ดวงใจพรต (ปรับปรุง)
พรต...ลูกชายป๊ะเพลิงแห่งหุบเขาพญา
จากคุกทมิฬมารับมรดกที่ได้มาโดยไม่คาดฝัน
แต่...ความโชคดีกลับมาพร้อมหายนะ และเธอที่น่าสงสัย
ความร้ายกาจที่ซ่อนอยู่จึงปรากฏออกมาอย่างไม่ปราณี
บัญชีนี้...ชีวิตต้องชดใช้ด้วยชีวิต หัวใจต้องชดใช้ด้วยหัวใจ
ดวงใจพรต จึงได้มาพร้อมหยาดน้ำตาและร่างกาย


Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอน 3

ตอน 3
ดวงตาที่ปิดสนิทมาสองวันสองคืนเต็มๆ เริ่มกะพริบขึ้นลง เพียงสองสามครั้งเปลือกตาก็เปิดขึ้น แสงสีขาววาววาบเข้านัยน์ตา จนคนที่เพิ่งลืมตาขึ้นมาต้องรีบปิดตาลง แล้วค่อยๆเปิดปรือขึ้นมาปรับรับแสงสว่างอีกครั้ง ภาพเพดานสีขาว โคมไฟ ก็เข้ามาในประสาทรับรู้ เจ้าของดวงตาทิ้งสายตาไว้กับภาพนั้นขณะที่สมองก็เริ่มทำงาน ถามตัวเองว่าที่นี่คือที่ไหน แล้วทำไมเขาต้องมาอยู่ที่นี่?

เมื่อไม่มีคำตอบให้ตัวเอง เพราะสมองยังมึนงง ก็ลดสายตาลงมองตัวเอง ชุดสีฟ้าที่อยู่บนตัว แขนมีเข็มปักอยู่ตรงข้อพับต่อกับสายยาวสีขาวไปจบกับขวดที่เรียกว่าน้ำเกลือ ก็เริ่มจะรู้ว่าที่นอนอยู่นี่คือ...โรงพยาบาล!

หน้าก็นิ่วคิ้วก็ขมวดเพราะพยายามคิดว่าทำไมเขาต้องมานอนอยู่ที่นี่ พลางมองแขนที่มีรอยช้ำและรอยแผลถลอก ก็ยกมือข้างที่ไม่ติดสายน้ำเกลือขึ้นกดขมับ เพราะรู้สึกปวดร้าวไปทั้งหัว จึงได้รู้ว่าที่หัวมีผ้าพันแผลพันอยู่ แล้วภาพบางอย่างเริ่มเลือนรางขึ้นมา จนต้องเพิ่มแรงกดที่ขมับเพื่อให้ภาพนั้นเด่นชัด แต่สุดท้ายยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัวจึงต้องปล่อยภาพนั้นให้หายไป

เสียงขยับตัวทำให้คนนั่งที่เฝ้า ซึ่งก้มหน้าอ่านหนังสือพิมพ์อยู่บนโซฟามุมห้อง เงยหน้าขึ้นมองพลางวางหนังสือพิมพ์ไว้บนโซฟา ลุกขึ้นก้าวมายืนชิดขอบเตียง มองคนป่วย ที่จ้องมองมาอย่างสงสัยใคร่รู้ว่าเขาเป็นใคร

“สวัสดีครับ” เสียงภาษาสากลดังขึ้น พร้อมแนะนำตัวเองออกมา “ผมกัสโซ่ ทนายความของตระกูลม็อตต้า คุณเป็นไงบ้าง”
ดวงตาคมมองชายวัยกลางคนอย่างไม่ไว้ใจพลางขยับตัวจะลุกขึ้นนั่ง แต่เพียงขยับตัว ก็ปวดร้าวไปทั้งตัว ทนายกัสโซ่จึงกดปุ่มปรับระดับเตียงให้กระทั่งนั่งเอนสบายๆแล้วเสียงถามก็ดังขึ้น “ผมมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”

“คุณจำไม่ได้”

คำถามนั้นทำให้คนป่วยย่นหัวคิ้วหวนกลับไปคิดเหตุการณ์ที่เลือนรางอยู่ในหัวอีกครั้ง แต่ภาพยังไม่ชัดให้ไม่แน่ใจ คนที่มองอยู่บอกว่า “อุบัติเหตุ”

คำพูดนี้ทำให้ภาพที่ลางเลือนค่อยๆชัดขึ้นมา รถคันหนึ่งแหกโค้งมาชนรถที่เขานั่งเต็มๆ มันเกิดขึ้นเร็วจนเขาไม่อาจทำอะไรได้ นอกจากส่งเสียงร้องออกมาแล้วไม่รับรู้อะไรอีกเลย

“อเล็กซ์” เสียงที่ดังออกมาพร้อมกับสายตาที่มอง เพื่อขอคำตอบนั้น ทำให้สีหน้าของทนายกัสโซ่หมองเศร้า จนคนที่มองเริ่มใจไม่ดี เพราะขนาดเขาต้องมานอนแหมบอยู่บนเตียง กี่วันแล้วก็ไม่อาจรู้ แล้วเพื่อนเขาละ “ว่าไงครับ อเล็กซ์เป็นไงบ้าง เขาบาดเจ็บมากน้อยแค่ไหน”

ทนายกัสโซ่สบตาคม ที่รอคอยคำตอบด้วยสีหน้าลำบากใจ แต่เมื่อไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงอะไรได้ เขาก็ยอมพูดความจริงออกมา “ผมเสียใจด้วยครับ”

พรตชาไปทั้งตัว ใจหายวาบ ลมหายใจหยุดไปเสี้ยววินาที เมื่อคำตอบนั้นแปลความหมายเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย นอกจาก...ตาย! สองมือเขากำเข้าหากันเพื่อให้รู้สึกว่าเขาไม่ได้ฝันไป สิ่งที่ได้ยินเป็นความจริง “มันเป็นไปได้ยังไง” เสียงถามราวกับละเมอออกมา

“รถชนเข้าด้านที่คุณอเล็กซ์นั่ง ก่อนพลิกคว่ำ เป็นผลให้คุณอเล็กซ์...”

เสียงทนายเงียบหายไปอย่างสะเทือนใจ พรตเองก็นิ่งงัน ไร้คำถามใดๆ อีก เขาหลับตาลงเหมือนไม่อยากเห็นอะไรอีก แต่ยังได้ยินเสียงทนายพูดถึงอาการบาดเจ็บของเขา ที่ไม่มีอะไรสาหัส แต่ก็ไม่ได้สติมาสองวันแล้ว โชคดีที่ไม่ได้รับความกระทบกระเทือนมากนัก แผลที่เห็นก็ไม่ได้ฉกรรจ์อะไร ส่วนอเล็กซ์ผลการชันสูตรออกมาว่าเขาคอหัก เสียชีวิตคาที่ ตอนนี้ตำรวจกำลังหาสาเหตุอื่นที่อาจจะเกี่ยวข้อง แต่ประโยคใดก็ไม่เข้าไปในหัวเขานอกจาก

“อีกพรุ่งนี้ตระกูลม็อตต้า จะทำพิธีฝั่งศพคุณอเล็กซ์”
**********
ท้องฟ้าสีครามไร้เมฆมาบดบังแสงอาทิตย์ ทอแสงลงมาบริเวณสุสานของตระกูลม็อตต้า ช่างต่างจากสีหน้าท่าทางของทุกคนที่มาร่วมพิธี ไว้อาลัยเขาเป็นครั้งสุดท้าย คนในตระกูล เพื่อน นักธุรกิจ ผู้ร่วมค้า ผู้คนอีกมากมายต่างมาร่วมพิธี และที่สำคัญครอบครัวอัลโตนิโอที่เพิ่งเกี่ยวดองกัน นายอีชา มุตา ฟะรีฮะ คู่แข่งทางธุรกิจ ทุกคนอยู่ในชุดสีดำ เกือบทุกคนสวมแว่วตาดำปิดบังน้ำตา ความเศร้าเสียใจไว้ แต่คนในครอบครัวที่ร่วมสายเลือดกันมายังมีน้ำตาไหลออกมาให้เห็น พ่อแม่พี่น้องของเขาร่ำไห้กับการจากไปครั้งนี้
อีกด้านหนึ่งของพิธี พรตออกจากโรงพยาบาลมาร่วมพิธี เขายืนนิ่งห่างจากคนอื่นๆและไม่สนใจใครแม้แต่บาทหลวงที่กำลังทำพิธีอยู่ ทอดสายตามองหลุมศพที่เพื่อนที่นอนสงบนิ่ง ถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่อยากจะเชื่อว่าอเล็กซ์ได้จากไปแล้ว จนกระทั่งบาทหลวงทำพิธีเสร็จ ทุกคนก็นำก้อนดินและดอกไม้ไปวางบนโลงศพเขา แล้วถอยออกมา

พรตอธิฐานให้เพื่อนหลับให้สบาย ไปสู่สรวงสวรรค์และขออโหสิกรรมทุกอย่างก่อนเดินออกมา เขาสวนกับหญิงสาวคนหนึ่ง แต่ทั้งคู่ไม่สนใจจะมองหน้ากัน เพราะต่างก็อยู่ในความเศร้า เขาเดินห่างออกมาเรื่อยๆ ผู้คน แสงแดด และสายลมที่พัดมา ไม่อาจช่วยปัดเป่าความเศร้าจากตัวเขาให้หมดไป จนทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ริมแม่น้ำ มองฟ้าที่ว่างเปล่าอย่างเศร้าหมอง ไม่นานก็ดึงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋า กดสัญญาณไปหาใครบางคน

“พัชร” เขาเอ่ยชื่อออกไปทันทีที่ได้ยินเสียงรับสาย บอกเล่าอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นให้ฟัง และฟังเสียงที่ดังกลับมาอย่างห่วงใย

“นายเป็นอะไรหรือเปล่า”

“ฉันเจ็บตัวไม่มาก แต่อเล็กซ์จากไปไม่มีวันกลับ”

ปลายเสียงเงียบไปอึดใจ รู้สึกใจหายเพราะพอจะรู้จักคนที่น้องชายพูดถึง แม้จะไม่เคยเห็นหน้า แต่รู้ว่าเป็นคนที่ดูแลหุ้นที่คนเป็นปู่ยกให้เหมือนกัน “เสียใจด้วยพรต แล้วนายจะทำไงต่อ จะกลับเพลิงพญาเลยหรือเปล่า หรือว่า...”

“ฉันจะอยู่ต่ออีกสักพัก เพราะไม่รู้ว่าหลังจากอเล็กซ์ตาย หุ้นที่ฉันได้รับจะอยู่ยังไง ใครจะดูแลให้ ... ฉันไม่ได้งกสมบัติพวกนั้นนะพัชร แต่อยากจะดูแลสิ่งที่ปู่ให้เรามาให้ดีที่สุด แต่ถ้าไม่ไหวจริงๆ นายจะว่าอะไรไหม ถ้าฉันจะขาย”

“ฉันยกให้นายไปแล้ว นายตัดสินใจได้เลย แต่ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมันเป็นอุบัติเหตุจริงๆเหรอ”

คำถามของพี่ชายทำให้พรตนิ่งไป เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้เลย เมื่อรู้ว่าอเล็กซ์จากไป เขาก็เสียใจจนไม่ได้คิดถึงเรื่องใดเลย แล้วนึกย้อนไปถึงอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น ซึ่งไม่มีอะไรให้สงสัย

“ทำไมนายคิดอย่างนั้น”

“เพราะอเล็กซ์ไม่ใช่คนธรรมดา เพราะม็อตต้าไม่ใช่ตระกูลที่ไม่มีอะไรเลย เขายิ่งใหญ่ แม้เราไม่รู้ว่าแค่ไหน เพราะเพิ่งรู้จัก แต่เงินทองไม่เข้าใครออกใครนายก็รู้ ครอบครัวเดียวกัน สายเลือดเดียวกัน ฆ่ากันตายเพราะสิ่งนี้มานักต่อนักแล้ว และมันอาจจะเป็นสาเหตุให้เขาตายได้”

“แต่ฉันมั่นใจว่ามันเป็นอุบัติเหตุ”
“อย่ามั่นใจ อย่ามองโลกในแง่ดีพรต เพลิงพญาสอนให้เรารู้อะไรมากมาย นายก็เคยได้เรียนรู้แล้ว การมองโลกในแง่ร้ายบางครั้งมันก็จะเป็นเกราะให้เราระวังตัว จากนี้ไปนายต้องดูแลตัวเองให้ดี ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นนายต้องตั้งสติ คิดให้รอบคอบ เพราะที่นั้นไม่ใช่บ้านเรา และนายตัวคนเดียว บางทีสิ่งที่เกิดขึ้นกับอเล็กซ์อาจจะเกิดขึ้นกับนายได้”

พรตกำโทรศัพท์ที่ถืออยู่ไว้แน่น ถ้าเป็นอย่างที่พัชรว่า เขาจะไม่ยอมให้อเล็กซ์ตายฟรีเด็ดขาด แล้วข่มความคิดนี้ไว้ ถามถึงพ่อกับแม่ น้องๆ และทุกคนในหุบเขาพญา

“สบายดี นายไม่ต้องเป็นห่วง ดูแลตัวเองให้ดีนะพรต ฉันเป็นห่วง”

“ขอบใจ” พรตตอบกลับไปแล้วคุยกับคนเป็นพี่อีกไม่เท่าไหร่ก็วางสาย นั่งปล่อยให้สายลมพัดผ่านตัว ปล่อยสมองให้คิดย้อนไปถึงอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นอีกครั้ง และคิดว่าเขาไม่ควรปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปเหมือนร่างกายของอเล็กซ์ที่สลายไปจนไม่เหลืออะไรเลย
********
บนทางคอนกรีตที่ปูแทรกสนามหญ้า หญิงสาวพี่น้องต่างพ่อสองคน เดินห่างออกมาจากหลุมฝั่งศพที่มีแต่ความโศกเศร้า แต่ความคิดของทั้งคู่ไม่ได้ห่างจากสิ่งที่เดินจากมาเลย แพทิเซียนั้นนอกจากจะเศร้าเสียใจแล้ว เธอยังสงสารคู่หมั้นที่พี่ชายจากไปอย่างกะทันหัน ส่วนพรีมาดาที่ไม่มีความผูกพันใดๆ ก็เสียใจอย่างคนทั่วๆไปเท่านั้นเอง ทั้งคู่เดินมาถึงใต้แนวร่มไม้ ใกล้ที่จอดรถ

“พี่พรีมเสียใจไหมคะ” เสียงแพทิเซียถามขึ้น

พรีมาดาหันมามองหน้าน้องต่างพ่อ แล้วถามกลับทั้งที่พอที่จะรู้ว่าถามถึงเรื่องใด “เรื่องอะไรละ”

“ก็ ที่เขาจากไป คือคุณแม่เพิ่งบอกว่าเขาคือ...” แพทิเซียพูดไม่ค่อยจะเต็มเสียงนัก เพราะเกรงใจทั้งคนถามและคนที่เพิ่งไปส่งดวงวิญญาณมา พรีมาดายิ้มให้อย่างเข้าใจ แล้วบอกว่า

“เสียใจ แต่ไม่ใช่เรื่องที่ไม่ต้องหมั้นหมายและแต่งงานกับเขานะ แต่เสียใจที่คนๆหนึ่งมาจากไปเท่านั้นเอง”

“แน่ใจหรือคะ”

คิ้วเรียวของคนเป็นพี่เลิกขึ้น เมื่อคำถามดูจะมีความนัย “ทำไมถามอย่างนั้นละ”

“ก็เขาออกจะหล่อ รวย สมบูรณ์แบบขนาดนั้น พี่น่าจะมีความรู้สึกอื่นบ้าง เช่นเสียดายมากกว่าเสียใจ”

“อยากให้พี่เป็นอย่างนั้นเหรอ”
แพทิเซียนิ่งไปนิด ก่อนจะบอกว่า “ไม่หรอกค่ะ เป็นตัวของตัวเองอย่างพี่พรีมตอนนี้นะดีแล้วแต่ แพทยังจำคำพูดที่เขาบอกยินดีกับแพทและอดัมในวันหมั้นได้อยู่เลย ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะจากไปเร็วขนาดนี้”

“ชีวิตก็เป็นอย่างนี้ ไม่มีอะไรแน่นอน” เธอบอก แต่บอกตัวเองมากกว่าจะบอกใคร “แล้วไม่ไปอยู่เคียงข้างคู่หมั้นให้กำลังใจเขาเหรอ”

“อดัมเขาอยากอยู่คนเดียวมากกว่าค่ะ และเขาก็ยุ่ง เพราะตอนนี้ทุกอย่างตกมาอยู่ในมือเขา แพทจึงไม่อยากไปอยู่ข้างๆให้เขาต้องมาคอยห่วง”

“แต่เธอเป็นคู่หมั้นเขาแล้ว ก็ควรจะดูแลเขาให้ดี”

“พี่พรีม เป็นห่วงเขาเหรอ” แพทิเซียถามอย่างเกรงๆ ว่าคนเป็นพี่จะคิดมาก พรีมาดายิ้มอย่างไม่ถือสาแล้วบอกว่า

“เปล่า แต่อยากเตือนเธอให้รู้ว่า ผู้ชายยามอ่อนแอเขาก็อยากมีใครสักคนคอยห่วงใยอยู่ใกล้ๆเขา แต่ถ้าคนๆนั้นไม่อยู่ ก็อาจจะไปคว้าคนอื่นมาแทนก็ได้”

แพทิเซียหน้าม่าน เมื่อรู้สึกว่าคำพูดประโยคนี้เหมือนว่ากระทบเธอ เพราะการหมั้นที่เกิดขึ้น ลึกลงไปมันก็คล้ายกับสิ่งที่คนเป็นพี่พูดออกมา “แพทขอโทษค่ะ ที่ทำให้พี่พรีมต้องเสียเขาไป”

“พี่เบื่อจะฟังคำนี้ เพราะขอโทษไป ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้อีกแล้ว แต่อยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น เธอถึงได้หมั้นกับเขา”

แพทิเซียหลบตาที่มองมาอย่างคาดคั้น กระทั่งรู้สึกอึดอัด ก็รีบขอตัวเดินไปที่รถ พรีมาดามองตามไปพร้อมความสงสัย ก่อนหน้านี้เธอก็ไม่ได้คิดอะไรมากนอกจากเหยียดหยันเจ็บปวดกับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ตอนนี้เมื่อมันผ่านมา บางอย่างก็กลับมาให้เธอฉุกคิด แพทิเซียนั้นอ่อนหวานอย่างกับเจ้าหญิง แล้วคนแบบนี้หรือจะลุกขึ้นมาแย่งคนรักของพี่สาว ถ้าไม่มีใครคอยอยู่เบื้องหลัง

แม่ พ่อเลี้ยง ลีโอพี่ชายต่างสายเลือด หรือใคร!

คิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน ก่อนจะคิดกลับกันว่าบางทีอาจจะไม่มีใครอยู่เบื้องหลังก็ได้ แต่เป็นเพราะผู้ชายที่ไม่มั่นคงเองต่างหาก เธอถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วเดินทอดน่องตามแนวร่มไม้ไปเรื่อย แต่ไม่นานก็ต้องหยุดเมื่อเห็นใครบางคน ที่คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเจอกัน

พรตลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เขายังไม่เห็นหญิงสาวแต่พอจะก้าวเดินห่างไป หางตาก็เหมือนเห็นเงาคน จึงหันมามองเต็มๆตา พร้อมกับที่พรีมาดาก็หมุนตัวจะเดินจากไป ก้าวยาวๆของเขาจึงเดินมายืนตรงหน้า มองใบหน้างามที่จำได้ทันทีว่าคือผู้หญิงที่จ้างเขากินเหล้า ริมฝีปากแย้มยิ้มอย่างยินดีแต่สงสัยว่าเธอมาอยู่ที่นี่ได้ไง

“โลกกลมจริงๆ แต่จำได้หรือเปล่าว่าเราเคยเจอกันมาก่อน”

“ขอโทษด้วยค่ะ ฉันจำได้แค่ว่าไม่เคยเจอคุณ” เธอบอกโดยไม่คิด เพราะคิดว่าเขาคงเป็นพวกขี้หลีทั่วไป

“ลืมจริงๆหรือแกล้งลืม เพราะไม่อยากจำกันแน่”

“ทำไมฉันต้องทำอย่างนั้น”

“เพราะผมจำคุณได้มากกว่าที่คิดนะซิ”

พรีมาดามองหน้าคมอย่างไม่เข้าใจว่าเขาพูดถึงอะไร “ขอโทษนะคะ ฉันขอตัว” เธอบอกแล้วจะเดินจากไปแต่ไปไม่ได้ เพราะพรตไม่ยอมหลีกทางให้ ยังยืนปักหลักมองหน้างามที่ตึงขึ้นจนกลายเป็นโกรธ

“ไม่อยากรู้หรือว่าเรื่องอะไร”

พรีมาดาเชิดหน้าขึ้นบอกว่าไม่ แล้วหมุนตัวจะเดินไปอีกทาง แต่ต้องตกใจเพราะข้อมือโดนยึดไว้ เธอดึงกลับอย่างแรง แต่คนจับกระชับไว้แน่น แล้วหักกิ่งไม้มาเขียนเป็นตัวเลขบนหลังมือเธอ ก่อนจะปล่อยแล้วเดินจากไป เธอมองตามหลังร่างสูงไปอย่างขุ่นเคือง แล้วก้มลงมองรอยตัวเลขบนหลังมือ รีบลบออกไปอย่างรวดเร็วแล้วเดินกลับไปที่รถ โดยไม่ทบทวนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น ครั้งหนึ่งเคยเกิดขึ้นมาแล้ว
*********
รถตู้คันหรูวิ่งผ่านประตูอัลลอย เข้ามาจอดหน้าบันไดคฤหาสน์อัลโตนิโอ พอประตูรถระบบอัตโนมัติเปิดออก คนที่อยู่ในรถก็ขยับตัวลงมา นายริคาร์โด นางพรเพ็ญ ลีโอ แพทิเซีย และคนสุดท้ายคือพรีมาดา ซึ่งเดินแยกกลับไปที่บ้านพักตัวเองทันที สี่คนพ่อแม่ลูกจึงเดินเข้าไปในคฤหาสน์ แพทิเซียแยกขึ้นไปบนห้องนอน ลีโอก็เดินไปห้องทำงาน นายริคาร์โดกับนางพรเพ็ญจึงเดินไปนั่งที่ห้องโถงใหญ่ของคฤหาสน์

ประมุขของคฤหาสน์นั่งลงบนโซฟาตัวใหญ่ หยิบหนังสือพิมพ์ที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาอ่าน ขณะที่ภรรยาก็เดินมานั่งข้างๆ รินชาใส่ถ้วยวางให้ตรงหน้า มองหนังสือพิมพ์ที่สามีอ่านอยู่ ก็ถามอย่างชวนคุย

“มีข่าวอะไรน่าสนใจเหรอคะ”

“ไม่มี นอกจากข่าวของอเล็กซ์ แต่ตำรวจยังหาสาเหตุอื่นที่มีน้ำหนักมากกว่าอุบัติเหตุยังไม่ได้ จึงสรุปว่าเป็นอุบัติเหตุเหมือนเดิม” ริคาร์โดบอกแล้วพับเก็บหนังสือพิมพ์วางไว้บนโต๊ะรับแขก

นางพรเพ็ญมองภาพข่าวที่ลงให้เห็นสภาพรถที่พังยับ ความเสียใจนั้นมีไม่มากเท่าความเสียดาย ที่เขาตายไปก่อนจะแต่งงานกับเลือดในอกของเธอ ความหวังที่เธอคิดไว้จึงต้องพังลงไปด้วย ข้างๆรูปก็เป็นคำบรรยายถึงอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นและทิ้งท้ายด้วยความพยายามที่จะหาสาเหตุที่เกิดขึ้นกันต่อไป

“น่าเสียดายนะคะที่เขาจากไป ยังหนุ่มแน่น และอนาคตอีกยาวไกล แล้วผู้ชายที่นั่งอยู่ในรถกับเขา คุณรู้ไหมคะว่าเขาเป็นใคร”

“ตามข่าวบอกว่าเพื่อนจากประเทศบ้านเกิดคุณ”

“คนไทยเหรอคะ” ริคาร์โดพยักหน้า และไม่พูดอะไรอีก แต่ได้ยินเสียงภรรยาถามต่อว่า “แล้วคุณคิดยังไงกับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นคะ”

“ไม่คิด”

นางพรเพ็ญทำหน้าแปลกใจ เพราะปรกติแล้วสามีนางมีความคิดเห็นเรื่องอื่นๆ มากมาย ตามประสานักธุรกิจ แต่กับเรื่องนี้ตั้งแต่ตายยันฝัง เธอยังไม่ได้ยินคำพูดใดๆออกมาปากของเขา ก่อนหน้านี้ก็คิดว่าหลังจากฝังไปแล้วจะได้ยินความคิดเห็นของเขาบ้าง แต่ก็ไม่ได้ยิน

“ตอนนี้ม็อตต้าคงกำลังวุ่นกันใหญ่ที่เขามาจากไปกะทันหันแบบนี้”

“ก็คงจะเป็นอย่างนั้น”

“คุณพูดเหมือนไม่สนใจเลยนะคะ อย่านิ่งดูดายนักซิคะ คุณอย่าลืมว่าเรากับเขาเป็นมากกว่าเพื่อนร่วมธุรกิจ เพราะเกี่ยวดองกันแล้ว และอีกไม่เท่าไรก็จะเป็นทองแผ่นเดียวกัน แสดงออกให้พวกเขาเห็นบ้าง ว่าเราสนใจห่วงใยก็ดีนะคะ”

นายริคาร์โดยิ้มให้ ก่อนจะยื่นมือไปจับมือนางพรเพ็ญ ที่เป็นคู่ชีวิตเขามายี่สิบกว่าปี บีบเบาๆให้คลายความกังวล ก็ให้ความเห็นออกมาว่า “ฉันสนใจและห่วงใยอยู่แล้ว แต่จะให้แสดงออกมากไปคงไม่ดี เพราะเรื่องนี้ละเอียดอ่อนและอ่อนไหวสำหรับทุกฝ่าย ซึ่งกำลังจับตาดูอยู่ว่าสาเหตุที่แท้จริงที่ของอุบัติเหตุคืออะไร ยิ่งเราเกี่ยวดองกันอยู่ ก็ควรอยู่ห่างๆ อย่ายื่นแขนยื่นขาเข้าไปยุ่ง ให้สายตาของใครเหลือบมองมาจะกลายเป็นหาเรื่องใส่ตัวเอง”

“ทำไมเป็นอย่างนั้นละคะ เราบริสุทธิ์ใจในการกระทำ และไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆด้วยเลย”

“ก็ใช่ แต่ตอนนี้หลายฝ่าย รวมทั้งหุ้นส่วนต่างๆ ต่างก็จับตาดูอยู่ว่าธุรกิจของม็อตต้าจะเดินไปยังไง เมื่อไม่มีอเล็กซ์”

“แต่มีอดัม ที่จะก้าวขึ้นมาแทน มาทำทุกอย่างแทนเขาไม่ใช่เหรอคะ”
“ถ้าภายในครอบครัวอาจจะใช่ เขามีสิทธิในฐานะลูกชายของตระกูล แต่ในวงการธุรกิจไม่แน่ บางทีสายเลือด ไม่ใช่ว่าจะได้ทุกอย่างไป เพราะธุรกิจมันมีหลายอย่างประกอบขึ้นมามากกว่านั้น ทั้งอำนาจ บารมี ที่สำคัญหุ้นใหญ่อยู่ที่ใครกำมันไว้”

“ถ้าอย่างนั้นอดัมก็ลำบากซิคะ”

“อันนี้ฉันก็ไม่รู้นะ เป็นเรื่องภายในครอบครัวเขา แต่ในเชิงธุรกิจเท่าที่ผมรู้ มีใครอีกคนที่มีหุ้นพอๆกับอเล็กซ์”

“ใครคะ”

ริคาร์โดส่ายหน้าว่าไม่รู้ นางพรเพ็ญจึงเหมือนมีบางอย่างค้างคาใจ เพราะนางคิดไกลไปว่า ถ้าใครคนนั้นขึ้นมากำธุรกิจของม็อตต้าไว้ แล้วลูกของนางที่กำลังจะได้ไปเป็นเจ้าหญิงอยู่ในดินแดนที่แสนจะสวยงามนั้น จะเป็นยังไง? หรือสิ่งที่ได้ทำลงไป จะกลายเป็นความว่างเปล่า อีกอย่างเรื่องที่นางปิดบังอยู่ นางจมอยู่กับความคิดตัวเอง กระทั่ง..

“ไปดูลูกเถอะ ฉันจะไปคุยกับลีโอเสียหน่อย”

นางพรเพ็ญยิ้มรับคำสั่ง แล้วยื่นหน้าไปหอมแก้มเขาเบาๆ ก็ลุกขึ้นเดินขึ้นไปชั้นบน ริคาร์โดมองตามไปเพียงเดี๋ยวเดียวก็ลุกขึ้นเดินไปห้องทำงานที่อยู่ทางปีกซ้ายของตึก เขาเปิดประตูเข้าไปและได้เห็นเจ้าของห้องนั่งอยู่ที่เก้าอี้หลังโต๊ะทำงาน เขาเดินไปหยุดยืนที่หน้าต่าง มองสวนที่ร่มรื่นอยู่กลางแสงตะวัน เพียงไม่นานก็ถามขึ้น

“มีข่าวอะไรบ้าง”

“ไม่มีครับ ทุกอย่างเงียบและยังคงสาเหตุเดิม อุบัติเหตุ” ลีโอตอบอย่างแน่ใจว่าคนเป็นพ่อถามถึงเรื่องนี้

“แล้วทางอีชาละ มีความเคลื่อนไหวมั๊ย”

“ไม่ครับ ทุกฝ่ายใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหว เพื่อป้องกันการสงสัยครับ”

“ก็เลยจับมือใครดมไม่ได้”

“พ่อคิดว่ามันไม่ใช่อุบัติเหตุเหรอครับ”

ไม่มีคำตอบจากคนเป็นพ่อ แต่แววตานิ่งลึกคล้ายเก็บงำบางอย่างไว้แล้วหันมามองลูกชาย “ตอนนี้ถือว่าโปรเจคยักษ์นั้นมีแค่เรากับอีชากรุ๊ปที่เป็นคู่แข่งกัน ถ้าจะมองว่าดีก็ดี จะมองว่าไม่ดีก็ได้ เพราะยังมีคู่แข่งอยู่”

“ทางอีชากรุ๊ปก็คงคิดเหมือนเรา แต่พ่อคิดว่าเขาจะเกี่ยวข้องกับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นหรือเปล่า”

“ไม่มีใครรู้ใคร เพราะคงไม่มีใครโง่ให้ใครสงสัย” ริคาร์โดบอกแล้วตบบ่าลูกชายหนักๆ ก่อนเดินออกจากห้องไป
ลีโอเอนหลังพิงเก้าอี้ แล้วหยิบเอกสารของคู่แข่งขึ้นมาดู เพราะต่อจากนี้ไปเมื่อไม่มีคู่แข่งที่สำคัญอย่างม็อตต้า การแข่งขันก็คงดุเดือดขึ้น พวกที่หวังจะมีเอี่ยว คงใช้ทั้งเล่ห์เหลี่ยม ไหวพริบ งัดออกมาใช้กันอย่างสุดฝีมือ อยู่ที่ว่าใครจะไวกว่ากัน แต่ที่สำคัญคือต้องระวังการแทงข้างหลัง

ความคิดของลีโอไม่ต่างจากนายอีชา มุตา ฟะรีฮะ ที่ยืนมองความว่างเปล่าของอากาศอยู่ภายในห้องทำงาน ตึกของตัวเอง แววตาเขามีประกายที่สมใจ ก่อนจะมีรอยยิ้มผุดขึ้นที่มุมปากอย่างกับมีเรื่องดีๆเกิดขึ้นในวันที่ร่างของคู่แข่งได้นอนอยู่ใต้พื้นดิน
**********
แสงอาทิตย์ยามบ่ายส่องผ่านแมกไม้ที่เรียงรายอยู่รอบคฤหาสน์สีขาวหลังใหญ่ ที่สร้างด้วยหินที่แข็งแกร่งและสถาปัตยกรรมที่งดงาม ตั้งตระหง่านอยู่บนพื้นที่กว้างขว้าง ตรงกลางคฤหาสน์เป็นสวนสวยด้วยไม้ดอกไม้ดัด มีมุมพักผ่อนสบายๆ และมีรูปปั้นเทพีสีทองเหลืองยืนแบกคนโทให้น้ำพวยพุ่งออกมาลงสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ ที่เจ้าของสร้างไว้เพื่อความผ่อนคลาย ด้านหลังก็เป็นสนามกีฬาที่มีทั้งกลางแจ้งและในร่ม ให้เจ้าของได้ออกกำลังกาย ภายในคฤหาสน์ก็ตกแต่งได้อย่างงดงามราวกับราชวังก็ไม่ปาน

อดัม เด ม็อตต้า ยังอยู่ในชุดสูทสีดำ เขายืนอยู่ตรงสระว่ายน้ำ มองพื้นน้ำที่มโนเป็นหน้าคนเป็นพี่ที่เขาคิดถึงทุกสิ่งที่ได้ทำด้วยกัน นัยน์ตาเขาแดงก่ำ เพราะความเสียใจที่ยังไม่จางหาย พ่อแม่เขาทุกคนในตระกูลต่างพยายามทำใจให้ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ก็ยังทำใจไม่ได้ ท่านทั้งสอง จึงออกเดินทางไปพักผ่อนที่ต่างประเทศแล้ว กว่าความเสียใจจะคลายลง และกลับมาที่นี่คงใช้เวลาอีกนาน

ใบไม้ร่อนผ่านอากาศลอยลงมากระทบพื้นน้ำ ภาพที่มโนหายไปเป็นพื้นน้ำที่ไม่มีอะไร อดัมก็กะพริบตาข่มความรู้สึกเสียใจไว้ในใจ แล้วยกมือขึ้นลูบหน้าตั้งสติเพื่อตั้งรับกับทุกสิ่งทุกอย่างที่กำลังถาโถมเข้ามาสู่ตัวเขานับจากนี้ไป นอกจากต้องสืบหาสาเหตุที่ทำให้พี่ชายต้องจากไปว่าเป็นอุบัติเหตุจริงหรือไม่แล้ว ยังมีธุรกิจของตระกูลที่เขาไม่รู้ว่าจะถูกเปลี่ยนมือไปหรือกำลังท้าท้ายเขาอยู่ด้วย

จริงอยู่ว่าเขาดูแลธุรกิจส่วนหนึ่งของตระกูลด้วย แต่ที่ผ่านมาอเล็กซ์เป็นหัวเสือ ส่วนเขาเป็นหางเสือที่ไม่ได้มีความสำคัญมากมาย แต่ที่ดูดีมีเงินทอง อำนาจบารมี ก็เพราะความยิ่งใหญ่ของตระกูลเท่านั้น แต่จากนี้ไปเขาต้องขึ้นมาเป็นหัวเสือทุกอย่างต้องตกมาอยู่ในมือเขา

“คุณอดัมครับ”

เสียงเรียกที่ดังขึ้นข้างหลัง ทำให้อดัมเอียงหน้าไปมอง พอเห็นว่าเป็นใคร ก็หันมาทั้งตัว สบตาคนที่มาหา ซึ่งก็คือทนายความประจำตระกูลเขานั่นเอง ทนายกัสโซ่ก้มหน้าให้เขาเล็กน้อย ก็พูดเรื่องที่มาหา

“อาทิตย์หน้าจะมีการประชุมของผู้ถือหุ้นทั้งหมด คุณอดัมต้องไปในฐานะตัวแทนของคุณอเล็กซ์ เพราะมีเรื่องสำคัญที่จะต้องแจ้งให้ทราบด้วย”

“เรื่องอะไร”

“จดหมายปิดผนึกของคุณอเล็กซ์”

แววตาของอดัมไหววูบอย่างแปลกใจปนสงสัย ทนายกัสโซ่เห็นท่าทีนั้น จึงบอกว่า “คุณอเล็กซ์ทำไว้ เมื่อสามเดือนที่แล้วครับ”

“ทำไว้ หมายความว่ายังไง หรืออเล็กซ์รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเขาอย่างนั้นเหรอครับ”

“ผมไม่ทราบครับ แต่คุณก็รู้ว่าคุณอเล็กซ์จะทำจดหมายแบบนี้ทุกๆสามเดือนอยู่แล้ว” เขาบอกแล้วคิดถึงจดหมายที่ได้เก็บไว้หลายฉบับ

อดัมนิ่งไป เพราะรู้อย่างที่ทนายว่าจริงๆ แต่ไม่เคยสนใจจริงจังเมื่อชีวิตมีความสุขสบายอยู่แล้ว ใครจะคิดว่าวันหนึ่งมันเกิดเรื่องร้ายแรงขนาดนี้ แล้วหันหน้าออกไปมองฟ้ากว้าง ที่ไม่รู้ว่าขอบฟ้าอยู่ตรงไหน เช่นเดียวกับเขา ที่ตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าจะได้ยืนอยู่ตรงไหนในบริษัท จากที่คิดว่าจะได้เป็นหัวเสือ บางทีอาจจะต้องเป็นหางเสืออย่างเก่าก็ได้ ใครจะเป็นรู้

“คุณรู้ข้อความในจดหมายนั้นมั๊ย”

“ไม่ทราบครับ” ทนายกัสโซ่ตอบตามความจริง เพราะทุกครั้งนายทำเสร็จเขาก็จะเก็บไว้เลย ไม่เคยเปิดอ่าน ถ้าไม่ถึงเวลา จึงเป็นที่วางใจได้รับใช้ตระกูลม็อตต้ามาจนถึงทุกวันนี้

“แล้วมีใครรู้เรื่องจดหมายฉบับนี้อีกบ้าง”

“ผู้ถือหุ้นบางคนครับ”

“แต่ไม่รู้ข้อความข้างในเหมือนกันใช่ไหม”

“ครับ” รับปากแล้วทนายกัสโซ่ก็ยืนนิ่ง แต่ดวงตายังจับจ้องหน้าของชายหนุ่ม ที่ดูเหมือนจะเยาะหยันอะไรบางอย่าง ซึ่งเขาคิดว่า คงเป็นความน้อยใจ ที่ไร้ความสำคัญ คนเป็นพี่ถึงไม่ได้บอกอะไรไว้เลย เขารู้สึกเห็นใจแต่ทำอะไรไม่ได้ นอกจากหน้าที่ที่ต้องทำ และบอกเวลาเข้าประชุมให้รู้ ก่อนจะถอยหลังเดินจากไปเงียบๆ

อดัมไม่ได้มองตามไป แต่เขากำลังเป็นอย่างที่ทนายกัสโซ่คิด กำมือกดความน้อยใจที่เป็นเหมือนแกะดำของตระกูล เพราะไม่เก่งไม่ฉลาดเหมือนคนเป็นพี่ ณ เวลานี้เขาจึงอยากเห็นอะไรสักอย่างโผล่ขึ้นมาบนฟ้ากว้าง เพื่อเป็นสัญญาณให้เขารู้ว่าแท้จริงแล้วเขาควรจะอยู่ตรงไหน แต่ก็ไม่มีเลย ไม่มีจนกว่าจะถึงอาทิตย์หน้า
********
วันเวลาที่ผ่านมาช่วยรักษาบาดแผลบนร่างกายพรตให้หายดี เช้าวันนี้เขาขับรถเฟอร์รารี่สุดหรูออกมาจากบ้านพักหลังสีขาว สายตามองตรงไปข้างหน้า ขณะที่ความคิดก็ปล่อยให้หวนคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมา มิตรภาพของเพื่อนที่เพิ่งจากไป เสียงหัวเราะ รอยยิ้ม คำพูด ทุกอริยะบทของเพื่อนยังอยู่ในความทรงจำ แต่จากนี้ไปคงไม่มีอีกแล้ว ...

พรตผ่อนลมหายใจคลายความเสียใจออกมาช้าๆ วันที่ผ่านๆมาเขาไปพบนายตำรวจเจ้าของคดีของอเล็กซ์ ซึ่งก็สอบปากคำเขาถึงเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างหนัก และพาเขาไปดูสภาพรถที่พังยับ ทั้งหมดสรุปออกมาได้ว่าเป็นอุบัติเหตุ แม้จะยังไม่ทิ้งปมการฆาตกรรม เพราะอเล็กซ์ทำธุรกิจกับคนอื่นมากมาย แต่หาสาเหตุใดมาสนับสนุนไม่ได้เลย เนื่องจากอเล็กซ์เป็นนักธุรกิจที่ดี ไม่เคยมีความขัดแย้งกับนักธุรกิจด้วยกัน ส่วนครอบครัวนั้น ทุกคนในตระกูลม็อตต้ารักใคร่กันดี ไม่เคยมีประวัติความขัดแย้งใดๆออกมาเช่นกัน จึงไม่มีเหตุอันใดหรือใครจะมาทำร้ายเขาเลย แต่ตำรวจก็บอกว่าจะไม่ทิ้งประเด็นทั้งสองเรื่อง จะยังคงสืบสวนหาสาเหตุต่อไป

รถเฟอร์รารี่เข้ามาจอดในอาคารเด ม็อตต้า เขาเปิดประตูลงมาจากรถ ร่างสูงใส่เสื้อเชิ้ตกับกางเกงยีนแบบสบายๆ ตามสไตล์ตัวเอง แต่มีเสื้อสูทสีดำสวมทับเสื้อเชิ้ตให้ดูดีขึ้นมาอีกหน่อย เพราะมีเรื่องสำคัญรออยู่ข้างหน้า เขามองอาคารที่ตระหง่านบอกความยิ่งใหญ่ แล้วรู้สึกหนักใจ เพราะ... เขาถอนหายใจออกมาเมื่อนึกถึงสาเหตุที่ทำให้เขาต้องมาที่นี่

‘มีเรื่องสำคัญ และมีการประชุมผู้ถือหุ้น’

เสียงทนายกัสโซ่ที่โทรศัพท์ไปบอกเขา แรกที่ได้ยินเขาเกือบจะปฏิเสธ แต่เมื่อนึกถึงความจริงว่าไม่มีใครดูแลหุ้นที่ได้รับมาแล้ว เขาก็ต้องมา

ร่างสูงเดินเข้าไปในอาคาร ประชาสัมพันธ์สาวสวยเดินเปิดยิ้มมาต้อนรับเขา สอบถามถึงการมา แล้วก็พาเขาไปยังห้องประชุมที่จัดไว้ ประตูห้องเปิดรอต้อนรับอยู่แล้ว พรตเดินเข้าไปในห้อง สายตาเกือบสิบคู่มองมาที่เขา ซึ่งเขาก็สบตาทุกคนที่มองและได้เห็นว่าในจำนวนผู้ที่มอง มีเพียงสองคนที่เขารู้จัก คือทนายกัสโซ่กับอดัม

ก่อนหน้านี้เขาก็ได้เข้าไปแสดงความเสียใจกับครอบครัวอดัมแล้ว ส่วนคนที่เหลือเขาไม่รู้จัก แต่ในแววตาทุกคนมีความแปลกใจที่เห็นเขา เพราะไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับหุ้นส่วนในธุรกิจของทุกคน

ทนายกัสโซ่ลุกขึ้นจากเก้าอี้หนังนุ่มเดินมาหาเขา ยื่นมือมาให้จับทักทายกันเล็กน้อย ก็หันไปมองทุกคนที่มองมา แล้วก็แนะนำให้ทุกคนรู้จัก

“คุณพรต บิล บิลาเราะห์ คนที่ชีคอิลาอัลล์ยกหุ้นทั้งหมดให้ เพราะเขาคือหลานชาย”

ทั่วทั้งห้องเงียบสนิท สายตาแต่ละคนนิ่ง จนพรตที่จับตามองอยู่ต้องชมอยู่ในใจพลางก้มหน้าทักทายทุกคน พร้อมกับฟังเสียงทนายกัสโซ่ที่แนะนำชื่อแต่ละคนให้เขารู้จัก บิ๊กบอสที่สำคัญในธุรกิจม็อตต้า หน้าตาทุกคนยิ้มทักทายเขาดี แต่สัญชาตญาณของเขาก็บอกว่ามันเป็นเพียงแค่หน้ากาก เพราะแน่ใจว่าคงไม่มีใครยินดีที่เขามาปรากฏตัวแน่นอน

ทนายกัสโซ่เชิญให้พรตไปนั่งที่เก้าอี้ด้านหน้า แล้วเดินไปยืนที่หัวโต๊ะ สบตากับทุกคนที่เขาเชิญมาเพื่อให้รับรู้จดหมายปิดผนึกของอเล็กซ์ที่ทำไว้ โดยบอกเหตุผลกับเขาตอนที่ทำว่า

‘ชีวิตคนเราไม่แน่นอน ยิ่งฉันมีทรัพย์สินและธุรกิจเยอะก็ยิ่งต้องระวัง แม้ไม่มีศัตรูแต่ก็ไม่รู้ว่าใครจะเป็นมิตรหรือศัตรู จึงป้องกันไว้ก่อน’

ทนายกัสโซ่ยื่นมือไปขอกระเป๋าจากคนของเขาที่ยืนอยู่มุมห้อง พอรับมาก็วางลงบนโต๊ะ กดรหัสเปิดกระเป๋า แล้วหยิบเอกสารสำคัญออกมาวางบนโต๊ะ ทุกคนมองด้วยความอยากรู้อยากเห็น ว่าข้อความในนั้นจะเขียนว่าอย่างไร ซึ่งทนายกัสโซ่ก็ไม่ปล่อยให้ทุกคนรอนาน เขาอ่านส่วนที่สำคัญออกมาทันที

“ข้าพเจ้า นายอเลสซานโด เด ม็อตต้า เขียนจดหมายปิดผนึกฉบับนี้ ขณะที่มีสติสัมปชัญญะครบถ้วนบริบูรณ์ ซึ่งที่ข้าพเจ้าได้เขียนไว้ ก็เพราะว่าความไม่แน่นอนของชีวิต วันนี้ยังลืมตาอยู่ แต่วันหน้าตาอาจจะปิดลงไม่มีวันลืมขึ้นมาอีกเลยก็ได้ ข้าพเจ้าจึงขอให้ทุกคนทำหน้าที่ๆทำอยู่ต่อไป แต่สำหรับตัวข้าพเจ้าเมื่อไม่อยู่แล้ว ก็ขอแต่งตั้งให้นายพรต บิล บิลาเราะห์ เป็นผู้ดำรงตำแหน่งแทน และมีสิทธิ์ในธุรกิจที่เป็นของข้าพเจ้าทุกอย่างแต่เพียงผู้เดียว”
**********
ขอบคุณที่ติดตามผลงานค่ ะ



pream
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 13 ก.พ. 2558, 16:30:18 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 13 ก.พ. 2558, 16:30:18 น.

จำนวนการเข้าชม : 1516





<< ตอน 2   ตอน 4 >>
แว่นใส 13 ก.พ. 2558, 19:40:04 น.
เริ่มหนักบ่ายัง


Zephyr 14 ก.พ. 2558, 21:35:37 น.
โอ้ะ ภาระมาไม่รู้ตัว


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account