ทัณฑ์ดอกรัก
เนิ่นนานกว่าร้อยปี โชคชะตาจึงชักพาเธอมาพบเจอกับเขาอีกครั้ง เธอถูกหว่านล้อมลวงหลอกด้วยเล่ห์กะเท่ห์มารยาของหนุ่มนักเลงกลอนอายุร่วมร้อยปีที่แสนน่ารัก โรคใจอ่อนกำเริบจนอ่อนใจ น่ากลัวว่า เธอจะเผลอตัวเผลอใจยอมตกห้วงรักอันแสนเย้ายวนไปร่วมกับเขาเข้าสักวัน

เพียงแต่คนบางคน หรือจะยอมให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้น!

“ผมไม่สนใจว่าเขาจะเป็นวิญญาณบรรพบุรุษสายไหนของผม ผมรู้แต่ว่าเขาควรอยู่ส่วนเขา ส่วนคุณ...คุณต้องอยู่กับผม!”

(วิญญาณน่าเจี๊ยะ เจ้านายน่าแซะค่ะ ^^ เชิญเลือกหม่ำตามสบาย)
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: วาเลนไทน์นี้ หนูปี่ก็มีนัดเจ้าค่ะ :)

ครืด...ครืด...

ความคิดชะงักลงเมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือที่ข้างหมอนสั่นครืด เธอตั้งเป็นระบบสั่นไว้ตั้งแต่เมื่อคืนเพราะกลัวว่าข้อความจากใครบางคนจะถูกส่งมาในยามวิกาลแล้วกวนให้เพื่อนร่วมห้องตื่น แต่พอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูก็พบว่า เธอเดาผิด เขาไม่กวนตอนกลางคืน แต่กวนได้ถูกจังหวะในตอนที่เธอตื่นแล้วพอดิบพอดี

ภาพชายในความฝันละเลือนหายไปความคิด มันถูกทดแทนด้วยภาพผู้ชายอีกคนที่ชัดเจนเหมือนเขากำลังยืนทำหน้าเคร่งอยู่ตรงหน้า ปัญญ์ปรียาหลุดยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว ก่อนกดรับสายแล้วกรอกเสียงทักทาย

“สวัสดีค่ะคุณวรท”

“หลับสบายดีมั้ย” เขาถามกลับมาด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำเล็กน้อยตามปกติ แต่ปัญญ์ปรียากลับอึ้งไปชั่วขณะ ด้วยเธอนึกได้แล้วว่าคุ้นหน้าคุณเสือจากที่ใด

เขา...คุณเสือเหมือนคุณวรทราวกับหล่อมาจากพิมพ์เดียวกัน

“ยังไม่ตื่นเหรอ ผมโทร.มาปลุกคุณหรือเปล่า” เขาถามย้ำขึ้นมาเมื่อเธอเงียบไม่ตอบคำ

“เปล่าค่ะ ปี่ตื่นก่อนคุณวรทโทร.มาแป๊บนึง คุณวรทมีอะไรหรือเปล่าคะ”

“คุณพ่อคิดถึงค่ะ” เสียงเด็กใสๆที่โพล่งดังแทรกขึ้นทำผู้เป็นพ่อตกใจแทบทรุด แต่ยังเทียบไม่ได้กับความตกใจของคนที่ได้ยินอีกคน

ปัญญ์ปรียาอ้าปากค้าง สมองทึบตื้ออย่างกับเพิ่งโดนของหนักหล่นทับหัว จนกระทั่งได้ยินเขาแก้ตัวตะกุกตะกัก “คือ...ร้านข้าวหมูแดงท้ายซอย จำได้ว่าเคยกินตอนเด็กๆ วันนี้ว่าจะไปกิน ไม่รู้ว่ายังเปิดอยู่หรือเปล่า...ไปกินด้วยกันมั้ย”

ตกลงเขาคิดถึงเธอหรือร้านข้าวหมูแดง หรือคิดถึงทั้งสองอย่าง

เธอไม่กล้าถาม

ลูกน้องสาวปรามหัวใจที่กำลังเต้นโครมคราม ค่อยๆผ่อนลมหายใจออกระวังไม่ให้เสียงลอดเข้าไปให้อีกฝั่งได้ยิน เธอค่อนข้างตั้งตัวไม่ติดและจัดระเบียบความสัมพันธ์ระหว่างเขากับตนเองไม่ถูกอยู่บ้าง ที่แน่ๆ คือเขาเป็นเจ้านาย...และที่ค่อนข้างมั่นใจแล้วคือเธอกำลังถูกเขาจีบ

ก็เช้าถึงเย็นถึงขนาดนี้!

“ปี่ยังไม่ได้อาบน้ำเลย คุณวรทไปทานเถอะค่ะ จะได้ไม่ต้องหิ้วท้องรอให้เสียเวลาเปล่าๆ” ปัญญ์ปรียาบอก หวังว่าจะได้เวลาตั้งตัวไม่ต้องเจอหน้าอีกสักหนึ่งวันเต็มๆ

หารู้ไม่ วรทไปหาเธอที่เปรมบุราณมาแล้ว จึงรู้ว่าเธออยู่บ้าน

เขามั่นใจแถมเอาแต่ใจตนเองมากพอที่คิดว่าเธอจะต้องว่างสำหรับเขา

“ผมยังอยู่บ้านอยู่เลย คุณอาบน้ำแต่งตัวเถอะ อีกยี่สิบนาทีผมไปรอข้างล่างตึกนะ” ชายหนุ่มผู้เคยชินกับการออกคำสั่งกล่าวจบก็วางสาย ไม่รอให้เธอมีโอกาสโต้แย้งหรือตอบปฏิเสธ

ปัญญ์ปรียายืนลังเลได้เพียงครู่เดียวก็ตัดใจไปอาบน้ำอาบท่า

ปลอบตัวเองว่าอย่างน้อยวดีก็อยู่ด้วย เธอคงไม่เขินตายเพราะแค่ไปกินข้าวหมูแดงกับพวกเขาหรอก




เธอคิดผิด!

พลาดเองที่คิดว่าถ้าเขากับลูกคุยกันกับเธอ แล้วเธอจะพบพวกเขาพร้อมหน้าพร้อมตากันที่ชั้นล่าง

ครั้นพอลงมาถึง เธอกลับเห็นเพียงเจ้านายกำลังกอดอกอยู่ตรงเก้าอี้นวมตัวเก่าที่นั่งมียวบยุบแทบถึงพื้น ตาที่หรี่ลงเล็กน้อยมองตรงไปยังป้ายชื่อหอพักที่มีผ่านเวลามานมนานพอกับเก้าอี้นวม

ขณะที่เขากำลังสงสัยว่า ‘วววมาน’ ควรจะอ่านว่าอะไร เพราะไม่รู้ว่าสระอิมันหลุดหายจากคำว่าวิววิมานไปถึงสองตัว หญิงสาวใจแป้วที่เห็นเขามีสีหน้าไม่ดีนัก ตีความไปเองว่าเขากำลังโมโหที่ต้องรอ เธออาจจะโดนลวงไปเชือดกินเป็นอาหารเช้าเสียมากกว่าได้กินข้าวหมูแดงเจ้าอร่อย

“ปี่ขอโทษนะคะที่ให้รอ” เธอแข็งใจเอ่ยขึ้น หลังจากไปหยุดยืนด้านข้างเขาแต่เขานั่งหน้านิ่วไม่ปริปากทักทาย

วรทส่งเสียงอืมเบาๆครั้งหนึ่ง คล้ายเสียงกระแอมไอมากกว่าคำตอบรับ เขาไม่รู้จะพูดอะไร คำทักทายดีๆที่เตรียมมาปลิวหายเมื่อได้ยินคำขอโทษขอโพยจากเธอ คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันเกิดเป็นรอยกดลึกด้วยความขุ่นข้องใจว่าอะไรกันที่ทำให้เธอเกรงกลัวเขานัก

วรทไม่สำเหนียกเลยว่าโดนแปะตำแหน่ง ‘เจ้านาย’ พ่วงท้ายด้วยคำว่า ‘ดุ’ อยู่บนหน้าผาก เขาสูดหายใจเข้าลึกๆพลางลุกขึ้นยืนจ้องหน้าเธอ หมายแสดงความจริงใจ ขณะออกปากถาม

“ทำไมต้องขอโทษ จะขอโทษทำไมบ่อยๆ คุณลงมาตามเวลานัดนะ และต่อให้คุณลงมาช้าจริงๆ...ผมรอได้”

ปัญญ์ปรียาเกือบกลัว เกือบลนลาน เกือบสติแตกไปเพราะถูกตาดุๆนั้นจับจ้อง แต่เพราะเธอกล้าสบสายตาเขามากขึ้นกว่าแต่ก่อน ทำให้เห็นบางอย่างที่ไม่เคยสังเกต

สายตาเขาไม่ดุเท่าที่คิด

และหวานกว่าที่คาด

ยิ่งตอนที่เขาทอดเสียงอ่อนว่า ‘ผมรอได้’ เข่าเธอแทบอ่อนยวบลงไปกองเป็นก้อนขี้ผึ้งเหลวๆ

“ปี่เป็นเด็ก...ไม่อยากให้คุณวรทรอนี่คะ” ปัญญ์ปรียาว่า พลางเลื่อนสายตาหนีจากแววความอ่อนโยนในดวงตาของเขา ไล่เรื่อยลงมาหยุดที่ปาก ก่อนจะสะดุ้งเมื่อเห็นเขากำลังยิ้ม...มันเป็นยิ้มนิดๆที่มุมปากจนยากสังเกตเห็น

“คุณหาว่าผมแก่เหรอ”

หากเป็นเมื่อก่อน ที่เธอไม่กล้ามองหน้า ไม่กล้าสบตา เธอคงรีบขอโทษขอโพยลนลาน เพราะคิดว่าเขาโกรธ แต่เมื่อเห็นคาตาว่าเขาอมยิ้ม จึงแปรเจตนาถ้อยความของเขาได้ถูกต้องกว่าเคย ว่าเขาแค่แกล้งหยอก

“ปี่หมายถึงโดยมารยาท ปี่ไม่อยากให้คุณวรทต้องรอเท่านั้นนะคะ คุณวรทไม่ได้ดูแก่แบบนั้นสักหน่อย” แม้จะคิดว่าเขาไม่ได้โกรธจริงจัง แต่เธอยังอยากอธิบาย

ถ้าพิจารณาจากรูปร่างหน้าตา เขาเหมือนจะอายุมากกว่าเธอไม่เกินห้าปีด้วยซ้ำ หน้าเด็กเสียจนทฤษฎีที่ว่า ถ้าคนเราอารมณ์ดียิ้มเก่งแล้วหน้าจะอ่อนเยาว์ หมดความน่าเชื่อถือ

วรทยิ้มออกมาได้อีกหน่อย แม้คำปลอบใจของเธอไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นมาสักนิด เธอยังคงเด็ก และเขาก็ยังคงอายุมากเกินไปสำหรับเธออยู่ดี แต่ที่อารมณ์ดีได้เพราะเห็นเธอใส่ใจความรู้สึกเขา

ชายหนุ่มหมุนตัวจะออกเดินออกจากหอพัก ก่อนจะชะงักค้างอยู่ที่หน้าประตูเมื่อได้ยินเสียงเล็กๆร้องทักท้วง

“เดี๋ยวค่ะ คุณวรท” คนเรียกยืนกระบิดกระบวน สายตาไล่ไปทั่วห้องลอบบี้เล็กแคบ ก่อนหยุดที่ทางเข้าห้องน้ำชั่วครู่ แล้วเอ่ยต่อ “หนูดีละคะ อยู่ห้องน้ำหรือเปล่าคะ”

“ไม่ได้มาด้วยกันหรอก ผมเล่าให้เขาฟังว่าคุณกินมังสวิรัติทุกวันเกิด เขาเลยอยากเอาอย่างบ้างน่ะ” ชายหนุ่มอ้างหน้าตาย พลางออกเดินนำไปล่วงหน้า

“จะเอาหนูดีไปเป็นก้างทำไม! คุณพ่อต้องรุกนะคะ ต้องรุกหนักๆ พี่สาวไม่รอดมือเราหรอกค่ะ!”

คำสอนของลูกสาวจอมแก่แดดยังก้องอยู่ในรูหูเขาอยู่เลย เขาจะไม่เชื่อฟังได้หรือ แล้วต่อให้ลูกไม่เสี้ยม เขาก็ตั้งใจจะเดินเครื่องลุยเต็มที่อยู่แล้ว

เจ้าของร่างสูงผอมลับออกจากกรอบประตูไปแล้ว แต่ปัญญ์ปรียายังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ใบหน้าเธอร้อนวูบวาบ ท้องไส้ปั่นป่วน ใจหวิวๆหวั่นๆ ด้วยประมวลความคิดได้ความว่า จากที่ตั้งใจจะไปกินข้าวกับ ‘พวกเขา’ เหลือแค่ไปกินข้าวกับ ‘เขา’ มันเรียกว่าการเดท แม้สถานที่ควรจะสุดแสนโรแมนติกจะเป็นร้านข้าวหมูแดง แต่มันก็คือการกินข้าวสองต่อสองอยู่ดี

หญิงสาวรอจังหวะอีกสองสามอึดใจ ก่อนจะเดินคล้ายย่องตามออกไปช้าๆ เห็นเขาหยุดยืนรออยู่ห่างหน้าตึกไปหน่อย ท่าทางผ่อนคลายไม่เร่งร้อน เธอจึงฉีกยิ้มให้ก่อนจะรีบหลบตา ตอนนี้จะเป็นหมา แมว นก ต้นไม้ หรือจะถังขยะ อะไรก็ได้ เธอยินดีมองมันมากกว่าเขาทั้งสิ้น

วรทแอบขำกับปฏิกิริยาของเธอ รับรู้ได้ถึงความกังวลที่ฉายชัดอยู่ในแววตาตื่นๆ แต่มันไม่ทำให้เขาคิดเลิกล้มความตั้งใจ

เมื่อเดินเกมรุกแล้วเขาก็จะรุกให้ถึงที่สุด ถ้าไม่ได้ยินคำปฏิเสธจากปาก เขาถือว่าเธอยังเปิดประตูต้อนรับให้เขาได้สานสัมพันธ์

เพียงแต่การรุกย่อมต้องอาศัยจังหวะ กะเวลาเพื่อเล็งผลเลิศ บ้างครั้งถอยก็คือรูปแบบการรุก การตั้งมั่นยืนสงบนิ่งก็เป็นการรุกรูปแบบหนึ่งเช่นกัน

เขารู้...คนขี้เกรงใจอย่างเธอ ไม่กล้าปล่อยให้เขายืนรอนานเป็นอันขาด

แล้วก็เป็นดั่งที่เขาคาด ปัญญ์ปรียายืนรวบรวมสติอยู่แวบเดียวก็ออกเดินมาเคียงข้างเขา เธอส่งยิ้มเขินๆมาครั้งหนึ่งก่อนก้มหน้าหลบลงมองพื้น ท่าทางเกร็งเกรงไม่คลาย

“เข้ามาเดินด้านใน” เขาสั่งพลางสลับที่ให้เธอย้ายมาเดินด้านในติดกับตัวอาคารที่เรียงเป็นทิวแถว

ถนนในซอยคับแคบ แม้มีเส้นขีดตัดแบ่งระหว่างทางรถและทางเท้า แต่มันกลายเป็นเลนที่รถมอเตอร์ไซด์ใช้หลบเลี่ยงรถใหญ่ในช่วงการจราจรติดขัด

เธอพยักหน้านิดหนึ่ง ปากกล่าวขอบคุณเบาๆ การดูแลใส่ใจจากเขายิ่งก่อสุมความอึดอัดขัดเขินขึ้นในใจ ความคิดว่าที่ว่านี่คือเดทแรกระหว่างเธอกับเจ้านายรบกวนจิตใจเธออย่างมาก

เดทแรก...ที่ร้านข้าวหมูแดง เธอใส่เสื้อยืดสีขาวที่คุ้ยมาจากกองลดราคาตามตลาดนัด แล้วอักษรสีดำที่สกรีนบนเสื้อที่เธอไม่เคยใส่ใจความหมาย ดันเขียนหราว่า รักที่สุดคนนี้

ประโยคไม่ธรรมดาไม่พอ ยังมีลูกศรชี้ไปทิศที่เขายืนอยู่พอดี!

เธออยากจะสลับที่กับเขา ขอออกไปเดินท้าให้รถมอเตอร์ไซด์สอยยังดีเสียกว่า แค่เมื่อคืนส่งข้อความผิดไปให้ทีก็น่าอายจะตายอยู่แล้ว

หญิงสาวลูบตัวเสื้อที่หยิบมาใส่โดยไม่ตั้งใจอย่างเป็นกังวล จนเป็นเหตุให้เขาสังเกตเห็น

วรทอมยิ้มเกือบหลุดขำออกมา แต่กลัวจะทำให้เธออายหนักกว่าเก่า จึงแกล้งไม่รู้ไม่ชี้หาเรื่องอื่นชวนคุย แม้เขาไม่ใช่คนช่างพูด แต่คงเงียบต่อไปไม่ได้ เพราะดูเหมือนเธอในยามนี้จะหมดความสามารถในการพูดจาไปเสียแล้ว

“ตอนเด็กๆ ที่บ้านซื้อข้าวหมูแดงร้านนี้ไปตั้งโต๊ะบ่อยๆ คุณแม่ผมชอบมาก กลิ่นน้ำราดมันจะหอมเหมือนไหม้นิดๆ คุณเคยไปกินบ้างมั้ย”

“ไม่เคยเลยค่ะปกติตอนเช้าปี่ไม่ค่อยกินอะไรเป็นชิ้นเป็นอันสักเท่าไหร่ ส่วนใหญ่ก็น้ำเต้าหู้อะไรทำนองนี้” ปัญญ์ปรียาตอบพลางเหลือบมองเขาอย่างจับสังเกต แม้เขาจะพูดเสียงเรียบเรื่อยเป็นปกติ แต่ก็อดร้อนตัวไม่ได้ เธอยกสองแขนกอดอกปกปิดประโยคน่าขายหน้าไว้

“เขาว่ามื้อเช้าสำคัญที่สุดนะ ทำไมถึงกินแต่น้ำเต้าหู้” วรทสอนเสียงนิ่ง ต่อให้เห็นกิริยาขัดเขินของเธอเต็มสองตา แต่ถ้าเขาตั้งใจแสแสร้งว่าไม่ทันสังเกต สีหน้าที่เดิมก็ไม่ค่อยแสดงอารมณ์อะไรอยู่แล้ว ยิ่งเก็บซ่อนอารมณ์ขันได้มิดเม้น แบบที่เธอไม่มีปัญญาจับได้ไล่ทัน

“น้ำเต้าหู้ก็มีประโยชน์แล้วก็อิ่มด้วยนะคะ ที่สำคัญ มันถูกน่ะค่ะ” ปัญญ์ปรียายอมรับหน้าชื่นตาบาน ด้วยผ่อนคลายขึ้นเมื่อคิดไปเองว่าซ่อนข้อความบอกรักโจ๋งครึ่มได้สำเร็จ

“แวะไปกินข้าวที่บ้านผมสิ คุณชมพูคงหาทางขุนคุณสนุกไปเลย” ชายหนุ่มเอ่ยชวนอย่างแนบเนียนเป็นกันเอง แต่คนถูกชวนยังสะดุ้งไหวตัวทัน

“ไม่ละค่ะ ปี่เกรงใจ ปี่กินอย่างนี้จนชินแล้ว”

“คุณจะทำร้ายจิตใจคุณชมพูลงเหรอ อายุเฉียดๆเจ็ดสิบแล้วนะคุณชมพูนะ” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเป็นจริงเป็นจัง พลางหยุดเดินเพราะถึงหน้าร้านข้าวหมูแดงที่ชวนมาพอดี

ปัญญ์ปรียามองสำรวจร้านข้าวเจ้าอร่อยของเขา ภายในห้องแถวหนึ่งคูหามีโต๊ะเก้าอี้วางเรียงเต็มเป็นพรืด ที่นั่งถูกจับจองจนเต็มร้าน เหลือโต๊ะตัวเล็กที่จัดวางแอบอยู่ด้านนอกที่ลูกค้าเพิ่งลุกผละไปเพียงตัวเดียว ผนังสีขาวมีคราบเหลืองจนกลายเป็นสีนวล รวมถึงหญิงอายุราวๆห้าสิบหกสิบปีที่ยืนถือมีดปังตอหั่นหมูแดงเป็นแผ่นบางๆอยู่หน้าร้าน บ่งบอกว่าร้านนี้เปิดกิจการมาเนิ่นนาน

ชายหนุ่มชักชวนให้เธอสั่งอาหาร ก่อนเดินไปนั่งที่โต๊ะ จับเอาจานของลูกค้าคนก่อนหน้าซ้อนกันรอท่า ไม่นานคนงานหนุ่มร่างผอมก็เดินมาเก็บจานพร้อมเช็ดถูโต๊ะอย่างคล่องแคล่ว

รอจนเหลือนั่งจ้องตากันอยู่สองคน วรทก็ยังคงนั่งไม่รู้ไม่ชี้ ไม่ขยายความเรื่องคุณชมพูต่อ คนขี้สงสัยจึงอดรนทนไม่ได้ ออกปากถามเข้าทางเขาเอง “คุณชมพูนี่...ที่เป็นแม่ครัวที่บ้านคุณวรทใช่มั้ยคะ ปี่ไปทำอะไรให้”

“ธรรมชาติของคนทำอาหารละนะ จะบ้านไหนก็เถอะ ถ้าทำอาหารแล้วไม่มีคนกินก็เสียใจ ถ้าให้เปรียบ ก็เหมือนพ่อแม่ที่ทำกับข้าวแล้วชะเง้อรอลูกๆมากิน วันไหนกินเยอะหน่อยก็ดีใจ วันไหนกินน้อยก็ถามไถ่ไม่สบายใจหรือเปล่า แล้วคิดดูสิ...คุณจะให้ผมออกมากินข้าวกับคุณทุกเช้า คุณชมพูเสียใจแย่”

เขากล่าวหน้าตาย ขณะคนฟังแทบหงายหลังตายไปเดี๋ยวนั้น จานข้าวหมูแดงที่ถูกวางตรงหน้าอย่างกะทันหันก็จริง แต่ที่เธอผงะตัวห่างจากเขาเพราะถูกวาจาของเขาเล่นงานเอาต่างหาก

...‘คุณจะให้ผมออกมากินข้าวกับคุณทุกเช้า’...

เธอบอกอย่างนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน!

“ปี่ไม่ได้พูดแบบนั้นสักหน่อย”

วรทอมยิ้มพลางพยักหน้าน้อยๆสองสามครั้ง มือเลื่อนโถใส่น้ำจิ้มให้เธอ ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบ ด้วยใบหน้าที่เรียบเฉยยิ่งกว่า

“ที่บ้านตั้งโต๊ะตอนเจ็ดโมงครึ่ง อย่าสายละ”




ถ้าร้านข้าวหมูแดงเป็นสนามรัก เธอก็แพ้หลุดลุ่ยโดนเขายิงประตูเข้าหัวใจไปไม่รู้จักกี่ลูก ฝ่ายผู้ยิงประตูนั้น เดินกลับบ้านสบายอกสบายใจ คนถูกยิงประตูถึงกับแข้งขาอ่อน กลับถึงห้องได้ก็ล้มพับกับเตียง นึกทบทวนว่าพลาดตอบอะไรเขาไปบ้าง

เรื่องที่เขาชวนไปกินข้าวที่บ้านตอนเช้า...เหมือนๆว่าเธอจะงง จนโอเคเซย์เยสไปในที่สุด

แล้วที่เขาชวนไปเลือกซื้อชุดให้หนูดีอีก...เขาว่าจะมารับตอนกี่โมงนะ จะบอกว่าเขาชวนก็ไม่ถูก เขาไม่ถามความสมัครใจของเธอสักคำ มันเหมือนๆกับคำสั่งมากกว่าคำชวนอีกนั่นแหละ

แล้วคืนนี้...ใช่แล้วคืนนี้เขาว่า เขาอยากแวะดูหนังก่อนกลับบ้าน เขาไม่ได้เข้าโรงหนังมาเกือบสิบปี จนไม่รู้ว่าป่านนี้ค่าตั๋วถีบพุ่งไปถึงราคาเท่าไหร่ แล้วป็อบคอร์นแพงกว่าค่าตั๋วหนังแล้วหรือยัง เขากลัวว่าจะดูแปลกแยกจากหมู่วัยรุ่นเลยไม่อยากไปดูคนเดียว

“คุณพาผมไปหน่อยสิ”

คนที่ถูกยัดเยียดตำแหน่งไกด์ให้ตบแก้มตัวเองเบาๆเรียกสติ เสียงแข็งๆของเขามันไม่เหมือนกำลังอ้อนเลย แต่กลับทำให้ใจเธอเลยสั่นพับๆ ท้องมวนๆพิกล หญิงสาวข่มตาหลับหวังขับไล่อาการร้อนๆหนาวๆคล้ายจะเป็นไข้ออกไป

ยามนี้ ถ้าเพื่อนตัวดีอยู่ด้วย มีหวังเธอคงโดนวินิจฉัยอาการว่าเป็นไข้ใจแน่นอน!

ปัญญ์ปรียากระสับกระส่ายกลิ้งไปมาเป็นเตียงอยู่นาน ก่อนจะนึกได้

คืนนี้ เธอมีนัดกับคุณเอื้อนี่!


xxx
หายไปนานเลย ยังไม่ลืมกันใช่มั้ยๆๆๆ
ส่งคุณวรทกับหนูปี่มาต้อนรับวันวาเลนไทน์ค่า

Love you!



นณกร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 14 ก.พ. 2558, 10:52:41 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 14 ก.พ. 2558, 11:04:11 น.

จำนวนการเข้าชม : 1276





<< ต่อหน้ามะพลับ ลับหลังตะโก (1/2)   
โอชิน 14 ก.พ. 2558, 11:52:45 น.
ตามมาเชียร์หนุ่มแก่อย่างคุณวรท แม๊ะ ! หนูปี่จะทันเกมคนหนุ่มเหลือน้อยรึเปล่าน่า ?


พันธุ์แตงกวา 14 ก.พ. 2558, 19:46:01 น.
ตายแล้วๆคุณเสือรุกหนักแบบนี้ จะรอดเงื้อมมือเสือมั้ยหนูปี่ อ่านไปยิ้มไป เกิดจะจริงจังก็ปุบปับมัดมือเลยนะคุณพี่ ปี่เอ้ยปี่ อย่าลืมนัดพี่เอื้อนะ เดี๋ยวผีน้อยใจ น่าสงสารออก เดียวดายแรมร้างมานานปี หัวใจน้องเทให้พี่ผีคนเดียว


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account