ดวงใจพรต (ปรับปรุง)
พรต...ลูกชายป๊ะเพลิงแห่งหุบเขาพญา
จากคุกทมิฬมารับมรดกที่ได้มาโดยไม่คาดฝัน
แต่...ความโชคดีกลับมาพร้อมหายนะ และเธอที่น่าสงสัย
ความร้ายกาจที่ซ่อนอยู่จึงปรากฏออกมาอย่างไม่ปราณี
บัญชีนี้...ชีวิตต้องชดใช้ด้วยชีวิต หัวใจต้องชดใช้ด้วยหัวใจ
ดวงใจพรต จึงได้มาพร้อมหยาดน้ำตาและร่างกาย


Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอน 2

ตอน 2
คำถามเหมือนการท้าทายนั้น ทำให้พรตยิ้มกริ่ม แล้วเดินกลับมานั่งบนเก้าอี้ข้างเธอ มองใบหน้างามที่แดงเพราะแอลกอฮอล์ แต่ยังน่ามอง น่าหลงใหลไม่น้อย “อกหักหรือครับ” เขาชวนคุย

“ป่าวคะ ไม่ได้อกหัก แต่เจ็บหัวใจจางเลย” เสียงลากยาวบอกให้รู้ว่าเจ็บมากจริงๆ เขาจึงขำ

“อย่างนั้นนะ เขาเรียกว่าอกหัก รักใครแล้วเขาไม่รักตอบหรือครับ"

“คนที่มีเจ้าของ”

พรตนิ่งไป ความเสียดายแล่นวูบเข้ามาในใจ แต่เพียงเดี๋ยวเดียวก็สลายไปพลางยักไหล่ไม่สนใจ อีกอย่างเขาก็ไม่รู้ว่าเธอพูดจริงหรือพูดเล่น คนเพิ่งเจอหน้ากัน ทุกอย่างจึงยังเชื่อไม่ได้ ยิ่งผู้หญิงขี้เมา ยิ่งเชื่อยาก

“ท่าทางคุณเหมือนคนเอเชีย ชาติไหนครับ”

“สำคานหรือเปล่าคะ”

“ครับ เพราะผมเพิ่งมาเมืองแฟชั่นแห่งนี้ จึงแอบเหงาบ้างนิดหน่อย ก็เลยอยากได้คนมาทำให้หายเหงา สนใจจะเป็นเพื่อนแก้เหงาไหมครับ”

ริมฝีปากอิ่มยิ้มหวานพลางเอียงคอมองหน้าคมที่หล่อเหลาเอาการ แม้จะเมาแต่ความรู้สึกเธอบอกอย่างนั้น ความเจ้าชู้นั้นฉายชัดในแววตา ชีวิตเธอเจอคนแบบนี้มาเยอะ พวกหมาหยอกไก่ หวังจะกินไก่ฟรีๆ

“คุณรวยหม้ายคะ”

คำถามนี้สร้างความแปลกใจให้พรต ก่อนจะยิ้มอย่างจะเห็นว่าเป็นเรื่องปรกติที่ผู้หญิงส่วนใหญ่มักจะเป็นแบบนี้ ชอบคนหล่อ สปอร์ต ใจดี และรวย จึงบอกเธอว่า “มหาศาลเลยครับ”

“ดีจัง แต่ตอนนี้ฉันชอบคนจน” พูดจบเธอก็ยกแก้วเครื่องดื่มสีสวยขึ้นสดุดีแบบประชดว่าขอลาขาด ดื่มหมดแก้วแล้วก็ยันตัวลุกขึ้นยืน โบกมือลาเขา แต่พรตยังไม่ยอมให้เธอไป เขาจับมือนุ่มไว้ แล้วหยิบปากกาที่วางไว้สั่งอาหารมาเขียนตัวเลขบนหลังมือเธอ
“ถ้าเหงา หรืออยากคุย ติดต่อได้ยี่สิบสี่ชั่วโมงเลยครับ ผมยินดีเป็นเพื่อนแก้เหงาให้”

เธอลบตัวเลขออกแล้วส่ายนิ้วเป็นสัญญาณว่าไม่ ก็เดินเซๆออกไป พรตมองตามหลังไป โดยไม่เห็นว่าคนที่รออยู่กำลังเดินมาหา และมองตามหญิงสาวไปด้วย แต่เสียดายที่ไม่เห็นหน้าเธอ

“ป้าบ” มือที่ตบลงบนไหล่ ทำให้พรตหันมามอง แล้วเปิดยิ้มให้คนที่ตบบ่าเขา ซึ่งก็หย่อนตัวลงนั่งข้างๆ พร้อมกับถามว่า “สนใจเหรอ มองตาละห้อยเชียว” อเล็กซ์ถาม พลางหันไปมองหญิงสาวที่เดินห่างไปไกลแล้ว ก็ดึงสายตากลับมามองหน้าเพื่อน

“ถ้าบอกว่าไม่ นายคงไม่เชื่อใช่ไหม”

“ใช่ ผู้ชายเสน่ห์เหลือร้าย แถมหล่อเหลาอย่างนาย ถ้าไม่มีสาวมาสนใจ ชายตามอง ทอดสะพานให้ ดวงตะวันกับจันทราคงสลับกันขึ้นมา”

“เกินไปวะ” ว่าแล้วพรตก็หัวเราะออกมาเบาๆ จากนั้นทั้งคู่ก็สั่งอาหารและเครื่องดื่มมาทาน เรียบร้อยแล้วก็เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ปรับตัวให้นั่งสบายๆ พลางกวาดตามองบรรยากาศยามค่ำคืน ที่ยิ่งดึกยิ่งสวยเพราะแสงไฟที่สว่างขึ้นอีกมากมาย
“จัดการเรื่องส่วนตัวเรียบร้อยหรือยัง” อเล็กซ์ชวนคุย

“เรียบร้อย แต่ดูเหมือนนายจะยังไม่เรียบร้อยนะ” พรตว่าเพราะเพื่อนยังอยู่ในชุดสูททำงาน “งานยุ่งเหรอ”

“นิดหน่อย” อเล็กซ์ตอบ แล้วรอให้พนักงานที่นำอาหารกับเครื่องดื่มมาเสิร์ฟเรียบร้อยแล้วถอยออกไป ก็หยิบเบียร์มาดื่ม พรตก็เช่นกัน เขาวางแก้วบนโต๊ะ แล้วพูดขึ้น

“แต่หน้านายเครียด เรื่องอะไร เรื่องที่เรียกฉันมา หรือว่าเรื่องนิ้วนายจะมีคนจอง”

อเล็กซ์หมุนแก้วเล่นกับแสงไฟพลางบอกว่า “ไม่ใช่ แต่พรุ่งนี้พวกนักธุรกิจชั้นนำ จะประชุมกันเพื่อเปิดตลาดน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดของเมืองนี้ ฉันได้ข่าวแว่วมาว่า บรรดานายทุนหลายคน กำลังใช้เงินเป็นใบเบิกทางเล่นพรรคเล่นพวก เพื่อให้มีอำนาจต่อรองกับผู้นำรัฐ จะได้เป็นผู้จัดจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียว”

“ธรรมดาของธุรกิจ ที่ต้องมีการแข่งขันกันอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ”

“ใช่ แต่นายอย่าลืมว่า ของมีอยู่ชิ้นเดียวแต่คนหลายคนอยากได้ มูลค่าจึงยิ่งสูง จึงแย่งชิง เพื่อให้ได้ครอบครองเป็นเจ้าของแต่เพียงผู้เดียวโดยไม่สนใจวิธีการ และถ้าใครขัดขวาง ยอมหักไม่ยอมงอ ก็มีโทษสถานเดียวคือตาย”

พรตไม่แปลกใจคำพูดของอเล็กซ์ เพราะเขาก็รู้ความดำมืดของเรื่องแบบนี้อยู่เหมือนกัน “แล้วนายทำอย่างที่พวกนั้นทำด้วยหรือเปล่า”

อเล็กซ์ยิ้มก่อนจะตอบอย่างนักธุรกิจ “ฉันยังไม่ตัดสินใจ และอยากให้นายมาฟังเขาพูดด้วยกันพรุ่งนี้ แล้วค่อยตัดสินใจอีกที”
“ที่จริง เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับฉัน นายตัดสินใจได้เลย เพราะฉันไม่มีหุ้นส่วนด้วย”

“แต่ฉันอยากให้นายหุ้นด้วย” อเล็กซ์บอกพลางสบตาพรตที่หันมามองด้วยความแปลกใจ “เพราะนายเติบโตมากับน้ำมัน น่าจะมีสิ่งดีๆแนะนำฉันได้”

“ฉันแค่เติบโต แต่ไม่ได้รู้ลึกรู้ซึ้งอะไร อาจจะช่วยอะไรนายไม่ได้เลยก็ได้”

“แต่ลูกไม้ย่อมหล่นไม่ไกลต้น จริงไหม”

คิ้วเข้มของพรตเลิกขึ้น เมื่อรู้สึกแปลกใจ ยกเบียร์ขึ้นดื่ม แล้วลดลงมาหมุนเล่นพร้อมกับบอกว่า “ไม่เสมอไปหรอก ฉันไม่ชอบอะไรที่มันยุ่งยาก การทำธุรกิจก็เหมือนพวกนักล่า หูตาต้องกว้างไกล ความคิดต้องเฉียบคม คอยมองหาโอกาส และฟาดฟันเพื่อสิ่งที่ต้องการ ฉันจึงไม่อยากเอาคอไปขึ้นเขียง ยุ่งเกี่ยวกับธุรกิจพวกนี้”

อเล็กซ์นิ่งไปกับคำพูดคล้ายปฏิเสธ เขายิ้มเหมือนไม่ถือสา แต่ในใจนั้นมีความรู้สึกอีกอย่าง “อนาคตยังไม่แน่ แต่ถ้าได้งานนี้มา นายช่วยฉันหน่อยก็แล้วกัน”

แล้วเขาก็ยกแก้วเบียร์ไปชนกับแก้วในมือพรต จากนั้นก็ยกขึ้นดื่ม พรตก็ดื่ม แต่คิดว่าจะไม่ยอมหาเหามาใส่หัวเด็ดขาด ทั้งคู่ดื่มไปคุยกันไป จนเที่ยงคืนอเล็กซ์ก็ชวนกลับ
“นายขับรถไปส่งฉันแล้วกัน รถของฉันให้คนขับ ขับกลับไปแล้ว”

“ได้”

พรตรับปาก แล้วเป็นฝ่ายจ่ายเงินเลี้ยงตามที่ตกลงกันไว้ เรียบร้อยแล้วก็พากันลุกขึ้นเดินไปที่รถ อเล็กซ์ขอขับเองโดยให้เหตุผลว่าเขาไม่ชำนาญทาง จึงได้นั่งอย่างสบายๆ มองสองข้างทางที่เต็มไปด้วยความงดงามของสถานที่ๆสร้างขึ้นมาให้ดูมีมนต์ขลัง และยิ่งสวยเพราะแสงไฟที่ส่องกระทบ แถมบางทีก็เก่าแก่แต่เป็นความเก่าที่เก๋ามากๆ ไม่นานก็ละสายตามามองคนที่จดจ่ออยู่กับการขับรถ

“เรื่องแหวนที่จะสวมบนนิ้วของนาย เป็นไง” พรตชวนคุย

“ไม่เป็นไง”

“แสดงว่านายเต็มใจ หรือถูกคลุมถุงชน”

“เปล่า ฉันชอบเธอ”

“นายพูดเล่นหรือพูดจริง”

อเล็กซ์ไม่ตอบ แต่บอกด้วยการหันมายิ้มให้เต็มหน้า พรตจึงรู้ได้ทันทีว่าเพื่อนพูดจริง จากนั้นไม่นานรถก็มาจอดหน้าคฤหาสน์ม็อตต้า อเล็กซ์ชวนเขาให้เข้าไปด้านนั้น แต่ต้องปฏิเสธเพราะดึกแล้ว และขอตัวกลับ เพียงรถเฟอร์รารี่พ้นประตูรั้วไป รถยนต์คันหรูอีกคันก็วิ่งสวนเข้ามาจอดหน้าบันไดมุก อเล็กซ์ที่หมุนตัวจะเดินเข้าไปในบ้าน จึงยืนรอกระทั่งคนขับเปิดประตูลงมา เดินมาหา ก็ทักขึ้น

“ฉันนึกว่าแกจะฉลองถึงเช้าเสียอีก”

“ก็อยากทำอย่างนั้นเหมือนกัน แต่คู่หมั้นผมอยากกลับ จึงต้องกลับ แล้วพี่เพิ่งกลับเหมือนกันเหรอ” อดัมว่าพลางเดินขึ้นบันไดมายืนเคียงข้าง

“ใช่ ฉันไปเลี้ยงต้อนรับเพื่อนมา” อเล็กซ์บอกแล้วยกมือขึ้นกอดบ่าอดัมพาเดินเข้าไปข้างใน “ฉันเพิ่งนึกออกว่าเคยเห็นหน้าพี่สาวของคู่หมั้นนายที่ไหน เธอเป็นคู่ควงแกก่อนจะหมั้นแพทิเซียใช่ไหม เล่าเรื่องเธอให้ฟังหน่อยซิ”

“พี่สนใจเหรอ”

“ก็ แกไม่สนเธอแล้ว ฉันสน ก็ไม่แปลก อีกอย่างเธอสวยมาดมั่นเต็มไปด้วยเสน่ห์ขนาดนั้น ใครไม่สนก็บ้าแล้ว”

อดัมนิ่งไปแต่ในใจเสียดาย ก่อนจะฝืนยิ้มให้ และบอกเพียงสั้นว่า “พี่เรียนรู้เธอด้วยตัวเองดีกว่า ผมไม่อยากยุ่ง เพราะเรื่องของผมกับเธอมันจบไปแล้ว”

อเล็กซ์พยักหน้ารับทราบพลางตบบ่าน้องชายอย่างขอบใจ “ฉันหวังว่าแกจะพูดจริง ว่างๆก็ให้คู่หมั้นแกนัดเธอมาทานข้าวกับฉัน จะได้รู้จักกันอย่างเป็นทางการเสียหน่อย”

“ผมบอกแล้วว่า...”

“ช่วยหน่อย”

คนเป็นพี่คล้ายจะขอร้อง ทำให้เขาต้องพยักหน้า อเล็กซ์ยิ้มอย่างพอใจ แล้วเดินจากไปทิ้งให้อดัมจมอยู่กับความรู้สึกอึดอัด ที่ยังไม่รู้ว่าจะหาคำใดไปพูด เพราะแค่จะมองหน้าเธอเขายังไม่กล้าเนื่องจากอายต่อการกระทำที่เหมือนหักหลังเธอ
********
ใต้ท้องฟ้าที่ดำมืด ดวงจันทร์ยังลอยเด่นอยู่กลางนภา แสงสีเหลือนวลส่องเป็นประกายให้น่ามองอยู่เหนืออพาร์ทเม้นท์เก่าแก่แต่สุดหรูกลางเมืองแฟชั่น ก๊อก ก๊อก ก๊อก เสียงเคาะประตูดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ ไม่เกินอึดใจประตูก็เปิดออกด้วยมือของเจ้าของ ซึ่งก็คือชายหนุ่มหน้าคมผมทองหุ่นแมนแสนดีนั่นเอง คิ้วเข้มเลิกขึ้นสูงเมื่อเห็นหญิงสาวยืนอยู่

“กลับมาเมื่อไร”

“วันนี้ บ่ายๆ”

หญิงสาวบอกพลางเดินผ่านตัวเขาเข้าไปในห้องที่หรูหราพอๆกับฐานะเจ้าของ นายเควิน เพอร์ นักดีไซเนอร์ชื่อดัง ซึ่งปิดประตูห้องก่อนจะหมุนตัวเดินมายืนอิงโซฟาตัวใหญ่ที่วางอยู่กลางห้อง มองหญิงสาวที่ไปยืนกอดอกมองฟ้าดำมืดอยู่ตรงระเบียง ท่าทางที่เห็น กลิ่นเหล้าที่ติดมา ทำให้เขาถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วเดินไปเปิดตู้เย็นหยิบขวดน้ำผลไม้ติดมือไปยื่นให้เธอพร้อมคำถามที่ดังขึ้น

“รู้เรื่องแล้วใช่ไหม”

พรีมาดาละสายตาจากฟ้าที่ดำมืดมามองหน้าเพื่อนหนุ่ม เพื่อนรักเพื่อนตาย ที่เธอมีเพียงหนึ่งเดียว ไม่ว่าจะยามทุกข์หรือยามสุขก็คือเพื่อนที่เข้าใจเธอเสมอ “รู้เหมือนกันเหรอ”

“ถ้าเควิน เพอร์ หนุ่มชนชั้นสูงในเมืองนี้ไม่รู้ก็แปลกแล้ว แต่อย่าถามนะว่าทั้งคู่ไปมีใจจนรักกันตอนไหน เพราะไม่รู้เหมือนกัน”

“แสดงว่ามีพรีมโง่อยู่คนเดียว” ว่าแล้วก็ยิ้มหยันพลางทรุดตัวลงนั่งพิงผนังระเบียง เพื่อนหนุ่มจึงทรุดตัวนั่งตาม เอียงหน้ามองใบหน้างามที่ดูเศร้า แต่ไม่ฟูมฟายอย่างที่เคยเห็นคนอกหักรักคุดทำกัน

“เรื่องอะไรละ ผู้ชายคนนั้นหรือเรื่องอื่น” เขาถาม แต่เมื่อไม่มีคำตอบ มุมปากก็ยกขึ้นยิ้มเพราะพอจะรู้เรื่องราวของเพื่อนต่างชาติคนนี้ดี “เธอไม่โง่หรอก แต่ฉลาดมากกว่า ที่ยังไม่ตกล่องปล่องชิ้นกับผู้ชายที่มีจิตใจไม่มั่นคงแถมโลเลคนนั้นไป แต่แน่ใจเหรอว่าที่คิดว่าตัวเองโง่เพราะผู้ชายคนนี้จริงๆ”

พรีมาดามองขวดน้ำผลไม้ในมือ ยกขึ้นดื่มจนหมด แล้วก็บอกว่า “พรีมก็อยากจะคิดว่าเป็นเพราะผู้ชายคนนั้นนะเค แต่หลายปีที่ผ่านมา พรีมเจอมาหลายอย่าง จึงคิดได้แค่นี้จริงๆ ว่าทำไมเขาไม่รักพรีม”

“ไม่รู้จริงๆเหรอ”

น้ำตาเอ่อคลอขึ้นมา เมื่อคำตอบมันจุกอยู่ที่คอ แล้วกะพริบตาไล่ให้หยาดน้ำแห่งความอ่อนแอหายไป กลับมายิ้มหยันให้ตัวเองเหมือนเดิม และบอกว่า “คืนนี้ขอนอนด้วยนะ”

“เธอหนีความจริง”

“ห้องพรีมยังเหมือนเดิมหรือเปล่า”

“ทำไมไม่ยอมรับแล้วพูดมันออกมา”

พรีมาดาปล่อยขวดในมือให้กลิ้งไปกระทบกับขอบระเบียง ‘กึก’ เสียงนั้นสะท้อนเข้าไปในใจเธอ ก่อนจะสลายไปเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา แล้วลุกขึ้นยืน เดินเซนิดๆเข้าไปในห้อง ตรงไปยังห้องนอน โดยมีสายตาของเควินมองตามไปและเข้าใจเพื่อน ที่ไม่อยากพูดถึงปมที่อยากจะลืม แต่ลืมไม่ได้เสียที
**********
ยามค่ำคืนที่แสงดาวยังระยิบระยับอยู่บนท้องฟ้า คนสองคนยืนมองดาวอยู่ตรงระเบียงคฤหาสน์สุดหรู คนหนึ่งนั้นอายุอยู่ในวัยเกษียณพอดี แต่อีกคนอยู่ในวัยฉกรรจ์สามสิบปลายๆ สายตาของทั้งคู่ไม่ได้มองที่ดาวดวงใดดวงหนึ่ง เพราะไม่ได้ต้องการให้รู้ลึกถึงศาสตร์ของดาวดวงนั้นจริงๆ แต่มองเพื่อความเพลิดเพลิน โดยมีสายลมพัดมาให้เย็นสบายผสานกับเสียงแมลงดังขับขานมาให้ได้ยินบ้าง ไม่นานเสียงคนสูงวัยกว่าก็เปรยขึ้น

“อยากเป็นเจ้าของดาวสักดวงไหม” คนพูดคือนายริคาร์โด อัลโตนิโอ นักธุรกิจที่เก่งกาจ ทายาทตระกูลเก่าแก่ที่กุมเศรษฐกิจของเมืองแฟชั่นแห่งนี้ไว้ครึ่งหนึ่ง

“อยากครับ แต่ยังไม่มีดาวดวงไหนถูกใจผมเลย” ลีโอ อัลโตนิโอ ตอบคนเป็นพ่อ

“แกก็อย่าเลือกมากนักซิ ที่ควงๆอยู่ไม่ถูกใจบ้างเหรอ”

“ก็มีบ้าง แต่ยังไม่ใช่คนที่ผมต้องการ” เขาตอบกึ่งๆปฏิเสธทั้งที่ใจจริงมีคนที่ถูกใจอยู่แล้ว แต่ต้องเก็บงำไว้เพราะยังไม่ถึงเวลา และไม่แน่ใจว่าคนเป็นพ่อจะคิดยังไง

“แล้วตอนนี้มีอะไรที่ถูกใจและอยากได้บ้าง”

“ผมเป็นลูกพ่อครับ พ่อคิดอยากได้สิ่งใดอยู่ ผมก็อยากได้สิ่งนั้นเหมือนกัน”

ฮะๆๆๆ ริคาร์โดหัวเราะอย่างชอบใจ และภูมิใจในตัวลูกชายที่รู้ใจเขาไปเสียทุกเรื่อง “แกทะเยอทะยาน สมกับเป็นลูกฉัน และงานหมั้นน้องสาวแก วันนี้ทำให้ฉันมีความสุขมาก”

“แต่ยังไม่มากที่สุดใช่ไหมครับ”

“ถ้าฉันบอกว่าใช่ แกจะทำยังไง”

“ผมจะทำให้พ่อไปถึงจุดนั้นให้ได้”

ริคาร์โดยิ้มอย่างพอใจ แล้วบอกว่า “ขอบใจ แต่ไม่มีสิ่งใดที่จะได้มาง่ายๆ ทุกอย่างมันต้องมีขวากหนาม ถ้าแกจะทำไม่ว่าอะไรก็แล้วแต่แกต้องระวังให้ดี รีบเร่งไปจะทำให้เจ็บตัวได้”

ลีโอนิ่งไป เพราะคำเตือนของคนเป็นพ่อเหมือนจะรู้อะไรบางอย่าง แต่เขาก็ไม่ถาม เพราะถ้าไม่ใช่อย่างที่เขาคิด อาจจะกลายเป็นเชือกมามัดตัวเขาได้ “ผมรู้ครับ ขอบคุณที่เป็นห่วง แล้วพ่อคิดยังไงเกี่ยวกับงานหมั้นวันนี้”

“จะให้คิดยังไง แค่น้องแกมีความสุขฉันก็ดีใจแล้ว” แม้ปากจะบอกอย่างนั้น แต่สมองเต็มไปด้วยความสงสัย เพราะรู้อยู่แก่ใจดีว่าคู่หมั้นของลูกตัวเองนั้น เป็นคนรักของลูกเลี้ยงอยู่ ภาพที่ทั้งคู่มาบอกว่ารักกันก่อนการหมั้น ทำให้เขาไม่ขัดขวาง ออกจะยินดีด้วยซ้ำไป เพราะเอื้อประโยชน์ให้เขามากมายนั่นเอง “แล้วการประชุมที่จะมาถึงเตรียมตัวพร้อมหรือยัง”

“พร้อมแล้วครับ แต่การหมั้นของสองตระกูลในวันนี้ ทำให้เรามีพันธมิตรเพิ่มขึ้นหลายราย แต่ละรายก็อยากจะร่วมมือกับเราเพื่อโครงการยักษ์ใหญ่ทั้งนั้น”

“น้ำมันมันหอมหวานเสมอ” ริคาร์โดบอกแล้วยกมือตบบ่าลูกชาย “คอยจับตาดูพวกเขาให้ดี ไม่แน่ถ้าหากว่าใครมีดี เราอาจจะดีตอบ ส่วนที่ดีกันอยู่แล้ว ก็อาจจะเปลี่ยนกัน”

“พ่อหมายถึง...”

“ฉันจะไปพักแล้ว แกก็ควรจะกลับไปพักได้แล้วเหมือนกัน”

พูดจบริคาร์โดก็หมุนตัวเดินเข้าไปข้างใน ทิ้งให้ลีโอยืนคิดถึงคำถามเมื่อกี้ที่ท่านยังไม่ตอบ แต่เขาก็รู้ว่าท่านหมายถึงตระกูลที่พึ่งเกี่ยวดองกันวันนี้ แล้วเงยหน้าขึ้นมองฟ้า ดวงดาวที่สวยงามทำให้เขาคิดถึงใครบางคน จึงดึงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกง กดไปหาแต่ไม่มีสัญญาณใดๆตอบรับกลับมา กดอีกครั้งก็ยังเหมือนเดิม จึงต้องเก็บความคิดถึงเรื่องนี้ไว้ ไปคิดอีกเรื่องว่าจะทำยังไงให้ขวากหนามที่ขวางความทะเยอทะยานของเขาหมดสิ้นไป
********
ริคาร์โดเดินเข้ามาในห้องนอนสุดหรูของตัวเอง คู่ชีวิตของเขานางพรเพ็ญที่นั่งดูนิตยสารผู้หญิงอยู่บนโซฟานุ่มปลายเตียง หันมาเห็นเข้าก็วางนิตยสารไว้ข้างตัวพลางเปิดยิ้มให้เขา แล้วลุกขึ้นเดินมาทำหน้าที่ภรรยาถอดเสื้อสูทออกจากตัวเขามาพาดไว้ที่แขนก่อนจะแกะกระดุมเสื้อเชิ้ตให้

“ลูกแพทกลับมาหรือยัง”

“กลับมาแล้วค่ะ” นางตอบอย่างอ่อนหวาน แต่คำถามต่อมาทำให้ปลายนิ้วชะงักไปนิด

“แล้วลูกเธอละ”

“ยังค่ะ” นางบอกอย่างไม่สนใจ แต่คำพูดต่อมาของสามี ทำให้ไม่พอใจลูกเธอที่หาเรื่องให้โดนตำหนิ

“เตือนลูกสาวเธอด้วย ว่าอย่าทำอะไรให้เป็นตัวประหลาดเหมือนในงานเลี้ยงวันนี้อีก”

“เพ็ญต่อว่าไปแล้วค่ะ คุณอย่าห่วงไปเลย ไปอาบน้ำให้สบายดีกว่า เดี๋ยวเพ็ญจะนวดให้”

นางบอกอย่างอ่อนหวาน ริคาร์โดจูบหน้าผากนางเบาๆ ก็เดินไปเข้าห้องน้ำ เพียงประตูปิดลง สีหน้านางก็ก่อเกิดความลำบากใจ เพราะคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในงานหมั้นวันนี้ ตอนที่นางเดินกลับไปห้องแกรนด์บอลรูม

‘สวัสดีครับคุณเพ็ญ’เสียงทักทายที่จู่ๆก็ดังขึ้นมา ทำให้นางหันไปมองว่าใคร แล้วก็ต้องตาโต เมื่อเห็นว่าคนทักนั้นเป็นประธานบริษัทยักษ์ใหญ่ม็อตต้า ที่แสนจะรวยๆ พี่ชายของว่าที่ลูกเขยนางในอนาคตนั่นเอง

‘คุณอเล็กซ์ สวัสดีค่ะ’ นางอ่อนน้อมโดยไม่ต้องแสร้งทำ แล้วต้องแปลกใจ เมื่อเขาบอกว่า

‘ผมมีเรื่องจะคุยด้วย’

‘อะไรคะ'

นางถาม ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดว่าจะมีอะไรสำคัญมากมาย แต่พอได้ยิน นางก็แทบจะไม่เชื่อ ถามย้ำออกไป ก็ยังได้คำตอบเดิมกลับมา นางดีใจเป็นที่สุดเพราะคิดฝันต่อไปอีกมากมาย แต่ก็ยังแบ่งรับแบ่งสู้รับปากเขาไป แต่ตอนนี้ความรู้สึกยินดีหายไปกลายเป็นความทุกข์ เพราะไม่รู้ว่าจะทำยังไง ที่สำคัญก็ยังไม่รู้จะบอกเรื่องนี้กับสามียังไงเหมือนกัน คงต้องเก็บไว้ก่อน รอให้นางทำให้สำเร็จแล้วนางค่อยบอกเขา ถึงตอนนั้นบางทีอะไรๆที่นางอยากจะได้มานาน จะได้เป็นจริงๆเสียที
*********
เช้าวันรุ่งขึ้น เพียงแสงสีทองโผล่เรืองรองขึ้นตรงขอบฟ้า รถยนต์คันหรูก็วิ่งเข้ามาจอดในโรงจอดรถของตระกูลอัลโตนิโอ ซาก้าที่ยืนรอตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางเพราะความเป็นห่วง รีบเปิดประตูให้หญิงสาว ซึ่งก็ก้าวออกมาจากรถทันที ตรงกุญแจให้พร้อมรอยยิ้มบอกว่าเธอสบายดี แล้วเดินไปที่บ้านของตัวเอง ซึ่งต้องผ่านคฤหาสน์ที่หรูหรายังกับวังของเจ้าหญิง เต็มไปด้วยบริวารคอยดูแลรับใช้เจ้านายชนิดที่ริ้นไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม แล้วยิ้มหยันให้กับความจริงในชีวิต เพราะความยิ่งใหญ่ให้ความสุขแค่ทางกาย แต่ไม่ได้ให้ความสุขทางใจเลย โดยเฉพาะหญิงสาวที่เปรียบดังเจ้าหญิงของคฤหาสน์

“พรีม”

พรีมาดาหันไปมองคนเรียก ซึ่งก็คือชายหนุ่มที่เธอนับเป็นพี่ชาย บุคลิกสุขุมนุ่มลึกและสง่าสมกับที่จะเป็นผู้นำของอัลโตนิโอคนต่อไป ร่างสูงอยู่ในชุดสูททำงาน เปิดยิ้มให้พร้อมกับเดินเร็วๆมาหา จึงต้องยืนรอ

“ไม่เป็นไรใช่ไหม” ลีโอถามพลางมองสีหน้าที่ยังเศร้าของเธอ

“ค่ะ” เธอตอบรับเพราะรู้ว่าเขาหมายถึงเรื่องการหมั้นเมื่อคืนนี้ “จะไปทำงานแล้วเหรอคะ” เธอถามด้วยมารยาทมากกว่าจะใส่ใจ
ลีโอพยักหน้า ก่อนจะบอกว่า “พี่เป็นห่วง เมื่อคืนก็โทรหา แต่...”

“ขอบคุณค่ะ พรีมไม่เป็นไร” เธอตัดบทเพราะไม่อยากจะพูดถึงอีกแล้ว “ลีโอไปทำงานเถอะ” เธอบอกแต่เขายังไม่ขยับ ยังมองด้วยความห่วงใย แต่พอหางตาเห็นใครบางคนกำลังเดินตรงมา ก็ยิ้มให้แล้วเดินไปที่รถ พรีมาดาที่ยังไม่เห็นว่ามีคนเดินมาหาก็ออกเดินต่อ แต่...

“พี่พรีม” เสียงเรียกที่ดังขึ้น ทำให้เธอถอนหายใจออกมาด้วยความเบื่อหน่ายเพราะไม่อยากจะคุยกับใครอีกแล้ว โดยเฉพาะกับคนเรียกที่ตอนนี้ เจ้าหญิงของคฤหาสน์ น้องต่างพ่อที่เพิ่งหมั้นกับคนรักเธอไป พรีมาดาเชิดหน้าเก็บกดความรู้สึกเอาไว้ แล้วหันหน้ามามอง

“เพิ่งกลับเหรอคะ” เสียงหวานดังขึ้นทันทีที่เดินมายืนตรงหน้า ไม่มีความละอายให้เธอเห็น แล้วยังดูมีความสุขกับการที่ได้ทรยศหักหลังเธอด้วย “แล้วเมื่อกี้แพทเห็นพี่ลีโอ คุยอะไรกันคะ”

“เรื่องทั่วไปนะ” เธอตอบส่ง น้ำเสียงก็ห้วนจนคนถามหน้าเจื่อนและเริ่มรู้สึกละอาย

“แล้วเมื่อคืน” เสียงอ่อนลงเพราะอายเรื่องที่ได้ทำลงไป “หายไปไหนมาคะ แพทคิดว่าจะอยู่เลี้ยงฉลองด้วยกันเสียอีก”

“นอนห้องผู้ชาย”

“พี่พรีม” เสียงแพทิเซียตกใจ หน้าก็เสียเพราะเสียใจที่เป็นต้นเหตุให้พี่สาวต่างพ่อเป็นแบบนี้ “แพทขอโทษค่ะ ที่ทำให้พี่พรีมต้อง...”

“อย่าคิดว่าตัวเองสำคัญ” พรีมาดาขัดขึ้น เพราะไม่อยากฟังคำสงสาร “พี่ไม่จำเป็นต้องประชดตัวเองด้วยเรื่องที่เธอหมั้นกับอดัม มันไม่สำคัญจนพี่ต้องทำแบบนั้น”

“แต่ยังไงแพทก็ต้องขอโทษพี่พรีม ที่หมั้นกับเขา ทั้งที่รู้ว่าเขากับพี่มีความรู้สึกที่ดีต่อกัน”

“แต่คงไม่มีค่าเท่ากับคำว่า เธอรักเขา จริงมั๊ย”

แพทิเซียหลบตาคนเป็นพี่ สีหน้าสำนึกผิด แต่พรีมาดามองเฉย แล้วบอกอย่างเย็นชาว่า “พี่เข้าใจและอวยพรเธอไปแล้ว ก็ถือว่าจบ ไม่จำเป็นต้องมาพูดเรื่องนี้อีก”

“จริงนะคะ” พอคนเป็นพี่พยักหน้า แพทิเซียก็ยิ้มหน้าบาน แต่ค่อยๆหายไป เมื่อถูกดึงมือออก

“มีอะไรจะพูดกับพี่อีกไหม พี่จะไปพักแล้ว”

“เที่ยงนี้พี่ว่างไหมคะ คือแพทกับพี่พรีมยังไม่ได้ฉลองกันเลย ไปทานข้าวด้วยกันนะคะ”

พรีมาดาต้องข่มใจอย่างหนัก ที่จะไม่หันหลังเดินจากไป เพราะสีหน้าที่ระรื่นของน้องต่างพ่อนั้น ไม่ได้มีความสำนึกเลยว่าได้ทำอะไรกับเธอไว้ เสียงที่ตอบมาจึงค่อนข้างจะห้วน “พี่ไม่ว่าง”

“แต่แพทรู้ว่าพี่พรีมสามารถทำตัวให้ว่างได้ ที่สำคัญแพทขออนุญาตคุณแม่ไว้แล้วด้วย”

“งั้นก็ได้ แค่นี้ใช่ไหม” พูดจบก็จะเดินไป แต่...

“คุณแม่อยากพบค่ะ รออยู่ที่ห้องพักผ่อนกลางสวนนะคะ”

“รู้หรือเปล่าว่าเรื่องอะไร หรือว่าเรื่องเดิม”

“ไม่รู้ค่ะ แต่ว่าเรื่องเดิมนี่เรื่องอะไรคะ” แพทิเซียถามอย่างสงสัย แต่พรีมาดากลับบอกว่า

“พี่จะไปหายายแม่ก่อน”

พูดจบเธอก็เดินไปทันที แพทิเซียได้แต่มองตามไป พร้อมความสงสัยที่ผุดขึ้นมา ว่าเรื่องเดิมที่พูดถึงนั้นเรื่องอะไร หรือว่าจะเป็นเรื่องที่คนเป็นพี่อวยพรเธอเมื่อวานนี้ เธอคิด แต่ใจบอกว่าไม่ใช่ น่าจะเป็นเรื่องอื่น แต่มันจะเป็นเรื่องอะไรนี่สิ ที่เธออยากรู้
*********
พรีมาดาเดินไปบนถนนคอนกรีตที่ทอดยาวไปยังบ้านที่แสนอบอุ่นของเธอ สองข้างทางเต็มไปด้วยความร่มรื่นของต้นไม้ บางสายพันธุ์ผลิดอกออกมาให้ชื่นชม แต่บางสายพันธุ์ก็เป็นเพียงไม้ประดับ คล้ายชีวิตของเธอภายในรั้วคฤหาสน์หลังนี้ แม่เป็นภรรยาของเจ้าของคฤหาสน์ เธอที่เป็นลูกติดมาจึงเป็นลูกเลี้ยง ความโอ่อ่ามั่งคั่งมั่งมีของตระกูลที่ใหญ่โต น่าจะทำให้เธอสบาย แต่ความจริงไม่ใช่เลย ถ้าเปรียบให้ดี เธอก็เป็นเหมือนกาฝากของที่นี่เท่านั่นเอง

คิดแล้วเธอก็ยิ้มหยัน แล้วเลิกคิด เปิดประตูบ้านเข้าไปหาคนที่รอเธออยู่ข้างใน กลิ่นแกงหอมๆลอยมาเข้าจมูก จึงเปิดยิ้มกว้าง วางกระเป๋าสะพายไว้บนโซฟา แล้วเดินไปหาคนที่ทำกลิ่นหอมๆมายั่วน้ำลายเธอ ร่างท้วมๆ ผมสีดอกเทายืนหมุนตัวไปมาอยู่หน้าเตา จึงค่อยๆจรดปลายเท้าไปยืนอยู่ด้านหลัง แล้ว...

“อุ้ย”

เสียงคนที่โดดหอมแก้มโดยไม่ทันตั้งตัว อุทานออกมาเบาๆ แล้วหันมามองคนหอม สายตามองค้อนให้ก่อนจะขุ่นขึ้น เพราะหลานรักที่กลับมาโดยไม่บอกไม่กล่าว

“ขอโทษค่ะ”

พรีมาดารีบบอก ก่อนจะสอดแขนเข้าโอบเอวยายแม่ แล้วหอมแก้มนุ่มอีกข้างประจบ “หอมจัง”

“แก้มคนแก่ ทั้งเหี่ยว ทั้งเหม็นเครื่องแกง มันจะหอมอะไร อย่ามาหลอกเลยยัยพรีม”

“ยังไงก็หอม” พูดจบเธอก็หอม หอม หอมให้เห็นให้รู้กันไปเลย นางเบญจาจึงหัวเราะยกใหญ่ แล้วก็ปิดเตาเพราะแกงที่ได้ทีแล้ว ก็หันมาคุยกับหลานรัก

“กลับมาเมื่อไหร่ ไหนบอกยายว่าจะกลับอาทิตย์หน้า” นางถามพร้อมกับดันตัวหลานสาวให้ไปนั่งที่เก้าอี้ที่โต๊ะทานข้าว แล้วหยิบผักที่ล้างไว้มาหั่น แต่พรีมาดาขอทำเอง พร้อมตอบคำถามคนเป็นยายไปด้วย

“เมื่อวานค่ะยายแม่” เธอเรียกยายว่ายายแม่ติดปากมาตั้งแต่เด็ก เพราะท่านเลี้ยงเธอมาแทนแม่ และเรียกยายได้ก่อนเรียกแม่เสียอีก คำว่ายายกับแม่จึงติดปากเด็กที่เพิ่งจะจดจำทุกสิ่งทุกอย่าง และเรียกสองคนนี้คู่กันมาจนกระทั่งโต คำๆนี้ก็ยังไม่เคยเลือนไปจากใจเธอ

“เมื่อวาน แล้วทำไมเมื่อคืนไม่กลับบ้าน”

น้ำเสียงนั้นติดจะดุ เพราะแม้จะมาอยู่ต่างบ้านต่างเมือง แต่นางเบญจาก็ไม่เคยลืมต้นกำเนิดของตัวเอง ประเพณี วัฒนธรรม ภาษา ทุกสิ่งอย่างที่หล่อหลอมให้เกิดมานั้นฝังรากลึกอยู่ในวิญญาณไม่เคยเสื่อมคลาย สิ่งเหล่านี้ได้นำมาเลี้ยงดู อบรมหลานสาวที่เลี้ยงมาตั้งแต่แรกเกิดจนถึงทุกวันนี้

“หนูมีธุระนิดหน่อย ก็เลยไปนอนกับเพื่อน เควินนะคะ ยายแม่จำได้ไหมคะ”

นางเบญจาพยักหน้าว่าจำได้ เพื่อนชายเพียงคนเดียวของหลานรัก ซึ่งนางก็เคยเจอเพราะมาคุยด้วยหลายครั้งแล้ว จึงคลายความดุลง “แล้วนี่เจอแม่เราหรือยัง”

“เจอในงานหมั้นเมื่อวานแล้วค่ะ”

“งั้นเหรอ” นางเบญจาตอบแบบไม่รู้อะไร เพราะหลานรักไม่เคยพาใครมาแนะนำว่าเป็นคนรัก “พูดถึงงานหมั้นเมื่อวานยายก็ไม่ได้ไป แต่อวยพรกันตั้งแต่พิธีที่บ้านแล้ว หนูมาทันก็ดี จะได้อวยพรน้องไปด้วย”

“เรียบร้อยแล้วค่ะ แต่หนูไม่รู้เลยว่ายัยแพทหมั้นมาก่อน ยายแม่รู้ไหมคะ”

“ก็รู้วันที่เราเดินทางไปต่างประเทศนั่นแหละ แม่เราเขามาบอก จากนั้นเขาก็เตรียมทุกอย่างกระทั่งเรียบร้อยอย่างที่เห็น”
“รวดเร็วดีนะคะ”

เสียงเธอเรียบ แต่ใจเจ็บไม่น้อย เพราะซึ้งในน้ำใจของคนเป็นแม่ที่ทำกับเธอ ซึ่งถ้าท่านไม่รู้เธอคงไม่เจ็บขนาดนี้ แต่รู้ทั้งรู้ เธอกำด้ามมีดไว้แน่น ไม่นานก็คลายออกและไม่พูดอะไรอีก นอกจากช่วยเป็นลูกมือให้ยายแม่ จนได้ผัดผักหอมกรุ่นมากินกับแกงส้ม ที่ทำไว้ก่อนหน้านี้ ครัวที่นี่มีเครื่องแกงเครื่องเคราเครื่องเคียง เกือบจะเหมือนประเทศบ้านเกิดทุกอย่าง เพราะยายแม่กินอาหารของที่นี่ไม่ได้ แม้จะปรับตัวให้รับกับสภาพแวดล้อมได้ แต่เรื่องอาหารนั้นกินไม่ได้จริงๆ แม่ของเธอจึงจัดเตรียมหาทุกอย่างมาให้
บ้านหลังนี้เธออยู่กับยายแม่สองคน จำได้ว่าแม่ของเธอไปรับยายแม่มาอยู่ที่นี่หลังจากที่เธอมาอยู่ที่นี่ได้ห้าปีแล้ว ปีที่ไปรับ เพราะน้าสาวของเธอเสียชีวิต จึงไม่มีใครดูแลคนเป็นยาย แม่จึงต้องไปรับท่านมาอยู่ด้วย ตอนแรกท่านก็ไม่ยอมมา เพราะกลัวจะอยู่ไม่ได้ กินไม่ได้ พูดไม่ได้ เพราะไม่ใช่แผ่นดินเกิด แต่แม่ก็ไม่ยอมเหมือนกัน เพราะไม่อาจทิ้งท่านให้อยู่คนเดียวได้ จึงบอกว่าจะทำทุกอย่างให้คล้ายบ้านเกิด ท่านจึงยอมมา แต่ที่สำคัญที่ท่านมา เพราะสงสารเธอ ที่ไม่มีพ่อ มีแม่แม่ก็มีน้องใหม่ ผัวใหม่ แล้วใครจะสนใจเธอ!

ชีวิตที่เหมือนเรือน้อยลอยอยู่กลางทะเล จึงอบอุ่นขึ้น แม้จะยังไม่อาจลบแผลใจให้หมดไปได้ แต่ก็ทำให้เข้มแข็งขึ้นมา เพราะมีคนที่มีค่าอยู่ข้างๆนั่นเอง

อาคารเด ม็อตต้า ที่โอ่อ่าเปิดประตูต้อนรับนักธุรกิจชั้นนำแห่งเมืองแฟชั่น ซึ่งมาประชุมเรื่องโครงการน้ำมันยักษ์ใหญ่ ทุกคนที่มาเป็นระดับผู้บริหารหรือไม่ก็ประธานบริษัท แต่ละคนใส่สูทอย่างภูมิฐาน เดินตรงไปยังห้องประชุมใหญ่ ที่ได้จัดเตรียมไว้ โดยไม่รู้ว่าลักษณะท่าทางของแต่ละคนนั้น ตกอยู่ในสายตาของใครบางคน ที่นั่งอยู่บนโซฟารับแขก

พรตมาพบเลขาของอเล็กซ์ตั้งแต่เช้า ได้เอกสารบางอย่างมาแล้ว เขาก็มานั่งอยู่ที่นี่ เมื่อคืนหลังจากแยกกับอเล็กซ์ เขาก็คิดว่าควรจะมาดูหน้าทุกคนไว้ก็ไม่เสียหาย แม้จะไม่ขอยุ่งกับโครงการนี้ แต่การรู้เขารู้เรา รบสิบครั้งชนะสิบครั้ง คำๆนี้ไม่ว่าจะผ่านมานานแค่ไหนก็ยังใช้ได้ แม้จะไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ก็ยังดีกว่าไม่รู้อะไรเลย

เขาละสายตากลับมามองโปรไฟล์ (ประวัติ) ของทุกคน ที่ได้มาจากเลขาสุดเฮี้ยบของอเล็กซ์ หลายคนมีประวัติที่น่าสนใจ เพราะมีการเอ่ยถึงปู่ของเขา ที่เขาไม่รู้ว่าเกี่ยวข้องกันยังไง แต่คิดว่าคงเป็นเรื่องธุรกิจเหมือนม็อตต้า เขาดูไปอ่านประวัติไป กระทั่งเห็นอเล็กซ์เดินผ่านประตูเข้ามา ก็ลุกขึ้นเดินไปหา

อเล็กซ์เปิดยิ้มอย่างดีใจที่เห็นเพื่อน เขารอจนพรตเดินมายืนตรงหน้า ก็บอกว่า “ดีใจที่นายมา”

“นายอาจจะเสียใจก็ได้”

“หึ หึ” อเล็กซ์หัวเราะอย่างขำๆ ก่อนจะถามว่า “จะเสียใจเรื่องอะไร แค่นายโผล่มา ฉันก็มีชัยไปครึ่งหนึ่งแล้ว แล้วนายอยากมีชื่อในการประชุมครั้งนี้ด้วยหรือเปล่า”

“ไม่ ฉันตอบนายไปแล้วว่าไม่ขอยุ่งเกี่ยว แค่มาดู ไม่ได้มาประชุม ทุกอย่างจึงไม่เกี่ยวกับฉัน”

“นายจะไม่ยอมช่วยฉันจริงๆเหรอ”

“จริง คำพูดฉันเมื่อคืนเป็นยังไง วันนี้ก็ไม่เปลี่ยน นายลุยโครงการของนายไปได้เลย ฉันไม่ยุ่ง”

อเล็กซ์สบตาที่ยืนยันความจริง ก็พยักหน้ายอมรับออกมา แต่ใจเขาคิดไปอีกอย่างแล้วยกมือขึ้นตบบ่าพรตเหมือนจำยอม “นายใจแข็งจริง งั้นเที่ยงนี้มากินข้าวกัน ฉันนัดคนสำคัญไว้ จากนั้นค่อยมาคุยเรื่องหุ้นของปู่นาย”

“ได้” พรตยกมือขึ้นลาเพื่อน แล้วเดินไปที่ประตูโรงแรม จังหวะที่เขาเดินออกไปสวนกับนักธุรกิจเด่นดังตระกูลอัลโตนิโอ ริคาร์โดกับลีโอและผู้ติดตาม

ทั้งหมดเดินมาหาอเล็กซ์ ซึ่งเปิดยิ้มให้ก่อนจะยื่นมือไปจับทักทายอย่างยินดี เพราะความสัมพันธ์ที่แนบแน่น จากการหมั้นหมายของทายาทสองตระกูลเมื่อวานนี้ ไม่มีการพูดคุยใดๆ เพราะรู้อยู่แก่ใจดีอยู่แล้ว และไปที่ห้องประชุม ทักทายกับคนอื่นๆเล็กน้อย แล้วการประชุมก็ได้เริ่มขึ้น

วีทีอาร์สถานที่ก่อสร้าง บอกเล่าถึงรูปแบบที่อลังการ ความทันสมัยที่ต่อยอดไปถึงอนาคตอีกนับสิบอาจจะถึงร้อยปี และยังสามารถครอบคลุมการขนส่งน้ำมันไปยังจุดต่างๆของเมืองได้อย่างสะดวกรวดเร็ว สร้างรายได้มหาศาลให้กับผู้ที่จะได้โครงการนี้ไป และวีทีอาร์จบลงหลายคนก็ขยับมาจับกลุ่มคุยกัน เพื่อให้มีทุนมาต่อรองกับยักษ์ใหญ่อย่างม็อตต้ากับอัลโตนิโอ ที่ตอนนี้มีความสัมพันธ์ที่แนบแน่น เพราะการหมั้นหมายของทายาทของสองตระกูลที่หวานชื่นกันนัก แต่หลายคนก็ยังคิดว่า งานหมั้นที่เกิดขึ้นคือการร่วมมือกัน เพื่อผนึกกำลังกันเขมือบโครงการนี้นี่เอง

หลังการหารือกันเบาๆ คนที่น่าจับตามองมากที่สุดคือ นายอีชา มุตา ฟะรีฮะ เจ้าของอีชากรุ๊ป นักธุรกิจวัยห้าสิบ ที่ร่ำรวยไม่แพ้สองตระกูลแรก แถมยังมีบ่อน้ำมันเป็นของตัวเอง ก็ถูกมองว่าเขาจะเป็นตัวเต็งอีกคนที่ลงแข่งกับม็อตต้าและอัลโตนิโอ การประชุมต่อมาจึงตึงเครียดขึ้นเล็กน้อย แต่ทุกคนก็เก็บความรู้สึกไว้ใต้สีหน้าที่นิ่งเรียบ จนการประชุมสิ้นสุดลง ก็แยกย้ายกันกลับพร้อมความคิดที่แยบยลอยู่ในใจของแต่ละคน
*********
ขณะที่อีกด้านหนึ่ง พรีมาดาก็เดินเข้ามาในคฤหาสน์อัลโตนิโอ ตรงไปยังห้องกลางสวน ที่คนเป็นแม่รออยู่ ที่เรียกอย่างนี้ เพราะห้องนี้ตั้งอยู่กลางสวนสวยของคฤหาสน์ ติดกระจกรอบด้าน สามารถมองเห็นต้นไม้ที่ปลูกไว้ ไม่ว่าจะเป็นไม้ดัด ไม้ดอก และอีกหลายชนิด ซึ่งให้ความสวยงามแก่ผู้ที่เข้ามา

ร่างอรชรเดินผ่านประตูห้องเข้ามา เห็นคนที่สั่งให้เธอมาพบ จัดดอกไม้ใส่แจกันแสนสวยอยู่ เพียงหันมาเห็นเธอเข้า สีหน้าก็ตึงบอกความไม่พอใจออกมาทันที “ฉันให้มาพบวันนี้ ไม่ใช่พรุ่งนี้ กว่าจะมาได้” เสียงตอนท้ายสะบัดบอกความโกรธ

“ขอโทษที่ต้องให้รอค่ะ”

“ช่างเถอะ ฉันชินเสียแล้ว”

นางบอกเพราะเป็นแบบนี้มานานแล้ว ไม่ว่านางจะสั่งอะไร ลูกสาวคนนี้ก็จะต่อต้านนางไปเกือบทุกอย่าง ความสัมพันธ์ฉันท์แม่ลูกที่ควรจะแนบแน่นจึงถอยห่างออกไป คำแทนตัวจึงกลายมาเป็นฉันกับเธอ นางวางดอกไม้ในมือพร้อมบอกว่า “รีบมานั่งเข้า ฉันจะได้พูดให้จบๆเสียที”

พรีมาดาเดินมานั่งบนโซฟาใกล้กัน สีหน้าไม่ทุกข์ร้อนกับการปล่อยให้คนอื่นรอนั้น ทำให้นางพรเพ็ญต้องข่มใจที่ขุ่นขึ้นมาให้นิ่งไว้ “เมื่อคืนทำไมไม่กลับบ้าน หายไปไหนมา”

“นอนห้องผู้ชายค่ะ”

“งามหน้าจริง”

เสียงตำหนิและสายตาที่มอง ไม่ได้ทำให้พรีมาดาหวั่นนอกจากยิ้มหยันให้ตัวเอง และไม่แก้ตัวอะไรทั้งสิ้น ก่อนจะบอกว่า “แม่ไม่ต้องอายหรอกค่ะ เพราะน้อยคนจะรู้ว่าหนูเกี่ยวข้องกับอัลโตนิโอของแม่ แล้วเรียกหนูมา มีเรื่องอะไรคะ”

“ฉันอยากจะคุยเรื่องการหมั้นที่เกิดขึ้นเมื่อวาน”

“ไม่จำเป็นต้องอธิบายอีกหรอกค่ะ หนูเข้าใจแล้ว คำว่ารักกัน ง่ายๆสั้นๆ ไม่ต้องพูดอะไรให้เจ็บอีก”

“แต่ก็คิดใช่ไหม ว่าฉันใจร้าย ใจดำ ที่แย่งคนรักแกมาให้ยัยแพท”

“ค่ะ"

นางพรเพ็ญคอแข็งขึ้นมาทันที แต่จะพูดออกไปก็ไม่ได้ จึงได้แต่พูดกว้างๆเท่านั้น “ที่ฉันทำเพราะมันมีเรื่องมากกว่าที่แกเห็น แต่สรุปง่ายๆ ก็เพื่อธุรกิจของอัลโตนิโอ”

“โดยไม่สนใจว่าใครจะเป็นยังไง โดยเฉพาะหนู ที่ไม่ได้มีเลือดอัลโตนิโออยู่ จึงไม่มีความสำคัญ หรือใครจะทำอะไรยังไงก็ได้ อย่างนั้นใช่ไหมคะ”

นางพรเพ็ญนิ่งไปกับความจริงที่นางปฏิเสธไม่ได้ ส่วนพรีมาดาก็เหยียดริมฝีปากออกหยันแล้วกดอารมณ์ข่มใจให้เย็นลง เพราะไม่อยากทะเลาะกับคนเป็นแม่ แต่มีคำถามกลับมาให้เธอแปลกใจและสงสัย “ตอนนี้แกคบกับใครอยู่หรือเปล่า”

“หนูตอบแม่ไปแล้ว แต่อย่าไปพูดถึงมันเลยค่ะ พูดเรื่องที่แม่ต้องการให้หนูรู้จริงๆ ดีกว่า”

“ฉันอยากให้แกแต่งงาน”

“จะให้แต่งกับใคร ที่ไหนคะ” เธอถามเรื่อยๆ ไม่มีความตกใจแม้แต่นิดเดียวให้เห็น

“เรื่องนั้นฉันจะบอกอีกที แต่ฉันอยากให้แกตกลง เพื่ออนาคตของแกเอง”

“แม่แน่ใจเหรอคะว่าเพื่ออนาคตของหนูจริงๆ ไม่ใช่ของแม่กับครอบครัวแม่อีก”

พรีมาดาถามอย่างไม่เชื่อเพราะชีวิตที่เติบโตขึ้นมาแบบกาฝาก สอนให้เธอรู้ว่าอะไรเป็นอะไร คนเป็นแม่จึงคอแข็งขึ้นไปนิด เพราะคำถามของลูกนั้นเหมือนจะรู้ทันนาง

“แน่ใจ เพราะฉันคิดดีแล้ว และอยากให้แกทำตัวดีๆ เลิกเสียทีกับการที่ไปนอนบ้านคนอื่น และทำตัวให้สนิทสนมกับเขาไว้ จากนั้นก็ค่อยหมั้นแล้วค่อยแต่งเหมือนยัยแพทก็ได้”

“เขารวยเหรอคะ”

“ฉันอยากให้แกรับปาก มากกว่าจะมาถามเรื่องความรวย”

“ต้องถามซิคะ เพราะถ้าไม่รวย แม่คงไม่พูด แต่แม่ก็น่าจะรู้ว่าหนูจะตอบยังไง หรือไม่แน่ใจ งั้นหนูจะบอกให้ว่าเรื่องจะหมั้นหรือจะแต่ง หนูขอคิดดูก่อนก็แล้วกัน”

“นานแค่ไหน”

“ถ้าใจหนูตอบว่าใช่เมื่อไร ก็เมื่อนั่นแหละค่ะ”

“พรีมาดา” เสียงนางพรเพ็ญบอกความไม่พอใจเป็นที่สุด “ทำไมต้องรอ หรือคิดว่าฉันจะให้แกไปแต่งกับนายไก่กาที่ไหน ถึงได้ปฏิเสธ ฉันบอกให้ก็ได้ว่าคนที่ฉันจะให้แกแต่งงานด้วยนะ เขาก็เป็นถังข้าวสารเหมือนกันและใหญ่กว่าของยัยแพทเสียด้วย”
“ถ้าอย่างนั้น แม่ก็น่าจะให้ยัยแพทเลิกกับอดัม แล้วมาแต่งกับเขาแทน จะได้สมใจแม่ แต่ต่อให้เขาใหญ่คับฟ้ามาจากไหนหนูก็ไม่สน ถ้าใจหนูบอกว่าไม่ใช่ แต่ถ้าใจหนูบอกว่าใช่ ต่อให้เขาเป็นคนจรหมอนหมิ่น หนูก็จะแต่ง”

“เพ้อเจ้อ” นางตวาดออกมา “แกลืมรสชาติการกัดก้อนเกลือกินแล้วหรือไง ถึงอยากจะกลับไปจมปลักอยู่อย่างนั้นอีก”
“แต่มันก็มีความสุขดีไม่ใช่เหรอคะ”

“ความสุขเหรอ” เสียงนางหยัน “การอดมือกินมื้อนั่นเหรอที่แกเรียกว่าความสุข ถ้าใช่ แกก็ควรไปหาหมอให้บำบัดเสียบ้าง เพราะสำหรับฉันมันคือความทุกข์แสนสาหัส และอย่าเอาอดีตโสมมเหล่านั้นมาพูดให้ฉันได้ยินอีก ส่วนเรื่องแต่งงานคิดให้ดี แล้วค่อยมาตอบฉัน”

“ถ้าหนูยืนยันคำตอบเดิมละคะ”

“ฉันก็จะบอกแกว่าคนที่สนใจแกคืออเล็กซ์ เด ม็อตต้า พี่ชายของอดัม แกจะตอบเหมือนเดิมหรือเปล่า”

ไม่มีความตกใจจากพรีมาดา สีหน้าเธอนิ่งบอกความแน่วแน่ที่ไม่มีวันเปลี่ยนใจ แล้วยกมือขึ้นไหว้ลา ลุกขึ้นเดินหลังตรงออกมาจากห้อง นางพรเพ็ญมองตามหลังไปอย่างขัดใจและหนักใจไปพร้อมกัน เพราะนางยังไม่ได้คำตอบเพื่อไปตอบอีกฝ่ายให้รู้นั่นเอง
**********
พรีมาดาเดินทอดน่องไปบนทางเดินที่ตรงไปยังบ้านแสนสุข แต่ใจเธอไม่ได้สุขเลย เพราะของผู้ชายคนนั้นพี่ชายของอดัม มาสนใจในตัวเธอ อดีตที่ผ่านมาเธอเคยเจอเขาแค่ครั้งเดียว จากนั้นก็เห็นผ่านตา ไม่เคยมีการพูดคุยกันสักครั้ง แล้วทำไมเขาถึงอยากจะขอหมั้นกับเธอ

“พี่พรีม”

เสียงเรียกดังขึ้นขัดความคิดเธอ แต่ก็ไม่ได้หันไปมอง เพราะจำได้ว่าเป็นเสียงน้องต่างพ่อ จึงหยุดยืนรอ จนกระทั่งคนเรียก เดินเร็วๆมาหยุดยืนตรงหน้า ก็บอกโดยไม่ต้องรอให้ถามเพื่อความสะใจ ที่ทุกอย่างมันช่างเลวร้ายสำหรับเธอจริงๆ

“แม่จะให้พี่แต่งงาน”

“อะไรนะคะ” แพทิเซียตกใจและแปลกใจไปพร้อมกัน แต่ยังไม่ทันได้ตั้งคำถาม พี่สาวต่างพ่อก็บอกอีกว่า

“ถ้าจะถามว่าใคร เธอไปถามแม่เอาเองแล้วกัน”

“แล้วพี่พรีมตกลงหรือเปล่า” แพทิเซียถามอย่างสงสัย

“เธอไปหาแม่มาหรือยัง ถ้าไปมาแล้ว ก็น่าจะรู้ว่าพี่ตอบว่าไง”

“ยังค่ะ แพทไม่เจอคุณแม่ แต่ไม่ต้องไปถาม ก็พอจะรู้ค่ะ”

พรีมาดามองอย่างสงสัยว่าที่รู้นั้นรู้ยังไง แต่ก็ไม่ถาม แพทิเซียก็ไม่อธิบาย แต่บอกต่อว่า “บางทีแพทก็อยากจะเป็นเหมือนพี่พรีม เป็นนายของตัวเอง ไม่ต้องให้ใครมาบงการบ้างเหมือนกัน”

“เธอจะบอกอะไรพี่ละ หรือเรื่องงานหมั้น”

“ไหนพี่พรีมบอกว่าจะไม่พูดถึงอีกไงคะ”

“นั่นนะซิ” เธอหยันน้องต่างพ่อเล็กน้อย เพราะพูดราวกับว่าเธอเป็นคนเริ่ม ทั้งที่ความจริงเป็นฝ่ายเริ่มเอง

“ช่างเถอะค่ะ” แพทิเซียรีบตัดบท แล้วยกมือขึ้นคล้องแขนเธอ “ไปทานข้าวกันให้อร่อยดีกว่า แพทจองโต๊ะไว้แล้ว” ว่าแล้วก็ดึงให้เดินไปด้วยกัน จนถึงรถที่ซาก้าขับมารออยู่ ซึ่งก็รีบมาเปิดประตูให้ทั้งคู่ขึ้นไปนั่ง เรียบร้อยแล้วก็ขับรถออกไปจากคฤหาสน์ทันที
**********
แสงอาทิตย์ยามใกล้เที่ยง ปล่อยคลื่นความร้อนระยิบระยับไปทุกพื้นที่ ผู้คนต่างหาที่ร่มหลบแสงแดด อเล็กซ์เดินเร็วๆผ่านประตูโรงแรมหรูที่นัดกับทายาทแห่งเพลิงพญาไว้ เขาเข้าไปหาที่นั่งตรงล็อบบี้ติดกระจกเพื่อมองสวนหย่อมที่ช่วยให้คล้ายความร้อน สั่งเครื่องดื่มเย็นๆมาดับกระหาย ก็มองหาพรต ไม่นานก็เห็นร่างสูงเดินฝ่าเปลวแดดเข้ามาในอาคาร

อเล็กซ์ยกมือขึ้นทักทาย พรตก็เดินมานั่งที่เก้าอี้ว่าง ยิ้มให้กันเล็กน้อย ก็หันไปสั่งน้ำเย็นๆจากพนักงานมาดื่ม พร้อมกับตวัดสายตามองความหรูของโรงแรมที่ตกแต่งได้สวยมาก แล้วละสายตามามองหน้าเพื่อน คุยกันเบาๆ ก่อนที่อเล็กซ์จะวกเข้าเรื่องที่เขาเพิ่งประชุมมา

“ผลประโยชน์ยังไม่ลงตัว ใครจะมาวินจะได้โครงการนี้ ก็ยังมองไม่ออก แถมฉันยังได้คู่แข่งที่น่ากลัวเพิ่มมาอีกหนึ่งราย”

“แต่น้ำเสียงนาย ฟังว่าไม่น่ากลัวเท่าไร”

รอยยิ้มเยือนผุดขึ้นมา ก่อนจะบอกว่า “ฉันมีวิธีจัดการอยู่แล้ว อีกอย่างเรื่องแบบนี้บางทีมันก็อยู่ที่ชั้นเชิง และเล่ห์เหลี่ยมของแต่ละคน ว่าจะคิดได้ลึกซึ้งแค่ไหน”

“หมายถึงอะไรละ ความสกปรกเหรอ”

“ทั้งใช่และไม่ใช่” อเล็กซ์ยอมรับออกมา และรอฟังว่าพรตจะมีความเห็นอะไรหรือเปล่า แต่เขากลับไม่พูดอะไรนอกจากจะบอกว่า
“ฉันทานข้าวด้วยไม่ได้นะ มีเรื่องด่วนให้ต้องไปทำนิดหน่อย”

“รอไม่ได้เหรอ”

พรตพยักหน้า อเล็กซ์ก็เลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย แต่ไม่ถามเพราะเข้าใจว่าคงเป็นเรื่องส่วนตัว “เสียดาย นายเลยไม่ได้เจอคนสำคัญของฉัน”

“ใคร อย่าบอกนะว่า...” พรตถามแล้วมองมือซ้ายของอเล็กซ์ ซึ่งพยักให้รู้ว่าใช่ จึงยิ้มอย่างคาดไม่ถึง แล้วบอกว่า “น่าเสียดายจริงๆ แต่โอกาสหน้ายังมี ฉันต้องได้เจอแน่นอน”

“อยู่แล้ว” อเล็กซ์ว่าแล้วลุกขึ้นยืน “นายเอารถมาหรือเปล่า”

“เปล่า ฉันมาแท็กซี่ ไม่อยากขับรถไปที่ๆไม่คุ้นเคย”

“งั้นเดี๋ยวฉันไปส่ง”

“เสียเวลาน่า ฉันไปเองได้”

“เล็กน้อยน่า ไปเถอะ” อเล็กซ์บอกแล้วโยกหัวให้ลุกขึ้น พรตจึงลุกขึ้นอย่างจำยอม

“งั้นฉันไปลงใกล้ๆที่นายนัดคนสำคัญไว้แล้วกัน”

“ได้ ไม่มีปัญหา”

ทั้งคู่เดินคุยกันไปจนถึงรถยนต์คันหรู เปิดประตูรถเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว อเล็กซ์ก็พารถเคลื่อนออกไปตามเส้นทาง พร้อมคุยกับพรตไปเรื่อยๆ ไม่เกินครึ่งชั่วโมงก็ใกล้โรงแรมหรูที่อดัมโทรบอกเขาไว้ พรตเห็นหญิงสาวที่จ้างเขากินเหล้ายืนอยู่หน้าโรงแรม เขามองโดยไม่เห็นว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น

รถคันหนึ่งขับเบียดเข้ามาให้อเล็กซ์ต้องหักหลบ พอบังคับรถกลับเข้ามาในเลนส์เดิม รถอีกคันก็แหกโค้งเข้ามาชนรถของเขาเสียงดัง...
“โครม !!!”
**********
ขอบคุณที่ติดตามผลงานค่ะ

https://www.facebook.com/pram18pream/photos/a.320065791513309.1073741828.318754998311055/357611447758743/?type=1&theater



pream
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 13 ก.พ. 2558, 16:23:48 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 13 ก.พ. 2558, 16:23:48 น.

จำนวนการเข้าชม : 1769





<< ตอน 1   ตอน 3 >>
แว่นใส 13 ก.พ. 2558, 19:17:53 น.
เกิดอุบัติเหตุแล้ว


Zephyr 14 ก.พ. 2558, 21:09:45 น.
คราวนี้แนวไหนนะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account