เงามาร (กำลังรีไรท์ค่ะ)
'วาลาดา' ตื่นขึ้นมาพร้อมกับการรับรู้ว่าตัวเองมีสามีมีลูกแล้ว
ที่สำคัญ สามีของเธอคือเพื่อนในวัยเยาว์ที่ห่างเหินกันไป
หลายปีแล้ว เธอไม่ได้มีใจให้เขา เขาเองก็เกลียดเธอ

เหนือสิ่งอื่นใด เขาคือสามีของเพื่อนรักของเธอ


คำว่า "แย่งสามีเพื่อน"
กู่ก้องอยู่ในหัวและทำให้หัวใจของหญิงสาวแหลกสลาย...

เธอจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าไปมีอะไรกับเขาตอนไหนจนมีลูก
กับเขาได้...แต่ลูกที่มีหน้าตาผสมผสานระหว่างเธอกับเขา
อย่างลงตัวทำให้เธอดื้นไม่หลุดกับหลักฐานการกระทำ
ของตัวเอง...

ความจริงดังกล่าว...ส่งให้ดาวดวงใหม่ที่ควรจรัสแสงแรงกล้า
อยู่บนฟากฟ้ากลับถูกกระชากลงมาให้แปดเปื้อนกลิ่นคาวคละคลุ้ง
ด้วยน้ำมือของใครบางคนที่คอยชักใยอยู่เบื้องหลังเงาดำนั้น
หญิงสาวก็สุดจะคาดเดาได้...

หญิงสาวที่ควรมีความสุขไปบนหนทางอันดีงาม เส้นทางของดาว
กลับถูกดึงรั้งเข้ามาสู่เส้นทางของมาร...เมื่อถูกความมืดมน
ดุจเมฆดำเข้าครอบงำฝังจิตใจ...เปลี่ยนผู้หญิงที่เคยแสนดี
กลายเป็นผู้หญิงร้ายกาจ...นั่นคือเธอที่กำลังถูกใครๆ
กล่าวขานอย่างไม่มีจบสิ้น...


ทางเดียวที่จะรอดพ้นไปได้ นั่นก็คือ เธอต้องต่อสู้กับมันให้ชนะ ต่อสู้กับเงามารที่คอยตามรังควานชีวิตเธอทั้งชีวิตให้ย่อยยับ

โดยไม่รู้เลยสักนิดว่า...เงามารที่เธอเห็นนั้นมีใครซ่อนอยู่
หลังเงานั่น...รอ...รอวัน...เพื่ออะไรบางอย่าง...

รอคอยและเฝ้าดูอยู่ข้างหลังอย่างอดทน...
ชักใยซึ่งซับซ้อนซ่อนเงื่อนอย่างพิถึพิถัน...และล้ำลึก...
วางแผนอย่างเป็นขั้นเป็นตอน รอบคอบและรัดกุม

ช่างเป็นการรอคอยอันแสนยาวนาน รอให้เธอมีความสุขที่สุด
ประสบความสำเร็จที่สุด พอได้จังหวะเหมาะจึงเข้าโจมตี...
จนวาลาดาคาดไม่ถึงว่าจะมีใครอดทนรอคอยเพื่อจองเวรเธอ
ได้นานถึงเพียงนี้...ช่างเป็นการทุ่มเทที่น่ากลัวเหลือเกิน...

เธอรู้...รู้ว่าสิ่งที่สำคัญ...คือเธอจะต้องใช้ชีวิตที่เหลือ
หลังจากโดนโจมตีจนย่อยยับอับปางนี้ต่อไปอย่างไร...
นั่นคือ...สิ่งที่เธอตั้งใจอย่างแน่วแน่...

และอีกอย่างที่เธอจะต้องทำคือ...หาคนที่ซ่อนอยู่หลังเงานั้น
ให้เจอ! และถามให้รู้ว่าเป้าหมายที่แท้จริงของมันคืออะไร


และ...

หวังเพียงว่า...เธอจะไม่ถูกมันครอบงำได้อีกครั้ง...
หวังเพียงว่า...เธอจะได้พบกับแสงสว่างในชีวิตอีกครั้ง...
หวังเพียงว่า...ผู้ที่เธอได้ทำร้ายเอาไว้โดยไม่รู้ตัวจะให้อภัย
หวังเพียงว่า...เขาจะเข้าใจ เชื่อใจ อภัย และรักเธอ
หวังเพียงว่า...ยอดดวงใจซึ่งคือลูกน้อยจะปลอดภัย ไร้มลทิน






...ขอเพียงได้อยู่ดูแลคุ้มภายคุ้มใจคนที่รักตลอดไป...


...ขอเพียงคนที่เธอรักปลอดภัย เข้าใจ ให้อภัย
และรักเธอเท่านั้น....



Tags: ดราม่า ซุลก๊อตไนท์ วาลาดา นาดีม มาร มารร้าย ไสยศาสตร์ ญิน นุฮา อะสุเซน่า วารินทร์ อานิต้า

ตอน: บทนำ


‘วาลาดา’ ลืมตาตื่นขึ้นมาก็พบว่านอนอยู่บนตักของบุรุษเพศ…
ใบหน้าคร้ามคมที่ก้มมองเธอฉายแววกังวลในดวงตาคู่นั้น…

เธอจำได้ว่าเขาคือ…เพื่อนต่างวัยในอดีตซึ่งไม่ได้พบเจอกันมาเกือบแปดปีเห็นจะได้แล้ว…
นับตั้งแต่ครั้งที่เธอได้รับทุนการศึกษาจากรัฐบาลเพื่อเดินทางไปศึกษาต่อปริญญาตรี
และปริญญาโทที่ประเทศญี่ปุ่น เธอกับเขาก็เหมือนเส้นขนาน
ที่ไม่ได้พบได้เจอกันอีกเลย…

จนกระทั่งเธอสำเร็จการศึกษาจบกลับมาจึงมีโอกาสได้พบเจอเขาบ้าง
ตามแต่โอกาสจะอำนวย...เพราะชีวิตและสังคมระหว่างเธอกับเขานั้น
มีช่องว่างที่ดูจะกว้างขึ้นเรื่อยๆ ราวกับอยู่กันคนละโลก

และล่าสุดนั้นเธอได้ข่าวว่าเขาแต่งงานไปแล้วกับเพื่อนรักเพื่อนสนิทของเธอ
ที่รู้จักกันมาตั้งแต่อยู่อนุบาล…มาห่างกับเพื่อนรักคนนี้ก็ตอนที่ไปเรียนต่อในคราวนั้น

…ยังจำได้ว่าวันนั้นเธอแต่งชุดราตรีสีขาวไปร่วมแสดงความยินดีกับเพื่อนรัก
ในงานแต่งพร้อมด้วยช่อดอกกุหลาบขาวช่อใหญ่กับกล่องของขวัญกล่องเล็กๆ
ทว่าสนนราคาสูงลิบลิ่ว

…แน่นอน…กับเพื่อนรักแล้วถึงไหนถึงกัน…
ยิ่งเพื่อนคนนี้แล้ว…ไม่ว่าอะไรที่จะทำให้เพื่อนประทับใจและมีความสุขได้
เธอยินดีทำให้ได้ทั้งนั้น

…ภาพเพื่อนรักยืนเคียงคู่กับเจ้าบ่าวที่หลายคนต่างลงความเห็นกันว่า
เป็นผู้ชายสมบูรณ์แบบและเพียบพร้อทุกอย่าง
ยิ่งรอยยิ้มเปี่ยมไปด้วยความสุขของเพื่อนรัก
นั่นยิ่งทำให้เธอรู้สึกยินดีไปกับเพื่อนด้วยไม่ได้จริงๆ…

มันช่างเป็นภาพที่สลักอยู่ในความทรงจำของเธอ

…คือภาพที่สวยงามเช่นนั้นอยู่เสมอไม่เปลี่ยนแปลง…

เสียงเด็กทารกจากที่ไหนสักแห่งปลุกเธอจากภวังค์แห่งการสำรวจตรวจตราเพื่อนเก่า
ที่อุทิศตักเป็นหมอนให้เธอนอนหนุนด้วยเหตุอันใดก็สุดจะล่วงรู้ได้ในตอนนี้
ก่อนจะรีบลุกขึ้นด้วยท่าทางงงๆระคนกระดากอายแล้วก็พบกับสายตาเพื่อนรักเข้าพอดี

…นั่นไงล่ะ...เพื่อนเธอกำลังจ้องมองมาด้วยแววตาไม่สู้จะดีนัก…คงจะหึงแน่ๆ…

“ฉันขอโทษนะนาดีม…” เพื่อนรักของเธอกระตุกคิ้วมุ่น
ราวกับไม่เข้าใจว่าเธอกำลังพูดอะไร…

“แล้วนี่ฉันเป็นอะไรไป…ทำไมมานอนอยู่ในบ้างหลังนี้ได้…
นี่มันเรือนหอของเธอมิใช่หรือนาดีม…ฉันจำได้…เพราะว่าฉันเป็นคนออกแบบให้เองนี่นา…”

พูดในขณะที่ตาคอยสำรวจไปรอบๆตัวอย่างคนที่มีความละเอียดอ่อนและช่างสังเกต…
เพื่อนเธอสะบัดหน้าด้วยสีหน้าท่าทางราวกับกำลังอิดหนาระอาใจกับเพื่อนอย่างเธอ

…เอ๊ะ…เกิดอะไรขึ้นกันแน่…ชักงง!
วาลาดาจึงหันไปทางสามีของเพื่อนแล้วยิ้มบางเมื่อเอ่ยปากถามเขาไปว่า

“วามาอยู่ที่นี่ได้ยังไงอ่ะก๊อต…” เพื่อนเก่าหน้านิ่ง
มองเธอราวกับว่าเธอเป็นสัตว์ประหลาดที่มีเขางอกอยู่บนหัว
หรือไม่ก็ตรงส่วนไหนสักแห่งบนใบหน้าเธอ…เขาถึงได้มองเธอเช่นนี้

“เลิกล้อเล่นซักทีเถอะวา…” เพื่อนรักของเธอเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงขุ่นจัด
ทำเอาคนรับสารถึงกับขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ

เธอไม่เข้าใจจริงๆนี่นา…และก็ไม่ได้ล้อเล่นด้วย

“ลูกร้องใหญ่แล้ว…คงหิวนม…เธอควรจะให้นมลูกได้แล้ว…
ไม่ได้เป็นอะไรมากมายแล้วไม่ใช่หรือ…บอกไว้ก่อนนะว่า
ฉันจะไม่ยอมให้เธอเบี้ยวให้นมลูกอีก…ลูกควรกินนมแม่!”

ช็อก! วาลาดาเบิกตากว้างอย่างตระหนก ตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน…
ปากคอสั่น มือเท้ารู้สึกเยียบเย็น…ตาก็หันไปทางที่มาของเสียงที่กำลังดังลั่นห้องอยู่…

และก็ได้ผล เสียงนั้นมาจากเด็กที่นอนอยู่ในเปลไม่ไกลกันนัก

“ลูกหรือ? นี่ลูกวาหรือ?” เหมือนจะได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง
ในลำคอของบุรุษหนึ่งเดียวก่อนที่เขาจะลุกขึ้นยืน เดินไปไกวเปลให้เด็กในเปลนั่น

“เธอจะมาไม้ไหนอีกน่ะวา…ฉันไม่มีเวลามาช่วยดูแลลูกให้เธอได้ทุกวันนักหรอกนะ…
ลูกเธอเองเธอก็สมควรจะดูแลเอง…” น้ำเสียงและแววตาตำหนินั้นถูกส่งมาจากเพื่อนรัก

…นี่เพื่อนของเธอกำลังพูดเรื่องอะไร...แล้วอะไรที่ทำให้เพื่อนที่แสนดีของเธอ
ใช้น้ำเสียงแบบนี้กับเธอ

แววตาที่ดูไม่ค่อยเป็นมิตรนั่นอีก…มันเกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่?

“เป็นไปไม่ได้…วาจะมีลูกได้ยังไง…ก็ในเมื่อวาเพิ่งจะกลับมาจากญี่ปุ่น
เพิ่งเข้าทำงานได้ไม่เท่าไหร่เอง…วายังไม่มีแฟนหรือคนรักเลย
แล้ววาจะมีลูกได้ยังไง…มันต้องแต่งงานก่อน…แต่…วายังไม่ได้แต่งงานนี่นา…
ยังไม่มีสามี...อยู่ๆจะมามีลูกได้ยังไง…”

หญิงสาวมองเพื่อนรักสลับกับเพื่อนต่างวัยในอดีตซึ่งเป็นสามีของเพื่อนรัก
อย่างไม่เข้าใจ และดูเหมือนเขาสองคนจะมีสีหน้าแบบเดียวกัน นั่นคือส่ายหน้า
บ่งบอกว่าระอาที่จะเอ่ย

…มันแปลกไป…นี่มันอะไรกัน ทำไมทั้งสองถึงได้เปลี่ยนไปถึงขนาดนี้
ไม่เคยเลยสักครั้งที่เธอจะถูกปฏิบัติจากเพื่อนทั้งสองในลักษณะเช่นนี้

…คงต้องมีอะไรผิดพลาด!

“นี่เธอสองคนกำลังอำวาอยู่ล่ะสิ…” หญิงสาวหยั่งเชิง ทว่าคำตอบกลับเป็นความเงียบ…
ฝ่ายเพื่อนชายไกวเปลเพื่อให้เด็กน้อยเลิกร้องไห้
ส่วนเพื่อนรักของเธอก็เดินผละไปที่หน้าต่างห้อง…

“น่าจะเป็นลูกเธอกับก๊อตไม่ใช่หรือนาดีม…”

พลันเพื่อนรักของเธอหันมาตวัดสายตาราวกับจะฟาดเธอให้เจ็บปวดด้วยสายตาคมคู่นั้น
และมันก็ทำให้เธอเจ็บได้จริงๆ ยิ่งคำพูดที่ออกมาจากปากเพื่อนที่เธอแทบไม่เชื่อเลยว่า

แค่เธอห่างหายไปเพื่อไปศึกษาต่อจะทำให้เพื่อนที่รักกัน กอดคอกันไม่ว่ายามทุกข์
หรือยามสุขจะมีท่าทางที่เปลี่ยนไปเช่นนี้ได้…พลันหัวใจก็รู้สึกเหมือนปวดหนึบขึ้นมา…

“อย่าให้ฉันต้องพูดเลยนะยัยวา…ว่าเธอทำยังไงถึงมีลูกกับก๊อตได้…”

“หา!” วาลาดาอ้าปากค้างอย่างคาดไม่ถึง
อดชำเลืองไปมองเด็กตัวน้อยๆในเปลไม่ได้

…ลูกของเธอกับก๊อตง้ันหรือ เป็นไปไม่ได้!

เธอไม่เคยมีใจปฏิพัทธ์กับเพื่อนเก่าอย่าง ‘ซุลก๊อตไนท์’ เลยสักนิด
ระหว่างเธอกับเขาก็แค่เพื่อนต่างวัยในอดีตเท่านั้น
แล้วเราก็ห่างหายกันไปตั้งนมนานแล้ว เพิ่งจะมาติดต่อเรื่องงานกันก็ตอนที่เธอเพิ่ง
จะกลับมาจากญี่ปุ่น แล้วมันก็แค่ไม่ถึงสองปี…แค่รู้จัก
แต่มิได้รักใคร่่หรือคบหากันฉันท์ชู้สาว ก็แค่เพื่อนร่วมห้องคนนึงในอดีตเท่านั้น

ที่สำคัญ เธอไม่เคยรักเขา และไม่ใช่เจ้าสาวของเขา ไม่เคยมีอะไรกับเขา
แล้วจะมีลูกกับเขาได้ยังไง…

มันเหลือเชื่อที่เด็กน้อยที่น่าจะยังไม่ถึงขวบจะเป็นลูกเธอกับบุรุษผู้นี้…
ในเมื่อภาพเขากับเพื่อนรักของเธอกำลังเดินเคียงกันในงานแต่งงาน
ยังสลักอยู่ในความทรงจำของเธออยู่เลย…

“ไม่ใช่…ต้องไม่ใช่วา…วาไม่มีวันแย่งสามีใคร…โดยเฉพาะสามีเพื่อนรักอย่างเธอนะดีม…
วาต้องบ้าไปแล้วแน่ๆถ้าทำแบบนั้น…”

“ก็เธอมันบ้าไปแล้วจริงๆนี่วา…”

“พอ! หยุดรื้อฟื้นเรื่องนี้สักทีได้มั้ย ฉันขอร้องล่ะ…เด็กไม่เป็นอันหลับอันนอนแล้ว…”

เสียงที่ดูเฉียบขาดตวาดขึ้นอย่างหงุดหงิด ส่งผลให้สองสาวสงบปากสงบคำทันใด

…หากในใจของวาลาดาไม่ได้สงบตามไปด้วย…สายตาคู่งามมองไปยังเด็กน้อย
หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู…

ไม่แน่ใจว่าอุปาทานไปเองหรือเปล่าที่หน้าตาของเจ้าเด็กน้อยในเปลนั้น
มีเค้าใบหน้าของเธออยู่ไม่น้อย…จะแปลกอยู่หน่อยก็ตรงทรงจมูกที่เหมือนของ…
ของคนที่กำลังไกวเปลอยู่…มันเหมือนราวกับไปขโมยจมูกของเขามาไว้กับตน…

หญิงสาวยกมือทาบอก เพราะนั่นเท่ากับเป็นหลักฐานชั้นเยี่ยมที่มัดเธอแน่นหนา…

เธอนี่หรือแย่งสามีเพื่อน แย่งตอนไหน แย่งเมื่อไหร่ แล้วทำไมต้องแย่ง

…มันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตเธอกันแน่…หรือเธอกำลังอยู่ในร่างของคนอื่น
เหมือนในละครหลายๆเรื่องที่เคยดูตอนวัยรุ่น…เธอไปสลับร่างกับใครหรือเปล่า…
แล้วมันจะเป็นไปได้หรือกับการสลับร่างกัน เธอไม่เคยเชื่อในเรื่องนี้เลย…
แม้จะชอบดูละครแนวนี้ แต่ก็ไม่เคยเชื่อ

คิดได้ดังนั้น วาลาดาก็วิ่งไปยังโต๊ะเครื่องแป้งทันที…
แล้วต้องกลืนน้ำลายลงคอเฮือกใหญ่ เมื่อได้เห็นภาพสะท้อนบนกระจก

ใบหน้ารูปไข่ ผิวสีน้ำผึ้งนวลเนียน ไร้จุดด่างดำใดๆ หน้าผากนวลเนียน
คิ้วเข้มเป็นรูปคันศรโค้งสวย ดวงตากลมโตสีดำสนิท
กับขนตาหนาดกดำงอนเช้ง จมูกเชิดรั้นตั้งเด่นบนใบหน้ารับกับ
ริมฝีปากรูปกระจับแต้มด้วยลิปสติกสีแดงสด…ผมยาวดัดหยิกลอน
สีดำเหลือบแดงที่บัดนี้ดูยุ่งเหยิงเหมือนคนเพิ่งตื่นนอน…

ชุดกระโปรงสายเดี่ยวสีแดงเพลิง คอคว้านลึกอย่างน่่าหวาดเสียวเป็นที่สุด
ถ้าได้ก้มลงเพียงนิด เพียงนิดเดียวเท่านั้น ก็คงเห็นไปถึงไหนต่อไหน
แถมตัวชุดยังสั้นอวดเรียวขาสวยนวลเนียน ปลีน่องนั่นก็ดูจะโผล่พ้นชุด
มาอวดสายตาชาวโลก โดยเฉพาะผู้ชายคงกลืนน้ำลายเฮือกๆเมื่อได้ยล

ผู้หญิงที่ดูเซ็กซี่ยั่วยวนในกระจกนี่…ใช่เธอจริงหรือ?
ทำไมมันถึงได้ขัดกับเธอซึ่งเป็นเธอทั้งหมดแบบนี้…

องค์ประกอบหลักนั้นใช่แน่…แต่องค์ประกอบเสริมนี่สิมันมาได้อย่างไร

ผมสีดำสนิทเหมือนสีของขนนกกาน้ำที่ยาวเหยียดตรงสวยและนุ่มมือ
ที่มีมาแต่แรกเกิดจนใครๆล้วนพากันอิจฉาหายไปไหน…
ทำไมถึงกลายเป็นเส้นผมหยาบๆราวกับถูกกัดด้วยสารเคมีมานับครั้งไม่ถ้วน…
ทั้งๆที่เธอรักและทนุถนอมไม่ยอมให้ปนเปื้อนสารเคมีโดยไม่จำเป็นมาตลอด…
เพราะมันคือความภาคภูมิใจของเธอ

แล้วสีแดงนี่อีก…นี่มันสีที่เธอเกลียดที่สุด…เพราะมันคือสีเลือด!

แล้วชุดโป๊ที่เห็นในกระจกอีกเล่า…เธอเคยสวมใส่มันเสียเมื่อไหร่กัน…
ไม่ใช่เพราะไม่กล้าสวมใส่ แต่เพราะเธอไม่เคยมองว่าชุดแบบนี้มันสวยและดูดีตรงไหน…
เธอประณีตกับเครื่องแต่งกายให้ดูเหมาะสมและไม่หวือหวามาตลอดชีวิต
เพราะถูกอบรมสอนสั่งจากครอบครัวที่เคร่งครัดในเรื่องศาสนา ทั้งการวางตัวต่างๆ…

แม้ไม่รวย เสื้อผ้าไม่หรูหรา แต่ว่าพ่อแม่ก็เคร่งครัดเรื่องการแต่งกายของลูกสาว
ให้อยู่ในกรอบศาสนามาตลอด…

ผู้หญิงตรงหน้านี้คือเธอในวันนี้จริงๆหรือนี่…

ผู้หญิงที่ถูกตราหน้าจากเพื่อนรักมาหมาดๆว่าแย่งสามีเพื่อน…แถมยังมีลูกแล้ว

…ลูก! คิดมาถึงตรงนี้ วาลาดาถึงกับขนลุกไปทั่วทั้งสรรพางกาย…
เพราะนั่นย่อมแสดงว่าเธอมิใช่ ‘สาวบริสุทธิ์’ อีกต่อไปแล้ว

ไม่จริง! หญิงสาวแทบอยากจะกรีดร้องออกไปทันทีที่ความจริงตอกหน้าเธอ
เมื่อรูปร่างของเธอที่ได้สำรวจตรงหน้ากระจกมันเปลี่ยนไปแล้ว
มันไม่ได้กระชับอย่างแต่ก่อน มีหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไปแล้ว
และคงจะเปลี่ยนไปตลอดกาล…

อยู่ๆน้ำตาที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนก็ใหลหลั่งลงอาบสองแก้มนวลปลั่ง
ความเสียดายและความหดหู่เข้าครอบงำจิตใจ
เมื่อรู้ว่าตัวเองไม่สามารถเก็บรักษาความสาวให้กับชายอันเป็นที่รักได้…

ชายที่เธอรอมานานแสนนานคนนั้น…ชายที่เธอคิดว่าสักวันเราจะได้
เจอกันและเธอรักเขา เขารักเธอ แล้วเราก็จะแต่งงานกัน
เธอจะมอบของขวัญที่เธอเก็บรักษามาตลอดให้เขาคนเดียวในคืนแต่งงาน

เขาคือคู่รัก คู่ชีวิตของเธอ คือผู้ที่จะคอยอยู่เคียงข้างกันไม่ว่ายามทุกข์หรือยามสุข…
แม้จะไม่เคยพบเคยเจอเขาคนนั้น แต่เธอก็รอเขาคนน้ันมาตลอด

…รอการได้พบเจอกัน…รอด้วยความหวัง…

แล้วอยู่ๆ เธอ…เธอก็มีสามีและลูกกับคนที่เธอไม่เคยคาดคิด
หรือคาดฝันมาก่อนได้อย่างไร…

‘ซุลก๊อตไนท์’ คือสามี คือพ่อของลูกเธอได้อย่างไร
เธอไปมีอะไรกับเขาตอนไหน…นี่เธอมีอะไรกับเขาจนมีลูกจริงๆหรือนี่…

วาลาดาแทบอยากจะเป็นลม…ก่อนจะเปลี่ยนเป็นความขยะแขยงร่างกาย
ที่จิตวิญญาณของเธออาศัยมาตั้งแต่ลืมตาดูโลกขึ้นมาอย่างไม่อาจห้ามความรู้สึกนั้นได้…
เพราะนึกรู้ว่าตัวเองคงเสียท่า เสียความสาวให้กับเขาซึ่งเป็นเพื่อนเก่า
ที่เธอไม่เคยรู้สึกอะไรด้วยเลยสักนิดมาก่อน…

มันต้องมีอะไรผิดพลาด!

‘วาลาดา เพ็ญพิสุทธิ์’ ไม่เคยเป็นแบบนี้…เธอไม่ใช่ผู้หญิงแบบนี้…
ไม่มีทางที่ผู้หญิงอย่างเธอจะแย่งสามีใคร เธอไม่จำเป็นต้องแย่ง
มันเป็นไปไม่ได้…ไม่มีทาง!

“บอกวาทีนาดีมว่าวาทำได้ยังไง…วาไม่เชื่อว่าตัวเองจะมีความคิดที่จะแย่งสามีใครได้เลย…
โดยเฉพาะสามีเพื่อน…ทั้งๆที่วาเองแน่ใจว่าวาไม่เคยรักก๊อต…
ไม่มีเหตุผลที่วาต้องแย่งเขามาจากเธอเลยนะ…เธอน่าจะรู้จักวาดีกว่าใคร…
ก็ในเมื่อเราเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่อนุบาลนะนาดีม…เธอรู้ดีว่าเพื่อนเธอคนนี้
ไม่มีวันทำร้ายเธอได้…และจะไม่มีวันทำตัวแบบนั้นแน่ๆ…ไม่แน่ๆ…”

หันมาสบตากับเพื่อนแล้วก็อดไพล่ไปทางบุรุษคนเดียวภายในห้องแห่งนี้
ซึ่งมันคงจะเป็นห้องนอน ห้องหอของเพื่อนที่เธอเป็นคนออกแบบให้เอง…

ทุกอย่างที่เห็นคือฝีมือการออกแบบของเธอ…

“ถ้าอยากจะรื้อฟื้นกันนักก็ตามสบาย แต่ฉันคงจะอยู่รื้อฟื้นด้วยไม่ได้”

โพล่งขึ้นมาด้วยแววตาวาววับดั่งมีลูกไฟดวงย่อมๆในดวงตาคู่นั้นแล้ว
เขาก็ทิ้งให้เธอกับเพื่อนแล้วเด็กน้อยในเปลที่สงบแล้วไว้ในห้อง…

ลับหลังเขา…วาลาดาลอบถอนใจอย่างหนักหน่วง หันไปมองเพื่อนรักอย่างอ้อนวอน…

“เล่าให้วาฟัง…วาอยากรู้…ว่ามันเกิดอะไรขึ้น…”

เพื่อนของเธอกัดริมฝีปากเหมือนจะข่มความรู้สึกบางอย่าง
ก่อนจะพูดลอดไรฟันออกมาว่า

“เธอพูดถูก…วาลาดาที่ฉันเคยรู้จักมาตั้งแต่เด็กนั้น เป็นคนสวย เป็นคนดี เป็นคนน่ารัก
น้ำจิตน้ำใจกว้างขวาง เสียสละ เรียนเก่ง ฉลาดเฉลียว เรียบร้อย
ไม่เคยพูดคำหยาบคาย ไม่เคยทำร้ายใคร ไม่เคยสร้างความเดือดร้อนให้ใคร
มีแต่จะสร้างชื่อเสียงให้ครอบครัวและโรงเรียน
เป็นวาลาดาที่ใครที่อยู่ใกล้ต่างก็อดจะรักไม่ได้ เป็นวาลาดาที่คุณครูเอ็นดู
และผองเพื่อนยกย่อง ชื่นชม…”

น้ำเสียงของเพื่อนรักดูจะแหบแห้งลงเมื่อพูดมาถึงตรงนี้

“ไม่ใช่วาลาดาที่อยากได้สิ่งใดก็ต้องคอยไขว่คว้าเอามาให้ได้
แม้ว่าจะยากเย็นเพียงใดก็ต้องให้ได้มา ทั้งๆที่รู้ดีรู้แก่ใจ
ว่าจะมีใครต้องเจ็บช้ำก็ตาม…ไม่ใช่วาลาดาที่ทอดสะพานให้สามีคนอื่น
ไม่ใช่วาลาดาที่มีความสุขและสนุกกับการปีนต้นงิ้ว…”

“ไม่จริง…วาน่ะหรือปีนต้นงิ้ว…ไม่มีทาง…เธอใส่ความวาแล้วนาดีม”

สีหน้าวาลาดาเหยเกราวกับกำลังฟังเรื่องราวที่ฉีกหัวใจเธอออกเป็นชิ้นๆ

“เธอแย่งก๊อดไปจากฉันไม่พอ…เธอยังทอดสะพานให้ชายอื่นที่มีเมียแล้ว
เธอทำได้วาลาดา เพราะเธอสวย เพราะเธอมีเสน่ห์ ผู้ชายมากมาย
เขาแอบชอบแอบชื่นชมเธอมาตลอด…แค่เพียงเธอทอดสะพานให้
ผู้ชายพวกนั้นก็ลืมจนหมดสิ้นถึงศีลธรรมแล้ว…”

“ไม่จริง!” หญิงสาวพึมพำด้วยสีหน้าถอดสี…เธอไม่ใช่ผู้หญิง
ที่เมื่ออัดอั้นแล้วจะกรี๊ดออกมาเพื่อประจานถึงนิสัยที่ไม่ได้รับการอบรมมาอย่างดี

ดังนั้น แม้จะอยากกรีดร้องออกมาสักเพียงใด เธอก็ต้องข่มมันเอาไว้ข้างใน…

น้ำตาก้อนโตจึงใหลลงมาราวกับน้ำป่า

“ถ้าเธอไม่เชื่อฉัน…เธอก็ลองไปถามพ่อสุดที่รักของเธอดูก็ได้วา
ว่าพ่อเธอเสียใจและผิดหวังในตัวเธอแค่ไหน…ถามพี่ๆน้องๆของเธอ
ถามคุณครูที่โรงเรียนเก่า ถามคนในละแวกบ้านเธอดูสิ…
ว่าพวกเขาขยะแขยงในพฤติกรรมของเธอกันแค่ไหน…

ถ้าไม่ใช่เพราะเธอเคยเป็นเพื่อนรักของฉันล่ะก็…ฉันจะไม่มาใส่ใจอะไรกับเธออีกเลย…
จะไม่สนใจว่าลูกของเธอจะเป็นยังไง…และฉันคงจะไปให้ไกลๆชีวิตเธอกับก๊อต…
จะได้ไม่ต้องเห็นอะไรที่มันตำตาตำใจอยู่แบบนี้”

แววตาของเพื่อนรื้นไปด้วยน้ำตา…สีหน้าแววตาที่แสดงออกถึงกับเจ็บปวดรวดร้าวนั้น
ส่งผลให้วาลาดาถึงกับชะงักงัน…นึกทบทวนความทรงจำต่างๆ
หากก็ไม่พบว่าตัวเองเคยปฏิบัติตัวเยี่ยงหญิงชั่วอย่างที่เพื่อนว่าเลยสักนิด

…เธอจำได้ว่าตัวเองเรียนจบกลับมาบ้านพร้อมเสียงยกย่องชื่นชมจากผู้คนรอบกาย
ไปไหนใครๆก็ต่างพากันยกยอปอปั้น ชีวิตพรั่งพร้อมไปด้วยเกียรติยศ ชื่อเสียง
และเงินทองที่หลั่งใหลเข้ามา…หน้าที่การงานกำลังไปได้สวย…
เพราะความรู้และความสามารถที่มีเป็นสิ่งที่ทำให้บริษัทยักษ์ใหญ่มิอาจมองข้ามได้

โดยเฉพาะการมีผู้คนรักใคร่ชื่นชมให้การนับถือ ยิ่งส่งให้เธอเป็นหญิงสาว
ที่เป็นที่หมายปองของหนุ่มเล็กหนุ่มใหญ่มากหน้าหลายตาที่ขยันกันเข้ามาขายขนมจีบ…

เช่นนี้แล้วเธอจะมัวมาแย่งของๆคนอื่นไปเพื่ออะไรกัน…

เพื่อความสะใจน่ะหรือ ไม่มีทาง!

คนอย่างเธอไม่เคยคิดจะทำอะไรเพื่อความสะใจมาก่อนเลย…
จำได้ว่าเธอแทบไม่เคยคิดคบใครหรือคิดจะรักใครมาก่อนด้วยซ้ำไป

เธอรักการเรียนรู้ รักการทำงานตามความถนัดอย่างงานด้านสถาปัตยกรรม
ที่เรียนจบมาด้วยเกียรตินิยม รักการเดินทางท่องเที่ยวเยี่ยมชมสถานที่ต่างๆ
รักการถ่ายภาพ รักการปฏิสัมพันธ์กับคนแก่และเด็กๆ…

ไม่เคยจะรักใคร่เพศเดียวกันหรือเพศตรงข้าม…หัวใจเธอไม่เคยเปิดรับความรัก
ในแบบชู้สาวกับใคร...ไม่เลย

แม้แต่คนที่เพื่อนรักเพิ่งบอกว่าเธอแย่งเขามา…คนที่เพื่อนบอกว่าเป็น ‘พ่อของลูก’เธอ

“จำเป็นด้วยหรือนาดีมที่วาจะต้องแย่งของๆคนอื่นมาเป็นของตัวเอง
ในเมื่อเธอก็รู้ดีว่า…วาไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้น เพราะคนที่ดีพร้อมกว่าก๊อต
และยังไม่ถูกตีตราต่างเข้ามาขายขนมจีบให้วาตลอด…

ถ้าวาจะเลือกใครสักคนมาเป็นพ่อของลูก…จำเป็นแค่ไหนที่ต้องเป็นก๊อต…
เธอก็รู้ว่าวาไม่เคยมีใจให้ก๊อต…ไม่เคย…ไม่แม้แต่นิดเดียว”

หัวใจเธอทำไมเธอจะไม่รู้…ความรู้สึกเธอทำไมเธอจะไม่เข้าใจมัน
เธอซื่อตรงต่อความรู้สึกตัวเองเสมอ…ไม่เคยคิดจะหลอกตัวเอง…

และที่สำคัญคือ…ไม่เคยคิดจะหลอกใคร ไม่เคยให้ความหวังใคร…

และซุลก๊อตไนท์ก็เป็นผู้ชายส่วนน้อยที่มิได้สนใจจะเข้ามาจีบเธอ
เขารักชอบพอกันกับเพื่อนสนิทของเธอมาตั้งแต่เรียนมัธยมต้นแล้ว
และดูเหมือนจะรักมั่นคงกับเพื่อนรักของเธอจนถึงขนาดแต่งงานกัน

แล้วอย่างนี้…เรื่องระหว่างเธอกับสามีเพื่อนรักมันจะมีปัจจัยใด
ที่เข้ามาทำให้เกิดปฏิกิริยาเร่งสารเคมีในร่างกายจนมีทายาทออกมาดูโลกได้…

วาลาดาทรุดกายอย่างหมดแรงลงบนเตียงนอน ยกมือขึ้นกุมขมับ
รู้สึกปวดตุบๆขึ้นมา…

“เมื่อกี้วาเป็นอะไรไป…” เมื่อไม่สามารถหาคำตอบใดๆจากความทรงจำของตัวเองได้
จึงถามเพื่อนรักออกไปเผื่อว่าอาจพบอาการผิดแผกทางร่างกาย
เช่นความจำเสื่อมชั่วขณะและฟื้นขึ้นมาจนทำให้ความจำส่วนนั้นหายไป…

เธอเองแม้ไม่อยากปักใจเชื่อเสียทีเดียว แต่ดูจากรูปการและหลักฐาน
ที่นอนอยู่ในเปลแล้วก็เหมือนจะสะกิดใจให้ต้องตระหนัก
และพยายามตั้งสติให้มากขึ้นกว่านี้

“เธอทะเลาะกับก๊อตแล้วก็เป็นลมล้มพับไป…”

“วาเนี่ยนะทะเลาะกับก๊อต…ทะเลาะเรื่องอะไรกัน…”

อดสงสัยไม่ได้ขึ้นมาว่าคนอย่างเธอนี่หรือทะเลาะกับชาวบ้าน
เพราะอย่างมากสุดเธอก็แค่เลี่ยงหลบการปะทะโดยการไม่พูด
หรือแสดงกิริยาที่ทำให้ฝ่ายตรงข้ามถึงจุดเดือดเท่านั้น…

แม้จะไม่เห็นด้วยกับการกระทำหรือความคิดของผู้อื่น
หากเธอก็พยายามหลีกเลี่ยงความขัดแย้งเสมอ
จนแม่มักบอกว่าเธอนั้น ไม่ใช่ไม่ดื้อ แต่เป็นดื้อประเภท ‘ดื้อเงียบ’

ซึ่งก็ถูกของแม่…ใช่ว่าเธอจะยอมรับคำตัดสินของคนอื่นเสมอไปนี่นา…
และใช่ว่าเธอจะยินดีทำตามคนอื่นโดยไม่มีความคิดเป็นของตัวเอง…

…ถ้าสิ่งใดที่เธอไม่ยอมรับเสียอย่าง ใครก็บังคับให้เธอทำตามไม่ได้…
แม้ไม่เถียงไม่ขัด แต่ก็ไม่ทำตามโดยง่ายแน่…

“ฉันเองก็ไม่แน่ใจหรอก…แต่ได้ยินเสียงเอะอะดังออกไปนอกห้อง
ตอนฉันแวะมาเยี่ยมลูกเธอพอดี…ก๊อตเขาไม่ยอมให้เธอออกไปข้างนอก…
แต่เธอไม่ยอมท่าเดียว จะไปร่วมงานปาร์ตีอะไรของเธอให้ได้…
พอฉันเข้ามาถึง…เธอก็เป็นลมล้มพับไปแล้ว…กว่าฉันจะกล่อมลูกเธอให้เลิกร้องไห้ได้…
กว่าเธอจะฟื้นก็นานเกือบชั่วโมง…”

สีหน้าเครียดจัดของเพื่อนขณะบอกเล่า ทำให้วาลาดาถึงกับลอบถอนใจ

…นี่เธอทำตัวได้แย่ขนาดนั้นจริงๆหรือนี่…ยิ่งคิดหัวก็ยิ่งปวดตุบๆ

“หวังว่าหัววาไม่ได้ไปกระแทกกับอะไรตอนล้มลงไปหรอกใช่มั้ย…”
เพื่อนรักของเธอส่ายหน้า

“ทำไมวาจำอะไรไม่ได้เลยล่ะ…จำไม่ได้จริงๆนะนาดีม…
วาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมสิ่งที่เธอบอกมามันถึงไม่ได้มีหลงเหลือ
อยู่ในความทรงจำของวาเลย…มันยากเหลือเกินที่วาจะเชื่อ…แต่…
เขา…เขาทำให้วาปฏิเสธไม่ได้…” หญิงสาวหันไปทางเด็กน้อยในเปล
ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปหา มองใบหน้ากลมป้อม แก้มยุ้ย ผิวเนียน
ผมสีดำสนิทและคงนุ่มไม่ต่างจากผมของเธอแน่ๆ…จมูกที่มีปลายแหลมโด่งสวย
รูปคางและเค้าโครงหน้าคล้ายของเพื่อนต่างวัยของเธอ

มันคือลักษณะทางพันธุกรรมของเธอกับของเขาที่ถูกผสมผสานเข้าไว้ด้วยกัน…
อดไม่ได้ที่จะนึกเอ็นดูขึ้นมา หญิงสาวจึงไกวเปลให้ ‘ลูก’

ไม่อยากเชื่อก็คงต้องเชื่อสินะ…ว่าเด็กคนนี้คือลูกของเธอกับซุลก๊อตไนท์…

ยิ่งมองก็เหมือนจะยิ่งสัมผัสได้ถึงสายใยบางอย่างที่ร้อยรัดเธอเอาไว้
จนถึงกับต้องก้มลงอุ้มร่างเล็กขึ้นมาแนบอก…ก่อนจะอุ้มวางพาดบ่าแล้วโยกไปมา
เมื่อเจ้าตัวเล็กเหมือนจะเริ่มรู้สึกตัว…หากเพียงไม่นานเสียงน้อยๆก็เงียบลง

กลิ่นหอมของเนื้ออ่อนส่งผลให้หัวใจของวาลาดาอุ่นซ่านก่อนจะสงบมั่นคง
สองมือที่ดูนุ่มนวลอ่อนโยนจึงลูบหลังลูกน้อย
ด้วยแววตาที่แสดงออกถึงกับรักใคร่เอ็นดู…

“ถ้าเธอต้องการใครสักคนยืนยันว่าสิ่งที่ฉันพูดมาทั้งหมดเป็นเรื่องจริง
ฉันว่าพ่อเธอคือคนที่น่าจะให้การยืนยันได้…เธอรักและเชื่อท่าน
มากกว่าใครมิใช่หรือวา…” เสียงนุ่มนวลของเพื่อนรักเอ่ยออกมา
ทำให้วาลาดาหันไปยิ้มให้เป็นครั้งแรก…เธอไม่เคยคิดจะโกรธเกลียดเพื่อนคนนี้หรอก…
ต่อให้เพื่อนกล่าวในสิ่งที่ไม่ได้มีในหัวใจเธอเลยก็ตาม

…ใช่…สิ่งดังกล่าวที่เพื่อนบอกมามันไม่มีอยู่ในหัวใจของเธอแม้แต่นิด…

ถ้ามันคือความจริง…หัวใจเธอน่าจะสำเหนียกถึงความจริงดังกล่าวได้บ้างสิ…
แต่นี่ไม่มีเลย…เหมือนเธอยังคงบริสุทธิ์ทั้งกายและใจ…ไร้มลทินใดๆ…

แม้จะพบว่าร่างกายตนได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมแล้วก็ตาม…
และถ้าสิ่งที่เพื่อนบอกมาเป็นความจริง ความจริงที่ว่าเธอเป็นหญิงสำส่อน
ที่นอกจากจะแย่งสามีเพื่อนมาเป็นของตัวเองได้แล้ว ยังเป็นชู้กับสามีชาวบ้านด้วยล่ะก็
ร่างกายนี้ก็คงสกปรกโสมมจนน่าขยะแขยง…ซึ่งเธอคงไม่อาจมีชีวิต
กับร่างกายที่ชวนให้ผะอืดผะอมแบบนี้ได้อย่างปกติสุขอีกต่อไปแน่…

“พ่ออยู่ไหนหรือ…”

“พ่อเธอคงอยู่ด้านล่าง…ตอนฉันมาถึงเห็นท่านนั่งอยู่ในห้องรับแขก”

วาลาดาพยักหน้าน้อยๆก่อนจะแบกลูกน้อยเดินลงไปยังห้องรับแขก
ที่เธอรู้จักดีว่ามันอยู่มุมไหนของบ้านหลังนี้ บ้านที่เธอออกแบบ
ทั้งโครงสร้างและตกแต่งภายในเองเกือบทั้งหมด…โดยที่เพื่อนเธอ
กับว่าที่เจ้าบ่าวในตอนนั้นแค่บอกสิ่งที่ต้องการให้เกิดขึ้นเท่านั้น…
เธอก็พร้อมจะเนรมิตมันออกมาเป็นรูปเป็นร่างจนกลายเป็นแผนผัง
และเกิดขึ้นจริงในเวลาเพียงไม่กี่เดือน…

“พ่อ…” วาลาดาเรียกบิดาเสียงหวานนุ่มนวลด้วยความรักและเคารพยิ่ง
ทำให้ผู้สูงวัยที่กำลังก้มอ่านหนังสือธรรมะอยู่ตรงโซฟาเงยหน้าขึ้นมอง
เจ้าของน้ำเสียงด้วยแววตาและสีหน้าประหลาดใจ…

ยิ่งเห็นบุตรีแบกร่างน้อยเอาไว้ด้วยท่าทางทนุถนอมแบบนั้นยิ่งให้แปลกใจ…

“จริงๆก็ไม่ได้อยากจะมารบกวนเวลาของแกหรอกนะวา…รู้ดีว่าแกไม่ค่อยว่าง…
แต่พอดีแม่แกเข้าโรงพยาบาลเพ้อหาแต่แก…ฉันก็เลยต้องถ่อสังขารมาหาแกถึงที่…”

น้ำเสียงที่ฟังดูห่างเหินชอบกลกับถ้อยคำที่เธอไม่คิดว่าจะออกมาจากปากบิดา
ที่ไม่ว่าเธอจะเดินทางไปอยู่ดินแดนที่ไกลแสนไกลแค่ไหน
เราก็ไม่เคยขาดการติดต่อกัน เธอจะโทรหาท่านเป็นประจำเสมอ…
ยอมเสียเงินโทรไกลระหว่างประเทศเพื่อให้ได้คุยกับท่านสลับกับมารดา
จนกว่าท่านทั้งสองจะขอวางสายไปเอง…

และไม่ว่ายามที่ต้องพบกับปัญหาใดๆ เธอก็มักนึกถึงท่าน เล่าให้ท่านฟัง
อย่างไม่คิดจะปิดบัง หากกับมารดานั้นเธอเกรงว่าปัญหาหนักๆของเธอ
จะทำให้มารดาเครียดตาม เลยมิได้ปรึกษาปัญหาหนักๆกับมารดา
แต่เลือกจะปรึกษากับบิดา เพราะแน่ใจว่าท่านเป็นคนหนักแน่น เข้มแข็ง
และพร้อมจะคอยให้คำปรึกษาดีๆกับเธอมาตลอด…
จนเธอไม่เคยรู้สึกว่าต้องการความรักจากใครอีกแล้ว…แค่มีพ่อกับแม่ให้รัก

และความรักที่ท่านทั้งสองมอบให้มาเสมอก็มากเพียงพอที่จะไม่โหยหาความรัก
จากใครเพิ่ม

“เมื่อกี้ก็เห็นผัวแกบอกว่าแกกำลังคลั่งอยู่บนห้อง…อย่าเพิ่งเข้าไปเลย
ฉันก็เลยอยู่รอให้แกหายคลั่งเสียก่อน…เป็นไงล่ะ…สงบพอจะไปโรงพยาบาลได้รึยัง…”

คนเป็นลูกยังคงนิ่งจังงังด้วยความไม่เข้าใจว่าเหตุใดพ่อสุดที่รักของเธอ
ถึงได้ใช้น้ำเสียงและสีหน้าท่าทางราวกับเห็นเธอเป็นตัวเสนียดจันไรแบบนั้นได้

…นี่ใช่มั้ยที่เป็นการยืนยันว่าเธอเป็นอย่างที่เพื่อนรักเล่าให้ฟัง…

“แล้วก็ไม่เอานะไอ้ชุดแบบนี้…ไปเปลี่ยนซะด้วย…ถึงแกจะชอบ
แต่ฉันก็ไม่อยากให้แม่แกเป็นลมเพราะชุดโป๊ ยั่วสวาทของแกอีก…”

คนเป็นลูกสะอึก แทบไม่ต้องมองดูชุดตัวเองก็รู้แล้วว่าเธอต้องเปลี่ยนมันอยู่แล้ว
ไม่คิดจะออกไปไหนด้วยสภาพแบบนี้แน่ๆ…

และไม่ว่าที่ผ่านมาจะเป็นยังไง…ต่อนี้ไปเธอจะขอเป็นเธอ…
เป็นวาลาดาอย่างที่เป็นมา ไม่ใช่วาลาดาที่เธอไม่เคยรู้จักแบบนี้
หรือแบบที่เพื่อนรักกับสายตาของบิดากำลังบอก…

“พ่อรอวาสักครู่นะคะ…ฝากลูกด้วย…” พยายามข่มความเจ็บปวด
จากความไม่เข้าใจเอาไว้แล้วยื่นลูกชายให้กับบิดา ซึ่งท่านก็รับไปไว้บนตักอย่างดี…





เมื่อขึ้นมาหยุดยืนหน้าตู้เสื้อผ้าในห้องเดิมที่ตอนนี้ค่อนข้างแน่ใจแล้วว่า
มันคงจะเป็นห้องนอนของเธอกับ ‘พ่อของลูก’ ซึ่งมันยากเหลือเกิน
ที่จะยอมรับว่าเขาคือ ‘สามี’ ของเธอ…

เธอไม่เคยจินตนาการอะไรเกี่ยวกับการใช้ชีวิตคู่กับชายใดมาก่อนเลย…
ยิ่งกับเขายิ่งคิดไม่ออกว่ามันจะเป็นยังไง…

หากเมื่อเปิดตู้เสื้อผ้าดูก็ต้องตกใจอีกรอบเมื่อพบว่ามันมีแต่ชุดโป๊ๆเต็มตู้ไปหมด
ชุดที่เธอไม่เคยคิดจะเสียเงินซื้อมันมาอยู่ในตู้นี้ได้อย่างไรกัน

…แต่เอาเถิด…ก็เพิ่งได้รับรู้มามิใช่หรือว่าตัวเองเป็นใครสักคนที่ตัวเองไม่เคยรู้จักนี่…
ดังนั้นมันน่าจะพอมีสักชุดที่เรียบร้อยพอใส่ไปไม่อายใครบ้างล่ะ…
และก็เจอในที่สุด มันซุกตัวอยู่ในมุมหลืบ เป็นชุดกระโปรงตัวยาวถึงกลางหน้าแข้ง
สีดำลายจุดสีเหลือง แต่มันเป็นชุดสายเดี่ยว…หญิงสาวจึงพยายาม
ควานหาเสื้อคลุมแขนยาว แล้วก็พบว่ามันพับอยู่ในมุมสุดด้านใน
ราวกับเจ้าของของมันไม่ได้ให้ความใส่ใจ…สีดำเข้ากันพอดีกับตัวชุดเท่านั้น…

เจ้าของตู้เสื้อผ้าก็คลี่ยิ้มออกมาอย่างโล่งอก…ก่อนจะนำมัน
ไปเปลี่ยนในห้องแต่งตัวอย่างเร็วรี่…แล้วมาหยุดยืนหน้ากระจก

“เฮ้อ…” เห็นหน้าตัวเองแล้วอดพ่นลมหายใจออกมาไม่ได้…

“ขืนใช้เครื่องสำอางจัดขนาดนี้ หน้าเธอไม่พังไปสักวันก็ให้มันรู้ไปสิ…”

บ่นกับภาพตัวเองในกระจกแล้วก็เดินเข้าห้องน้ำพร้อมกับผ้าขนหนูผืนเล็ก
เมื่อล้างเครื่องสำอางและเครื่องประทินโฉมที่ระบายแต่งแต้มสีสันบนใบหน้า
จนเกลี้ยงเกลาแล้วก็กลับมายืนหน้ากระจกอีกครั้ง…

คราวนี้หญิงสาวเลือกหาลิปกลอสขึ้นมาแต้มริมฝีปาก
ให้ชุ่มชื่นแล้วเดินไปหยิบแป้งฝุ่นของลูกน้อยขึ้นมาปัดบนผิวแก้ม เป็นอันเสร็จ…
ก่อนจะจับเส้นผมที่หยาบกระด้างด้วยสีหน้าสลดและแสนเสียดาย…
พ่นลมหายใจออกมาอีกครั้งแล้วรวบเส้นผมเกล้าขึ้นเป็นมวยแล้วมองหาผ้าคลุมศีรษะ…
หากก็ไม่พบแม้แต่ผืนเดียว จึงลงไปยังด้านล่าง…

เห็นเพื่อนรักกับสามี ไม่ใช่สิ…เขาคงไม่ใช่สามีของเพื่อนรักของเธออีกแล้ว…

ทั้งสองกำลังนั่งหยอกอยู่กับลูกชายที่ตื่นแล้วอยู่บนพื้นกระเบื้องสีน้ำทะเล
ในมือป้อมมีลูกเป็ดสีเหลือง เสียงใสๆหัวเราะได้น่าฟังยิ่งนัก…

ทำเอาวาลาดายืนมองภาพนั้นนิ่งราวกับถูกสาป
ก่อนจะตื่นจากภวังค์เมื่อได้ยินเสียงบิดาดังขึ้น

“ค่อยพอดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาหน่อย…” เสียงของท่านมิได้ปลุกแค่เธอให้ตื่น
แต่คนที่กำลังหยอกล้อกับเด็กอยู่ก็พลอยเงยหน้าหันมามองเธอเป็นตาเดียวกัน…

สายตาประหลาดระคนไม่แน่ใจถูกส่งมาให้เจ้าของชุดที่พอดูเป็นผู้เป็นคนทันที
อย่างไม่มีปิดบังซ่อนเร้น

และดูเหมือนคำถามจากปากของเธอจะทำให้ทุกคนในที่นั้นอึ้ง
ถึงกับอ้าปากเหวอกันเลยทีเดียว

“เธอพอมีฮิญาบ (ผ้าคลุมศีรษะ) ให้วายืมสักผืนมั้ยนาดีม…”

นาดีมเพื่อนรักมองเธอราวกับว่าเธอคือไดโนเสาร์ที่เกิดมาโผล่
ในห้องโถงแห่งนี้ก็ไม่ปาน…

“เธอ…เอ่อ…พูดว่าไงนะ…”

“วาหาฮิญาบไม่เจอเลย…ก็เลยจะถามว่าเธอพอจะมีให้ยืมก่อนมั้ย…
ถ้าไม่มี…วาคงต้องแวะซื้อกลางทาง…เพราะจะให้ออกไปข้างนอก
ทั้งที่ไม่มีฮิญาบคลุม…วาคงทำไม่ได้แน่…”

“ก็เธอเอามันไปเผาเองไม่ใช่เหรอ…ฉันให้สวมทีไรเธอก็โกรธ
เป็นฟืนเป็นไฟ…” เสียงนั้นดังมาจากพ่อของลูก ซึ่งสีหน้าคนพูดดูไม่จืดเลย…

“ช่างเถอะ…ที่ผ่านมาใครจะเห็นวาเป็นใครหรือเป็นคนยังไง
วาจะพยายามเรียนรู้และทำใจให้ได้…แต่ตอนนี้วาต้องการฮิญาบจริงๆนะนาดีม…”

น้ำเสียงและแววตาจริงจังนั้นทำให้คนเป็นเพื่อนต้องหันไปหาอดีตสามี
แล้วพยักหน้าน้อยๆ

“ในรถฉันน่าจะมี…ขอไปดูก่อน…” แล้วเพื่อนรักก็หายไป
ก่อนจะกลับมาพร้อมผ้าคลุมศีรษะสีดำไร้ลวดลายหรือมุกประดับ

“มันอาจจะดูเรียบๆพื้นๆไปหน่อย…แต่ฉันก็มีแค่แบบนี้ทั้งนั้น…”

ว่าพลางยื่นผ้าคลุมส่งมาให้…วาลาดาคลี่ยิ้มดีอกดีใจขณะรับของมาจากมือเพื่อน
แล้วนำมาสวมใส่ทันที

“ขอบใจเธอมากนะนาดีม…ฉันไม่รู้และจำไม่ได้จริงๆว่าที่่ผ่านมา
เกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง…จำได้แค่ตอนที่ตัวเองเรียนจบกลับมา
แล้วได้ทำงานที่ตัวเองรัก ได้อยู่กับพ่อกับแม่และพี่ๆน้องๆสมใจอยาก…
ถ้าฉันเคยทำอะไรแย่ๆไป…ฉันขอโทษนะนาดีม…สำหรับฉันแล้ว
เธอคือเพื่อนที่ฉันรักมากที่สุด…ถ้าฉันสามารถไถ่โทษการกระทำของฉันได้…ขอให้บอก…
ฉันพร้อมจะทำทุกอย่าง…” เอ่ยออกไปแล้วเธอก็พร้อมจะแบกรับในถ้อยคำนั้น…
และเหมือนถ้อยคำนั้นของเธอจะสร้างความประหลาดใจให้กับทุกคนในที่นี้
โดยเฉพาะคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อของลูก และพ่อของเธอ…

“งั้นก็คืนก๊อตให้ฉันได้มั้ยล่ะ…เธอจะคืนเขาให้ฉันได้รึเปล่าล่ะวา…”

ประโยคนั้นส่งผลให้คนกลางอย่างพ่อของลูกเธอหันไปมองเจ้าของคำร้องทันทีทันใด
ด้วยสีหน้าแตกตื่น…

“ถ้าเขาต้องการกลับไปหาเธอ…ฉันก็ยินดี…แต่…ฉันคงให้ลูกของฉัน
ไปเป็นของเธอกับเขาไม่ได้หรอก…ฉันอยากเลี้ยงดูเขาเอง…”

พูดพลางมองหน้าเพื่อนอย่างตัดสินใจได้โดยไม่ลังเลแม้สักขณะจิต
ก่อนจะหันไปทางพ่อของลูกพร้อมกับยืนยันเสียงหนักแน่น…

“และขอให้แน่ใจเถอะว่าวาลาดาคนนี้จะไม่มีสามีใหม่ให้เป็นปัญหากับลูกแน่…
เราสองแม่ลูกจะย้ายออกจากบ้านหลังนี้ทันที…”

นั่นยิ่งทำให้คนที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อของลูกถึงกับนิ่งขึง มองสองสาวสลับไปมา
แล้วขบครามแน่น…ยิ่งหญิงสาวตบมือส่งสัญญาณให้ลูกชายของเขาคลานไปหา
ก็ยิ่งทำให้อารมณ์ขาดผึง

“เธอไม่เคยต้องการเขา แล้วทำไมถึงอยากได้นัก…อย่ามาเล่นละครตบตาฉัน
กับคนอื่นๆเลยวาลาดา…ฉันไม่เชื่อน้ำหน้าผู้หญิงอย่างเธอง่ายๆหรอก…
มารยาร้อยเล่มของเธอฉันรู้ทันมันทุกเล่มนั่นแหล่ะ…”

พูดโดยไม่ได้สำเหนียกถึงการมีอยู่ของบิดาของหญิงสาวที่เขากำลังตำหนิ
อย่างไม่ไว้หน้าแม้แต่นิดเดียว…

“เลิกใส่หน้ากากสักที…ฉันอาจจะเคยสับสนกับพฤติกรรม
แบบคนที่มีสองสามบุคลิกอย่างเธอมามากพอแล้ว…แต่ตอนนี้ฉันไม่สนใจว่า
เธอจะมาไม้ไหนทั้งนั้น…ซึ่งเธอจะเอาลูกชายของฉันไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น…
เขาต้องอยู่กับฉันเท่านั้น…เพราะถ้าฉันไม่ต้องการรับผิดชอบดูแลลูก
ฉันก็ไม่จำเป็นที่จะต้องจดทะเบียนกับผู้หญิงเช่นเธอให้คนทั้งบางเขาหัวเราะเยาะเอาว่า
โง่ให้เมียสวมเขาอยู่แบบนี้ตั้งแต่ต้นหรอก…” วาลาดาถึงกับหน้าชา…

แม้จะนึกไม่ออกว่าตัวเองเคยตีสองหน้าหรือใช้มารยากับเขาอย่างไรบ้าง
หากก็มั่นใจว่าคนตรงหน้าไม่ได้เสแสร้งกล่าวร้ายป้ายสีเธอแน่…
แววตาของเขามันจริงและเด็ดขาดจนยากจะปฏิเสธว่าเธอไม่ได้เป็นอย่างที่เขาว่ามา…

จึงอดไม่ได้ที่จะหันไปทางบิดา เผื่อว่าท่านจะช่วยปกป้องเธอจากข้อกล่าวหาดังกล่าว
และเผื่อว่าท่านจะช่วยให้เธอได้มีสิทธิ์ในตัวลูกชายที่ตอนนี้คลานเข้ามาหาเธอ
ทว่าถูกเขาจับเอาไว้ไม่ยอมให้คลานมาถึงตัวเธอได้…ส่งผลให้เด็กน้อยร้องจ้า…

และเหมือนใจจะขาดลงเสียให้ได้ เมื่อบิดาของเธอกลับนั่งฟังอย่างสงบ
ราวกับเธอเป็นดั่งอากาศธาตุ…ไม่ใช่ลูกในไส้…

“ส่วนเธออยากจะไปร่านกับใครที่ไหนก็เชิญ…เพราะนอกจากน้ำนมของเธอแล้ว
ลูกไม่เคยต้องการสิ่งใดจากเธออีก…เขาอยู่ได้โดยไม่มีเธอด้วยซ้ำไป…”

‘ร่าน’ คำๆนี้สร้างความเจ็บปวดให้เธอไม่น้อย
แต่ก็มันจะยังน้อยกว่าปฏิกิริยาจากพ่อ…มันเหมือนเข็มร้อยพันเล่มพุ่งเข้าใส่
ไม่เคยเจ็บปวดอะไรเท่านี้มาก่อน

พ่อที่คิดว่าเคยปกป้องเธอมาตลอดยอมให้คนๆนี้ตราหน้าเธอ
ดูหมิ่นเหยียดหยามเธอได้โดยไม่สะทกสะท้านเลยสักนิด…

กรรมใดของเธอหนอที่ทำให้ต้องมาชดใช้ได้อย่างทุรนทุรายเช่นนี้…

จำได้ว่าตั้งแต่เด็กถ้าไม่ถึงที่สุดเธอไม่เคยพูดจาทำร้ายจิตใจใครโดยเจตนาเลยด้วยซ้ำ…
แต่ทำไมสิ่งที่เธอได้รับในตอนนี้ถึงได้แสบสันราวกับน้ำกรดที่รดลงบนหัวใจนิ่มๆของเธอ…

“ก๊อตกำลังจะบอกวาว่า…ต้องการให้วายกลูกให้ก๊อตกับดีม…
แล้วออกไปให้พ้นจากบ้านหลังนี้ใช่มั้ย…” ถามไปแล้วก็รอดูปฏิกิริยา
และลุ้นคำตอบจากเขาด้วยใจจดจ่อ…

“หรือเธอคิดว่า…ตัวเองมีค่ามากพอที่จะทำให้คนอย่างฉันอยากใช้ชีวิตร่วมด้วยนัก…
ถ้าไม่ใช่เพราะเธอท้องแล้วป่าวประกาศไปทั่วว่าตัวเองโดนฉันขืนใจ
ทั้งๆที่เธอก็รู้ดีว่าตัวเองเป็นฝ่ายวางยาฉันและยังเรียกร้องให้ฉันจดทะเบียนด้วยล่ะก็…
ฉันจะไม่มีวันหย่าขาดกับนาดีมแน่…เธอไม่ได้ต้องการฉัน ไม่ได้ต้องการลูก
แต่สิ่งที่เธอต้องการคือสิ่งที่ฉันมีทั้งหมด…อยากมีอยากได้ เรียกร้องไม่มีที่สิ้นสุด”

คำตอบช่างบาดจิตได้อย่างน่าประหลาดใจนัก
ขนาดไม่เคยรักผู้ชายคนนี้เลยสักนิดยังเจ็บได้ปานนี้ ถ้ารักเล่าจะเจ็บสักขนาดไหน…

เหมือนว่าตัวเองเป็นหญิงไร้ค่า ไม่มีใครต้องการ
เธอกลายเป็นคนที่ไม่มีใครต้องการแล้วใช่ไหม…

สายตาที่เต็มไปด้วยน้ำตาที่เอ่อคลอทอดมองบิดาแล้วไพล่ไปทางลูกน้อย…
ราวกับมีสายใยบางอย่างมาดึงรั้งเอาไว้ทำให้ต้องถลาไปหา
อย่างไม่อาจหักห้ามใจเอาไว้ได้…พยายามไขว่คว้าลูกน้อยจากอกของเพื่อนรัก
ที่รีบคว้าไปอุ้มแล้วผละหนีห่างจากเธอสุดฤทธิ์

เด็กน้อยร้องไห้จ้าเมื่อถูกแย่งชิง…จนในที่สุด วาลาดาเป็นฝ่ายยอมแพ้
เพราะไม่อาจทนมองดูภาพลูกน้อยที่ต้องร้องไห้เพราะถูกดึงรั้งได้อีกต่อไป…

“วาจะยื่นเรื่องกับศาลขอเลี้ยงดูเขา…”

พูดไปแล้วก็พบว่าทุกคนมองเธอราวกับสังเวทใจ…

และก็เป็นเขาอีกครั้งที่ทำให้เธอรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่าเพียงไร…

“ศาลคงจะยอมเธอหรอกนะ…ประวัติโชกโชนขนาดนี้คงไม่มีศาลที่ไหนจะยอมให้เธอ
ได้เลี้ยงดูเด็กคนไหนหรอก…พยานที่จะบอกกับศาลว่าผู้หญิงอย่างเธอไม่เหมาะ
ที่จะเป็นผู้ปกครองน่ะมีทั่วบ้านทั่วเมือง…”

ราวกับยืนยันเมื่อหันไปทางบิดา ซึ่งก็พบว่าท่านยังคงน่ังนิ่งสงบราวกับหุ่น…
ไม่ได้คัดค้านสิ่งที่เขาพูดออกมาแม้แต่นิดเดียว…

…พ่อเป็นอะไรไป…พ่อคนเดิมของเธอหายไปไหน…

เมื่อไม่ได้รับการปกป้องจากผู้ที่รัก วาลาดาจึงกัดฟันข่มความข่มปร่า
ขณะเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น จริงจัง มั่นคงว่า

“ถ้างั้น…วาขอโอกาสพิสูจน์ว่าวาสามารถให้ความรักและเลี้ยงดูลูกได้เป็นอย่างดี…
ขอเวลาแค่สามเดือนเท่านั้น…ถึงตอนนั้นถ้าเธอกับนาดีมยังเห็นว่าวาไม่สมควรที่จะดูแลเขา…
และลูกไม่ได้มีความต้องการในตัวของวาอีก…วาจะยินดีจากไปแต่โดยดี…
จะไม่เรียกร้องอะไรหรือสิ่งใดๆอีก…ขอแค่ให้ได้รู้ว่าตัวเองไร้ความสามารถจริงๆ
และคนอื่นสามารถเลี้ยงดูเขาได้ดีกว่าแม่แท้ๆของเขาเท่านั้น…วาขอแค่นี้เท่าน้ัน…
แค่สามเดือน…”

แม้จะไม่สามารถจดจำความรักความผูกพันระหว่างตัวเองกับลูกน้อยได้เลย…
แต่หัวใจเธอกลับรู้สึกได้ถึงสายใยที่ทำให้ไม่สามารถตัดใจทิ้งไปได้
โดยไม่คิดจะทำอะไรเลย…

เธออาจไม่จำว่ามีเขาได้ด้วยวิธีใดและไม่จำว่าลำบากแค่ไหนตอนตั้งครรภ์
อาจจะไม่จดจำแม้กระทั่งความเจ็บปวดในขณะคลอดเขาออกมา…

แต่ที่แน่นอนคือเธอรู้สึกได้ถึงสายสัมพันธ์ระหว่างกัน…
รู้ตั้งแต่แรกตื่นขึ้นมาเห็นใบหน้านั้น…อีกทั้งยังแน่ใจว่าเขาคือลูกโดยที่แทบไม่ต้อง
ได้รับการยืนยันจากปากใคร ใจมันยอมรับตั้งแต่วินาทีแรกที่ได้เห็นแล้ว…

แม้จะตกใจอย่างคาดไม่ถึงก็ตาม…

“จะได้มั้ย…” หญิงสาวทอดเสียงอ้อนวอนด้วยแววตาอาลัยอาวรณ์ยามมองลูกน้อย
ทำเอาคนเป็นพ่อของลูกถึงกับประหลาดใจระคนสับสนขึ้นมา…
ก่อนจะหันไปทางอีกหนึ่งสาวที่อุ้มลูกชายของตัวเองราวกับจะปรึกษาหารือ…

และเมื่อเห็นอีกฝ่ายพยักหน้า เขาจึงหันมาพูดกับเธอ

“ตกลง…แค่สามเดือนเท่านั้น…หวังว่าเธอจะไม่ยึกยักท่ามากอีก…”

วาลาดาพยักหน้าน้อยๆด้วยดวงตาบอบช้ำทั้งจากการร้องไห้
และจากความเจ็บปวดภายในจิตใจ…

“เธอจะยอมแยกห้องนอนกับฉันมั้ย…” คำถามของเขาเหมือนตีเข้ากลางแสกหน้าของเธอ…
นี่ที่ผ่านมาเขาไม่เคยอยากนอนเตียงเดียวกับเธอซึ่งเป็นแม่ของลูกเลยหรือ…
คงเป็นเธอสินะที่อยากนอนกับเขา……ช่างน่าประหลาดใจและน่าอายอย่างที่สุด
ที่ต้องมารับรู้อะไรเช่นนี้…

จากวันที่เคยมีความสุขเหนือใคร ต้องชอกช้ำระกำหมองหม่น
ในสภาพน่าสังเวทใจเช่่นนี้ได้อย่างไร…

“แยก…วาต้องการแยก…แต่ขอเอาลูกมาอยู่ด้วยที่ห้อง…”

ดูเหมือนเขาจะชะงักไปนิด ก่อนจะตัดสินใจได้

“จะเป็นไรไป…ในเมื่อแค่สามเดือนเท่านั้น…” วาลาดาพยักหน้าก่อนจะเอ่ยว่า

“สามเดือนนี้…ขอให้วาได้ทำหน้าที่แม่อย่างเต็มที่จะได้มั้ย…”

เหมือนจะขอร้อง…ทั้งๆที่เธอเป็นแม่แท้ๆทำไมถึงต้องกับออกปากขอร้อง
คนที่ไม่ใช่แม่ของลูกด้วย…

“เธอกำลังจะบอกว่าไม่ให้ฉันยุ่งกับตาหนูเลยในช่วงนี้หรือวา…
ฉันทำไม่ได้หรอกนะ…ฉันรักตาหนู…และตาหนูก็ติดฉันด้วย…”

“แต่เธอคงต้องเสียสละให้วาได้ทำหน้าที่แม่แท้ๆดูสักสามเดือนแล้วล่ะนาดีม…
เพราะเธอสองคนจะได้มั่นใจว่า…ระหว่างแม่แท้ๆกับว่าที่แม่เลี้ยง
ตาหนูจะเลือกอยู่กับใคร…เพราะถ้าสุดท้ายวาสามารถทำได้…
ซึ่งเธอสองคนเองที่ก็ยังคงมีโอกาสที่จะมีลูกด้วยกันได้อีกเท่าที่ต้องการ…
แต่สำหรับวา…ขอให้เชื่อเถอะ…ว่าจากวันนี้เวลานี้เป็นต้นไป…วาไม่คิดจะมีใครอีกแน่นอน…
หัวใจวาที่ไม่เคยมีใคร ไม่เคยรักใครฉันท์ชู้สาวมายังไง…มันก็จะเป็นอย่างนั้น…”

ประโยคหลังราวกับจะย้ำให้พ่อของลูกมั่นใจว่าคนอย่างเธอ
แม้เขาจะหาว่า ‘ร่าน’ ซึ่งไม่ว่าอะไรทำให้เธอกลายเป็นคนแบบนั้น

แต่ตอนนี้ เวลานี้…เธอแน่ใจว่าตัวเองเป็นใครและกำลังจะทำอะไร…
สติของเธออยู่ครบถ้วนสมบูรณ์…และกำลังทำทุกอย่างด้วยเหตุและผล…
ไม่ได้ตามอารมณ์ใฝ่ต่ำแต่อย่างใด…




....โปรดติดตามตอนต่อไป....

เปิดเรื่องมาอาจดูแรงๆ...แต่เนื้อหาโดยองค์รวมในเรื่องนี้ไม่ติดเรตนะจ๊ะ
เยาวชนไม่เกิน 18 ปีสามารถอ่านได้จ๊ะ...

เพียงแต่ถ้าอ่านไปร้องไห้ไป หรือบีบคั้นอารมณ์บ้างในบางบทบางตอนนั้น
เต่าโยไม่รับประกันน้า...เพราะเรื่องนี้แนวดราม่าจ๊ะ...
แนวเรื่องคล้ายๆเรื่องอะรูซะตี...เจ้าสาวของผม เพียงแต่บุพบทแตกต่างกัน
และมีปริศนาเงื่อนงำซ่อนให้นักอ่านขบกันเล่นๆพอเป็นกระสัยนิดๆหน่อยๆ...

ต้องมาดูว่า "เงามาร" ที่ว่านั้นมันเงาใคร...

ตัวร้ายในเรื่องนี้ร้ายของแท้ค่ะ...ไม่ใช่ร้ายหลอกๆหรือร้ายเดียงสา
อย่างหลายๆเรื่องที่โยเคยเขียนมา...ลองหาตัวร้ายในเรื่องนี้กันเล่นๆดูนะคะ...


เพราะเมื่อขึ้นชื่อว่า "มาร" มันก็ต้อง "มาร" จริงๆ

ตอนแรกพยายามหาชื่อเรื่องอยู่นาน...จนได้ชื่อนี้ "เงามาร"
หวังหมดใจว่าจะไม่ไปซ้ำกับชื่อนิยายของใครก่อนหน้านี้เข้านะคะ
ถ้ามี...นักอ่านช่วยท้วงติงกันมาได้ค่ะ...

แต่สำหรับเนื้อหาโดยรวมของเร่ืองนี้แล้ว ชื่อนี้ เหมาะเหม็งมากกกกกก...

รอกำลังใจจากนักอ่านทุกๆท่าน ทุกๆแห่งหนตำบลค่ะ...

ปล.เรื่องนี้เขียนใกล้จบแล้วค่ะ...ส่วนนิยายเรื่องอื่นๆที่เต่าโยยังดองไว้นั้น
ก็จะพยายามไม่แช่อิ่มไว้นานๆค่ะ จะค่อยๆนำมาลงทีละเล็กทีละน้อย...
ตามประสาเต่าขาสั้น แต่อยากปั่นนิยายทีละหลายๆเรื่อง...ฮ่าๆๆๆ
ตั้งใจเขียนให้จบทุกเรื่องนะคะ เพียงแต่จะเขียนจบเมื่อไหร่นั้น...เฮะๆๆ

ระหว่างปั่นเรื่องอื่นๆที่ดองไว้ก่อนหน้านี้ ก็จะค่อยๆทะยอยโพสต์เรื่องนี้
ให้นักอ่านอ่านกันไปพลางๆค่ะ...เรื่องนี้ไม่สั้นไม่ยาวค่ะ...
ตอนแรกกะจะปล่อยเรื่องนี้หลังจากเขียนเรื่อง เศษหนึ่งส่วนสองยกกำลังศูนย์ จบก่อน
แต่เห็นว่าเรื่องนี้ปั่นไปได้ถึงท้ายๆเรื่องแล้ว...เลยปล่อยเรื่องนี้เลยดีกว่า
ระหว่างที่ปั่นเรื่องที่ดองจนเค็มเป็นปลาร้าค้างปีแล้ว...อิอิอิ...

ถ้าโยไม่ติดธุระปะปังที่ไหน น่าจะได้อ่านเรื่องนี้แบบติดๆกันค่ะ...



...รักษาสุขภาพนะคะ...


"เต่าโย"




yoraya
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 10 ก.พ. 2558, 19:09:49 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 13 ก.ค. 2564, 15:29:01 น.

จำนวนการเข้าชม : 4451





   บทที่ 26 เรือรักกระดาษ (100%) >>
RightHand 10 ก.พ. 2558, 21:19:43 น.
เรื่องนี้ก็ขอติดตามนะคะ รอติดตามนางร้ายยยย


แว่นใส 10 ก.พ. 2558, 23:20:29 น.
ทำไหมจำอะไรไม่ได้เลยล่ะ


Pat 11 ก.พ. 2558, 06:44:15 น.
เรื่องใหม่... วางปมตั้งแต่ตอนแรกเลยนะคะ


ตุ๊งแช่ 11 ก.พ. 2558, 09:16:42 น.
มาร้าย เลยรึ อืมมมม


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account