ซีรีย์ บุปผาสันนิวาส +*+พิสูจน์รักทานตะวัน+*+

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ 6 : พรสวรรค์หรือคำสาป



17 ปีก่อน ณ บ้านพักตากอากาศหลังใหญ่ในจังหวัดนครราชสีมา

เด็กชายตะวันวัย 14 กำลังสนุกสนานอยู่กับการควบคุมเครื่องบินบังคับอยู่ในสวนกว้าง เขาหัวเราะสดใสเมื่อเห็นมันบินผ่านกิ่งไม้มาได้อย่างเฉียวฉิว แต่เมื่อหันไปหาเด็กหญิงตัวจ้ำม้ำที่มักส่งเสียงเชียร์ให้เขาเสมอ กลับพบเธอนั่งยองๆ กอดเข่าตัวเองอยู่บนพื้นหญ้า ดูไม่ร่าเริงเหมือนปกติ เด็กชายผมเกรียนจึงวางมือจากเครื่องเล่นทันที แล้วก้มลงถามเธอด้วยความเป็นห่วง

“หนูวันเป็นอะไรคับ”

เด็กหญิงทานตะวันวัย 7 ขวบเงยหน้ากลมดิ๊กขึ้นมา ดวงตากลมโตฉายแววสับสน

“เมื่อเช้าหนูวันฝันร้ายค่ะ”

“ฝันร้ายเหรอ ฝันว่าอะไร ไหนเล่าให้พี่ซันฟังได้ไหมคับ”

ทานตะวันพยักหน้าหงึกๆ แล้วเอ่ยเหมือนจะร้องไห้

“หนูวันฝันเห็นคุณแม่ค่ะ... คุณแม่อยู่ในน้ำ เหมือนหายใจไม่ออกด้วย หนูวันกลัว...”

“ไม่ต้องกลัวนะคับ ก็แค่ฝันน่ะ พี่ก็เคยฝันร้าย”

“แต่หนูวันว่ามันเหมือนจริงมากๆ เหมือนมากที่สุดเลยนะคะ หนูวันไม่เคยฝันเหมือนจริงแบบนี้เลยค่ะ มันเหมื้อนเหมือนเลยนะคะ”

เด็กหญิงทานตะวันพยายามยืนยันด้วยการพูดซ้ำไปมา ทำให้คนฟังอดขำด้วยความเอ็นดูไม่ได้ “คับๆ เหมือนก็เหมือน งั้นคืนนี้นอนหลับแล้วฝันใหม่นะคับ เอาให้สนุกเหมือนการ์ตูนที่เราดูกันวันก่อนเลยนะ”

เด็กชายปลอบใจไปแบบนั้น เพราะเชื่อว่ามันเป็นแค่ฝัน โดยไม่รู้เลยว่าหลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมง...ความฝันจะกลายเป็นความจริงที่เจ็บปวดที่สุด

เย็นวันเดียวกันนั้น เวลาที่น้าทิชาควรมารับลูกสาว กลับเป็นน้าพันลอกมาแทน แม่ของเขาคงรู้เรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว แต่เด็กชายตะวันก็ยังไม่ได้เอะใจใดๆ จนกระทั่งได้เห็นใบหน้าซีดเผือดและดวงตาแดงก่ำของชายวัยกลางคนที่เคยยิ้มแย้มอยู่เป็นนิจ เขาจึงรู้ทันทีว่ามีเรื่องผิดปกติ เหมือนฝ่ายนั้นพยายามข่มอารมณ์บางอย่างไว้ และเมื่อทานตะวันเห็นพ่อแล้ววิ่งไปหาด้วยความดีใจ น้าพันลอกก็ได้ทรุดเข่าทั้งสองข้างลงกับพื้นคล้ายคนหมดเรี่ยวแรง

“คุณพ่อขา ทำไมวันนี้คุณพ่อมารับหนูวันล่ะคะ”

เด็กหญิงทานตะวันถามเสียงซื่อด้วยความแปลกใจ แต่แทนที่จะตอบ ผู้เป็นพ่อกลับยกแขนทั้งสองข้างคว้าตัวลูกสาวเพียงคนเดียวมากอดไว้... แนบแน่น เนิ่นนาน

พักใหญ่ กว่าจะถอนตัวออกมา ใบหน้าคร้ามแดดเปรอะไปด้วยคราบน้ำตา แต่น้าพันลอกก็รีบปาดมันทิ้งก่อนลูกสาวจะเห็น

“คุณพ่อเป็นอะไรคะ แล้วทำไมคุณแม่ไม่มาล่ะคะ”

ชายวัยกลางคนเงียบไป มือใหญ่เลื่อนมาประคองหน้าลูกสาวเอาไว้ ก่อนเอ่ยด้วยเสียงที่ค่อนข้างสั่น “คุณแม่...ไม่อยู่แล้วจ้ะ”

“คุณแม่ไปไหนคะ”

ทานตะวันเอียงคอสงสัย ซึ่งทำให้คนเป็นพ่อนิ่งไปอีกครั้ง คล้ายสิ้นความสามารถในการตอบคำถามนั้น แม่ของเขาที่ยืนมองดูอยู่ด้วยกันจึงเข้าไปช่วยเหลือ โดยไม่ลืมใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาของตนให้แห้งเสียก่อน

แต่เสียงของแม่กลับสั่นยิ่งกว่าเสียงของน้าพันลอกเสียอีก

“คุณแม่ของหนูวัน...ไปเที่ยวนะจ๊ะ ไปเที่ยวที่ที่ไกลมากเลย ต่อไปนี้...หนูวันอยู่กับพ่อ อยู่กับน้า อยู่กับพี่ซันนะจ๊ะ”



“คุณแม่จะไม่กลับมาแล้วใช่ไหมคะ”

เด็กหญิงทานตะวันที่สวมชุดกระโปรงสีดำเอ่ยถาม ขณะดวงตาจ้องมองรูปถ่ายของมารดาที่วางอยู่ท่ามกลางมวลดอกไม้ ข้างๆ คือกล่องไม้ขนาดใหญ่ที่เธอไม่กล้าเข้าใกล้

“หนูวันเห็น... เห็นแม่นอนอยู่ในนั้น พี่ซันคะ คุณแม่...ตายแล้วเหรอคะ”

เธอถามอีกกับพี่ชายที่สวมชุดสีเดียวกันกับเธอ เพราะเขาอยู่ใกล้ที่สุด ในวันที่พ่อและย่ากำลังวุ่นวายอยู่กับอะไรมากมายที่เธอไม่อาจเข้าใจได้ เธอได้แต่จับมือเขาไว้ไม่ปล่อย

“ตายคือจะไม่กลับมาอีกแล้วใช่ไหมคะ หนูวันจะไม่ได้เจอแม่อีกตลอดชีวิตเลยใช่ไหมคะ”

ยิ่งถาม เสียงยิ่งสั่น แล้วเธอก็เริ่มร้องไห้...และร้องหนักขึ้น

“เพราะหนูวันใช่ไหมคะ เพราะหนูวันฝันเห็นแม่อยู่ในน้ำ แม่เลยตกน้ำ เพราะหนูวันใช่ไหมคะพี่ซัน”

“ไม่ใช่เพราะหนูวันสักหน่อยคับ” เด็กชายตะวันรีบตอบเมื่อเธอสะอื้นจนตัวโยน ก่อนยื่นมือมาลูบหัวเธออย่างแผ่วเบา “แม่พี่บอกว่ามันเป็นอุบัติเหตู หนูวันรู้จักอุบัติเหตุไหมครับ มัน...ไม่มีใครตั้งใจหรอกนะ ไม่ใช่เพราะฝันของหนูวันด้วย หนูวันอย่าร้องไห้เลย”

“แต่คุณแม่...คุณแม่จะไม่กลับมาหาหนูวันแล้ว แล้วหนูวันจะอยู่กับใครล่ะคะ หนูวันอยากอยู่กับคุณแม่ หนูวันคิดถึงคุณแม่” เธอยังคงสะอื้นไห้เมื่อเอ่ยคำถามนั้น ความหวาดกลัวทำให้เธอกระชับมือของพี่ชายแน่นขึ้น

“หนูวันยังมีคุณพ่อไงคับ มีคุณย่า คุณแม่ของพี่ แล้วก็พี่”

“หนูวัน...” เสียงเบาๆ ดังขึ้นจากด้านหลัง ทานตะวันและตะวันหันกลับไปมอง พบเด็กผู้หญิงสองคน คนหนึ่งถักเปียยาวดูเรียบร้อย ส่วนอีกคนมัดหางม้าไว้ดูทะมัดทะแมงกว่า

“หนูวัน” กรรณิการ์เรียกซ้ำ ก่อนจะเดินจูงมือจิรัสยาเข้ามา “ตัวร้องไห้ทำไม”

“เค้า...เค้าไม่มีแม่แล้ว” ทานตะวันตอบเสียงเศร้า น้ำหูน้ำตายังคอเปื้อนไปทั้งหน้า ลูกพี่ลูกน้องที่ดูเหมือนเด็กผู้ชายกว่ายื่นอีกมือมาแตะไหล่ พยายามปลอบใจเท่าที่เด็กวัย 7 ขวบจะปลอบได้

“ไม่ต้องร้องน่า เดี๋ยวเค้าให้ยืม”

เด็กหญิงทานตะวันทำหน้าฉงน ถามทั้งที่หยาดน้ำใสยังคลอหน่วย “ยืมแม่ได้ด้วยเหรอ”

“ได้สิ เค้าให้ตัวยืมทั้งพ่อทั้งแม่เลย”

“จาวก็ให้นะ จาวให้หมดเลย ของเล่นของจาวด้วย หนูวันอย่าร้องไห้นะ”

ทานตะวันยังคงไม่แน่ใจ เธอเงยหน้ามองพี่ชายที่อยู่ใกล้ เห็นเขายิ้มละไมมาให้ คล้ายรอยยิ้มของแม่ที่เธอคุ้นเคย

“พี่ก็ให้เหมือนกัน หนูวันอยากได้อะไร พี่จะให้ทุกอย่างเลยนะ หนูวันไม่ต้องกลัว...ไม่ต้องร้องแล้วนะคับ”

เพราะคำพูดของเขาทำให้เธอพยักหน้า รู้สึกอุ่นใจขึ้นมาจนน้ำตาเริ่มแห้งหาย อย่างน้อยในวันที่แย่ที่สุด เธอก็ยังมีครอบครัว...และดวงตะวันของเธอ



เพราะได้รับการประคับประคองด้วยความรักและเอาใจใส่อย่างใกล้ชิด ทานตะวันจึงผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากมาได้ ความสูญเสียที่เลวร้ายจึงกลายเป็นเพียงหนึ่งความทรงจำ แต่กระนั้น ‘พรสวรรค์’ ที่เธอเพิ่งรู้ว่ามีอยู่ กลับติดตัวเธอนับจากนั้น ชัดเจนขึ้นตามวันเวลา ย้ำเตือนว่าไม่ใช่แค่ฝัน

บางครั้งมันก็ดีที่เธอสามารถช่วยคนอื่นจากความตาย แต่หลายครั้งมันก็โหดร้าย เพราะคล้ายกับเธอเห็นช่วงสุดท้ายของชีวิตคนเหล่านั้นโดยไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลย

อย่างในครั้งนี้...

ทานตะวันไม่รู้หรอกว่ามันเริ่มต้นจากอะไร แม่ที่โกรธจัด หรือลูกสาวที่อารมณ์ไม่ดี แต่ผลลัพธ์มันก็คือชีวิต แม้ไม่รู้จัก ไม่เคยผูกพัน แต่ก็ยังอดเสียใจไม่ได้

เธอน่าจะไปเร็วกว่านี้

หญิงสาวที่ขังตัวเองอยู่ในห้องน้ำของโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง ทรุดตัวลงนั่งบนโถสุขภัณฑ์ที่ปิดฝาลงแล้ว เธอซบหน้าลงกับฝ่ามือทั้งสอง พยายามอย่างสุดความสามารถในการกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้... เสียงที่ตอกย้ำความสูญเสีย เสียงที่ย้ำเตือนความผิดพลาดของเธอ เธอไม่อยากให้ใครได้ยิน โดยเฉพาะตัวเอง

เนิ่นนานเท่าไรไม่รู้ที่เธอนั่งอยู่ตรงนั้น จนกระทั่ง...

“หนูวัน...” เสียงทุ้มต่ำคุ้นหูดังขึ้นอย่างอ่อนโยนจากนอกประตู เธอเงยหน้าขึ้น น้ำตายังรินไหล ก่อนเสียงเดิมดังซ้ำอีก “หนูวัน ออกมาเถอะ”

แม้ไม่อยากให้ใครล่วงรู้ความอ่อนแอ แต่เพราะอีกฝ่ายคือดวงตะวันที่เธอไม่จำเป็นต้องปิดบัง หญิงสาวจึงทำตามที่เขาสั่งด้วยการเอื้อมมือไปปลดล็อค

ชายหนุ่มที่มีเสื้อผ้าเปื้อนเปรอะยืนนิ่งอยู่ตรงหน้า ดวงตาเรียวคมของเขามองเข้ามาอย่างเคร่งเครียด

“หนูวัน...เลิกร้องไห้ได้แล้ว”

ทานตะวันอยากเชื่อฟัง แต่น้ำตากลับหยดแหมะลงมาอีก เธอตอบด้วยเสียงสะอื้นพังแทบไม่รู้เรื่อง “หนูวัน...ไม่อยากร้องหรอกค่ะ แต่หนูวัน...เสียใจ หนูวัน...หนูวันไปช้าเกินไป น้องคนนั้นต้องตายเพราะหนูวัน”

เมื่อความจริงที่แสนเจ็บปวดถูกเน้นย้ำ หญิงสาวที่เคยเชิดหน้าด้วยความเชื่อมั่นก็ไม่อาจห้ามตัวเองได้ ทานตะวันปล่อยโฮออกมาอีกครั้งด้วยความรู้สึกผิดที่เกาะกุมหัวใจ ใครจะว่าเธอมีพรสวรรค์ มีความสามารถพิเศษอย่างไร แต่เธอกลับคิดว่ามันคือคำสาป...

เธอไม่อยากเห็นความตายของใคร ไม่อยากเห็นเลย

ร่างอวบอัดสะอื้นจนตัวโยนอย่างน่าสงสาร ครู่ใหญ่... ตะวันคงทนดูไม่ไหวจึงก้าวเข้ามาใกล้แล้วจับไหล่สองข้างของเธอแน่น

“หนูวัน ฟังพี่ให้ดี” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง รอจนเธอเงยหน้า มองผ่านม่านน้ำตาไปสบตา เขาจึงเอ่ยต่อ “เด็กเสิร์ฟคนนั้นยังไม่ตาย”

“คะ!?!” ทานตะวันชะงักทันทีด้วยความตกใจ ขณะที่ตะวันถอนหายใจเฮือกใหญ่ ท่าทางเบื่อหน่ายยามเอ่ยต่อ

“ถ้าหนูวันไม่รีบหนีมาร้องไห้ในห้องน้ำ หนูวันก็จะได้เจอหมอ”

“แล้ว...หมอบอกว่า...”

“แผลน้ำร้อนลวกระดับสอง ความเสียหายอยู่แค่ที่ชั้นหนังกำพร้าและชั้นหนังแท้ที่อยู่ติดกับหนังกำพร้า แผลจะหายและแห้งหลุดได้เองภายใน 2-3 สัปดาห์”

“อ้าว!!” เธออุทานออกมาทันที น้ำตาที่มีเริ่มแห้งไปตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ “แต่...เด็กคนนั้นนอนนิ่งมากเลยนะคะ ตอนพามาโรงพยาบาล ชีก็ไม่กระดุกกระดิกเลย”

“หนูวันรู้จัก ‘สลบ’ ไหม”

“คะ!?!”

ชายหนุ่มถอนหายใจอีกครั้ง ดูเกียจคร้านเกินกว่าจะอธิบาย แต่เท่านั้น...ทานตะวันก็เข้าใจทุกอย่างได้ อยู่ๆ เธอก็รู้สึกเหมือนโดนฟาดด้วยกระชอนก๋วยเตี๋ยวเสียเอง

เกือบชั่วโมงที่เธอหมดไปกับการพร่ำโทษตัวเอง ตำหนิพรสวรรค์ และร้องไห้อย่างหนัก สรุปแล้วคือเธอนี่แหละที่ตื่นตูมฟูมฟายเกินไป คล้ายๆ กับกระต่ายตัวใหญ่ที่กำลังนอนหลับสบายอยู่ใต้ต้นไม้ แต่เมื่อลูกมะพร้าวตกลงมาใกล้ๆ ก็โวยวายคิดว่าเป็นระเบิด

ใช่...ช่างน่าอายจริงๆ แต่กระนั้น เธอกลับยิ้มกว้างออกมา

“ดีจังเลยนะคะ ดีที่ไม่เป็นอะไร โชคดีจริงๆ”

เมื่อความรู้สึกผิดที่ทับอยู่กลางใจคล้ายภูเขาลูกใหญ่ กลับเบาหวิวคล้ายขนนกที่ปลิวเข้ามา ความอึดอัดมลายหาย เธอถอนหายใจด้วยความโล่งอก ขณะที่เขาก็ผ่อนลมหายใจเบาๆ ออกมาอีกครั้ง ก่อนปล่อยมือทั้งสองข้างแล้วขยับตัวออกห่าง

“ออกมาเถอะ เดี๋ยวเด็กคนนั้นก็ฟื้นแล้วล่ะ”

เขาเอ่ยโดยไม่คิดอะไร แต่เพราะประโยคนั้นกลับทำให้ทานตะวันนึกบางอย่างขึ้นได้

“อุ๊ย...นี่พี่ซันเป็นห่วงหนูวันจนเข้ามาตามถึงในห้องน้ำหญิงเลยเหรอคะ ขอบคุณนะคะพี่ซัน” หญิงสาวเอ่ยด้วยความตื้นตันใจ ในยามวิกฤต เธอก็มักมีเขาอยู่ข้างกายเสมอ แต่ชายหนุ่มเพียงเหลือบมองด้วยหางตา แล้วตอบเสียงนิ่งไม่บอกอารมณ์

“นี่ห้องน้ำชาย”





-----------------

มีข่าวมาแจ้งให้ทราบค่ะ

หลังจากตอนนี้ จะขอหยุดพักสักระยะนะคะ ขอโทษนักอ่านทุกท่านที่ติดตาม อย่าเพิ่งแบนปลายสีนะคะ >< หวังว่าจะคัมแบคได้ในเร็ววันนี้ค่ะ

ขอบคุณสำหรับทุกอย่างค่ะ

ปลายสี



ปลายสี
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 มี.ค. 2558, 12:37:34 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 มี.ค. 2558, 12:37:34 น.

จำนวนการเข้าชม : 1278





<< บทที่่ 5 : ไม่หวง แค่ห่วง   
แว่นใส 4 มี.ค. 2558, 19:23:27 น.
รับทราบจ้า


พันธุ์แตงกวา 4 มี.ค. 2558, 19:46:29 น.
มีการให้บืมแม่อีกนะ น่ารักจริงๆ^^
เอ่อ หนูวันตามพี่ซันมาห้องน้ำชายยยยยยย
เป็นกำลังใจให้น้าไรท์เตอร์


ดังปัณณ์ 4 มี.ค. 2558, 20:18:39 น.
นี่น้ำตาคลอในฉากข้างบน...กำลังอิน แหม พี่ซันเบรกซะ 555+ โอ๊ย ยายหนูวันเอ๊ย ไม่รู้จะสงสารใครดี งานเข้าละพี่ซัน สัญญาต้องเป็นสัญญานะ หุๆ


นักอ่านเหนียวหนึบ 5 มี.ค. 2558, 01:26:29 น.
ร้องไห้ทุรนทุรายเจียนตาย แล้ววววว หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
ภาพคนอ่านคะ! 55555
หนูว๊านนนนนนน


Zephyr 7 มี.ค. 2558, 22:08:05 น.
กำลังจะฟินนนน
อิพี่ซันมา นี่ห้องน้ำชาย.....
วิ้ว....~~~~ นกบินผ่าน....
โธ่ เฮียยยยย


tik 1 พ.ค. 2558, 13:12:34 น.
55555555+ ชอบอ่ะ มีนางเอกประหลาด ๆ แบบนี้ด้วย แล้วจะมาเมื่อไหร่อ่ะคะ เบื่อการรอคอยซะจริง ๆ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account