทั้งหมดต้องสะดุดลงเมื่อไร้เงาของร่างอวบอัดของหญิงสาวที่เดินคู่ตลอดตั้งแต่ลงจากเครื่อง บัดนี้เจ้าหล่อนกำลังชะเง้อชะแง้มองหาอะไรบางอย่างอยู่บนบันไดเลื่อน



" เป็นอะไรรึปล่าว เฮเลน่า" นริศถามขึ้นเห็นอีกฝ่ายที่พึ่งก้าวลงจากบันไดเลื่อนขั้นสุดท้าย สีหน้าของเจ้าหล่อนไม่สู้ดีนัก ทั้งยังกวาดสายตามองผ่านผู้คนไปอย่างกระวนกระวายและครุ่นคิด " มองอะไรอยู่น่ะ"



" เหมือนเห็นคนรู้จัก แต่คงไม่ใช่หรอก" เจ้าหล่อนบอกราวกับพึมพำกับตัวเองมากกว่า หญิงสาวเกือบจะเชื่ออยู่แล้ว หากดวงตาสีเทาเข้มไม่รีบหลบเร้นเมื่อสบกันเข้ากับดวงตากลมโตของเธอ " เธอตามเสร็จเจ้าหญิงไปรอที่ห้องวีไอพีก่อนนะเดี๋ยวฉันขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนละ"



ไม่รอฟังคำตอบด้วยซ้ำเจ้าของร่างอวบอัด หมุนตัวเดินไปยังทิศทางที่เหม่อมองไปเมื่อครู่อย่างร้อนรน นริศได้แต่นิ่งอึ้งก่อนหันไปยังร่างที่คลุมด้วยชุดอาบายะห์สีดำยืนนิ่งรออยู่ไม่ห่างนักของผู้นำขบวนและหญิงสาวอีกสามคน เธอเอ่ยขอให้ทุกคนไปรอยังห้องรับรองก่อน เจ้าหญิงพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้แล้วชักชวนผู้ติดตามที่เหลือล่วงหน้าไป หลังจากนั้นจึงรีบเร่งติดตามเฮเลน่าอย่างร้อนใจ ดวงตางามกวาดตามองไปทั่วบริเวณอาคาร แต่ผู้คนค่อนข้างมากเพราะเครื่องบินพึ่งลงมาไม่นานทำให้ยากที่จะเห็น



'เออ รึว่าอยู่ในห้องน้ำจริงๆ' หญิงสาวครุ่นคิดก่อนกลับตัวอย่างรวดเร็วแล้วก้าวเท้าตามคิดโดยไม่ทันมอง พลันร่างของเธอก็ชนเข้ากับร่างของใครบางคนโดยไม่ทันตั้งตัว ร่างสูงใหญ่ในชุดแต่งกายประจำชาติดั่งหินผานั้นไม่สะดุ้งสะเทือนเลยด้วยซ้ำเมื่อโดนชน แต่คนชนกลับเสียหลักแทบจะหงายหลัง ถ้ามือใหญ่นั่นรีบคว้าเอวเอาไว้เสียก่อน ชั่วนาทีใบหน้างามแดงระเรื่อด้วยความเขินอาย ที่ตัวเองทำขายหน้า



" อุ้ย ขอโทษค่ะ " เธอขอโทษอีกฝ่ายเป็นภาษาอังกฤษ



ชายนิ่งงันชั่วขณะก่อนเอ่ยมาเป็นภาษาเดียวกัน แต่ฟังแล้วมีอำนาจแฝงอยู่ในน้ำเสียงนั้น



"ไม่เป็นไร"



เธอขยับตัวออกจากอ้อมแขนนั้นอย่างสุภาพ เมื่อไม่ปรากฎเขารู้สึกโกรธขึ้งออกมาผ่านทางสีหน้าที่เต็มไปด้วยหนวดเครานั้น เธอก็รู้สึกโล่งใจ มีเพียงแววตาดุดันจ้องมองไม่วางตา แล้วผงกหัวนิดก่อนเดินจากไปอย่างรีบเร่งพร้อมผู้ชายที่แต่งกายคล้ายกันห้าหกคน

'ซุ่มซ่ามจริงเรา' เธอได้แต่นึกขำตัวเอง


" มาทำอะไรที่นี่น่ะ" เสียงเฮเลน่านั่นแหละที่ดังมาจากด้านหลังขำๆ เจ้าหล่อนคงเห็นในความเปิ่นของนริศเป็นแน่



" ตามหาเธอน่ะสิ" แกล้งตอบเสียงเข้มเพื่อปกปิดความอาย



"ก็บอกแล้วมาเข้าห้องน้ำ "พร้อมปิดปากหัวเราะอึกอัก "แล้วก็เห็นภาพเด็ดๆ"



"บ้า"หญิงสาวค้อนควักให้กับคนชั่งยั่ว " แล้วเจอคนที่เธอตามหาไหม"



" ตามหาอะไร บอกแล้วว่าไปห้องน้ำ" ร่างอวบอัดตัดบทรีบลากข้อมือพลางชวน" มาเถอะให้คนรอนานไม่ดีนะ"



คนฟังได้แต่กลอกตา แต่ยอมให้ลากไปโดยดี





......

" เจ้าหญิงเสด็จแล้วกระหม่อม "


สิ้นเสียงกระซิบจากมหาดเล็กประจำตัว มงกฏราชกุมารฟารัส อับดุลลา อาร์ บิน แห่งอาคาเซียก็ละสายตาจากหนังสืออ่านเล่น

ที่วางไว้เพื่อให้แขกได้อ่านฆ่าเวลา ในห้องรับรองแขกวีไอพีของ ร่างสูงลุกขึ้นยืนช้าๆ เมื่อเห็นสตรีสาวกลุ่มหนึ่งเคลื่อนตัวเข้ามาภายในห้อง นำหน้าด้วยสตรีร่างระหงสวมชุดอบายะห์คลุมตลอดตัวนั้นคือ เจ้าหญิงฟาติยะน้องสาวของฟารัสที่ถูกส่งไปเรียนโรงเรียนสตรีมีชื่อแห่งหนึ่งในอังกฤษตั้งแต่อายุได้สิบห้าจนจบมหาวิทยาลัยมีชื่อของที่นั่น และตอนนี้กำลังจะเข้าพิธีวิวาห์ในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ ส่วนร่างถัดไปที่ดูเตี้ยกว่าอยู่ในชุดคลุมแบบเดียวกันคือเจ้าหญิงมารีอา วัยสิบห้าปีน้องสาวต่างมารดาของท่าน ด้านหลังของทั้งคู่คือสุภาพสตรีสาวสวยชาวยุโรปสองคนที่แต่งกายสุภาพใบหน้าคลุมด้วยผ้าฮิญาบหลากสีดวงตามีประกายตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด หลังจากรับการทักทายจากน้องๆที่ ยกมือท่านมาแตะที่หน้าผากแล้วเอ่ยว่า




" อัสสะลามุอะลัยกุมท่านพี่(ขอความสันติจงมีแด่ท่าน) "



" อัสสะลามุอะลัยกุม "ท่านซักถามสองสามคำกับคนเป็นน้อง ก่อนหันมาทักทายกับสตรีทั้งสองอย่างเป็นกันเอง เพราะสองสาวนี้เรียนห้องเดียวกันกับเจ้าหญิงฟาติยะและแวะเวียนไปคฤหาสน์หลังใหญ่ในกรุงลอนดอนอยู่บ่อยๆจึงคุ้นเคยกันดี



" สวัสดีครับ คุณเซร่า คุณพอลลีน การเดินทางเรียบร้อยดีใช่ไหมครับ "



" สวัสดีค่ะปรินซ์ฟารัส การเดินทางสะดวกสบายมากเลยค่ะ ตั้งแต่ออกจากลอนดอนมา จนกระทั้งเปลี่ยนเครื่องบินเล็กมาลงที่นี่ทุกอย่างชั้นหนึ่งค่ะ ขอบคุณเจ้าภาพมากนะเพคะ"เซร่าสาวผิวขาวผมทองตาสีฟ้าตอบเสียงใส


" จะให้น้อยกว่านี้ได้ไงละครับ เมื่อทุกคนให้เกียรติมาเป็นเพื่อนเจ้าสาวให้กับน้องสาวผมทั้งที "



" ไม่ได้เจอกันนานเกือบปีแล้วใช่ไหมเพคะ ตั้งแต่ที่ท่านไปเยี่ยมเจ้าหญิงครั้งสุดท้าย แต่ปรินซ์ของเราก็ยังรูปงามเหมือนเดิมนะเพคะ "

คนพูดทำสีหน้าปลื้มสุดๆ เมื่อมองไปยังร่างสูงเพรียว ผิวขาวเกลี้ยงเกลา จมูกโด่งคิ้วหนา โครงหน้างดงามสมชายอย่างคนตะวันออกของเจ้าชายหนุ่ม



" นั่นสิค่ะ "พอลลีนสาวสวยอีกคนกล่าวเสริม "ใครน๊า จะเป็นผู้โชคดีได้เป็นแฟนปรินซ์ของเรา "



" ฉันรู้ละ พอลลีน" เซร่าแกล้งจีบปากจีบคอ " อาจจะเป็นคนที่พึ่งจบหมอแถวๆนี้ก็ได้ "



ฟารัสยิ้มขำ ไม่ได้ถือสาการล้อเลียนแบบล้นๆนั้น เมื่ออยู่ในที่ส่วนพระองค์ แต่ถ้าอยู่พิธีการหรือมีคนของท่านอยู่ด้วยเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เป็นที่รู้ในหมู่ของเพื่อนเจ้าหญิงฟาติยะว่ามงกุฏราชกุมารแห่งอาคาเซียออกจะ 'ปลื้ม' เพื่อนรายหนึ่งของเจ้าหญิงซึ่งเรียนอยู่คณะแพทย์



" แล้วหมอที่คุณเซร่าว่าไปอยู่ไหนเสียละครับ "


" พี่นริศกับพี่เฮเลน่าขอตัวไปเข้าห้องน้ำค่ะท่านพี่ "เจ้าหญิงตัวน้อยมารีอาตอบเสียเอง ท่านออกจะรำคาญสองสาวตั้งแต่อยู่บนเครื่องแล้ว ก็แหมคุยกันอยู่นั่นแหละทำเอาคนที่อยู่ใกล้ๆไม่เป็นอันหลับอันนอน ไม่รู้ตื่นเต้นอะไรกันนักหนา " แน่ะ มาโน้นแล้วคะ "



ฟารัสจ้องไปทางประตูผู้โดยสารขาเข้าด้วยใจเต้น หัวใจของเจ้าชายหนุ่มคล้ายมีผีเสื้ออยู่นับพันในโพล่งอก มันพร้อมที่จะโบยบินไปสู่หญิงสาวที่เดินเข้ามาด้วยท่าทางมั่นใจและยอตัวคำนับท่านอยู่ตรงหน้า นริศ วัฒนศักดิ์ มาเวล สาวเลือดผสมอังกฤษ,รัสเซีย-ไทย ผู้ที่กุมหัวใจท่านไว้ตั้งแต่แรกพบเมื่อสามปีที่แล้ว ถึงแม้ร่างงามระหงนั้นถูกซ่อนไว้ในชุดสีขาวลายดอกไม้งดงามและผ้าคลุมศรีษะสีเดียว เหลือเพียงดวงหน้ารูปไข่เด่นงาม กับดวงตากลมโตภายใต้คอนแทคเลนส์สีน้าตาลเข้มนั้น งดงามจนท่านไไม่อาจลืมเลือนแม้นเวลาผ่านไม่นานแค่ไหน



" นริศ" เจ้าชายหนุ่มเอ่ยราวละเมอ "ผมไม่อยากเชื่อว่าเป็นคุณ"



" สวัสดีค่ะ เจ้าชาย " เสียงหวานปลุกท่านจากภวังค์ "สบายดีนะคะท่าน "



" ครับ แล้วคุณละนริศ " ใจปรารถณาจะรวบมือเรียวนั้นมากุมให้สมกับความคะนึงหา เวลาเกือบปีที่ท่านทุ่มเทให้กับงานในหน้าที่ไม่สบโอกาสที่จะแวะเวนไปเยี่ยมเยี่ยน น้องๆและ 'เพื่อนของน้องสาวคนนี้'เลย



" หม่อมฉันสบายดีค่ะท่าน "เจ้าหนุ่มนึกผิดหวังอยู่ครามครันที่ไม่มีเห็นอาการท่าทียินดีหรือแม้แต่ความกระตือรือร้นในน้ำเสียงนั้น



" ผมได้ข่าวว่าหลังจากงานแต่งงานของฟาติยะแล้วคุณจะ บินกลับไปกรุงเทพฯ เลยเหรอครับ "



" ค่ะท่าน ดิฉันต้องไปรายงานตัวต่อโรงพยาบาลที่ให้ทุนค่ะท่าน และอีกอย่างคุณยายกับคุณป้าคงอยากเจอฉันใจแทบขาด "



น้ำเสียงเรียบนั้นมั่นคงดุจหินผา นี่ก็อีกเรื่อง กี่ครั้งแล้วที่เขายื่นข้อเสนอให้เจ้าหล่อนทำงานในประเทศอาคาเซียนี้ ทั้งจ่ายทุนคืนให้ เงินรายได้ดี สวัสดิการครบครัน แต่ได้ถูกปฎิเสธกลับด้วยน้ำเสียงสุภาพทุกครั้ง มีวิธีใดที่ท่านถึงจะรั้งผู้หญิงคนนี้ไว้ได้ มันต้องมีสักทาง



" น้องหญิงไม่ให้กลับนะคะพี่นริศ " เจ้าหญิงน้อยฉวยมือหญิงสาวไปกอดอย่างรักใคร่ สองปีที่อยู่ที่โน้นเด็กสาวมีความใกล้ชิดกับนริศเป็นที่สุด เพราะนอกจากจะเป็นเพื่อนที่รักที่สุดของพี่สาวแล้ว นริศยังเป็นครูสอนพิเศษให้เธออีกด้วย



" หญิงจะทำให้พี่นริศอยู่กับหญิงค่ะ "

เด็กสาวบอกน้ำเสียงจริงจังดวงตาประกายแวววับ ยากที่ผู้ใดเข้าใจนอกจากเจ้าหญิงเอง นริศกอดร่างนั้นอย่างรักใคร่พึมพำปลอบโยนเบาๆ ความผูกพันธ์ของเธอและเจ้าหญิงองค์น้อยมันมากเกินกว่าที่ใครจะเข้าใจ เมื่อต้องย้ายไปเรียนต่อยังประเทศอังกฤษ ช่วงแรกๆเจ้าหญิงน้อยแทบจะเป็นบ้า เพราะต้องต้องปรับตัวและภาษากับสถาพแวดล้อมใหม่ ความรู้สึกในตอนนั้นมันช่างแสนเศร้า หงอยเหงา อ้างว้างและโดดเดี่ยว คิดถึงบ้านอย่างรุนแรง ถึงแม้ว่าอยู่ร่วมบ้านกันกับเจ้าหญิงฟาติยะซึ่งเป็นพี่สาว แต่เจ้าหญิงก็สูงวัยกว่าถึงเจ็ดและกำลังเรียนอยู่มหาวิทยาลัยปีที่สอง ไม่มีเวลาเอาใจใส่น้องสาวต่างมารดามากนัก เด็กหญิงตัวน้อยได้แต่ร้องไห้คร่ำครวญ ร่ำๆอยากหนีกลับบ้านเสียหลายรอบ จวบจนเมื่อเจ้าหญิงฟาติยะออกปากชวนเชิญนริศมาที่บ้าน เมื่อคนเหงาสองคนมาเจอกัน จึงทำให้เกิดความเข้าใจอย่างไม่น่าเชื่อ เจ้าหญิงน้อยขอให้นริศมาสอนพิเศษเพิ่มเติม เพราะเธออยากเป็นแพทย์เหมือนนริศ



" พอเถอะน่ะน้องหญิง คร่ำครวญอยู่ได้ " ร่างในชุดคลุมสีดำบอกมาเบาๆ



" ใช่ๆ แล้วก็อย่าลืมด้วยว่ามีฉันอยู่ตรงนี้อีกคน "เฮเลน่าสาวร่างอวบที่มาหลังสุด ยื่นหน้ามากลางวง สร้างความขบขันให้แก่ทุกคน



" ก็เธอดันมาช้านี่น่า " พอลลีนล้อ


"โทษทีฉันนึกว่าเจอคนรู้จักแวบๆ เดินตามเสียตั้งนานกลับไม่ใช่ "



เฮเลน่ากล่าว แอบหลบตาแววรู้เท่าทันของนริศ




" เอาละครับถ้ามากันครบแล้วเราไปกันเถอะ เชิญทางนี้ "

เจ้าชายเดินนำขบวนออกจากตัวอาคารสองชั้นมาสู่รถลีมูซีนสีดำมันวับสามคันที่รออยู่ด้านนอก ส่วนรถผู้อารักขาคันอื่นๆใช้เป็นรถยนต์ยี่ห่อดังจากเยอรมันสี่คัน ด้านหน้าสอง ด้านหลังสอง เจ้าหญิงทั้งสองพระองค์ถูกจัดให้อยู่ในรถคันที่สองของขบวน นริศและเพื่อนๆถูกแยกให้อยู่คันที่สาม ส่วนเจ้าชายคงอยู่ในรถคันแรกเพราะผู้หญิงและผู้ชายในประเทศนี้แยกกันอย่างชัดเจน เมื่อรถเคลื่อนออกจากลานจอดรถ ทุกคนในรถคันที่สามรู้สึกตื่นเต้นทัศนียภาพที่ผ่านตา จากอาคารสนามบินมุงหน้าสู่ถนนใหญ่ สองข้างทางเต็มไปด้วยตึกรามบ้านช่องเก่าใหม่สลับกัน พ้นจากตัวเมือง



เข้าเขตทะเลทรายกว้างกว่ากว้าง ไอแดดแผดรังสีความร้อนสะท้อนผืนทรายระยิบ ยังดีที่รถคันนี้ติดแอร์ไม่งั้นคงร้อนราวกับอยู่ในเตาอบเลยทีเดียว ผ่านไปเพียงครึ่งชั่วโมงก็เข้าสูอาณาเขตพระราชวังตั้งตระหง่านอยู่บนเนินเขา มองเห็นยอดโดมสูงเด่นแต่ไกล สร้างความฮือฮาให้แก่สาวๆในคณะไม่น้อย



" เหมือนในการ์ตูนเรื่องอาละดินเลยนะนริศ " เฮเลน่าว่าพลางทำเสียงดนตรีเพลง A whole now world ประกอบเสียเลย พลอยทำให้ทุกคนคลายความกังวลลงไปได้บ้าง







เดือนมีนา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 2 ก.พ. 2558, 17:58:36 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 2 ก.พ. 2558, 17:58:36 น.

จำนวนการเข้าชม : 1489





   ตอนที่ ๒ >>
Zephyr 8 ก.พ. 2558, 12:46:26 น.
นริศ ชื่อแมนมากเลยค่ะ ^_^


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account