ซีรีย์ บุปผาสันนิวาส +*+พิสูจน์รักทานตะวัน+*+

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่่ 5 : ไม่หวง แค่ห่วง

ทานตะวันไม่รีรอที่จะถามด้วยความดีใจว่าเขามาได้อย่างไร แต่ชายหนุ่มในเชิ้ตสีเทาที่นั่งหลังพวงมาลัย กลับตอบสนองความกระตือรือร้นของเธอด้วยใบหน้าเฉยเมินและน้ำเสียงเย็นชา แค่เหตุบังเอิญทำให้เขาผ่านมา ก่อนดักคอว่าเขาไม่ชอบคุยขณะขับรถ หญิงสาวที่เต็มไปด้วยความอยากรู้จึงจำต้องปิดปาก ไม่อาจถามอะไรได้อีก

แต่กระนั้น ดวงตากลมโตก็ยังจ้องมองเสี้ยวหน้าเรียวของเขาไม่กระพริบ ต่อให้พยายามไม่สนใจ แต่ตะวันก็ยังรู้สึก...อึดอัด

“เลิกมองได้แล้ว” เขาเอ่ยในที่สุด ซึ่งเธอก็ถามเสียงอ่อยอย่างเกรงใจ

“แค่มองก็ไม่ได้เหรอคะ”

“ไม่ได้”

“แต่ความหล่อของพี่ซันไม่สึกหรอหรอกนะคะ ขอหนูวันมองหน่อยนะ”

“หนูวัน!!!”

เขาเรียกชื่อเธอเสียงต่ำ เป็นสัญญาณว่าต้องหยุด ทานตะวันก็คงสัมผัสได้ว่าใกล้ถึงจุดสิ้นสุดความอดทนของเขาแล้ว เธอจึงยกมือปิดปากอีกครั้ง

ตะวันถอนหายใจหลังปล่อยให้ภายในรถตกอยู่ในความเงียบมาพักใหญ่ ความจริงแล้วมันเป็นความผิดของเขาเองที่ไม่ทำตามแผน เขานัดเธอให้จอมทัพเพราะหวังให้เธอน้อยใจ เสียใจ หรืออะไรก็ได้ที่จะตัดใจจากเขาไป แต่สุดท้ายเขากลับตามเธอไปที่ร้านอาหาร แอบดูเธออยู่ห่างๆ

เธอมาก่อนเวลานัดอย่างที่เขาคิดไว้ แม้จะมองเห็นแค่ด้านหลัง แต่เขาก็ยังสัมผัสได้ถึงความตื่นเต้นดีใจที่แผ่กระจายออกมาคล้ายรัศมีจากดวงอาทิตย์บนเสื้อโค้ทของเธอ จนกระทั่งผู้ชายร่างสูงใหญ่อีกคนก้าวมานั่งตรงข้าม พูดบางอย่าง ช่วงไหล่ที่ไม่บางนักของเธอจึงลู่ลงด้วยความผิดหวัง แต่ครู่เดียวเธอก็เงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง...เหมือนอย่างที่เขาคิดไว้อีกเช่นกัน ไม่มีอะไรทำให้เธอหวั่นไหวได้ง่ายๆ และกลายเป็นเขาเองที่ต้องแปลกใจ เมื่อเห็นเธอยื่นมือออกไปวางลงบนหน้าผู้ชายที่เธอเพิ่งพบเป็นครั้งที่สอง แต่เขาก็ได้รู้เหตุผลของสัมผัสนั้นในนาทีถัดมา

เพื่อนของเขาต้องการอะไร และเธอพยายามจะบอกอะไร ถึงอยู่ไกลจนไม่ได้ยินบทสนทนา แต่ตะวันก็คิดว่าเขาพอเดาได้

แต่ที่เขาไม่แน่ใจนัก คือเขาตามเธอทำไม พอเห็นเธอผลุนผลันออกจากร้าน เขาจะลุกตามอีกทำไม และที่น่าแปลกที่สุด คือเขาจะเรียกเธอขึ้นรถมาด้วยทำไม

หรือบางที...เขาก็รู้คำตอบดีอยู่แล้ว ถึงจะไม่ชอบใจนักที่เธอมักเข้ามาวุ่นวาย แต่เธอก็มีศักดิ์เป็นน้อง และเขามักใจอ่อนกับเรื่องนี้เสมอ

มันเป็นความผิดของเขาเอง

ชายหนุ่มถอนหายใจอีกครั้ง แต่คราวนี้มันถูกอีกเสียงหนึ่งที่กึกก้องกว่ากลบเสียมิด

‘โครก’

เขาแน่ใจว่าเป็นเสียงจากท้องเธอ แต่เธอกลับทำเหมือนไม่มีอะไร จนกระทั่งมันดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เธอหันซ้ายหันขวา แล้วเอ่ยออกมา

“โช้ครถพี่ซันไม่ค่อยดีเลยนะคะ สงสัยต้องเข้าอู่บ้างแล้วล่ะ”

สิ้นคำ เสียงเดิมก็ดังสนั่นกว่าเก่า ราวกับต้องการประกาศให้รู้ว่าเมื่อครู่เธอโกหก

หญิงสาวกุมท้องตัวเองโดยอัตโนมัติแล้วหันมายิ้มแหยให้ ตะวันถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย ก่อนตัดสินใจหักพวงมาลัยเข้าข้างทาง



ทานตะวันใจหายวาบ คิดว่าเสียงท้องร้องเนื่องจากจดจ่อรอคอยมื้อค่ำจนไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เช้า จะสร้างความรำคาญให้แก่เขา แต่หลังจอดรถเทียบฟุตบาท ชายหนุ่มกลับเอ่ยสั้นๆ โดยไม่หันมามอง

“กินอะไรแถวนี้ละกัน”

พูดแค่นั้นก็เปิดประตูแล้วก้าวลงไป ทานตะวันได้แต่ตกใจจึงร้องถามว่า ‘อะไรนะคะ’ ไม่ทัน

และตอนนี้ เธอกับเขาก็ได้มาตรงข้ามกัน ใกล้เคียงกับที่ฝัน แค่เปลี่ยนจากร้านอาหารไทยเจ้าประจำ เป็นรถเข็นขายก๋วยเตี๋ยวไก่มะระ ซึ่งถ้าไม่มองแมงเม่านับสิบที่บินวนอยู่รอบไฟนีออนที่ส่องสว่าง ไม่ตั้งใจฟังเสียงแตรจากยานยนต์และเสียงคนตะโกนคุยข้ามหัว ไม่พยายามสูดดมเขม่าควันจากรถราที่แล่นไปมา เธอคิดว่าที่นี่ก็ไม่แตกต่างจากภัตตาคารหรูๆ เลยสักนิด

“บรรยากาศดี๊ดีนะคะ”

เธอเอ่ยขณะควักทิชชู่จากกระเป๋าสะพายมาส่งให้พี่ซันโดยที่เขาไม่ต้องร้องขอ ซึ่งชายหนุ่มก็รับมันไปเช็ดช้อนกับตะเกียบที่ทางร้านวางไว้ในกล่องพลาสติกเก่าๆ บนโต๊ะโดยอัตโนมัติ

“ประชดหรือเปล่า” เขาถามเสียงเรียบนิ่ง ทานตะวันรีบปฏิเสธ

“เปล่านะคะ หนูวันพูดจริงๆ ที่ไหนก็ดีทั้งนั้น ถ้ามีพี่ซันอยู่ด้วย”

ถ้อยคำจากความจริงใจทำให้คนฟังชะงักเล็กน้อย แค่เล็กน้อยจริงๆ ดีที่เธอจับตามองอยู่ตลอดเลยสังเกตเห็น เพราะถ้าเผลอกระพริบตาเสี้ยววินาที อย่างตอนที่เขาส่งพาชนะที่ทำความสะอาดเสร็จแล้วมาให้ ใบหน้าเรียวรูปไข่ก็กลับไปเรียบนิ่ง ไม่แสดงความรู้สึกใดๆ เสียแล้ว

“ขอบคุณนะคะ”

“อืม”

“พี่ซันรู้เหรอคะว่าหนูวันขอบคุณเรื่องอะไร ไม่ใช่แค่ช้อนกับตะเกียบนี่หรอกนะคะ แต่ทุกอย่างเลย ขอบคุณที่รู้ว่าหนูวันหิว ขอบคุณที่แวะร้านนี้ให้ ขอบคุณที่ใส่ใจกันนะคะ”

ถ้อยคำที่กลั้นออกมาจากใจทำให้ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นจากช้อนอีกคันในมือ แต่คงไม่ใช่ซาบซึ้งแน่ๆ เพราะดวงตาข้างซ้ายที่ดูดุดันของเขาจ้องมองเธออย่างไม่ค่อยพอใจนัก

“ไม่ว่าจะขอบคุณเรื่องอะไร พี่ก็จะตอบแค่อืม”

ช่างเป็นความเย็นชาที่แสนโหดร้าย แต่ทานตะวันยังไม่ทันพูดอะไรกลับไป ชามพลาสติกที่บรรจุก๋วยเตี๋ยวไก่ทั้งสองชามก็ถูกกระแทกลงบนโต๊ะ จนน้ำซุปสีน้ำตาลที่มีควันกรุ่นๆ แทบกระฉอก ทานตะวันเงยหน้ามองคนเสิร์ฟทันที และเมื่อเห็นเด็กสาว...น่าจะเด็กกว่า เพราะดูจากหน้าตาไม่น่าเกิน 20 ซึ่งยืนค้ำหัวพร้อมจ้องกลับมาด้วยใบหน้าบึ้งตึง สาวลูกครึ่งก็ยิ่งไม่พอใจ

“ขอบคุณสำหรับการบริการที่น่าประทับใจนะคะ ร้านนี้คงขายดีเป็นเทน้ำเทท่าแน่นอนเลยค่ะ เพราะมีคนเสิร์ฟหน้าตาดี ยิ้มแย้มแจ่มใส เอาใจลูกค้า มารยาทงามแบบนี้”

ไม่ได้อยากประชด แต่มันอดไม่ได้จริงๆ ซึ่งเมื่อได้ยิน เด็กสาวที่ได้รับคำชมก็เท้าสะเอว ท่าทางไม่สบอารมณ์พอกัน “กวนตีนเหรอวะ”

ทานตะวันขยับจะตอบ แต่ชายหนุ่มที่นั่งฝั่งตรงข้ามเอ่ยปรามเธอเสียก่อน “หนูวัน พอแล้ว”

ไม่ใช่เพราะคำพูดที่มีอำนาจ แต่เพราะคนพูดต่างหากที่ทรงอิทธิพลเสียจนเธอไม่อาจขัดคำสั่งได้ เธอยอมหยุด แต่อีกฝ่ายไม่...

“คนยิ่งอารมณ์ไม่ดีอยู่ แม่งกวนประสาท วอนส้นตีนแล้วเงียบทำไมวะ ปากดีให้ตลอดสิ อีโธ่ ไม่แน่จริงนี่หว่า”

ทานตะวันพยายามนิ่ง แม้จะอยากตอบโต้ใจจะขาด ขณะที่เธอนับหนึ่งถึงสิบในใจด้วยความยากลำบาก ชายหนุ่มตรงหน้าหยิบธนบัตรสีแดงสองใบจากกระเป๋าเสื้อเชิ้ตออกมา ก่อนวางมันลงบนโต๊ะ

“ไปกินที่อื่นเถอะ” ตะวันเอ่ยสั้นๆ แล้วผุดลุกขึ้นเพื่อตัดปัญหา แต่ทันทีที่ทานตะวันลุกตาม เด็กเสิร์ฟกลับโวยวายเสียงดัง

“เอ๊ยๆ อะไรวะ กินก็ไม่กินแล้วจะจ่ายเงินเกิน อวดรวยเหรอวะ ดูถูกกันใช่ไหม แม่ง เอาคืนไปเลยไป แล้วไม่ต้องโผล่หัวมาที่ร้านนี่อีกนะเว้ย” เด็กเสิร์ฟว่า กำลังยื่นมือมาเพื่อยัดเงินคืนให้ชายหนุ่ม แต่ทานตะวันไม่อยากให้ผู้หญิงหน้าไหนสัมผัสเรือนร่างของชายที่เธอรัก เธอจึงรีบคว้าเงินในมืออีกฝ่ายมาอย่างรวดเร็ว

โดยไม่ทันระวัง มือของเธอจึงสัมผัสมือของสาวเสิร์ฟขี้โมโหเข้าอย่างจัง เพียงแค่นั้น ภาพที่ปรากฏขึ้นมาในหัวก็ทำให้เธอชะงักค้างด้วยความตกใจ จังหวะเดียวกับที่หญิงวัยกลางคนซึ่งเป็นแม่ครัวและเจ้าของร้าน เดินมาพร้อมกระชอนอะลูมิเนียมในมือ

“ไอ้เจน มึงหาเรื่องลูกค้าอีกแล้วเหรอวะ ปากมึงนี่ไล่ลูกค้ากูหมด ไอ้ลูกเวร” นางชี้อุปกรณ์ลวกเส้นก๋วยเตี๋ยวใส่หน้าลูกสาว ท่าทางกราดเกรี้ยวน่ากลัว “หุบปากแล้วกลับมานี่เลยมึง...”

เด็กเสิร์ฟสาวทำท่ากระฟัดกระเฟียด พร้อมพ่นเสียงดังด้วยความไม่พอใจขณะเดินกลับไปหามารดา ขณะที่ทานตะวันหันมองตามพลางกลืนน้ำลายเฮือกใหญ่ ตะวันที่อยู่ใกล้คล้ายอ่านความคิดเธอได้ เขาจึงถามเสียงเบาเหมือนกระซิบ

“หนูวันเห็นอะไรหรือเปล่า”

สาวลูกครึ่งหันกลับมา ก่อนพยักหน้าช้าๆ

“ควันค่ะ ควันโขมงเลย ปวดแสบปวดร้อนมาก ทรมานมากด้วย”

เสียงที่เอ่ยออกไปค่อนข้างสั่นเพราะความตกใจยังคงอยู่ ตะวันรู้ทันทีว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ดังนั้นเขาจึงไม่ห้าม เมื่อทานตะวันขยับไปใกล้สองแม่ลูกที่ยังคงเถียงกันไม่เลิก

ไม่ว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร แต่ถ้าเห็น...ทานตะวันก็ต้องเตือนให้ได้

หญิงสาวก้าวเข้าไปจวนจะถึง แต่ทันใดนั้นเอง เมื่อเสียงทะเลาะกันได้ดังขึ้นจนคล้ายตะโกนใส่ ผู้เป็นแม่ได้ง้างมือที่ถือกระชอนขึ้นฟ้า ลูกสาวรีบขยับหนีทันทีเพราะกลัวโดนฟาดไม่ยั้ง โดยไม่ทันระวัง หลังของเธอจึงชนเข้ากับหม้อก๋วยเตี๋ยวที่ตั้งอยู่บนเตาพอดิบพอดี จากแรงกระแทก ร่างของเธอเสียหลักล้มลง ทุกอย่างคงไม่เลวร้ายเท่ากับการที่น้ำซุปเดือดจัดในหม้อที่เอียงกะเท่เร่หกราดลงมา

ควันโขมงเหมือนภาพที่เห็น พร้อมเสียงกรีดร้องจากความปวดแสบปวดร้อนของเด็กสาวซึ่งดิ้นพล่านอย่างทุกข์ทรมาน

อีกแล้วเหรอ!?! เธอเตือนไม่ทันอีกแล้ว!!!











หวังว่าจะสนุกกับการอ่านนะคะ ^^



ปลายสี
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 22 ก.พ. 2558, 16:16:05 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 22 ก.พ. 2558, 16:16:47 น.

จำนวนการเข้าชม : 1360





<< บทที่ 4 : คุณต้องอยู่กับผมตลอดเวลา   บทที่ 6 : พรสวรรค์หรือคำสาป >>
พันธุ์แตงกวา 22 ก.พ. 2558, 19:09:53 น.
โฮกกกกกกกกกก น้ำร้อนลวก น่ากลัวมั่กมาก
แท้แด ในที่สุดพี่ซันก็มา แถมพามากินข้าวด้วยยยยย น่ารักจริง


แว่นใส 22 ก.พ. 2558, 21:25:56 น.
น่าสงสารจริง


Zephyr 26 ก.พ. 2558, 17:32:48 น.
นั่นให้ทุกข์แก่ท่าน....
หนูวันก็สถานการณ์ฉุกละหุก เอาน่ะ อย่าทดท้อ


นักอ่านเหนียวหนึบ 3 มี.ค. 2558, 23:18:09 น.
โอ้ยยยยย หนูวัน ไปถึงไหนมีเรื่องถึงนั่นรึป่าวววว 555


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account