ดวงใจพรต (ปรับปรุง)
พรต...ลูกชายป๊ะเพลิงแห่งหุบเขาพญา
จากคุกทมิฬมารับมรดกที่ได้มาโดยไม่คาดฝัน
แต่...ความโชคดีกลับมาพร้อมหายนะ และเธอที่น่าสงสัย
ความร้ายกาจที่ซ่อนอยู่จึงปรากฏออกมาอย่างไม่ปราณี
บัญชีนี้...ชีวิตต้องชดใช้ด้วยชีวิต หัวใจต้องชดใช้ด้วยหัวใจ
ดวงใจพรต จึงได้มาพร้อมหยาดน้ำตาและร่างกาย


Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอน 11

ตอน 11
แพทิเซียเปิดประตูลงจากรถไปแล้ว แต่ลีโอยังนั่งอยู่ที่เดิม สายตาเขามองตามน้องต่างแม่ที่เดินห่างไปเรื่อยๆ แต่เขามองก็เหมือนไม่ได้มอง เพราะสมองเขาไม่ได้รับรู้ เนื่องจากคิดคำนึงถึงคำพูดเมื่อกี้ คิดไม่ถึงว่าเรื่องมันจะกลับตาลปัตรได้ขนาดนี้ ถ้าเขารู้ก่อนหน้านี้สักนิด... ประโยคนี้ดังค้างอยู่ในหัว เมื่อเขาถามตัวเองว่าถ้ารู้ล่วงหน้า เขายังจะวางแผนให้น้องต่างแม่ได้ลงเอยกับอดัมเพื่อคว้าโครงการน้ำมันนั้นมาอยู่ในมือ และเพื่อไม่ให้น้องเลี้ยงที่เขาแอบรักอยู่ไปเป็นของคนอื่นหรือไม่

คำตอบที่ได้ยังก้ำกึ่ง เพราะใจส่วนหนึ่งก็จะเสียดายที่พลาดโอกาสจะทำให้อัลโตนิโอยิ่งใหญ่ อีกใจหนึ่งก็ไม่อาจเสียน้องร่วมโลกให้คนอื่น แต่เรื่องหัวใจเขาอาจจะวางแผนใหม่เพื่อเอาตัวเธอคืนมา แต่ความยิ่งใหญ่ของอัลโตนิโอนั้น ถือว่าเขาทำพลาดที่สุดในชีวิต

ลีโอรู้สึกหมดแรงไปกับความคิดนี้ เพราะตอนนี้หนทางที่เขาจะพาอัลโตนิโอไปสู่จุดสูงสุดนั้นเต็มไปด้วยขวากหนาม ทั้งอีชากรุ๊ป และไอ้ประธานคนใหม่ของม็อตต้าที่ประกาศกร้าวว่าจะผงาดขึ้นมาคว้าโครงการน้ำมันนี้ไว้แต่เพียงผู้เดียว แล้วเขาจะทำยังไงต่อไป ... เขาใช้ความคิดอย่างหนัก แล้วเปิดประตูลงจากรถเดินตรงไปที่คฤหาสน์ แต่เสียงรถที่แว่วมาให้ได้ยิน ทำให้เขาหันไปมองที่ประตูรั้ว ประตูที่ค่อยๆเลื่อนออกเผยให้เห็นน้องเลี้ยงลงมาจากรถ ซึ่งเขาจำได้ว่าเป็นรถของเธอเอง แต่ทำไมคนขับกลับไม่ใช่เธอ

คำถามเกิดขึ้นมาแต่ยังไม่ทันได้คิดต่อก็มีคำตอบตอกย้ำให้เขาเจ็บมากขึ้น ลีโอกำมือเข้าหากันแน่นแล้วหมุนตัวเดินหนีภาพบาดตาเข้าคฤหาสน์ โดยไม่รู้ว่าภาพที่เห็นไม่ได้เป็นอย่างที่คิดเสมอไป เขาเดินมาหยุดยืนอยู่หน้าห้องทำงานของคนเป็นพ่อ แสงไฟที่ลอดผ่านประตูห้องออกมาบอกให้รู้ว่าท่านยังอยู่ข้างใน จึงลังเลว่าจะเข้าไปหาท่านหรือไม่ แต่ในที่สุดเขาก็เดินผ่านไปห้องนอนตัวเอง เพราะเวลานี้เขาไม่อาจสู้หน้าท่านได้จริงๆ
*******
สายลมยามเช้าหนาวกว่าทุกวัน แต่คนที่ควรจะหนาวเพราะเคยอยู่ในประเทศร้อนชื้นกลับไม่รู้สึกหนาว เพราะชีวิตที่อยู่ในหุบเขาก็มีอากาศหนาวให้ได้เจอเหมือนกัน ร่างสูงเดินลงบันไดจากชั้นสองมาที่ห้องโถงชั้นล่าง เท้าที่กำลังจะเลี้ยวไปที่ห้องครัว เปลี่ยนเป็นเดินออกไปที่ระเบียงห้องโถง เพราะเห็นร่างสูงใหญ่ของนายมาเฟียหัวใจหญิงยืนกอดอกอิงเสามองมา คล้ายมีเรื่องจะพูดด้วย

พรตเดินมานั่งที่เก้าอี้เหล็กดัด ทอดขาพาดเก้าอี้อีกตัวรับแสงแดดอ่อนๆที่ส่องมาให้คลายหนาว เปิดยิ้มเล็กน้อยให้คนที่ยืนมองอยู่ก่อนจะชงกาแฟหอมๆให้ตัวเอง แล้วยกขึ้นดื่ม ทุกการกระทำอยู่ในสายตาของนายมาเฟีย พอทายาทเพลิงพญาวางแก้วกาแฟลงบนโต๊ะเสียงเขาก็ดังขึ้น

“เรื่องที่คุณเปิดประเด็นขึ้นมาในห้องประชุม มีคนเคลื่อนไหวให้เราเห็นแล้ว”

“ใคร”

“หนึ่งในผู้บริหาร คนที่คุณสั่งให้ไปหาข้อมูลโครงการน้ำมันมา แถมยังพูดเหมือนมีนัยยะกับนายอดัมด้วยนั้นไง”
คิ้วเข้มของพรตเลิกขึ้นเพราะครุ่นคิด เพียงอึดใจก็พยักหน้าให้รู้ว่าจำได้ เสียงไมค์ก็ดังต่อ “เขาดอดไปพบคนของคู่แข่งทั้งอัลโตนิโอและอีชากรุ๊ป ไม่ใช่พวกลิ่วล้อทั่วไป แต่เป็นระดับบิ๊กทีเดียว แต่จะคุยว่าอะไรยังไงนั้น ยังไม่รู้ แต่ก็เดาไม่ยาก และถ้าลองไปเสี่ยงโชครับรองว่าได้รางวัลติดมือมาแน่นอน”

“ความในไม่ควรเอาออกความนอกไม่ควรเอาเข้ามา แต่เขาเอาออกไป คนประเภทนี้น่าเชือดจริงๆ”

“แล้วจะให้จัดการยังไง ถ้าอยากให้ง่าย รวดเร็ว อย่างพวกมาเฟียหรือคุกทมิฬที่คุณดูแลอยู่ทำกัน ก็เอาตัวมาคุย ถามไปตอบได้ ก็จบ แต่ถ้าถามไปตอบไม่ได้ ลูกเล่นเยอะ ก็พร้อมจะเล่นให้ รับรองว่าคายออกมาหมดแน่นอน หรือจะเชือดไก่ให้ลิงดู คนที่เหลือจะได้หลาบจำไม่กล้าทำอีกก็ได้นะ”

พรตนิ่งคิดทั้งที่อยากจะทำอย่างที่นายมาเฟียบอก แต่ความจริงที่เป็นอยู่คือที่นี่ไม่ใช่หุบเขาพญา จะทำอะไรก็ต้องระวังและรอบคอบให้มากด้วย จึงบอกว่า

“อย่าเพิ่งแหวกหญ้าให้งูตื่น เลี้ยงไว้เถอะ เพราะเขาจะเป็นสะพานให้เราเดินไปดูคู่แข่งด้วย ที่สำคัญจับตาดูไว้อย่าให้พลาด บางทีไอ้นกสองหัวอย่างนั้นอาจจะไม่ได้คุยแค่สองคนนี้ก็ได้”

ไมค์พยักหน้าอย่างเห็นด้วย แล้วเดินมานั่งที่เก้าอี้ วางแขนบนโต๊ะขณะสายตาจ้องหน้าคม เหมือนจะค้นหาบางอย่างที่สงสัยอยู่ แต่ดูจะไม่ได้คำตอบเพราะนิ่งสนิทจึงถามออกมา “เมื่อคืนไปดักรอสาว และตามติดไปอย่างนั้น คุณคิดจะทำอะไร”

“ขอคบ”

“ด้วยความจริงใจหรือมีอะไรแอบแฝง”

“คิดว่าไงละ” พรตย้อนถาม ไมค์ก็ตอบออกมาทันทีไม่มีเก๊กมาดมาเฟีย มีแต่ฮอร์โมนหญิงล้วนว่า

“หลอก แต่ถ้าไม่มีเรื่องน้ำมัน เพื่อนคุณ และม็อตต้าเข้ามาเกี่ยวข้อง ก็คิดว่าคุณน่าจะจริงจัง เพราะเธอเป็นผู้หญิงที่ เหมาะสมกับคุณมาก แต่เมื่อมีเรื่องพวกนี้มาเกี่ยวกันก็คิดได้แค่นั้น”

“พูดได้ดี แต่อย่างที่เคยบอกไว้ว่าเธอคือตัวชี้เป้า ถึงจะฟันธงเรื่องใดๆลงไปไม่ได้ แต่สิ่งที่ได้แน่นอนคือประโยชน์ ซึ่งวินๆๆทุกฝ่าย”

“แต่ไม่ใช่เธอ และคุณก็เห็นแก่ตัวที่สุด”

“ทำไมไม่คิดว่าบางทีฉันจะรักจริงหวังแต่งขึ้นมาบ้างเหรอ”

“ถ้าคนไม่เจ้าชู้ เนื้อคู่ไม่ได้เยอะ ก็อยากจะเชื่อหรอกนะ แต่นี่...” ไมค์พูดค้างไว้แล้วยักไหล่ประมาณว่าเชื่อไม่ได้ ส่วนพรตจ้องหน้านายมาเฟียอย่างสงสัย เพราะคำพูดเมื่อกี้นั้นเป็นคำพูดที่เขาพูดเล่นกับบรรดาผู้คุมกฎในคุกทมิฬเท่านั้น
“แอบไปเคาะประตูคุกฉันมาเหรอ ถึงได้รู้เรื่องดี ใครปากโป้งละ ลุงปืน ลุงดาบ ลุงขวานหรือว่า...”

“ป๊ะเพลิง”

“เล่นของสูงนะนั่น” พรตว่าอย่างขำๆ แต่สีหน้าเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย “มีอะไรหรือเปล่าถึงโทรไปถึงที่โน้น”

“เปล่า แค่โทรไปรายงานตามปกติ”

“รายงานเหรอ หมายความว่าไง อย่าบอกนะว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา ทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้น นอกจากพัชรที่รู้แล้วยังมีป๊ะฉันด้วย”

“ใช่”

“ให้ตาย เก็บได้เนียนมาก แล้วรายงานมาเฟียใหญ่ด้วยหรือเปล่า”

“จะเหลือเหรอ”

พรตได้แต่เข่นเขี้ยวกระเทย แล้วอยากจะยันสักที แต่ก็ได้แค่คิด เพราะเข้าใจดีว่าที่ทำนั้นเพราะเป็นห่วง และทั้งหมดก็ควรจะรู้ ถ้ามีความผิดพลาดเกิดขึ้นจะได้ช่วยกันทัน แล้วคิดไปถึงเรื่องที่ยังติดใจสงสัยอยู่เมื่อคืน ทำไมเธอถึงได้ยอมรับคำขอคบของเขาได้ง่ายดาย ทั้งที่ตอนแรกเหมือนจะปฏิเสธ หรือเธอคิดว่าเขามีประโยชน์ไม่ต่างจากที่เขาคิดว่าเธอมี จึงเต็มใจให้เขาหลอก

มุมปากของพรตยกขึ้นหยัน แต่สายตานิ่งลึกบอกความร้าย ให้ไมค์ที่มองอยู่สงสัยว่าเขาจะทำอะไรอีก
**********
อากาศหนาวเริ่มจะอุ่นขึ้น เมื่อดวงอาทิตย์ส่องแสงแรงกล้าออกมา แต่สายลมก็ยังพัดพาความหนาวมาเป็นระยะ เสื้อขนสัตว์แสนอุ่นจึงคลุมลงบนไหล่ของคนที่แสนจะห่วงใย พร้อมอ้อมกอดที่กอดกระชับและปลายจมูกที่กดลงบนแก้มนุ่มนิ่ม พลางบอกว่า

“อากาศหนาวแล้วค่ะยายแม่”

นางเบญจาที่กำลังตักข้าวต้มไว้ให้หลานรัก รีบวางถ้วยไว้บนโต๊ะ แล้วบอกว่า “เพิ่งจะเริ่มเข้าฤดู ยายยังไม่หนาวหรอกเพราะชินแล้ว แล้วนี่ไปเปลืองเงินมาอีกใช่ไหม” นางถามเมื่อเห็นว่าเสื้อที่คลุมไหล่อยู่นั้นยังใหม่เอี่ยม

“นิดหน่อยเองค่ะ แค่หมื่นต้นๆ” พรีมาดาบอกหน้าตายแล้วถอยมานั่งบนเก้าอี้ แต่ยังไม่ทันได้ตักข้าวต้มกินก็ต้องยิ้มขำเมื่อเสียงยายแม่ดังออกมาอย่างที่คิดไว้

“ตายแล้ว เสื้ออะไรกันนี่ ถึงได้แพงขนาดนี้ เอาไปคืนเขาเถอะลูก ยายไม่ใส่หรอก”

“ซื้อแล้วไม่รับคืนค่ะ และอยู่ในช่วงลดราคาไม่แพงอย่างที่บอกหรอกค่ะ อีกอย่างใส่แล้วอุ่นดีด้วย ยายแม่จะได้ตัวอุ่นๆไงค่ะ”

“เฮ้อ สมัยนี้ทำไมของถึงได้แพงกันนักนะ อะไรๆก็รวดเร็วไปหมด แม้แต่เวลายังรู้สึกว่าเร็วเลย” เสียงตอนท้ายทอดลงราวกับรำลึกถึงบางสิ่ง ซึ่งพรีมาดาก็รู้ดีว่าสิ่งนั้นคืออะไร จึงวางช้อนข้าวต้มแล้วยื่นมือไปจับมือที่เลี้ยงดูเธอมา

“ขอเวลาหนูอีกนิดนะคะ แล้วเราจะกลับบ้านเกิดด้วยกัน หนูจะพูดกับแม่เองค่ะ”

“ไม่มีประโยชน์หรอกลูก” นางเบญจาบอกพร้อมกับเดินมาหย่อนตัวนั่งที่เก้าอี้ข้างๆ วางเสื้อหนาวไว้บนตัก “ยายรู้ว่าแม่เราเขาไม่ยอม เขาทิ้งความลำบากมาหาความสบายแล้ว จะให้เขากลับไปอีกนั่นไม่มีทาง และยายก็ไม่อาจจะทิ้งลูกไปได้เช่นกัน”

“แล้วถ้าถึงเวลาที่จะต้องเลือกละคะ ยายแม่จะเลือกไหม”

นางเบญจามองหน้าหลานรัก ความสงสัยนั้นฉายชัดในแววตา “หมายความว่าไง หรือหนูจะคิดทำอะไร”

“ไม่มีหรอกค่ะ ถามเผื่อไว้เท่านั้นเอง” พรีมมาดาบอกเพื่อให้ยายแม่สบายใจ แต่นางเบญจารู้จักหลาน รู้จักลูก ที่เลี้ยงมากับมือดีว่าไม่ใช่แค่ที่บอกแน่นอน จึงพลิกฝ่ามือขึ้นมาลูบมือนุ่มพร้อมกับบอกว่า

“ยายรู้ว่าหนูน้อยใจที่แม่เขาไม่รัก แต่หนูก็ตัดแม่ตัดลูกกับเขาไม่ได้เหมือนกัน จึงได้ทนอยู่ที่นี่เหมือนที่ยายทน ซึ่งก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรมากมายไม่ใช่เหรอ”

“แล้วทำไมแม่ถึงไม่ยอมทนเหมือนที่เราทนเพื่อแม่บ้างคะ” นางเบญจาอึ้งไป และพรีมาดาก็รู้ว่าทำไม เสียงที่พูดออกมาจึงขมขื่นเล็กน้อย “หรือจริงๆแล้วเขาไม่ได้รักเราเหมือนที่เรารักเขาค่ะ เขาไม่รักหนูที่เป็นลูกก็ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แต่เขาควรจะรักยายที่เป็นแม่ ควรจะทำทุกอย่างให้ยายมีความสุข ไม่ใช่ให้ตัวเองมีความสุข”

“พรีม” เสียงนางเบญจาระโหยลงเพราะสงสารหลาน แต่นางไม่อาจจะตอกย้ำให้บอบช้ำมากไปกว่านี้ ได้แต่บอกว่า “ยังไงเขาก็เป็นแม่ ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรง ก็อย่าคิดอะไรให้เป็นบาปกับตัวเองนะลูก อีกอย่างยายอยู่ที่นี่มาเกือบยี่สิบปี ไม่ใช่บ้านก็เหมือนบ้านแล้ว”

“แต่หนูไม่เคยคิดว่าที่นี่คือบ้านเลย แต่ช่างมันเถอะค่ะ ที่ยายแม่พูดมาก็ถูกยังไงสายเลือดก็ตัดกันไม่ขาด แต่ถ้าวันหนึ่งหนูได้กลับไปยังบ้านเกิดจริงๆ ยายแม่จะไปกับหนูไหมคะ”

นางเบญจามองหน้าหลานในอกอย่างค้นคว้า ว่าภายใต้คำพูดที่พูดออกมานั้นมีอะไรซ้อนเร้นอยู่หรือไม่ “มีอะไรหรือเปล่า ถึงได้ถามยายอย่างนี้”

“ตอนนี้ไม่มีค่ะ แต่อนาคตที่ยังไม่รู้ บางทีอาจจะมีก็ได้”
“งั้นยายค่อยตอบหนูตอนนั้นดีไหม”

“ค่ะ และไม่ว่าคำตอบของยายแม่จะเป็นยังไง หนูจะอยู่กับยายแม่เสมอ”

นางเบญจายิ้มอย่างภูมิใจ ที่หลานในอกรักและห่วงใยนางถึงเพียงนี้ แต่ลึกลงไปในใจนางก็อดกังวลไม่ได้ว่าถ้าเรื่องที่ประวิงไว้เกิดขึ้นมาจริงๆ จะตัดสินใจยังไงเพื่อให้ทุกอย่างอยู่ตรงกลางพอดี หรือจะต้องมีใครคนใดคนหนึ่งเสียสละ จากนั้นไม่นานพรีมาดาก็ออกไปทำงาน พร้อมความกังวลใจบางอย่าง
*********
ร่างอรชรเดินไปบนกระเบื้องหินอ่อนที่ปูนเป็นทางให้เดินตรงไปยังโรงรถ เพื่อจะเลือกรถส่วนกลางขับไปทำงาน เพราะ... คำนี้ค้างอยู่ในหัวแล้วภาพเหตุการณ์ที่บอกเล่าสาเหตุก็เกิดขึ้นมา เมื่อคืนนี้ที่คนที่เพิ่งขอคบกับเธอมาส่ง คำพูดและท่าทางของเขานั้นยังตกเป็นตะกอนให้เธอขุ่นเคืองอยู่ เพราะไม่ยอมคืนรถให้เธอดังที่บอกไว้ และพอเธอไล่ให้กลับก็ฉวยโอกาสจับมือเธอไว้และบอกว่า

‘นิสัยไม่น่ารักนะทูนหัว พอถึงที่แล้วถีบหัวส่งแบบนี้นะ’

‘แล้วจะเอายังไง หรือจะให้ฉันขับรถไปส่งคุณ’

‘ถ้าต้องเทียวรับเทียวส่งกันขนาดนั้น ก็อยู่บ้านเดียวกันดีกว่า แต่ว่าฉันเป็นสุภาพบุรุษพอ เอาเป็นว่า รถคันนี้ฉันจะเก็บไว้มารับไปส่งมาส่งไปรับเธอก็แล้วกัน จะไปไหนเมื่อไร เรียกได้ยี่สิบสี่ชั่วโมง’

‘ฉันไม่รบกวน’ พูดจบเธอก็ดึงมือออก แล้วหมุนตัวเดินไปที่ประตูรั้วแต่ไปได้ไม่กี่ก้าวก็ต้องหยุด เมื่อร่างสูงมาดักหน้าไว้ และจุ๊บหน้าผากเธออย่างรวดเร็ว

‘หลับฝันดีนะ’ พูดจบก็เดินไปขึ้นรถขับออกไป ขณะที่เธอยืนอึ้งและรู้สึกได้ถึงรอยอุ่นที่แผ่นซ่านไปทั้งหน้า แล้วหันไปมองท้ายรถที่ไกลออกไปจนหายไปจากสายตา

“ใจลอยไปไหนหรือกำลังคิดถึงฉันอยู่”

เสียงที่ดังขึ้นข้างหลังทำให้พรีมาดาหมุนตัวหันไปมองอย่างรวดเร็ว และรีบเบี่ยงตัวออกห่างเพราะแก้มเธอเกือบจะชนกับปลายจมูกเขา แต่อีกฝ่ายกลับแกล้งยื่นหน้าไล่ติด ดวงตากลมโตวาวขึ้นอย่างไม่พอใจแต่อย่าหวังว่าจะหยุดเขาได้ กระทั่งเห็นแก้มนวลแดงระเรื่อขึ้นมานั่นแหละ จึงหยุดพร้อมกับบอกว่า

“ฉันมารับ”

“ฉันไปเองได้”
“แต่ฉันไม่ให้ไป หรือถ้าจะไปก็ต้องไปกับฉันเท่านั้น” ว่าแล้วเขาก็หมุนตัวไปมองคฤหาสน์อัลโตนิโอหลังใหญ่ สถาปัตย์ความงดงามที่สร้างขึ้นสวยสมกับความร่ำรวย ร่มรื่นด้วยพรรณไม้ต่างๆ ที่ปลูกและตกแต่งไว้รอบอาณาบริเวณ ซึ่งกว้างขวางใหญ่โตสุดลูกตา “เธออยู่บนตึกนั้นหรือเปล่า” เขาถามขณะสายตายังชื่นชมคฤหาสน์หลังงามอยู่

“ถ้ารู้ว่าฉันไม่ใช่อัลโตนิโอ ก็น่าจะรู้ว่าฉันไม่ใช่เจ้าหญิง จะได้อยู่บนคฤหาสน์สุดหรูนั้น”

“ประชดแบบนี้แสดงว่าไม่ได้อยู่ แล้วเธออยู่ที่ไหนละ” พรตปรายตามามองเพียงเล็กน้อย ก็ตวัดสายตาไปมองรอบบริเวณ และหยุดนิ่งที่บ้านหลังเล็กข้างคฤหาสน์ เรียบหรูดูดีไม่เลวเช่นกัน พรีมาดามองตามไปแต่ไม่ตอบสิ่งที่เขาถามกลับถามว่า

“คุณเข้ามาได้ยังไง”

“ฉันขับรถใครอยู่ละ”

คำย้อนนั้นทำให้เธอมองหน้าคมอย่างเคืองๆ เพราะเหมือนเธอเป็นคนโง่ทั้งๆที่เป็นเขาที่ไม่ยอมคืนรถให้เธอเสียที พรตปรายตามามองหน้างอง้ำอย่างขำๆ แล้วยื่นมือมาจับข้อมือนุ่ม ดึงให้เดินไปด้วยกัน พรีมาดารีบดึงข้อมือไว้เพราะเส้นทางที่เขากำลังเดินไปนั้นตรงไปยังคฤหาสน์

“คุณจะไปไหน”

“ไปพบผู้ใหญ่ของเธอไง เรื่องที่เราคบกัน ควรจะบอกให้ผู้ใหญ่รับทราบไว้”

“ไม่จำเป็น”

“ทำไม” เขาถามพลางจ้องหน้าขอคำตอบ แต่พรีมาดายังนิ่ง เสียงหยันๆจึงดังออกมา “หรือคิดว่าจะคบเล่นๆ จึงต้องหลบๆไม่จำเป็นที่ต้องให้ใครรู้ ทำกับคนอื่นได้นะทูนหัว แต่อย่าทำกับฉัน เพราะถ้าฉันจริงจัง ทุกอย่างก็ต้องถึงที่สุด”

“จริงจัง หมายความว่าคุณจริงใจงั้นเหรอ”

“คำพูดฉันไม่หนักแน่นพอหรือไง”

พรีมาดาสบตาคมที่ยืนยันในสิ่งที่พูดพลางคิดถึงสิ่งที่เธอได้ตัดสินใจทำลงไป ก็เห็นว่าเธอควรจะเดินหน้าต่อไปแม้จะไม่รู้ว่าผลลัพธ์ที่ออกมาจะเป็นการหนีเสือปะจระเข้หรือไม่ แต่ก็ยังดีกว่าหันหลังกลับไปยืนโดดเดี่ยวอยู่ในดงหนาม ที่หันซ้ายก็ทิ่มหันขวาก็แทงให้เธอเจ็บปวด การมีเขาอยู่อย่างน้อยก็มีมือคอยปัดขวากหนามให้เธอ ท่าทีแข็งขืนของเธอจึงอ่อนลง แต่พรตยังไม่ขยับ เขาหรี่ตามองใบหน้างามที่เฉยชา แล้วบอกว่า

“ก่อนที่เราจะไปหาผู้ใหญ่ เราน่าจะใกล้ชิดกันกว่านี้นะ” หญิงสาวทำหน้างงๆ แล้วเปิดตากว้างเมื่อเขายกมือขึ้นจับหน้าเธอแล้วก้มหน้าลงมาจูบ ความตกใจทำให้เธอเผลอเผยอริมฝีปากให้เขาได้ลุกล้ำเข้าไปลึกซึ้ง แต่เพียงเดี๋ยวเดียวก็ถอนริมฝีปากออกมาบอกว่า “จูบให้มันหวานๆหน่อยซิทูนหัว นี่อะไรแข็งยังกับท่อนไม้”

“เรื่องของฉัน”

“ใครบอก เรื่องขอเราต่างหาก คบกันแล้วก็ต้องเป็นเรา ไม่ใช่ฉันกับเธอ เห็นทีฉันจะต้องจูบปากกันบ่อยๆ จะได้เป็นเราเสียที”

ใบหน้างามเริ่มจะหวั่นแล้วยกมือขึ้นปัดมือเขาออกอย่างโกรธๆ แต่แก้มแดงเริ่มจะถูกใจคนจูบ “อย่างนี้ค่อยสมกับคำว่าคบกันหน่อย ไม่ใช่เย็นชายังกับคนไม่รู้จักกัน”

“ปล่อย” เธอว่าแล้วจะถอยออกห่าง แต่พรตกลับลดมือลงมากอดตัวเธอไว้

“พูดให้มันเพราะๆซิทูนหัว หรือจะต้องจูบใหม่ จะได้หวานทั้งคำพูดและรสจูบ”

ว่าแล้วก็ก้มหน้าลงมา แต่ต้องหยุดเมื่อเธอยืนนิ่งเหมือนหินผา ไม่มีทีท่าจะต่อต้านหรือเอียงอาย จึงคิดถึงสิ่งที่ได้รู้มายิ้มหยันที่มุมปากเล็กน้อยก็บอกว่า

“อย่าเย็นชานักซิ ไม่มีอะไรน่ากลัวสักหน่อย ฉันบอกแล้วว่าให้ปล่อยตัวสบายๆเวลาอยู่ด้วยกัน ทำไมไม่ทำ จะตั้งป้อมขึ้นมาทำไม”

“เพราะฉันเจ็บแล้วจำไง”

“แต่ไม่ใช่ทุกคนจะทำให้เธอเจ็บ”

พรีมาดายิ้มหยันขณะแววตาไร้ซึ่งความเชื่อถือ คนที่เจอกันไม่กี่ครั้ง และมีเบื้องหลังที่น่าสงสัยจะให้เชื่อใจกันได้ยังไงว่าจะบริสุทธิ์ใจต่อกัน “คุณจะให้ฉันเชื่องั้นเหรอ”

“เวลาคือคำตอบ”

“แต่ฉันไม่อาจรอให้เวลามาทำร้ายได้อีก”

“แล้วตกลงคบกับฉันทำไม”

“แล้วคุณละขอคบกับฉันทำไม” เธอถามกลับมาอย่างรวดเร็ว

“ผลประโยชน์”
หัวใจของพรีมาดาเจ็บแปลบ แม้จะคิดไว้แล้วก็ยังอดรู้สึกไม่ได้ ใบหน้างามเชิดขึ้นอย่างหยามหยัน แต่ต้องงุนงงเมื่อเขาบอกว่า

“แค่ส่วนหนึ่ง อีกส่วนถ้าให้ตอบตอนนี้ก็ขอบอกว่า มันเริ่มจากที่ถูกใจ คืนที่เราเจอกันที่ทะเลสาบนั่นไง ต่อมาก็ชอบ แต่จะรักหรือเปล่าก็ขอตอบคำเดิม เวลาคงตอบฉันได้ ขึ้นอยู่กับว่าเธอจะน่ารักพอที่จะให้ฉันรักหรือเปล่า แต่ที่เป็นอยู่ตอนนี้ขอ บอกว่า ไม่น่ารักเลย”

แก้มนวลระเรื่อขึ้นมา เมื่อถูกเขาว่าเอาซึ่งๆหน้า แต่หัวใจอุ่นซ่านอย่างแปลกๆ และแสดงออกมาทางดวงตาที่มองค้อนเขาพร้อมกับต่อว่าออกมา “คิดจะตบหัวแล้วลูบหลังเหรอ”

“เปลี่ยนเป็นตบก้นแล้วจูบอกแทนได้ไหม”

“คนบ้า” เธอว่าอย่างเขินๆ แล้วดันตัวออกจากอ้อมแขนเหมือนผู้หญิงแสนงอน พรตจึงหัวเราะออกมาเบาๆ และกอดเธอแรงๆคล้ายจะหมั่นไส้

“ได้คำตอบแล้วคราวนี้ไปหาผู้ใหญ่ของเธอได้หรือยัง”

พรตถามแล้วรอดูท่าทีของเธอ ซึ่งเพียงอึดใจ เธอก็พาเขาไป แต่ไม่ใช่ไปที่คฤหาสน์กลับเป็นบ้านหลังเล็กข้างคฤหาสน์ ทั้งคู่เดินไปด้วยกัน โดยไม่รู้ว่ามีสายตาของหญิงสาวอีกคนมองอยู่และไม่ได้แค่มอง ภาพที่ทั้งคู่หยอกเย้ากันนั้นได้ถูกถ่ายไว้ด้วย
******
ก๊อก ก๊อก ก๊อก เสียงเคาะประตูห้องทำงานของประมุขอัลโตนิโอดังขึ้น แล้วประตูก็เปิดออกด้วยฝีมือของคนเคาะ ที่ไม่อาจรอให้ได้ยินเสียงอนุญาตแล้วค่อยเข้ามา เพราะสิ่งที่อัดแน่นอยู่ในใจนั้นไม่อาจจะรอได้อีกแล้ว ร่างสูงเดินตรงไปหาคนเป็นพ่อ ซึ่งกำลังยืนทอดสายตามองเมฆที่ลอยอยู่บนฟ้า

ลีโอเอาสองมือซุกไว้ในกระเป๋า สายตามองผ่านกระจกไปอย่างเลื่อนลอย แต่สมองเขาไม่อาจทำได้อย่างสายตาเพราะความผิดพลาดที่เกิดขึ้น หลังจากครุ่นคิดมาทั้งคืนเขาก็ตัดสินใจเดินเข้ามาหาคนเป็นพ่อ แต่ยังไม่ทันได้เปิดปากพูดอะไร เสียงราบเรียบของพ่อก็ดังขึ้น

“ฉันพลาด” คิ้วเข้มของลีโอเลิกคิ้วสูงด้วยความแปลกใจและสงสัยไปพร้อมกันว่าเรื่องอะไร ริคาร์โดดึงสายตากลับมาสบตาลูกชายที่มองเขาอยู่ “แกสงสัยละสิว่าเรื่องอะไร”

“ครับ”

ริคาร์โดยิ้มหยันให้ตัวเอง ก่อนจะบอกว่า “ฉันส่งคนไปจัดการไอ้ประธานคนใหม่ของม็อตต้า แต่มันไม่ตายคนที่ตายคือคนที่ฉันส่งไปฆ่ามัน”

ความตกใจฉายขึ้นบนสีหน้าลีโอ ก่อนจะถามออกมา “เมื่อไรครับ”
“หลังจากการประกาศแต่งตั้ง พอฉันรู้ว่ามันเป็นใคร ฉันก็จ้างไอ้พวกนักฆ่าไปจัดการมันทันที แต่คนของฉันตายไปเมื่อคืนก่อน”

สมองของลีโอทำงานอย่างหนักเพราะไม่เคยระแคะระคายมาก่อน ท่าทีของคนเป็นพ่อที่ผ่านมาก็นิ่งเฉย รับรู้ รับฟัง และให้คำปรึกษาเขาเท่านั้น แล้วนี่อะไรกัน เกิดอะไรขึ้น ทำไม เขาพยายามโยงใยหลายเรื่องเข้ามา แต่ก็ยังสับสน “โดนฆ่าหรือครับ”

“ใช่ แต่ฉันไม่รู้ว่าใครฆ่า ที่สำคัญก่อนมันจะตาย มันโทรหาฉัน แล้วศพมันก็หายไป ถึงตอนนี้ฉันก็ยังไม่ได้ข่าว”

ความวัวไม่ทันหายความควายก็เข้ามาแทรกอีก ลีโอเกือบจะเข่าอ่อน เขาเอนตัวพิงกระจกให้ช่วยตั้งหลัก พลางสบตาคนเป็นพ่อ รับรู้ถึงความหนักใจของท่านว่ากังวลเรื่องใดอยู่ ถ้าเรื่องนี้หลุดออกไปหรือมีใครที่รู้เข้า ชื่อเสียงอันดีงามของอัลโตนิโอที่สั่งสมมาตั้งแต่บรรพบุรุษหลายชั่วอายุคน ต้องพังทลาย หมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างแน่นอน และคงถูกขุดคุ้ยจนไม่มีแผ่นดินจะอยู่ แม้แต่ชีวิตก็อาจจะไม่มีเหลือ

เพราะไอ้ประธานคนใหม่มันไม่ใช่หมาข้างถนน ที่จะแตะ จะชน จะตี หรือกระทืบยังไงก็ได้ แต่มันเป็นถึงหลานชีคแห่งทะเลทราย ความสัมพันธ์ของมันกับม็อตต้าก็แนบแน่น เรื่องที่จะจบแบบไม่กระทบใครหรือไม่มีใครเอาเรื่องเลยนั้น เป็นไปไม่ได้แน่นอน

“มันอาจจะตาย โดยที่ไม่ได้บอกอะไรใครเลยก็ได้นะครับ” เขาปลอบใจตัวเองและคนเป็นพ่อ

“ฉันก็ภาวนาของให้มันเป็นอย่างนั้น แต่ตราบใดที่ยังไม่รู้ มันก็เหมือนชนักที่ปักหลังฉันอยู่ นอนไม่หลับ ทำอะไรก็คอยกังวล ยิ่งการประมูลใกล้เข้ามา ก็ยิ่งเหมือนไฟสุมอยู่ในใจ ว่าจะถูกเผาทุกอย่างให้พังลงไปเมื่อไร”

“ผมจะช่วยพ่อเอง” ลีโอบอกทั้งที่ยังคิดไม่ออกว่าจะช่วยยังไง ริคาร์โดยกมือขึ้นตบบ่าลูกชายอย่างขอบใจ แต่ความหนักใจไม่ได้คลายลงเลย

“แกจะทำยังไง จะหาศพมันให้เจอเหรอ”

“คนตายไปแล้วเอามาก็ไม่มีประโยชน์ แต่คนที่ยังเป็นอยู่ ถ้าทำให้มันตายไป พ่อคิดว่าไง”

“ดาบสองคม” ริคาร์โดบอก แล้วหมุนตัวมาเผชิญหน้ากับลูกชาย “ถ้ามันยังไม่สงสัยอะไร หรือคิดว่าเป็นโจรทั่วไป ไปดักชิงวิ่งราวหรือปล้นมันก็จบ แต่ถ้ามันกำลังสงสัยอยู่ว่าไม่ใช่ แล้วเราไปแตะต้องเข้าอีกก็จะกลายเป็นเชือกให้มันสาวมามัดตัวเรา ซึ่งจะทำให้แสงสว่างที่เราเห็นอยู่บ้างมืดมิดไปทันที”

ลีโอถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แล้วเดินไปนั่งที่เก้าอี้ โน้มตัวมาข้างหน้าวางข้อศอกไว้บนหัวเข่า ดวงตามองพื้น สองมือประสานกับสมองคิดหาทางแก้ไข ทั้งเรื่องเก่าที่ยังค้างอยู่ในใจและเรื่องใหม่ แต่คิดไปทางไหนก็ยังมืดมน ส่วนนายริคาร์โดก็หันไปมองนอกกระจก ปล่อยความคิดให้ล่องลอยไปเรื่อยๆ

“ไม่ใช่แค่พ่อหรอกครับที่พลาด ผมเองก็ไม่ต่างกัน”

เสียงที่พูดขึ้นคล้ายจะสารภาพอะไรบางอย่างทำให้เขาหันตัวมามองลูกชาย ท่านั่งที่ราวกับมีหินทับอยู่ในใจนั้น บอกให้เขายืดตัวขึ้นเตรียมรับฟัง ลีโอเงยหน้าขึ้นสบตาคนเป็นพ่อนิ่งๆอยู่หลายอึดใจ กว่าจะมีเสียงพูดออกมา

“พ่อเคยเจอไอ้ประธานคนใหม่ไหมครับ” ไม่มีเสียงตอบจากพ่อ ลีโอก็สรุปว่ายังไม่เจอ “ผมเจอมันมาแล้ว ท่าทางของมันเหมือนไอ้กุ๊ยข้างถนนคนหนึ่ง ใส่เสื้อผ้าปอนๆ ไม่ได้ดูดีมีสง่าราศีอะไรเลย แต่แววตามันบอกผมว่าลึกยิ่งกว่ามหาสมุทร ร้ายยิ่งกว่าเสือ แต่นั้นไม่สำคัญเท่ากับสิ่งที่ผมได้ทำบางสิ่งที่ผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่ พ่อเคยสงสัยไหมครับว่าทำไมอดัมถึงหมั้นกับแพทิเซียแทนที่จะเป็นพรีมาดา คนรักที่รักกันมาเป็นปี”

“เคยคิด แต่ไม่ติดใจ เพราะการผิดฝาผิดตัวครั้งนี้มันน่ายินดีมากกว่าที่จะมาคิดหาเหตุผลว่าทำไม”

“เพราะผมเองครับ”

แววตาของริคาร์โดไหวอย่างประหลาดใจ ก่อนจะถามออกมา “หมายความว่าไง แกทำอะไรหรือว่า...”

“ใช่ครับ” ลีโอตอกย้ำความคิดของคนเป็นพ่อ ที่เขาพอจะออกจากแววตา “ผมรู้ว่าแพทแอบรักอดัมอยู่ วันที่พ่อต้องไปประชุมต่างรัฐ ผมก็เลยจัดฉากทุกอย่างขึ้นมา ส่งพรีมาดาให้ไปประชุมอีกทีหนึ่ง แล้วจัดงานปาร์ตี้เล็กขึ้นที่นี่ เชิญอดัมให้มาร่วมด้วย ใจจริงเขาคงไม่อยากมาแต่พี่ชายของคนรักเชิญทั้งที แม้จะไม่ใช่พี่ชายแท้ๆ ก็ต้องมา หลังจากนั้นผมก็มอมเหล้าเขาและเปิดโอกาสให้แพทได้อยู่กับเขา กระทั่งความสัมพันธ์ของทั้งคู่เกิดขึ้นมา”

เขาบอกพลางคิดถึงภาพที่เขาแสร้งเป็นมาเจอตอนที่ทั้งคู่ นอนก่ายกอดกันในห้องกลางสวน ตอนนั้นอดัมหน้าซีด รีบใส่เสื้อผ้า แพทิเซียก็ไม่ต่างกัน และหลบตาเขาด้วยความละอาย อดัมนั้นขอโทษเขามากมาย แต่ไม่อาจจะทำให้เขามองข้ามไปได้ และสุดท้ายก็ต้องยอมตามแผนที่เขาวางไว้

“แล้วแกทำยังไง อดัมถึงได้ยอมหมั้น”

“ผลประโยชน์ ความเห็นแก่ตัว และความไม่มั่นคงในใจเขาไงครับ พ่อก็รู้ว่าอดัมเป็นได้แค่เงาของอเล็กซ์เท่านั้น เขาไม่ได้เก่งในเรื่องธุรกิจ ไม่ได้เป็นเครื่องจักรที่สำคัญในม็อตต้า เป็นได้แต่ฟั่นเฟืองเล็กๆเท่านั้น แต่โชคดีที่เกิดมาในตระกูลดังที่ร่ำรวย อำนาจบารมีจึงพอมีอยู่บ้าง เมื่อถูกชี้นำให้เห็นหนทางที่จะทำให้เขายิ่งใหญ่ขึ้นมา แม้จะลังเลในตอนแรก สุดท้ายก็ต้องยอม เพราะการเป็นคู่หมั้นกับแพทิเซียที่เป็นลูกสาวของตระกูลอัลโตนิโอที่ยิ่งใหญ่ เพียบพร้อมไปทุกสิ่งทุกอย่าง ย่อมดีกว่าเป็นคู่รักกับพรีมาดาที่เป็นแค่ลูกเลี้ยงในตระกูล ที่ไม่มีอะไรเลย จริงไหมครับ”
“แล้วยังมีอะไรอีก”

ลีโอลุกขึ้นมายืนหน้าคนเป็นพ่อ แววตานั้นบอกความเสียใจ “นั้นคือจุดเริ่มต้นที่ผมทำผิด คิดว่ามันเป็นหนทางที่ดีที่สุดแล้ว เพราะความสัมพันธ์ของสองตระกูลที่แนบแน่นขึ้น จะทำให้เราได้ครอบครองโครงการน้ำมันนั้นแน่นอน”

“แต่จุดพลิกผันมันมาเกิดขึ้น เมื่ออเล็กซ์จากไปซินะ”

ลีโอนิ่งอย่างยอมรับ และสบตาคนเป็นพ่ออย่างไม่แน่ใจอะไรบางอย่าง ก่อนจะถามออกมา “พ่อเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้หรือเปล่าครับ”

“ถึงส่วนลึกฉันจะคิดอย่างนั้นเพราะอยากครอบครองโครงการนี้เพียงเจ้าเดียว แต่เรื่องนี้ฉันไม่เกี่ยว แต่แทนที่เขาจากไปแล้วโชคจะเข้าข้างเรากลับเล่นตลกให้เราหัวเราะไม่ออก”

“ครับ ตลกจนผมอยากจะร้องไห้”

คำพูดของลูกชายนั้นทำให้ลมหายใจของริคาร์โดหายไปหลายวินาที ก่อนจะกลับมาเป็นปกติ เพราะรู้ดีว่ายังมีเรื่องที่เขาคาดไม่ถึงที่จะต้องรู้อีก และยังมีสิ่งที่เขาสงสัย “แกทำเรื่องนี้คนเดียวหรือมีใครร่วมมือด้วย”
********

ขอบคุณที่ติดตามผลงานค่ะ



pream
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 ก.พ. 2558, 11:55:02 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 16 ก.พ. 2558, 11:55:02 น.

จำนวนการเข้าชม : 3558





<< ตอน 10   
แว่นใส 16 ก.พ. 2558, 13:09:27 น.
แม่เลี้ยงหรือแม่นางเอกไงร่วมมือ


Zephyr 18 ก.พ. 2558, 22:33:03 น.
ชักสงสัยว่า... อเล็กซ์ตายจริงมั้ย
จัดฉากตัวเองเพื่ออะไรรึป่าวน้า


เคสิยาห์ 9 มี.ค. 2558, 18:32:05 น.
สงสัยเหมือนข้างบนค่ะ


bodygirl 15 ก.ย. 2558, 12:04:38 น.
คุณ Pream ค่ะ หนังสือยังพอมีเหลือไม๊ค่ะ ตกข่าวค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account