Chain Of Heart
คู่อริเมื่อวัยเด็กเหตุเกิดจากผ้าเช็ดหน้าสีขาวลายปักเป็นเหตุทำให้เธอเกลียดเขา แต่เมื่อเจอกันอีกครั้ง เธอกลับสวยถูกใจเขา ในขณะที่เธอเกลียดเขาและมีสายตาไว้มองรุ่นพี่ที่เคยช่วยชีวิตตนไว้ซึ่งรุ่นพี่คนนั้นก็ถูกใจในความสดใส น่ารักของเธอเช่นกัน เขาผู้ชายปากแข็งที่เธอเกลียดเลยต้องงัดทุกยุทธวิธีจีบเธอ
ที่แปรทุกเจตนาของเขาเป็นความน่ารำคาญ! เขาที่เธอเกลียดจะสมหวังหรือไม่ มาลุ้นกัน

Tags: โรแมนติคคอมเมดี้,Romantic Comedy,วิศวกร,ฝ่ายขาย,หมีแพนด้า,ข้าวหน้าเป็ด,ลูกเป็ดขี้เหร่,ช่อแก้ว,ศิระภพ,เด็กชายอ้วนกลม,เด็กหญิงแคระแกร็น,โรงเรียนสาขา,ผ้าเช็ดหน้า,งานเลี้ยงรุ่น,น้ำตกโตนงาช้าง,เฟรนด์ชิพ,กา

ตอน: เด็กชายอ้วนกลมกับเด็กหญิงแคระแกร็น





“เอี๊ยด!” เสียงล้อรถหลังคาทรงสูงเสียดสีและบดบี้กับพื้นถนนคอนกรีตก่อนมาจอดนิ่งสนิทอยู่ริมถนนเยื้องร้านกาแฟ ตามด้วยเสียงร้อง “โอ๊ย!” ของบรรดาเด็กนักเรียนเกือบ 10 ชีวิต ที่นั่งเบียดแน่นเป็นปลากระป๋องอยู่ในรถ แรงส่งจากการเบรคและจอดรถกะทันหันทำให้ศีรษะของแต่ละคนโขกชนกันเอง
“คลองน้ำใสครับ คลองน้ำใส! “คนขับรถผิวหมึกสำเนียงท้องถิ่นตะโกนเสียงห้วนสั้นเตือนผู้โดยสาร เจ้าตัวเล็กร่างบางแคระแกร็นรีบลงมาจากรถ แต่ก็ไม่ลืมหันหน้ามาโบกไม้โบกมือลาเพื่อนใหม่
“พรุ่งนี้เจอกันที่รถนะช่อแก้ว” เพื่อนใหม่รูปร่างใกล้เคียงกับเด็กหญิงแคระแกร็นสั่งเสีย เด็กหญิงเพียงแค่พยักหน้ารับเท่านั้น จากนั้นก็รีบวิ่งถลามายังร้านน้ำชา เห็นบิดาของเธอกำลังนั่งคุยกับเพื่อนในร้าน
“ไอ้หยา อาแก้ว!” เถ้าแก่เนี้ยร้านน้ำชาอุทานสำเนียงจีนออกมาเวลาเห็นอะไรผิดปกติ จากนั้นถึงก้มลงดูรอยเปื้อนเป็นปื้นบนเสื้อสีขาวของเด็กหญิง
“ลื้อตกถังเป๊ปซี่มาหรือไง?ทามมายชายเสื้อถึงเลอะขนาดนี้” เถ้าแก่เนี้ยร้านน้ำชาตาไว ถามอย่างเอ็นดู และผู้ที่ร้อนใจมากที่สุดคือบิดาที่หวงบุตรสาวสุดชีวิต
“ใครกล้ารังแกลื้ออาแก้ว บอกเตี่ยมา?” นายเส็งหรือเจ้าของสวนผลไม้หลากชนิดออกอาการขึงขัง อยากรู้ ใครกล้าบังอาจมารังแกบุตรสาวที่น่ารักของตน แม้จะรู้อยู่เต็มอกจากปากคนแถวบ้านที่ค่อนแคะมาตลอดเวลาว่าหน้าตาไม่สวยเลยสักนิด ติดออกจะขี้เหร่ด้วยซ้ำไป แต่ในสายตาของผู้เป็นบิดา บุตรต้องสวยที่สุดอยู่แล้ว
เด็กหญิงช่อแก้วก้มมองดูชายเสื้อนักเรียนตัวโคร่งของตน
จะใครเสียอีกล่ะ? ที่เป็นต้นเหตุของเรื่องยุ่งๆในวันนี้
เพราะไอ้เด็กผู้ชายอ้วนกลมจอมซ่านั่นคนเดียวแท้ๆ ที่ทำให้ตนพลอยเจ็บตัวไปด้วย เพียงแค่ตนย่อตัวแล้วนั่งยองๆ กำลังเอื้อมมือเก็บผ้าเช็ดหน้าจากพื้น จู่ๆ ไอ้เด็กอ้วนนั่นเกิดซุ่มซ่าม เดินไม่ดูตาม้าตาเรือ สะดุดลากตนล้มกองไปกับพื้นดินแสนเขรอะนั่น…
แต่สวรรค์ย่อมไม่เข้าข้างคนผิด ก่อนเที่ยงที่ผ่านมา อาจารย์ฝ่ายปกครองจัดการสำเร็จโทษเด็กชายอ้วนกลมคนนั้นด้วยไม้เรียวท่ามกลางสายตาพออกพอใจของเด็กผู้หญิงที่โดนกลั่นแกล้ง รวมทั้งตนด้วย
ในเมื่อเจ้าเด็กชายอ้วนกลมโดนสำเร็จโทษไปแล้ว ก็ถือว่าเจ๊ากันไป
เด็กหญิงช่อแก้วไม่ติดใจ กลับยิ้มหน้าแป้น ดวงตาฉ่ำ เหลือบเห็นขนมเยลลี่หลากสี วางเรียงอยู่ในตู้แช่ ดูน่าทานชะมัด เลยหันมาทำท่ากระแซะๆทำเสียงออดอ้อนบิดาไปมาว่า
“เตี่ย แก้วอยากกินเยลลี่ วันนี้แก้วเหนื๊อย เหนื่อย ทำความสะอาดห้องเรียนเกือบทั้งวัน กว่าจะได้เข้าห้องเรียนแนะนำตัวกับเพื่อนใหม่ก็ปาเข้าไปช่วงบ่ายแล้ว ซื้อเยลลี่ให้แก้วหน่อยนะ นะ นะ” ช่อแก้วออเซาะพลางแนบใบหน้าเรียวเล็กลงบนท่อนแขนของบิดา
“อาไรของลื้ออาแก้ว เยนลงเยนลี่อาไร เตี่ยก็กำลังจะพาลื้อกลับบ้านอยู่นี่ยังไงละ” เมื่อเจอลูกอ้อนเข้า นายเส็งก็ลืมเรื่องเมื่อสักครู่นี้ ชำเลืองมองบุตรสาวที่เอาแต่ออดอ้อนขอให้ซื้อเยลลี่สีสวยนั่น นายเส็งพ่นลมหายใจออกมาทางปาก
“อาแก้ว ลื้อเหนื่อยลื้อก็อาบน้ำอาบท่าเสียสิ แล้วไปกินข้าวเย็นกัน จะ 5 โมงเย็นอยู่แล้ว วันนี้แม่ลื้อทำกับข้าวที่ลื้อชอบกินทั้งนั้นเลยนา” ตามธรรมเนียมของบ้าน ทุกคนต้องอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาทานข้าวกันเย็นเพื่อความปรองดองของคนในครอบครัว ช่อแก้วรู้แต่ก็รั้นเล็กๆ ในเมื่อวันนี้ตนอยากทานขนมเยลลี่สีสวยๆขึ้นมา ตนต้องทานให้ได้
“นะ นะ นะ เตี่ย วันนี้แก้วขอซักวันเถิดนะ เตี่ยก็เห็นแล้วไม่ใช่เหรอ ? วันนี้เปิดเทอมวันแรก แก้วอุตส่าห์ช่วยเพื่อนใหม่และคุณครูทำความสะอาดโรงเรียนแถมแก้วยังกลับบ้านตรงเวลาอีก เตี่ยจะไม่ให้รางวัลเด็กขยันหน่อยเหรอจ๊ะ?” ช่อแก้วอ้าง ทวงรางวัล เกาะแขนบิดาหนึบเสียยิ่งกว่าปลิง ทว่านายเส็งกลับโบกมือไปมา พูดตัดบท
“ แม่ลื้อต้มถั่วเขียวไว้แล้วนา ลื้ออย่าเรื่องมากไปหน่อยเลย ขืนต้มถั่วเขียวแล้วลื้อไม่ยอมทาน แม่ลื้อพาลจะมางอนเตี่ยโทษฐานที่ตามใจลื้อ เตี่ยขี้เกียจง้อ เวียนหัว”นายเส็งบ่น แอบคิดในใจ
ดุอย่างกับเสือ ไม่รู้ว่าแม่หรือเมียกันแน่?
ทว่าบุตรสาวกลับทำหน้าเบ้ อะไรๆก็ถั่วเขียว นานวันเข้า ใบหน้าคล้ายคลึงถั่วเขียวเข้าไปทุกที มารดาจะรู้บ้างไหมหนอ? จากนั้นก็รบเร้าบิดามากยิ่งขึ้นกว่าเดิม
ท้ายที่สุด นายเส็งเลยตัดความรำคาญ ซื้อขนมเยลลี่สีสวยให้บุตรสาว แต่มีข้อแม้ว่า ช่อแก้วต้องตั้งใจเรียนหนังสือ อย่าเกเร และที่สำคัญ อย่าลืมตักถั่วเขียวต้มน้ำตาลจากหม้อมาทานด้วย
อันนี้สำคัญต่อสวัสดิภาพใบหูของตนเองมากๆ
“บรืน” เสียงสตาร์ทรถจักรยานยนต์คันเก่งของนายเส็งดังขึ้น ช่อแก้วรีบขึ้นซ้อนท้ายรถ สองแขนเกาะเอวบิดาแน่น
ภาพผู้ชายร่างสันทัดผิวขาวเหลืองเชื้อสายไทยจีนขับรถจักรยานยนต์มารับ-ส่งเด็กหญิงตัวน้อยเป็นที่คุ้นตาของชาวบ้านในชุมชนเล็กๆแห่งนี้มานานหลายปี นับตั้งแต่เด็กหญิงช่อแก้วเข้าเรียนโรงเรียนชั้นประถมศึกษาด้วยซ้ำ นายเส็งตระหนักดีว่าระยะทางจากถนนใหญ่สู่บ้านไกลโขอยู่ หากปล่อยให้เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ เดินทางกลับบ้านตามลำพัง คงไม่ปลอดภัยเป็นแน่
ล้อรถจักรยานยนต์ลงหลุมเล็กๆ มาเกือบตลอดเส้นทาง ทั้งๆที่คนขับพยายามเลี่ยงไม่เก็บแต้ม แต่ก็ยากเมื่อถนนดินลูกรังเส้นนี้ไร้การบูรณะมาหลายปี ผลเลยทำให้ร่างเล็กบางของเจ้าตัวน้อยกระเด้งกระดอนไปมาเหมือนตุ๊กตายาง
“เตี่ย เมื่อไหร่ลุงกำนันจะซ่อมแซมถนนทางเข้าบ้านเราเสียที ดูสิ ถนนพังเป็นหลุมเล็กๆ เกือบหมดแล้ว” ช่อแก้วเริ่มส่งเสียงบ่นเจื้อยแจ้วตามประสาเด็ก พลางเอาแขนโอบเอวบิดาไว้แน่น กลัวพลัดหล่น
ผู้เป็นบิดาชลอรถจักรยานยนต์ลงทั้งๆที่แทบจะคลานเป็นเต่าอยู่แล้ว พูดกับเด็กหญิงตัวน้อย
“เตี่ยก็ไม่แน่ใจ แต่คิดว่าน่าจะทันก่อนที่ลื้อทำบัตรประชาชน ก็คงเร็วๆนี้แหละ ลื้อก็อย่าเพิ่งตีโพยตีพายไปหน่อยเลย ไม่ได้เดินเท้าเปล่ากลับบ้านเองเสียหน่อย” บิดากระเซ้ายิ้มๆ
“โหย เตี่ย ทำไมนานอย่างนั้นล่ะจ๊ะ?กว่าแก้วจะเข้าเรียนชั้น ม.4 ก็อีกตั้ง 3 ปี กว่าจะถึงวันนั้น รอจนเหงือกแห้งกันพอดี” ช่อแก้วรู้สึกขัดใจ
“ลื้อนี่ชอบพูดจาซี้ซั้วไม่เข้าเรื่อง ลื้อจะรอจนเหงือกแห้งได้ไงอาแก้ว ลื้อไม่ใช่ปลาซะหน่อย ไม่ได้ใช้เหงือกหายใจนี่หว่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า” นายเส็งหัวเราะชอบใจกับความความคิดพิเรนทร์ๆของตน ช่อแก้วเบ้หน้า
“เตี่ยอ่ะ ล้อแก้วอีกตามเคย ไม่ชวนคุยแล้ว” เด็กหญิงช่อแก้วยังคงส่งเสียงเจื้อยแจ้วโวยวายตามประสา ทำหน้ากระฟัดกระเฟียดเล็กๆ ที่โดนบิดากระเซ้า แต่ก็เท่านั้นเอง ถึงบิดาจะชอบพูดแหย่ตนอยู่บ่อยๆ แต่ช่อแก้วก็รู้ดีว่าบิดารักและเมตตาตนมากขนาดไหน
แม้ว่าบิดามารดาของตนจะไม่ได้ร่ำรวยล้นฟ้า ไม่มีบ้านหลังใหญ่ ไม่มีคนรับใช้ สิ่งที่มีคือบ้านไม้ชั้นเดียวทาสีชมพูตลอดทั้งหลัง (อันนี้รู้มาจากมารดาภายหลังว่าบิดาของตนทาบ้านสีชมพูเพราะรู้ว่าตนชอบสีชมพู) สวนผลไม้เนื้อที่ประมาณ 100 ไร่ แปลงดอกดาวเรืองและดอกมะลิอย่างละแปลงตรงบริเวณหน้าบ้าน ต้นชมพู่มะเหมี่ยว 2 ต้นตรงบริเวณหลังบ้านที่บิดาของเธอผูกเปลญวนไว้คอยท่าให้เธอได้นอนเล่นอ่านหนังสือการ์ตูนตาโตตอนกลางวันเพื่อรับลมเย็นๆ
และที่สำคัญ แขกไม่ได้รับเชิญอย่างเจ้าเฉาก๊วย ที่มักจะมาคลอแข้งคลอขาออดอ้อนให้เธอโยนขนมต้ม
นับว่าผิดวิสัยเจ้าสี่ขาที่ริอ่านทานของหวานเลียนแบบคน แทนที่จะเป็นกระดูกสำหรับแทะลับคมเขี้ยวสีขาว
ถึงแม้จะไม่ได้มีมากมายเหมือนคนอื่นเขา ไม่ได้สวมเสื้อนักเรียนราคาแพงติดยี่ห้อ ถือกระเป๋านักเรียนใบโตโก้เก๋ เดินห้างสรรพสินค้าหรูๆ ถึงทางเข้าบ้านจะทุลักทุเล แต่เด็กหญิงก็ไม่เคยคิดว่าตนเองขาด
ในเมื่อบิดาและมารดาของตนเติมรักให้ตนมากมายเสียขนาดนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องดิ้นรนหรืออยากได้อยากมีเหมือนคนอื่น ช่อแก้วอมยิ้ม พริ้มตาลงช้าๆ สองแขนโอบกระชับเอวหนาบิดาไว้แน่นก่อนที่เจ้าสองล้อจะพาตัวเองลงหลุมอีกครั้ง
เก็บแต้ม อย่างไม่ตั้งใจ…

เด็กชายศิระภพเหลียวซ้ายแลขวาอย่างระแวดระวัง เมื่อเห็นว่าแม่ตลับยังคงก้มๆเงยๆอยู่ในครัว อีกทั้งตรงบริเวณห้องรับแขกยังปลอดบิดา เด็กชายรีบวางรองเท้านักเรียนลงบนชั้นวางทันที ก่อนพาร่างอันแสนจะอ้วนกลมเป็นลูกบอลย่องเบาเข้ามาในบ้าน จุดหมายอยู่ที่บันได
“ หนึ่ง สอง สาม…ชาแว้บ!” เด็กชายศิระภพรีบวิ่งสาวเท้าพาร่างกลมๆขึ้นบันไดมายังห้องนอนของตนเองบนชั้นสอง ท่าทางดูลุกลี้ลุกลน ในขณะนี้หัวใจของเด็กชายกำลังเต้นระรัว เสียงดังตึกตักจนได้ยินออกมาข้างนอก… เด็กชายยืนอยู่ตรงบริเวณบานประตูพยายามควบคุมเสียงเต้นหัวใจไว้ พาลนึกไปถึงเรื่องที่ตนถูกลงโทษในวันนี้ ป่านนี้อาจารย์แสนดีคงโทรศัพท์รายงานความประพฤติของตนต่อบิดาแล้วเป็นแน่ เลยจำต้องหลบหน้าบิดา เอาตัวรอดไปก่อน แล้วพรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่
เด็กชายศิระภพยิ้มกว้าง คิดเข้าข้างตัวเอง ดวงตาทะเล้นวิบวับเป็นประกายเปี่ยมด้วยความหวัง พอใจกับความคิดตนเองรีบเร้นกายเข้ามาในห้อง แล้วก้มมองดูนาฬิกาข้อมือ
เกือบ 6 โมงเย็นแล้ว จู่ๆเด็กชายก็ฉุกคิดขึ้นมาเสียอย่างนั้น
ทำไมบิดาของตนยังไม่กลับเข้ามาในบ้าน ?
โดยปกติ เวลาเล่นซุกซนแล้วกลับมาที่บ้าน เด็กชายมักจะเห็นบิดานายตำรวจนั่งเอาขาไขว่ห้างพร้อมกางหนังสือพิมพ์ขึ้นอ่านรอตน แต่เมื่อสักครู่นี้ ณ ห้องรับแขก ถึงแม้ว่าตอนนี้ยังไม่อยากเจอหน้าบิดา แต่เด็กชายกลับไม่เห็นแม้แต่เงาของบิดา ? แล้วอย่างนี้บิดาของเขาหายไปไหน?
เด็กชายถามตนเอง ไม่ทันสังเกตว่าภายในห้องมืดๆ ยามที่ตนไม่ได้กดสวิตซ์ไฟกลับมีบางสิ่งดูไปคล้ายร่างทะมึนของใครบางคนซ่อนเร้นอยู่
เด็กชายศิระภพส่ายหัว ขี้เกียจคิด บิดาของเขาเป็นตำรวจย่อมเก่งกล้าสามารถเอาตัวรอดในสถานการณ์คับขันได้
อีกอย่างแม่ตลับ แม่บ้านที่บิดาสงเคราะห์จ้างไว้ ยังอยู่ทั้งคน ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับบิดา ปากโทรโข่งอย่างแม่ตลับมีหรือจะไม่วิ่งแจ้นมาบอกตน
เพราะฉะนั้น ตอนนี้เป็นห่วงตัวเองจะดีกว่า เด็กชายศิระภพคิดเองเออเอง จัดการกดสวิตซ์ไฟ ทั่วทั้งห้องสว่างพรึบในบัดดล พร้อมๆ กับสัญญาณอันตราย
เจ้าตัวน้อยอ้วนกลมเบิกตากว้าง อ้าปากค้าง หน้าซีด ขาสั่น เหมือนเห็นมีดอีโต้กับเขียงวางอยู่ตรงหน้า เมื่อเจ้าของรูปร่างสูงสง่า หนวดโค้งดูดุ กำลังยืนเกาะอก มือถือบางสิ่งไว้หยัดยืนนิ่งเด่นสง่าอยู่ข้างเตียงไม้สีน้ำตาลเข้ม
“พะ พะ พ่อ มาอยู่ห้องผมได้ไง?” เด็กชายศิระภพถามเสียงสั่น ถอยกรูด ชิดบานประตูราวกับทำความผิดไว้อย่างใหญ่หลวง
“อ้าว ไอ้ลูกหมู ถามแปลก บ้านหลังนี้นะของพ่อ พ่อมีสิทธิ์เข้านอกออกในได้ทุกห้องอยู่แล้ว” น้ำเสียงเข้มข้น พลางหรี่ตามองบุตรชายอ้วนกลมตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า
“ อ้าว แล้วนี่เป็นอะไรไปอีกล่ะ? ยืนตัวสั่นยังกับลูกนกตกน้ำ” นายก้องภพถามหยั่งเชิง ใช้สายตาวาววับดั่งใบมีดโกนกดดันจนเจ้าตัวน้อยอ้วนกลมกลบเกลื่อนเสมองพื้น
ในเมื่อเจ้าลูกหมูทโมนมันเอาแต่ก้มหน้ามองพื้น นั่นแสดงว่า มันยอมรับกลายๆ ว่าวันนี้ได้ก่อวีรกรรมอะไรเอาไว้กับเพื่อนๆ นายตำรวจก้องภพได้แต่ส่ายหน้าออกมาอย่างอิหนาระอาใจ ไอ้เรื่องซุกซนตามประสาเด็กผู้ชาย เขายอมรับได้ เพราะเคยผ่านชีวิตช่วงวัยแสนซน คึกคะนองมาก่อน แต่เรื่องแกล้งเพื่อนนี่สิ แก้ไม่ได้เสียที ทั้งที่อุตส่าห์ย้ำนักย้ำหนาว่า “อย่าทำ” แต่บุตรชายเพียงคนเดียวคนนี้ ก็ “ยังทำ”
“รู้ใช่ไหม? ว่าพ่อจะลงโทษแกยังไง” น้ำเสียงเข้ม สีหน้าจริงจัง ผิดเป็นผิด ถูกเป็นถูก เพียงเท่านี้เด็กชายศิระภพก็อ่านสัญญาณท่าทางของบิดาออก ได้แต่ยืนทำตาละห้อย ผงกหัวช้าๆ
“ครับ…” น้ำเสียงอ่อยๆ รู้ตัวดีว่า เย็นนี้คงไม่แคล้วโดนไม้เรียวลงก้นอีกแน่ๆ
บิดาส่งสายตาบุ้ยใบ้ให้เด็กชายศิระภพเตรียมหันก้นมาที่ตน เด็กชายศิระภพทำตามอย่างว่าง่าย สองแขนประสานไว้บริเวณอก แปลกแต่จริง รู้ทั้งรู้ว่าถ้าเผลอไปแกล้งเพื่อนเมื่อใด? ก็ไม่แคล้วโดนลงโทษทุกทีเมื่อนั้น
แต่ก็ยังทำ…ทำไม?

เจ้าตัวน้อยอ้วนกลมคนข้าวต้มไปมา หน้าตาจ๋องจ๋อยจนแม่ตลับร้องทัก
“ตาหนู คนข้าวไปมาอย่างนี้ ข้าวต้มปลาของแม่ตลับเละเป็นโจ๊กกันพอดี แล้วอย่างนี้อย่ามาโทษว่าฝีมือทำกับข้าวของแม่ตลับไม่อร่อยนะ” แม่ตลับรีบชิงออกตัว ทั้งที่ความจริงแล้วเมนูหลักที่ทำเป็นประจำคือข้าวต้มหรือไม่ก็โจ๊ก กับข้าวอย่างอื่น แม่ตลับทำไม่ค่อยจะเป็น
เสียงทักแหบพร่านั่นทำให้บิดานายตำรวจเอียงหน้ามองบุตรชายที่กำลังทำหน้าจ๋องจ๋อย
เดาได้ไม่ยาก ... สงสัยคงเซ็งที่โดนลงโทษซ้ำด้วยก้านมะยม นายก้องภพเลยแหย่บุตรชายโดยการตักต้นหอมซอย 1 ช้อนพูนๆ ลงในชามสีขาวใบโตนั่น
เด็กชายศิระภพถึงกับเนื้อเต้นทำหน้าเหวอ พูดโวยวาย
“พ่ออ่ะ รู้ทั้งรู้ว่าลูกกะต้นหอมไม่ถูกกัน ยังตักใส่ชามข้าวต้มปลาของลูก ดูสิพูนจนจะเป็นดงหญ้าอยู่แล้ว “เด็กชายศิระภพโวย ทำหน้าผะอืดผะอม ใช้ช้อนเกลี่ยต้นหอมซอยไว้ข้างๆ ชาม
ทว่านายตำรวจก้องภพยังนึกสนุกตักต้นหอมซอยลงในชามใบโตของเจ้าตัวดีอีก 1 ช้อน
“พ่ออ่ะ” เด็กชายศิระภพยังคงโวย ในขณะที่มือยังคงทำหน้าที่เกลี่ยต้นหอมมาอีกทาง
“คุณก้องก็ เอาแต่แหย่ลูกอยู่ได้ ไม่ต้องกงไม่ต้องกินข้าวต้มปลาที่แม่ตลับอุตส่าห์ตื่นแต่เช้า ถ่อไปซื้อที่ตลาดนัดกันพอดี “แม่ตลับพูดทะลุกลางวงสนทนา ทำเสียงดุอย่างไม่เห็นด้วย ทว่านายตำรวจก้องภพกลับหัวเราะชอบใจที่เห็นบุตรชายทำหน้ามู่ทู่
“เอ้า ดูสิทำหน้างออย่างกับปลาทูแม่กลอง ไหนขอพ่อดูหน่อยสิ คอหักด้วยรึเปล่า?“ คนเป็นบิดายังนึกสนุก เอามือเชยคางบุตรชาย ขยับคอซ้ายที ขวาที เหมือนตุ๊กตา
“ก็ปรกติดีนี่นา คอไม่เห็นจะหัก” จากนั้นถึงรามือ
เมื่อเห็นว่าแกล้งกันพอหอมปากหอมคอ จึงชวนบุตรชายทานข้าวต้มปลากันต่อ ไม่ลืมพูดว่า “คราวหน้าคราวหลังถ้าไม่อยากโดนก้านมะยม ก็อย่าแกล้งเพื่อนอีก โดยเฉพาะเพื่อนผู้หญิง เข้าใจไหม?“
นายตำรวจก้องภพกำชับ ยังคงเอียงหน้ามองบุตรชายที่กำลังเกลี่ยต้นหอมซอยในชาม ไม่แน่ใจว่าบุตรชายจอมซนจะฟังคำว่ากล่าวตักเตือนของตนหรือเปล่า? แต่พอเหลือบเห็นเจ้าตัวน้อยอ้วนกลมเริ่มตักข้าวต้มร้อนๆเข้าปาก เคี้ยวตุ้ยๆไปมาอย่างไม่ติดใจอะไรอีกตามประสาเด็กอ้วนที่ลืมง่าย คนเป็นบิดาเลยได้แต่ส่ายหน้ายิ้มเอ็นดู การที่เห็นบุตรชายสามารถทานได้ นอนหลับ ส่งเสียงพูดเจื้อยแจ้ว ซุกซนบ้างตามประสา นั่นก็เพียงพอที่จะทำให้หัวใจที่เหนื่อยล้าจากการทำงาน เปี่ยมสุข กำลังใจและเรี่ยวแรงฟื้นคืนพร้อมที่จะทำงานต่อสู้เพื่ออนาคตของเจ้าตัวน้อยแสนซน
ในเมื่อมีกัน 2 คนพ่อ-ลูก ก็ต้องดูแลกันไปอย่างนี้ นายตำรวจระดับมือพระกาฬคนนี้เลยต้องเป็นทั้งพ่อ แม่ เพื่อน พี่และที่ปรึกษาให้กับเด็กชายศิระภพในคราวเดียวกัน
และเกิดถ้าวันไหน ตนต้องออกไปต่างจังหวัดเพื่อปฏิบัติหน้าที่ เขาก็จะจ้างแม่ตลับเพื่อนบ้านคอยเป็นธุระหุงหาอาหารดูแลเจ้าตัวน้อยยอดดวงใจยามไกลหูไกลตา
นายตำรวจยิ้ม ตักชิ้นปลาสำลีขนาดพอคำหย่อนลงในชามของเจ้าตัวน้อยแสนซน เจ้าตัวน้อยชอบใจ ยิ้มจนรูปตาขนานไปกับใบหน้า ตักชิ้นปลาสำลีของโปรดเข้าปาก เคี้ยวหงึบหงับไปมา
“ทานปลาเยอะๆ โตขึ้นมาจะได้ฉลาด เรียนหนังสือเก่ง ๆ ” นั่นคือความปรารถนาดีของบิดาที่พึงมีต่อบุตร
เจ้าอ้วนกลมจอมซนเอ๋ย กว่าเจ้าจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ คงต้องผ่านบททดสอบหินๆอีกมากมาย …

ปล ตอนนี้ลงในเว็บเด็กดีไปแล้ว 15 ตอน เลยนำลิงค์มาแปะ

http://writer.dek-d.com/jansolucky/writer/view.php?id=686781



ทินสิรี
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 11 ก.ค. 2554, 21:43:26 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 11 ก.ค. 2554, 21:43:26 น.

จำนวนการเข้าชม : 1375





<< บทที่ 1 โรงเรียนของหนู   
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account