จอมนางคู่มังกร
ไม่ว่าเจ้าอยู่ที่ใด ข้าก็จะตามหาเจ้าผู้เป็นเจ้าของหัวใจข้า อวี้เอ๋อร์ ข้าให้สัญญาจะรักเพียงเจ้า และเมื่อมีเจ้าแล้ว ข้าจะปกป้องเจ้าชั่วชีวิตเอง
Tags: ท่านอ๋อง, จีนโบราณ, ย้อนยุค, ความรัก, ผูกพัน, กำลังภายใน

ตอน: บทนำ 50%

บนแผ่นดินอันกว้างใหญ่ของแคว้นหนิง ปัจจุบันมีฮ่องเต้ทรงมีพระนามว่า หนิงต้าไท่ พระองค์ทรงปกครองบ้านเมืองมาเป็นเวลายาวนานถึง 30 ปี พระองค์มีพระโอรสและพระธิดาอยู่ด้วยกันทั้งหมด 130 กว่าองค์ แบ่งการปกครองออกเป็นมณฑลขนาดใหญ่ 4 มณฑล

มณฑลด้านทิศเหนือ ที่ตอนนี้ยังขาดท่านอ๋อง(ผู้แทนพระองค์)ไปดูแล มีกองกำลังทหารที่เข้มแข็ง ไม่ได้ขึ้นตรงต่ออำนาจของตระกูลหลี่

มณฑลด้านทิศใต้ ผู้แทนพระองค์คือ อ๋อง 7 ซึ่งมีพระนามว่า หนิงหมิงเทียน ควบคุมดูแลกองทัพฝ่ายใต้ ท่านอ๋องผู้นี้ได้ตำแหน่งมาเพราะเป็นพระโอรสของฮ่องเต้และฮองเฮาหลี่ และมีท่านน้าที่เป็นเสนาบดีฝ่ายซ้าย หลี่เจิ้ง

อำนาจของตระกูลหลี่นั้นแทรงแซงการปกครองทั้งด้านกองทัพในเมืองหลวง และควบคุมระบบการบริหารบ้านเมืองในพระราชสำนักไว้แทบจะทั้งสิ้น

เนื่องจากฮ่องเต้หลังกลับมาจากแวะเยี่ยมเยียนราษฎรรอบแว้นแคว้นแล้ว 3-4 เดือน ก็เริ่มประชวรหนัก รวมทั้งเหตุการณ์ที่วุ่นวายในวังหลวง ที่เกิดจากเหล่าองค์ชาย และเหล่าตระกูลที่ไม่ได้สวามิภักดิ์แก่ตระกูลหลี่นั้น ต่างก็ถูกลอบสังหาร โดยที่ทางการไม่สามารถที่จะจับคนร้ายได้ อำนาจตระกูลหลี่จึงยิ่งใหญ่ขึ้นทุกวัน


เขาเทียนซาน เมืองชิงฟู มณฑลทิศเหนือ
ภายในหุบเขาเทียนซาน มีกระท่อมไม้ไผ่เก่า ๆ ลานกว้างหน้าบริเวณกระท่อมนั้น มีบุรุษวัยสิบขวบ กำลังฝึกกำลังภายในอย่างขะมักเขม้น ดวงหน้าของเขา คมเข้ม คิวเฉียงขึ้นยาวเกือบถึงจอนหู หน้าผากกว้าง นัยน์ตาสีดำสนิท ริมฝีปากบางกระจับได้รูป คิดว่าภายในอีกไม่กี่ปี คงรูปงามไม่น้อย

หยางฟง เป็นเด็กหนุ่มที่มีความทระนงองอาจ สมกับที่มีเชื้อสายพระราชวงศ์อยู่ในพระองค์ หลังจากเกิดมาที่กระท่อมหลังนี้ ที่เมื่อก่อนเคยอาศัยอยู่กับท่านแม่เพียงสองคน ไม่เคยรู้จักหน้าตาของท่านพ่อของเขา ท่านแม่ของเขาเป็นผู้สอนวิชาความรู้ต่างๆ ให้กับเขาจนแตกฉาน ท่านแม่ของเขาสรรหาหนังสือตำรับตำราต่างๆ ตอนแรกเขาก็ไม่เข้าใจว่า ในเมื่อต้องอยู่แต่ในหุบเขาที่ห่างลี้จากผู้คนมากมายขนาดนี้ เขายังต้องเรียนหนังสือไปเพื่ออะไร

จนกระทั่ง... เมื่อสามปีที่แล้ว เขากับท่านแม่กำลังหุงข้าวหาปลากินกันอยู่นั้น ได้มีชายชุดดำมาประมาณสิบกว่าคน ลอบเข้ามาในกระท่อมแล้ว สังหารท่านแม่ของเขาอย่างโหดเหี้ยม ท่านแม่ของเขาผู้ซึ่งร่าเริงอยู่เป็นนิจ ได้เล่าให้ฟังว่า

‘เจ้าเคยสงสัยหรือไม่ ท่านพ่อของเจ้าเป็นใคร มาจากไหน เจ้าเคยอยากพบท่านพ่อของเจ้าบ้างหรือไม่’ เขาพยักหน้า ‘ท่านพ่อของเจ้า เคยเสด็จมาพบแม่ครั้งแรกที่ในตลาดเมืองจี้อัน แม่จำได้ครั้งแรกแค่เพียงสบตากับ เสด็จพ่อของเจ้า ข้าก็ตกลงหลุมรักพระองค์ทันที’

‘ทรงเสด็จมาหาแม่ที่บ้านบ่อยครั้ง ข้าไม่เคยทราบว่าพระองค์คือใคร จนกระทั่ง... ข้าตกลงไปในเสน่หาของพระองค์ ข้าเคยถามพระองค์เคยคิดว่าจะแต่งข้าเข้าบ้านบ้างหรือไม่ แล้วพระองค์ก็บอกความจริงกับข้าว่า ท่านเป็นใคร ข้าเลยไม่อยากเป็นพระสนมของพระองค์ และขอให้พระองค์กลับไปยังวังหลวงเสีย แล้วอย่ามาพบกับข้าอีก’

‘และเมื่อข้ารู้ว่าตั้งท้อง จึงได้ส่งจดหมายไปถึงพระองค์ แม่ก็ไม่ทราบว่า พระองค์ได้เคยอ่านจดหมายของแม่เจ้าหรือไม่ แม่ถูกเกลียดชังจากคนในบ้าน จนถูกขับไล่ไสสงข้า ข้าเลยหนีพเนจรร่อนเร่จนมาอยู่หุบเขานี้’

‘ถ้าลูกอยากไปพบเสด็จพ่อของเจ้า แม่ไม่ห้าม จงเอาหยกชิ้นนี้ที่เสด็จพ่อของเจ้าเคยประทานให้ จงยื่นให้เขาดูต่อหน้าพระพักตร์เท่านั้น แล้วเจ้าจะใช้ชีวิตอยู่ในวังหลวง จะที่นี่หรือที่ไหน แม่ไม่ห้ามเจ้าอีก’

‘แม่อยากให้เจ้ารู้ว่า รักและหวังดีต่อเจ้า หนทางแห่งอำนาจนั้นไม่ได้สวยงามอย่างที่คิด’

หลังจากฟังเรื่องราวของท่านแม่ได้ไม่นาน ท่านแม่ก็เริ่มเสียงแผ่วเบาๆ ลง จนสิ้นลมหายใจของท่านไปในที่สุด


หลังจากนั้นเขาก็ลงจากหุบเขา แล้วเดินทางไปยังเมืองหลวง แต่การที่จะได้พบกับประมุขของแผ่นดินนั้นไม่ได้ง่ายๆ ซึ่งเขาเป็นบุคคลธรรมดาเท่านั้น ไหนเลยจะขอเข้าเฝ้าเพียงลำพังได้

เขาได้ตามสืบเรื่องราวในพระราชสำนัก และเรื่องที่ใครสั่งให้คนมาสังหารท่านแม่

ชีวิตนี้เขาใช้ชีวิตเพียงลำพังกับท่านแม่มาตลอด ไม่มีความคิดที่จะเข้าไปอยู่ในวังหลวงเพื่อตำแหน่งท่านอ๋องหรือแม้กระทั่งองค์ชายแต่อย่างใด เขาปรารถนาใช้ชีวิตหลังจากนี้คือ การท่องเที่ยวไปทั่วหล้าอย่างอิสรเสรี

แต่หลังจากที่ท่านแม่ตายลง เขาก็อยากตอบแทนบุญคุณท่านแม่ครั้งสุดท้าย ด้วยการหาคนร้ายที่คอยบงการสังหารหญิงที่ไม่ได้มีพิษภัยอย่างท่านแม่ได้ลง เขาจึงต้องเดินทางมาที่เมืองหลวง ในคราบหนุ่มผู้พเนจร


ห้องทรงงานของฮ่องเต้แห่งแคว้นหนิง บนโต๊ะทรงงานมีกองฎีกาที่เหล่าข้าราชบริพารนำมาถวายกองอยู่เต็มโต๊ะ เบื้องหน้าเก้าอี้สลักรูปมังกรคาบแก้ว องค์ฮ่องเต้ที่มีวัยเพียงห้าสิบปีกำลังทรงวิตกกังวลกับบางอย่าง การทรงงานของพระองค์วันนี้เลยไม่ดำเนินไปไกลเท่าที่ควร

“ฟูกงกง เรื่องที่ข้าให้สืบนะไปถึงไหนแล้ว เมื่อไหร่ที่ข้าจะได้พบพระสนมของข้า และลูกของข้าเสียที ทั้งสองคงตกระกำลำบากมามาก แล้วจะให้ข้ามีความสุขและหายจากการป่วยไปได้อย่างไร ในเมื่อข้าผู้เป็นฮ่องเต้ของแผ่นดิน แต่ทุกวันนี้ข้าไม่อาจมีความสุขได้เลย ไม่รู้พวกเขาเป็นตายร้ายดีอย่างไร ตั้งแต่นางส่งจดหมายมาถึงมือข้าที่ช้าแสนช้า ลูกของข้าที่อยู่นอกวัง ป่านนี้คงใกล้โตเป็นหนุ่มแล้ว”

หลังจากองค์ฮ่องเต้ตรัสจบ สีหน้าของฟูกงกงเปลี่ยนสี แล้วรีบทรุดเข่าถวายคำนับแนบพื้น แล้วเสียงทูลถวายให้ฮ่องเต้สดับฟัง เรื่องนั้นพาให้นัยน์พระเนตรเอ่อคลอด้วยอัสสุชลทันที

“ขอพระอาญามิพ้น กระหม่อมลืมถวายรายงานแก่พระองค์ไปว่า พระสนมนั้น คนของข้าสืบมาได้ว่า พระสนมหวังถูกลอบสังหารจากชายชุดดำไปนานหลายปีแล้ว ... ส่วนองค์ชายนั้น หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย กระหม่อมยังตามสืบหาองค์ชายหยางฟงไม่พบพะยะค่ะ”

“เรื่องนี้เจ้าทำไมไม่รีบบอกข้า” พระพักตร์ของฮ่องเต้ทรงทุกข์โศกาทันทีที่ทราบข่าว

“เจ้าต้องรีบตามหาองค์ชายหยางฟงให้พบ แล้วนำลูกชายของข้ามาพบข้าโดยด่วน ไม่ว่าจะต้องขึ้นเหนือล่องใต้ ข้าต้องได้พบลูกชายของข้า”


องค์ชายหยางฟงเข้าพักในโรงเตี้ยมในเมืองจี้อัน หลังจากเดินทางมาจากสำนักมังกรฟ้า เพื่อไปคารวะผู้อาวุโสในสำนัก ขอคารวะกราบตัวเป็นศิษย์อาจารย์ที่มีฉายา ‘กระบี่เมฆา’

เขาจ้องมองผู้คนสัญจรผ่านไปมา บ้างแวะดูของในตลาด เมืองนี้สงบน่าอยู่ แต่ใจหนึ่งเขาคิดว่า จะแวะไปที่บ้านตระกูลหวัง ซึ่งเป็นท่านตาของเขาดูสักครั้ง

ไม่ทราบว่า คนในตระกูลนั้นจะยินดีต้อนรับเขาหรือไม่อย่างไร ด้วยใบหน้าที่อยู่หลังพัดนั้น มีโครงหน้าเหมือนท่านแม่ของเขามาก
แล้วเขาก็ทะยานตัวไปด้วยวิชาตัวเบาที่สูงล้ำ พลังปราณที่มีทำให้การเดินทางย่นเวลาไปได้มาก ห้าร้อยลี้ในครึ่งชั่วยาม เมื่อมาถึงลานหน้าประตู จวนของตระกูลหวัง ฝ่ามือเรียวยาวสวย นิ้วดุจลำเทียน หยิบห่วงประตูเคาะดังกึกสามครั้งรออยู่ครู่หนึ่ง พ่อบ้านวัยชราของตระกูลก็ออกมาต้อนรับ บุคคลปริศนา ที่สามารถสัมผัสได้ถึงพลังอันแข็งแกร่ง เมื่อพ่อบ้านเงยหน้ามองเด็กหนุ่มตรงหน้าชัดๆ แล้ว พ่อบ้านได้แต่พึมพำออกมาว่า

“คุณชายเหมือนแม่จริง ๆ” พ่อบ้านที่เป็นข้ารับใช้มานานย่อมทราบเรื่องท่านแม่ขององค์ชาย แล้วเขารีบกล่าวเชิญ
องค์ชายเข้าไปในห้องรับแขกของจวน แล้วรีบไปเรียกท่านเสนาบดีขวาซึ่งเป็นท่านตาขององค์ชายมาพบแขกผู้สูงศักดิ์ทันที
เมื่อหวังต้าเทียนได้เห็นใบหน้าขององค์ชายครั้งแรกก็น้ำตาเอ่อคลอ แล้วตรงเข้าไปสวมกอดองค์ชายด้วยความยินดีที่ได้พบหลานทันที

“คารวะท่านตา ข้าน้อยแซ่หวัง ชื่อหยางฟง ท่านแม่ของข้าได้เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับท่านตาไว้มากมาย ก่อนที่ท่านจะตายไป วันนี้หลานได้มาพบกับท่านตาหลานนั้นรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง”

“แม่ของเจ้าตายไปแล้วเหรอะ แล้วหลานมีชีวิตอยู่ต่อไปยังไง แล้วพักที่ไหน มาพักกับตาเถอะ”

“ข้าใช้ชีวิตพเนจรร่อนเร ถือโอกาสนี้ศึกษาวิชาเอย วิทยายุทธ์เอยไปเรื่อย ๆครับท่านตา ส่วนเรื่องที่พักนั้นหลานเองคงไม่บังอาจรบกวนท่านตาได้หรอกขอรับ”

“เจ้าจะเกรงใจตาไปเยี่ยงไรกัน มาพักที่จวนนี่เถอะ นานหลายปีแล้วที่ตาไม่เคยเห็นหน้าเจ้าตั้งแต่เกิด ให้ตาได้มีโอกาสเลี้ยงดูหลานบ้างเถอะ ตานะแก่แล้วลูกหลานที่เหลือตอนนี้ก็แยกจวน ไปมีครอบครัวกันหมดแล้ว ตาจะจัดหาห้องให้หลานอยู่ แล้วสักสามสี่วัน ตาค่อยจัดงานเลี้ยงฉลองที่หลานกลับมาอยู่กับตาให้ยิ่งใหญ่ไม่น้อยหน้าใครเลย”

ดวงตาขององค์ชายครุ่นคิดผลได้ผลเสียของการมาอยู่ที่จวนนี้ เขากลัวว่า สถานะองค์ชายที่ยังเป็นความลับจะเปิดเผย แล้วท่านตาและคนในตระกูลจะต้องเดือดร้อน เพราะเขาซึ่งเพิ่งมาเป็นหลานในตระกูล อาจนำภัยมาให้โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ทำได้เพียงตอบรับท่านตาว่าจะพักอาศัยที่นี่ แต่ขอร้องเรื่องการจัดงานเลี้ยงต้อนรับไว้


หลังจากที่องค์ชายพักอาศัยได้สามสี่เดือน ฟูกงกงก็มาเยี่ยมเยียนถึงในจวน

“ฟูกงกงคารวะคุณชายหยางฟง”

ถึงแม้ข้ารับใช้คนสนิทของฮ่องเต้อยากเปลี่ยนสรรพนามให้องค์ชาย แต่เมื่อเห็นแววตาสุขุมลุ่มลึก แฝงความรู้อันกว้างไกล ได้แต่กริ่งเกรงอำนาจที่แผ่ซ่านออกมาเพียงสบตาเท่านั้น ‘เหลือเชื่อองค์ชายอายุแค่สิบชรรษา’

“คารวะท่านลุง ไม่ทราบว่าท่านทราบนามของข้าได้อย่างไร แล้วมีอะไรให้ข้าชี้แนะถึงมุ่งหมายมาพบเพียงข้า ไม่ใช่ท่านตาของข้า”

“ข้าน้อยได้สืบทราบมาว่า ท่านเป็นบุตรชายของคุณหนูหวังเสียวหลิน” ดวงตาขององค์ชายไม่ได้ฉายแววปฏิกิริยาใดๆ ออกมา เหมือนรับฟังเรื่องธรรมดาสามัญทั่วไปเท่านั้น

“องค์ชาย... อยากพบเสด็จพ่อบ้างหรือไม่พะยะค่ะ องค์ฮ่องเต้นั้นเป็นพระราชบิดาของพระองค์เลยนะพะยะค่ะ ท่านไม่ปรารถนาชีวิตที่สุขสบายบ้างหรือ”

“ข้ามาเพียงหวังอยากท่องเที่ยวไปเรื่อย ไม่สนใจในยศฐานะบรรดาศักดิ์ที่ท่านพูดถึงมา แม้ในใจข้าลึกหวังจะได้เจอหน้าเสด็จพ่อของข้าสักครั้ง แต่ถ้าการพบพระองค์แล้ว นำภัยมาสู่คนรอบข้างที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ อย่างท่านตาของข้า ท่านว่าข้ายังอยากจะพบพระองค์อีกหรือ”

“ข้าเคยมีชีวิตอยู่คนเดียวในหุบเขา และยุทธภพมาหลายปี ข้าเคยเห็นคนมีอำนาจรังแกชาวบ้านตาดำ ซึ่งมีอยู่ทุกเมือง การที่ข้าเป็นองค์ชายแล้วข้าจะปกป้องคนที่ข้าอยากปกป้อง ให้ความช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยาก นั้นเป็นสิ่งที่สมควรทำในฐานะชาวยุทธ์ แต่ในฐานะองค์ชาย ข้าไม่อาจทำได้ และไม่อาจมีชีวิตที่อิสระเสรีดังที่ใจปรารถนาได้เช่นกัน”

“องค์ชาย” เสียงฟูกงกงครางแผ่วในลำคอ นี่หรือคำพูดของคนธรรมดาที่ชาติกำเนิดไม่ธรรมดา และอาศัยอยู่แต่นอกเมืองหลวงมานาน





มาฝากไว้อีกเว็บนึง ฝากติชมวิจารณ้ด้วยคะ
ฝากนิยายเรื่องนี้ไว้ด้วยนะคะ กำลังแกะ เกา ๆ พล็อตอยู่ มือใหม่สำหรับแนวนี้จริงๆ คะ
พระเอกฉลาดคะ เก่งคะเก่งมาก ทันคน มีวรยุทธ์สูง รีดเดอร์จึงไม่ต้องแปลกใจ พระเอกอายุยังน้อยแต่ใช้ชีวิตตามลำพังได้ยังไง หลังจากท่านแม่ตาย พระเอกก็ไปเรียนวรยุทธ์ตามสำนักต่าง(ชั้นนำ) ๆ นอกแคว้นก็มี แก้พล็อตเดิมไปไกลเลย เปลี่ยนความเป็นมาพระเอกเท่านั้นแหละ หลัก ๆ ยังเหมือนเดิม




อนัญชริการ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 27 ม.ค. 2558, 00:53:52 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 27 ม.ค. 2558, 00:53:52 น.

จำนวนการเข้าชม : 1219





   บทนำ ต่ออีก 50% >>
ใบบัวน่ารัก 27 ม.ค. 2558, 05:24:37 น.
จ้า


อนัญชริการ์ 27 ม.ค. 2558, 06:08:07 น.
ขอบคุณสำหรับเม้นทแรกพยายามจะมาอัพให้ทุกวันคะ

นางเอกเรายังอยู่สวรรค์อยู่เลย แนวหญ้าอ่อนชัดๆเลยค่าาาา


Zephyr 4 ก.พ. 2558, 20:44:55 น.
ตามอ่านค่า พลอตน่าสนใจ
แต่บางตอนมันดูห้วนๆไปนะคะ
แนวหญ้าอ่อนน้อยๆนี่น่าสนนักแล


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account